ความเดิมตอนที่แล้ว จบลงตรงที่พระกาฬุทายีเถระได้แต่งคาถาถึง ๖๐ คาถาเพื่อสรรเสริญ เชิญชวนทูลอาราธนาองค์พระบรมศาสดาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเดินทางไปสู่นครกบิลพัสดุ์ เพื่อโปรดพุทธบิดาและพระประยูรญาติ
พระบรมศาสดาครั้นเมื่อได้ฟังพระอุทายีเถระพรรณนาคาถาดังนั้น จึงตรัสถามถึงเหตุที่พระอุทายีเถระได้พรรณนาถึงการดังกล่าว พระอุทายีเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระชนกของพระองค์ มีพระประสงค์จะพบเห็นพระองค์ ขอพระองค์จงกระทำการสงเคราะห์พระบิดาและพระประยูรญาติด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกพระเถระอ้อนวอนแล้วอย่างนั้น ทรงเห็นว่า มหาชนเป็นอันมากจะได้บรรลุคุณวิเศษ เพราะการเสด็จไปกรุง กบิลพัสดุ์ในครั้งนั้น จึงมีพระดำรัสให้พระอุทายีเถระแจ้งแก่ภิกษุสงฆ์ เพื่อภิกษุทั้งหลายจักได้บำเพ็ญคมิกวัตร คือ การประชุมสอบถามดูว่ามีผู้จะเดินทางไปนครกบิลพัสดุ์กับเราคถาคตหรือไม่ พระเถระรับพระพุทธดำรัสแล้วจึงไปแจ้งแก่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายให้ทราบ
ปรากฏว่า ภิกษุสงฆ์ทั้งปวงต่างพากันแสดงเจตนาที่จะร่วมเดินทางไปกับองค์พระผู้มีพระภาคเจ้ากันทุกองค์
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีภิกษุห้อมล้อมด้วยภิกษุขีณาสพทั้งสิ้นสองหมื่นองค์คือ ภิกษุผู้เป็นกุลบุตรชาวอังคะและมคธะหมื่นองค์ ภิกษุผู้เป็นกุลบุตรชาวเมืองกบิลพัสดุ์หมื่นองค์ เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ เสด็จเดินทางวันละหนึ่งโยชน์แล้วทรงหยุดพักระหว่างทาง
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า จักเสด็จจากกรุงราชคฤห์ถึงกรุงกบิลพัสดุ์โดยมีระยะทาง ๖๐ โยชน์ โดยทรงใช้เวลา ๒ เดือน จึงเสด็จจาริกไปโดยไม่รีบด่วน
ฝ่ายพระเถระคิดว่า เราควรจักไปกราบทูลความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกมาแล้วแก่พระเจ้าสุทโธทนะและพระประยูรญาติให้ได้ทรงทราบก่อนว่า องค์พระบรมศาสดาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมหมู่ภิกษุบริวารซึ่งล้วนสำเร็จเป็นพระอรหันต์จำนวน ๒๐,๐๐๐ รูป กำลังทรงเสด็จออกมาโปรดพุทธบิดาและพระประยูรญาติ เพื่อให้ได้ทรงจัดเตรียมต้อนรับ
พระเถระดำริดังนี้แล้วจึงทรงจีวร สะพายบาตร พร้อมบริขารจำเป็นสำหรับสมณสารูปแล้วจึงเหาะขึ้นสู่อากาศไปปรากฏในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนะ.
พระราชาทรงเห็นอุทายีอำมาตย์ในเพศสมณะที่ไม่เคยทรงเห็นมาก่อน จึงทรงจำไม่ได้แล้วจึง ตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร?
พระเถระตอบว่า ถ้าพระองค์จำอาตมภาพผู้เป็น บุตรอำมาตย์ที่พระองค์ส่งไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ไซร้ ขอพระองค์ จงทรงรู้อย่างนี้เถิด ดังนี้ จึงกล่าวคาถาว่า
อาตมภาพ เป็นบุตรของพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีสิ่งใดย่ำยีได้ มีพระรัศมีแผ่ซ่านจากพระกาย ไม่มีผู้เปรียบปาน ผู้คงที่ ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เป็นพระบิดาของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระบิดาแห่งอาตมภาพ ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เป็นพระอัยการของอาตมภาพโดยธรรม
พระราชาสุทโธทนะเมื่อทรงจำพระเถระได้แล้วทรงดีพระทัยเป็นยิ่งนัก จึงทรงนิมนต์ให้พระเถระนั่งบนบัลลังก์อันมีค่ายิ่งของพระราชา ทรงถวายบาตรที่บรรจุให้เต็มด้วยโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ ที่เขาจัดเตรียมไว้แก่พระเถระ พระเถระลุกขึ้นแสดงอาการจะไป พระราชาตรัสนิมนต์ให้นั่งฉันยังที่ที่จัดไว้ พระเถระทูลว่าจะไปฉันยังสำนักของพระศาสดา.
