พระโสณโกฬิวิสะ เป็นบุตรของอสุภเศรษฐี เกิดในวรรณะไวศยะ (แพศย์) ตระกูลเศรษฐี ในเมืองกาลจัมปากะ แคว้นอังคะนับตั้งแต่มารดาเริ่มตั้งครรภ์จนคลอด ชาวเมืองต่างพากันนำเครื่องบรรณาการมามอบให้แก่เศรษฐีเป็นอันมาก เมื่อคลอดแล้วมีผิวพรรณผุดผ่องงดงามดังนั้นมารดาบิดาจึงได้ขนานาม นามว่า โสณะ ส่วนโกฬิวิสะเป็นชื่อแห่งโคตร
โสณกุมารนั้นเป็นคนสุขุมาลชาติ มีโลมาที่ละเอียดอ่อนบังเกิดที่ฝ่าเท้าทั้งสอง คือฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนนุ่มและมีสีแดงดังดอกชบา โดยเฉพาะที่ฝ่าเท้านั้นมีขนอ่อนสีเขียวเหมือนแก้วมณีงอกขึ้น ซึ่งมองดูแปลกกว่าคนทั่วไป ทั้งยังได้รับการเลี้ยงดูเอาใจจากมารดาบิดาเป็นอย่างดี เพราะมีทรัพย์สมบัติอันบริบูรณ์มั่งคั่ง
นอกจากนั้น ท่านยังเป็นคนรักการเล่นดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ และดนตรีที่ถนัดที่สุดคือการดีดพิณ บิดาได้สร้างปราสาท ๓ หลัง เพื่อเป็นที่พักอยู่อันเหมาะสมกับภูมิอากาศใน ๓ ฤดูกาล ให้บริโภคเฉพาะอาหารที่ประณีตซึ่งหุงจากข้าวสาลีชนิดเลิศ
ขณะที่พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่เขาคิชกูฎ เมืองราชคฤห์ ครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสารรับสั่งให้พสกนิกรของพระองค์ในหมู่บ้าน ๘๐,๐๐๐ ตำบล ในแคว้นอังคะ มาประชุมกันที่ลานบริเวณพระราชวัง เพื่อรับฟังพระราโชบายพร้อมกันนี้ได้รับสั่งให้อุสภเศรษฐี ส่งโสณโกฬิวิสะบุตรของตนมาเข้าเฝ้าด้วยเพื่อจะทอดพระเนตรฝ่าเท้าที่มีขนสีเขียวเหมือนแก้วมณีงอกออกมาตามที่มีข่าวเล่าลือว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์นัก
อุสภเศรษฐีได้อบรมบุตรของตนให้ทราบถึงระเบียบมารยาทในการเข้าเฝ้าโดยห้ามเหยียดเท้าไปทางที่ประทับ อันเป็นการไม่สมควร แต่ให้นั่งขัดสมาธิซ้อนเท้าทั้งสองไว้บนตักหงายฝ่าเท้าขึ้น เพื่อให้ทอดพระเนตร
โสณโกฬิวิสะ เมื่อเข้าเฝ้า ก็ได้ปฏิบัติตามที่บิดาสั่งสอนทุกประการ พระเจ้าพิมพิสาร ทอดพระเนตรแล้วหายสงสัย จากนั้นได้ประทานโอวาท และชี้แจงพระราโชบายเกี่ยวกับกิจการบ้านเมืองให้พสกนิกรทราบแล้ว ทรงนำพสกนิกรเหล่านั้นพร้อมทั้งโสณโกฬิวิสะ ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดาถึงที่ประทับ
ขณะนั้น พระสาคตะเถระ รับหน้าที่เป็นพุทธอุปัฏฐาก เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงพาพสกนิกรมาขอโอกาสเพื่อเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา แล้วได้แจ้งต่อพระสาคตะผู้อุปัฏฐากให้ได้ทราบว่า
ท่านขอรับ ประชาชนทั้งแปดหมื่นคนเหล่านี้ มาในที่นี้ เพื่อเข้าเฝ้าองค์พระผู้มีพระภาค ขอพระคุณเจ้าประทานโอกาส ให้พวกข้าพเจ้าพึงได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคด้วยเถิด
ท่านพระสาคตะจึงทูลว่า ถ้าเช่นนั้นมหาบพิตรจงอยู่ ณ ที่นี้สักครู่หนึ่งก่อน จนกว่าอาตมาจะกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ ดังนี้แล้วท่านพระสาคตะ ก็สำแดงฤทธิ์ดำลงไปในแผ่นหินที่เหยียบยืนอยู่หายไปต่อหน้าต่อตาองค์ราชาพิมพิสาร และมหาชนเป็นที่อัฒจันทร์ยิ่งนัก
พระสาคตะได้มาผุดขึ้นตรงลานหินหน้าพระพักตร์ขององค์พระผู้มีพระภาค พร้อมทั้งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้องค์มหาราชพิมพิสารพร้อมประชาชนแปดหมื่นได้พากันมาขอเข้าเฝ้าองค์พระผู้มีพระภาค องค์พระผู้มีพระภาคจักทรงเห็นควรอย่างไรสุดแต่จะทรงโปรด พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรสาคตะ ถ้ากระนั้นเธอจงปูลาดอาสนะ ณ ร่มเงาหลังวิหาร เราจักไปต้อนรับองค์มหาราชพร้อมมหาชน ณ ที่นั้น
