3 มิ ย 2555 9.40 น. ถอดซีดี ธรรมะระหว่างบวชเนกขัมมะ 2-4 มิย 55

วันวิสาขบูชา โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ •แต่รู้เพียงแค่ว่า โง่ อยาก ทำให้เกิด เรียกว่า

อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เนี่ย มันทำให้เกิด •สิ่งที่ควรจะทำ สิ่งที่ควรจะปฏิบัติ ก็คือ ต้อง

พยายามละชาติภพให้ได้ แต่ละ คนก็ขวนขวาย แสวงหาอรหันต์สอนให้ถึงพระนิพพานกัน

ทั้งนั้น แต่ไม่รู้ว่า จริงๆ แล้ว อรหันต์มันอยู่กับตัวเรา แค่เราไม่ปรุงแต่งอารมณ์ให้เป็นอะไร

ไม่ทำอะไรให้เป็นอารมณ์ มันก็ไม่มีชาติ ไม่มีภพ แล้วก็ไม่มีไปเรื่อยๆๆ มันก็เป็นผู้เข้าถึงจิต

เจตสิก รูป แล้วก็นิพพาน (กราบ) อีซิ้มมันพูดอะไรของมันไม่รู้ รักษาไข้ มีความปวด

หัวแม่โป้งจี๊ดจ๊าด ฟังไม่รู้เรื่อง ให้ไป เยี่ยวรดสังกะสี ป๊องแป๊งๆ บ้าตั้งแต่สาวยันแก่ ว่าจะ

ไปพัก ถามเค้า มีเวลา พอยังเหลือเวลาที่จะปฏิบัติธรรม เดี๋ยวช่วงที่เค้าพัก ก็ให้เปิด เทปที่

เมื่อวานสอนไปว่า อย่าสร้างชาติภพอยู่ว่างๆ อยู่ว่างๆอย่าสร้างชาติภพ อยู่ว่างๆแล้ว ก็ต้อง

ลดชาติภพ เมื่อวานได้เล่า ได้คุยให้ฟังว่า หลักปฏิจจสมุปบาท ไม่ใช่ต้องข้ามภพข้ามชาติถึง

จะเรียนรู้ ปฏิจจสมุปันธรรม เกิดแค่ขณะจิตหนึ่งๆ อวิชชา คือ ความโง่ ความไม่รู้ ความไม่

เข้าใจ ทำ ให้เกิดสังขาร การปรุงแต่ง ปรุงไปเรื่อย ปรุงไปแล้วมันก็จะเกิดกระบวนการรับรู้

ที่เรียกว่า วิญญาณ วิญญาณ การรับรู้ มีอวิชชา มีสังขาร มีวิญญาณ แล้วมันก็มีร่างกาย มี

ตัวมีตนน่ะ มีตัวกู ของกูล่ะ ก็เรียกว่า นาม รูป พอมีนามมีรูปแล้ว อะไรเป็นนาม ใจเราเนี่ย

เรียกว่า นาม เพราะมันไม่มีตัวตนแต่มีหน้าที่ รูป ก็คือ หลายสิ่งรวมเป็นหนึ่งสิ่ง ก็ร่างกาย

เราเนี่ย เสร็จแล้วก็มี สฬายตนะ ก็คือ การต่อ แดนต่ออารมณ์ แดนต่ออารมณ์เนี่ย มันเกิด

จาก ตา เห็น หูฟัง จมูกได้ ลิ้นรับ กายสัมผัส ใจรับรู้อารมณ์ มันมีสฬายตนะ แล้วก็ตามมา

ด้วยอะไร ผัสสะ สัมผัส แล้วก็เกิดเวทนา เกิดตัณหา แล้วก็เกิด อุปาทาน ตามมาด้วยภพชาติ

ชรา มรณะ พยาธิ ไป เรื่อย ทั้งหมดเนี่ย มันเกิดในขณะจิตหนึ่งๆ แต่เป็นขณะจิตที่ต้อง

ระมัดระวัง เอาล่ะ เราไม่ต้องไปรู้มันทั้งอาการ 12 – 13 รอบของปฏิจจสมุปันธรรม

ก็ได้ แต่รู้เพียงแค่ว่า โง่ อยาก ทำให้เกิด เรียกว่า อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เนี่ย มันทำให้เกิด