พระราชาตรัสถามถึงที่อยู่ของพระศาสดา พระอุทายีเถระทูลว่าขณะนี้พระศาสดามีภิกษุ ๒ หมื่นเป็นบริวารแวดล้อมได้ทรงเสด็จออกจาริกเพื่อจะมาโปรดพระองค์
พระเจ้าสุทโธทนะทรงดีพระทัยตรัสว่า ท่านฉันภัตตาหารนี้เสียก่อนเถิด แล้วจงนำอาหารบิณฑบาตจากพระราชนิเวศน์นี้ไปถวายพระโอรสของโยม ให้ได้รับอาหารทุกวัน จนกว่าพระโอรสของโยมจะถึงพระนครนี้. พระเถระรับแล้ว พระราชาอังคาสพระเถระ พระเถระกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว จึงกล่าวสัมโมทนียกถาธรรมถวายแด่พระราชา และบริษัท ก็ยังให้คนในพระราชนิเวศน์ทั้งหมดเกิดความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย
ต่อมาพระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงตรัสสั่งให้ชาวพนักงานนำบาตรของพระเถระ ไปล้างทำความสะอาดแล้วให้อบบาตรด้วยจุณจันทน์อันหอม จึงนำบาตรนั้นบรรจุด้วยโภชนะอันอุดมให้เต็มบาตร แล้วนำมาถวายให้แก่พระเถระ โดยตรัสว่า
ท่านจงถวายอาหารบิณฑบาตนี้แด่พระตถาคต โอรสของโยม พระเถระเมื่อได้รับบาตรที่บรรจุอาหารจนเต็มมาแล้วก็ได้แสดงฤทธิ์ท่ามกลางชนชาววังทั้งปวง โดยได้โยนบาตรขึ้นไปบนอากาศ ส่วนตนเองก็เหาะขึ้นสู่เวหาสนำอาหารบิณฑบาตนั้นไปทูลถวายแด่องค์พระศาสดาโดยตรง พระศาสดาเสวยบิณฑบาตนั้น พระเถระได้นำบิณฑบาตมาถวายพระบรมศาสดาทุกวันๆ ตลอดระยะเวลา ๒ เดือน
ฝ่ายพระเถระทุกวันที่เหาะมารับอาหารบิณฑบาตรในพระราชวังขององค์ราชาสุทโธทนะทุกวันเมื่อเสร็จภัตกิจแล้วจึงได้ทูลพระราชาว่าวันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาสิ้นระยะทางมีประมาณเท่านี้ วันนี้เสด็จมาสิ้นระยะทางมีประมาณเท่านี้ ทั้งยังได้ปลูกศรัทธาความเชื่อในพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เกิดขึ้น แก่พระประยูรญาติ เจ้าศากยะทั้งหลาย ด้วยกถาปฏิสังยุตพรรณนาพระพุทธคุณทั้ง ๙
********************************************
บทสวดพระพุทธคุณ ๙
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ.
********************************************
การที่พระเถระได้กระทำราชสกุลทั้งสิ้นให้มีความเลื่อมใสเกิดขึ้นในพระศาสดา ด้วยธรรมีกถาอันสัมปยุตด้วยพุทธคุณ ด้วยเหตุนั้นแหละ พระศาสดาจึงสถาปนาพระอุทายีเถระนั้นไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายพระกาฬุทายีนั้นเป็นเลิศกว่าพระสาวกทั้งหลายของเราผู้ยังตระกูลให้เลื่อมใส
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี สมัยนั้น ท่านพระอุทายีผู้อันคฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว นั่งแสดงธรรมอยู่ ท่านพระ อานนท์ได้เห็นดังนั้นจึง ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระอุทายี ผู้อันคฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว นั่งแสดงธรรมอยู่
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นไม่ใช่ทำได้ง่าย ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการไว้ภายใน แล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ภิกษุพึงตั้งใจว่า
เราจักแสดงธรรมไปโดยลำดับ ๑
เราจักแสดงอ้าง เหตุผล ๑
เราจักแสดงธรรมอาศัยความเอ็นดู ๑
เราจักเป็นผู้ไม่เพ่งอามิสแสดงธรรม ๑
เราจักไม่แสดงให้กระทบตนและผู้อื่น ๑
แล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น
ดูกรอานนท์ การแสดงธรรม แก่ผู้อื่นไม่ใช่ทำได้ง่าย ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการนี้ไว้ในภายใน แล้ว จึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น ฯ
จบไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ โปรดติดตามตอนต่อไป
พุทธะอิสระ