ท่านพระสาคตะทูลสนองพระพุทธดำรัสว่า ทราบเกล้าฯ แล้ว พระพุทธเจ้าข้า กล่าวดังนี้แล้วพระสาคตะจึงถือตั่งที่ประทับ พร้อมดำลงไปต่อหน้าพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค แล้วมาแจ้งให้องค์มหาราชพิมพิสาร แจ้งประชาชนทั้งแปดหมื่นได้ทราบว่า เวลานี้องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรอต้อนรับมหาบพิตร และประชาชนในร่มเงาหลังพระวิหารแล้ว
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากพระวิหาร ทรงประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์ ที่พระสาคตะจัดไว้ถวาย ณ ร่มเงาหลังพระวิหาร องค์ราชาพิมพิสารพร้อมประชาชนทั้งแปดหมื่นจึงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้ว ถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แต่พวกเขาหาได้สนใจในองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ เอาแต่พากันสนใจอยู่กับท่านพระสาคตะเท่านั้น
ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกของพวกเขาด้วยพระทัยแล้ว จึงตรัสเรียกท่านพระสาคตะมารับสั่งว่า ดูกรสาคต ถ้ากระนั้น เธอจงแสดง อิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ ให้ยิ่งขึ้นไปอีกเพื่อให้มหาชนได้ทัศนาจนพอใจเถิด
ท่านพระสาคตะทูลรับสนองพระพุทธดำรัสว่า พระพุทธเจ้าข้า แล้วเหาะขึ้นสู่เวหาส เดินบ้าง ยืนบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง หาวออกมาเป็นควันบ้าง เป็นไฟบ้าง หายตัวไปปรากฏอยู่ในทิศอื่นๆ บ้าง ในอากาศกลางหาวบ้าง
ครั้นแสดงอิทธิปฏิหาริย์อันเป็นธรรมยวดยิ่งของมนุษย์หลายอย่าง ในอากาศกลางหาว แล้วพระสาคตะจึงเหาะลงมาซบศีรษะลงที่พระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวกพระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวกของพระองค์ ดังนี้
ประชาชนทั้งแปดหมื่นนั้นจึงพูดสรรเสริญว่า ชาวเราผู้เจริญเอ๋ย อัศจรรย์นัก ประหลาดแท้ นี่แค่พระสาวกยังมีฤทธิ์มากถึงเพียงนี้ ยังมีอานุภาพมากถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นองค์พระศาสดาคงต้องอัศจรรย์ยิ่งกว่านี้เป็นแน่ ดังนี้แล้วจึงพากันหันมาสนใจต่อพระผู้มีพระภาค หาได้สนใจต่อท่านพระสาคตะต่อไปไม่
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของพวกมหาชนเหล่านั้นแล้ว จึงทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศ ทานกถา การบริจาคทาน และอานิสงส์ของการบริจาคทาน
ศีลกถา การรักษาศีลและอานิสงส์ของศีลที่รักษาดีแล้ว
สัคคกถาโทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งปวง
และอานิสงส์ในการออกบรรพชา
เมื่อพระองค์ทรงทราบว่า พวกเขามีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ
ทุกข์
สมุทัย เหตุที่ทำให้ทุกข์เกิด
นิโรธ ทางดับทุกข์
มรรค ข้อปฏิบัติที่ทำให้ทุกข์นั้นดับลงได้
ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน จึงได้เกิดแก่มหาชนทั้งแปดหมื่นเหล่านั้นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา จิตของมหาชนเหล่านั้นเปรียบประดุจดังผ้าขาวที่สะอาด ปราศจากมลทินควรได้รับน้ำย้อมด้วยน้ำอมฤตธรรมอันบริสุทธิ์ บริบูรณ์ยิ่งนัก
 
จบไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ วันหน้าจะนำมาเล่าสู่กันฟังใหม่ในตอนต่อไป
 
พุทธะอิสระ