งั้น วันๆ หนึ่ง อย่าเอาแต่มานั่งสร้างภพชาติ คิดอยู่ จิตไปปรุงมัน เป็นชาติเป็นภพล่ะ ระลึก

อยู่ จิตไปปรุงมัน ก็เป็นชาติเป็นภพล่ะ ไปยุ่ง กับสิ่งที่ไม่ใช่เรื่อง เราก็กลายเป็นผู้ที่มีเรื่อง

ขึ้นมาในทันที งั้น สิ่งที่ควรจะทำ สิ่งที่ควรจะปฏิบัติ ก็คือ ต้องพยายามละชาติภพให้ได้ แต่

ละคนก็ขวนขวาย แสวงหาอรหันต์สอนให้ถึงพระนิพพานกันทั้งนั้น แต่ไม่รู้ว่า จริงๆ แล้ว

อรหันต์มันอยู่กับตัว เรา แค่เราไม่ปรุงแต่งอารมณ์ให้เป็นอะไร ไม่ทำอะไรให้เป็นอารมณ์

มันก็ไม่มีชาติ ไม่มี ภพ แล้วก็ไม่มีไปเรื่อยๆๆ มันก็เป็นผู้เข้าถึงจิต เจตสิก รูป แล้วก็นิพพาน

อยากเรียนรู้เรื่องพระอภิธรรมน่ะ ไม่ยาก เอ้าลองหยิกตัวเองดูคนละทีซิ หยิกแรงๆ เออ รู้ไม๊

(รู้) รู้ว่า (เจ็บ) เออ รู้เป็นจิต รู้เป็นจิต เจ็บ นี่เป็นเครื่องปรุงแต่งจิตไม๊ (เป็น) เออ

เรียกว่า เจตสิก รูป มึงหยิกอะไรอยู่ล่ะ เอ้า หยิกแขน แขนเป็นรูปไม๊ (เป็น) เออ ถ้า

อยากจะให้นิพพาน ก็คือ ต้องไม่มีอะไร ไม่มีรูป ไม่มีเจตสิก แล้วสุดท้ายก็ต้องไม่มี จิต นั่น

คือนิพพาน เพราะงั้น จิต เจตสิก รูป นิพพาน ต้องรอข้ามชาติไม๊ ต้องใช้เวลาเรียนนานไม๊

ไม่ต้อง มันมีอยู่ทุกขณะ จิต เจตสิก รูป นิพพาน มันเกิดทุกขณะ นิพพานมันมีทุกขณะ ทุก

ขณะที่เราสุข เราทุกข์ เรามีปฏิสนธิ มีการครอบงำ มีการจับต้อง มีการลูบคลำ สิ่งเหล่านี้เกิด

ขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไม๊ ดับไป แต่ทีนี้ มันเป็นตัวเป็นตน ไม่ยอมดับ เพราะเรามีอะไร มี

อุปาทาน ความยึดถือ มี อวิชชา ความไม่รู้ ครอบงำอยู่ งั้น ถึงได้บอกว่า ว่างๆ เนี่ย ไปนั่ง

สร้างชาติภพ ว่างๆ เราก็ หยุด วางซะ ชาติภพเสียบ้าง อย่าไปปรุงมัน ตาเห็นรูป หูฟังเสียง

จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส ก็รู้จักวางแล้วว่าง ดับแล้ว เย็นบ้าง งั้น จึงให้ฝึกสติ

มากๆ สัมปชัญญะเยอะๆ จะได้รู้เท่าทันว่า อะไรมาปรุงแต่งจิต อะไรมา ครอบงำจิต เดี๋ยวมี

เวลา จะให้ปฏิบัติธรรมกันเลย เตรียมตัวปฏิบัติธรรม แล้วช่วงพัก ก็ให้ เค้าเปิดเทปที่เมื่อ

