ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่พวกโจรที่ต้องการจะเข้าไปปล้นบ้านอุบาสิกามารดาของพระโสณกุฎิกัณณะ ผู้กำลังนั่งตั้งใจฟังธรรม
ขณะที่หัวหน้าโจรก็ยืนคุมเชิงสังเกตการณ์อยู่ภายนอก
เวลาต่อมานางทาสีของอุบาสิกาวิ่งมาบอกว่า นายเวลานี้โจรกำลังจะเข้ามาปล้นบ้านของนายแล้ว
อุบาสิกาด้วยจิตปรารถนาที่จะฟังธรรมจากพระลูกชาย จึงไม่คิดอาลัยใยดีต่อทรัพย์สินที่โจรจะปล้นไป
มิใยว่านางทาสีจะวิ่งมาบอกซักกี่ครั้งกี่หาว่าโจรจะปล้นเอาทรัพย์สิน เงินทองไปแล้วเท่าไหร่
ก็มิอาจทำให้อุบาสิกาวิตกกังวลใดๆ ยังมีจิตมุ่งมั่นตรงอยู่กับรสพระธรรมที่พระโสณะแสดง
จนหัวหน้าโจรที่ยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังข้างนอกรู้เห็นถึงความศรัทธา ตั้งมั่นในการฟังธรรมของนาง จึงเกรงกลัวว่า บาปกรรมครั้งนี้ หากพวกเราจักไม่หยุดที่จะปล้นทรัพย์ของอุบาสิกาผู้มีจิตใจแน่วแน่ มั่นคงต่อการฟังธรรมเช่นนี้ พวกตนอาจต้องมีผลกรรมอันเลวร้าย รุนแรง อาจถึงกับศีรษะแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปเสียก็ได้
หัวหน้าโจรจึงรีบกลับไปบอกให้บริวารโจรทั้งหมด นำทรัพย์ที่ปล้นได้มา ไปวางคืนไว้ให้อยู่ในสภาพเดิม อย่าให้ขาดหายไปแม้แต่กหาปนะเดียว
เวลาต่อมาพวกโจรจึงเดินทางมากราบขอขมาอุบาสิกา แล้วเอยวาจาขอร้องให้อุบาสิกาพาพวกตนไปขอบวช
ต่อมาพระโสณกุฎิกัณณะ จึงบวชให้แก่หัวหน้าโจรและบริวารพร้อมทั้งอบรมสั่งสอนกรรมฐานตามจริตที่ภิกษุใหม่แต่ละองค์ควรจะได้รับ
ภิกษุเหล่านั้นปฏิบัติธรรมอยู่ในสถานที่อันสงัดอยู่นาน แต่ก็ยังมิได้บรรลุธรรมใดๆ จนกระทั้งพระบรมศาสดาขณะที่ทรงประทับอยู่เชตะวันมหาวิหาร ซึ่งห่างไกลจากที่อยู่ของภิกษุใหม่เหล่านั้นถึง ๑๒๐ โยชน์ ทรงแสดงปาฏิหาริย์ ฉายพระรูปพระองค์มาปรากฏเฉพาะหน้า แล้วทรงแสดงเมตตาสูตรโปรดให้ภิกษุใหม่เหล่านั้นได้สดับ จนบรรลุธรรมาภิสมัยกันทุกองค์
วันนี้เราท่านทั้งหลายมาตามดูประวัติอดีตชาติของพระโสณกุฎิกัณณะกันต่อ
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านเกิดเป็นเศรษฐีสมบูรณ์ด้วยสมบัติ อยู่ในหังสวดีนคร
วันหนึ่งได้เห็นพระศาสดาแวดล้อมไปด้วยพระขีณาสพ ๑๐๐,๐๐๐ องค์ เสด็จเข้าไปสู่นครด้วยพุทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ บังเกิดจิตเลื่อมใส ถวายบังคมแล้วได้ยืนประคองอัญชลีอยู่ท้ายบริษัท
เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งผู้ยอดของเหล่าภิกษุ ผู้มีวาจาไพเราะ จึงคิดว่า แม้เราก็ควรเป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้มีวาจาไพเราะ ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ในอนาคต
จึงนิมนต์พระบรมศาสดาปทุมุตตระ พร้อมภิกษุสงฆ์สาวก ๑๐๐,๐๐๐ รูป ถวายทานตลอด ๗ วัน พร้อมทั้งกระทำอธิษฐานตั้งความปรารถนาว่า พระเจ้าข้า พระองค์ทรงตั้งภิกษุใด ไว้ในตำแหน่งภิกษุ ผู้มีวาจาไพเราะ ด้วยเดชแห่งการถวายทานตลอดทั้ง ๗ วัน ครั้งนี้ แม้ข้าพระองค์ก็พึงเป็นเหมือนอย่างภิกษุรูปนั้น ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ในอนาคต ด้วยผลแห่งกุศลกรรมนี้
พระศาสดาทรงเห็นว่า ความปรารถนาของเศรษฐีผู้นี้ไม่มีอันตราย ในระหว่างเวียนเกิดเวียนตาย สำหรับความปรารถานี้ จึงทรงพยากรณ์ว่า ท่านจักเป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้มีวาจาไพเราะ ในศาสนาพระโคดมพุทธเจ้า ในอนาคตกาล
ทรงตรัสเช่นนั้นแล้วทรงเสด็จกลับ พร้อมภิกษุสงฆ์จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ รูป ฝ่ายเศรษฐีหนุ่มนับแต่ได้สดับพุทธพยากรณ์ จึงตั้งใจบำเพ็ญบุญในนครนั้นตลอดชีวิต
เมื่อถึงกาลกิริยาแล้วได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลกอยู่หลายอสงไขย แสนกัป
เวลาต่อมา ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าวิปัสสี เศรษฐีนั้นก็ได้มาเกิดเป็นลูกเศรษฐี แล้วได้สดับฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าวิปัสสีพุทธเจ้า จนบังเกิดศรัทธาเลื่อมใสออกบวชในศาสนา บำเพ็ญวัตรปฏิบัติให้บริบูรณ์ ได้กระทำกุศลโดยได้เย็บจีวรถวายแก่ภิกษุรูปหนึ่ง เมื่อสิ้นชีวิตก็วนเวียนอยู่ในภพต่าง ๆ
เมื่อสมัยโลกว่างจากพระพุทธเจ้าอีก ท่านก็เกิดเป็นช่างหูก อาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี ได้กระทำกุศลโดยได้ต่อคันกลดที่ขาดถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่ง ท่านได้บำเพ็ญบุญในภพนั้นๆ ด้วยอาการอย่างนี้
กาลต่อมาท่านได้มาบังเกิดเป็นบุตรของอุบาสิกาชื่อว่า “กาฬี” ในเมืองราชคฤห์ มีชื่อว่า “โสณะ” จนได้บวชแก่พระมหากัจจายนะ แล้วได้มีโอกาสแสดงธรรมด้วยทำนองสรภัญญะ จนได้รับการสรรเสริญยกย่องจากพระบรมศาสดาให้เป็นผู้แสดงธรรมด้วยวาจาไพเราะกว่าภิกษุทั้งหลาย
พระโสณกุฏิกัณณะ ไม่มีกล่าวถึงบั้นปลายชีวิตของท่านไว้
แต่ได้สันนิษฐานว่า ท่านคงอยู่ที่แคว้นอวันตีนั้นเอง และส่วนใหญ่คงจำพรรษาอยู่ที่ภูเขาปวัตตะ เมืองกุรรฆระ อันเป็นชาติภูมิของท่านเองจนกระทั่งนิพพาน
 
พุทธะอิสระ