วานสอนไป (กราบ) เคลียร์พื้นที่ 3 มิ ย 2555 9.50 น. ถอดซีดี ระหว่าง

และหลังปฏิบัติธรรม แสดงธรรมโดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ ขั้นที่ 1, ขั้นที่ 1 ภาคที่

3, • สิ่งที่ทำอยู่นี่ คือ การสั่งสมสติปัญญา • เรื่องทำลายวัฏฏะ กำจัดทุกข์ เข้านิพพาน

เป็นเรื่องที่หลัง • ไม่มีแรง แล้วจะตะกายไปเข้านิพพาน ก็เจอแต่หัวตะพานแหละ •

เรากำลังฝึกพลัง สร้างแรง สะสมอำนาจจิต • วิธีพ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าชี้ไว้แล้ว ไม่มี

อาจารย์คนไหนชี้ได้ • อาจารย์มีหน้าที่จะบอกว่า ต้องเตรียมตัวอย่างไร • ทุจริตกับตัว

เอง ก็คือ ทำให้ตัวเองมีชาติภพไม่จบสิ้น • วัฏฏะจึงไม่ขาดสูญเสียที เพราะเราคุมความ

คิดเราไม่ได้ • หลายปีที่สอนมา สอนให้พัฒนาอย่างแข็งแรง ส่วนการบรรลุธรรมไม่ต้อง

สอน • ไม่ต้องสอน เพราะทุกคนมีธรรมชาติแห่งการตรัสรู้อยู่ในตัวแล้ว แค่เพียงมีปัญญา

ใครไม่เคยปฏิบัติธรรมเลย ยกมือ รุ่นพี่เข้าไปแนะนำ ขั้นที่ 1 ภาคที่ 1

............. ไม่ได้ให้เดินหาชาติภพนะ ให้เดินเพื่อจะหยุดชาติภพ

........... หูฟังเสียง ใจรับรู้ เท้าก้าวเดิน ทำ 3 อย่างให้รวมเป็นหนึ่ง

........... ทุจริต มี 3 อย่าง กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ทุจริต นี่มันมี

ทั้งทุจริตกับคนอื่น กับ ทุจริตกับตัวเอง ทุจริตกับตัวเองเนี่ย เป็นเรื่องสำคัญมาก อยู่ดีๆ ว่างๆ

ก็เลื่อยลอยไปเรื่อย อย่างนี้ เค้าเรียก ทุจริตกับตัวเอง ............... ธัมมัง

สุจริตตัง จเร การปฏิบัติธรรมด้วยความสุจริต เป็นธรรมอันยอด .............

ขยับขึ้นขั้นที่ 1 ภาคที่ 3 ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่เข้าไปแนะนำ

.............. ทีเล่นเกมล่ะ ไม่หาวนะ ............. เก็บให้

หมดทุกจังหวะ อย่าให้หลง .............. หลงแล้ว เห็นไม๊

............. หลงอย่างนี้ จะพ้นทุกข์ได้ยังไง เรื่องง่ายๆ ยังปล่อยให้หลง

............. ยังก้าวไม่ค่อยครบจังหวะอยู่ดีแหละ ต้องไม่ขาดเลย ไม่ว่า

สั้นหรือยาว .............. อย่าให้ขาด ..............

ระหว่างที่ขาดหายไป คือ ปัญญาที่ตกค้างทิ้งไปแล้ว เก็บได้ทุกจังหวะ ก็เก็บได้ทุกปัญญา

ไม่อย่างนั้น เราจะรู้ทันสภาวะจิตได้อย่างไรว่า ตาเห็น หูฟัง จมูกได้ ลิ้นรับ มันจะกลายเป็น

ชาติ ชรา มรณะ พยาธิ อีกเท่าไหร่ เราจะสร้างไตรวัฏฏะไม่รู้จบสิ้น การจะทำลายพลังแห่ง

วัฏฏะ มันต้องใช้ปัญญาอย่างยิ่ง ใช้สติอย่างมาก สิ่งที่ทำอยู่นี่ คือ การสั่งสมสติปัญญา

.................... เรื่องทำลายวัฏฏะ กำจัดทุกข์ เข้านิพพาน เป็น

เรื่องที่หลัง ไม่มีแรง แล้วจะตะกายไปเข้านิพพาน ก็เจอแต่หัวตะพานแหละ

.............. เรากำลังฝึกพลัง สร้างแรง สะสมอำนาจจิต

.............. ต้องอย่าให้ปัญญาหล่นน้ำหายแม้แต่จังหวะเดียว

.................. ก้าวให้ทันทุกจังหวะ ไม่คร่อมจังหวะ ตรงจังหวะ

ใช้ปัญญา เป็นสัมปชัญญะ ............... หยุดและเข้าที่ เปิดเทปธรรมะ

ที่สอนไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ( 27 พ ค 55) สัปดาห์ที่แล้วกับเมื่อ วานนี้ เอ้า ทีนี้

ตั้งใจฟังก่อนเพื่อทำความเข้าใจ ทฤษฎืที่ว่าด้วยการพ้นทุกข์เนี่ย พระผู้มีพระภาค เจ้าทรง

ค้นหาให้เราแล้ว พระองค์ทรงวางหลักการไว้พร้อมมูลแล้ว เริ่มต้นตั้งแต่ มรรคมีองค์ 8

ประการ อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ปฏิจจสมุปบาท แม้ที่สุด จิต เจตสิก รูป

นิพพาน เหล่านี้เป็นหนทาง เป็นวิถี เป็นกระบวนการ เป็นทฤษฎี แต่ใครล่ะ เป็นผู้เดินตาม

วิถีและหนทาง แล้วถ้าเป็นเรา เราพิการหรือเปล่า หรือเราแข็งแรง แต่ทุกวันนี้ ความเป็น

จริงก็คือ เราทุกคนพิการ มีตาก็เหมือนมีตีนมีตูด เพราะตาไม่แจ่มชัด มีหูก็หูอื้อ หูตึง มีตัวก็

ตัวเปลี้ยๆ และอ่อนแอ มีสมองก็คิดไม่ได้ครบหมดทุกขณะจิต มีจิตก็ รู้ในเรื่องที่ควรรู้น้อย

ที่สุด แต่เรื่องที่ไม่ควรรู้ ดันมากที่สุด งั้น เราเป็นคนพิการและอ่อนแออย่างยิ่ง วิธีพ้นทุกข์

พระพุทธเจ้าชี้ไว้แล้ว ไม่มีอาจารย์คนไหนชี้ได้ อาจารย์มีหน้าที่จะบอกว่า ต้องเตรียม

ตัวอย่างไร ทำตัวอย่างไร ประพฤติตัวอย่างไร เพื่อจะ เข้าถึงทฤษฎี และวิธีนั้น หรือ วิถีนั้น

หรือหนทางนั้น อย่างเป็นผู้ที่ไม่พิการ ไม่เปลี้ย เราปฏิบัติธรรมกันมาหลายปี ต้องทำความ

เข้าใจว่า ทั้งหมดทั้งมวลเนี่ย มันเป็นเรื่องเป็น ราวของการเตรียมตัว เตรียมการ เพื่อให้เข้า

ไปสู่สถานการณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็น อย่างเป็นผู้ที่แข็งแรง ยั่งยืนแล้วก็มั่นคง อะไร

แข็งแรง จิตเราแข็งแรง อะไรยั่งยืน ก็สติเรายั่งยืน อะไรมั่นคง ก็ปัญญาเรามั่นคง ไม่ถดถอย

เมื่อเราเข้าไปอย่างนี้ในวิถีแห่งมรรคาปฏิปทา มันก็จะเจริญได้ทะลุทะลวงจนกระทั่งถึงขั้น

สุดท้ายของวิถีแห่งมรรค มัชฌิมาปฏิปทา แต่ทุกวันนี้ เราไม่ใช่ เรากลายเป็นคนอ่อนแอ เรา

เป็นคนเปลี้ย เราเป็นคนไม่แข็งแรง เรา เป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา เราเป็นคนพิการ เรามีสติ

ไม่สมบูรณ์ หูฟังเสียง ใจรับรู้ สมองได้รับการสั่งงานจากใจที่รู้ แต่ยังคุมพฤติกรรม คือ

กายยังไม่ได้ ไม่สมบูรณ์ ก้าวยังขาดบ้าง คร่อมบ้าง ถูกบ้าง ผิดบ้าง นี่เรื่องหยาบๆ เรายังทำ

ไม่ครบสมบูรณ์ แล้วเรื่องง่ายๆ สภาวะที่เกิดกับจิต เจตสิกที่ปรากฏ กับจิต เครื่องปรุงจิต

และชาติภพที่เกิดจากการคิดส่งเดช บอกแล้วว่า ทุจริตมี 2 อย่าง กายทุจริต กับ มโนทุจริต

กาย มีกาย การกระทำ กับวาจา ใจ ก็คือ มโน เราจะทำยังไงให้ถึงคำว่า สุจริต ไม่ทุจริต

อ้ายทุจริตกับคนอื่น ก็ถือว่า เป็นความเลว แต่ทุจริตกับตัวเองน่ะ ชั่ว ชั่วยั่งยืน ยาวนาน แล้ว

อะไรบ้าง เป็นทุจริตกับตัวเอง ทุจริตกับตัวเอง ก็คือ ทำให้ตัวเองมีชาติภพไม่จบสิ้น ขณะที่

เราคิด คิดไปเรื่อยเปื่อยเนี่ย อุปาทานมาจับต้องความคิด มีภพไม๊ (มี) มีชาติไม๊ (มี)

มีชรา มรณะ พยาธิ ตามมา เพราะอย่างนี้ไง วัฏฏะจึงไม่ขาดสูญเสียที เพราะเราคุมความ

คิดเราไม่ได้ คุมจิตเราไม่ได้ เพราะเราเป็นคนพิการไง เราเป็นคนอ่อนแอ เราไม่แข็งแรงไง

เดี๋ยวฟังวิธีการ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ เมื่อถึงความเข้าใจแล้ว เราจะรู้ว่า เราจะทำตัวเองให้

เข้าไปสู่ความเข้าใจได้อย่างไร นั่นคือ เข้าใกล้ และ เข้าถึงได้อย่างไร เปิดเทปที่สัปดาห์ที่

แล้วพูดให้ฟัง แล้วก็ต่อด้วยเมื่อวานนี้ที่พูดให้ฟัง แล้วตั้งใจฟังให้ดี จะได้ รู้ว่า จะต้องเตรียม

ตัวอย่างไร ทุกคนน่ะสรรหา สรรสร้าง แสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้วิเศษ เกจิ เถระ อรหันต์ อร

หอย เยอะแยะมากมาย สอน เพื่อจะให้สอนเราให้พ้นทุกข์ แต่เราเป็นคน แขนขาด ขาขาด

หัวกุด เอาที่ไหนมาพ้นทุกข์ เพราะเป็นคนพิการ เราไม่แข็งแรงพอ เรา ไม่พร้อมที่จะเดิน

ไปในหนทาง หรือวิถีที่พระพุทธเจ้าชี้ งั้น สิ่งที่ทำอยู่นี่ ก็คือ ทำตัวเองให้แข็งแรงมากพอ

พร้อมที่จะเดินไปสู่หนทางและวิถีที่พระ พุทธเจ้าชี้ แล้วตั้งใจฟัง เปิด “ คุณสืบ

สกุล........” ตัดช่วงคำถามของจิต “ เราก็คงจะเริ่มรายการ....” ตัด

ช่วงคำถามของจิต “ เราก็คงจะเริ่มรายการ....” เอ๊ย มันเปิดให้มันเร็วกว่านี้ได้ไม่

ใช่เหรอ เครื่องมันทำงานไม่ได้ เปิดเทปเมื่อวานนี้ แล้วหาวิธีเปิดช่วงคำถามของจิตให้ได้

เทปวันที่ 2 มิ ย 55 “สงสัยงานนี้อยากได้ 7 ล้าน เห็นรัฐบาลจ่ายแพง ก็เลยไป

ชุมนุมกับเค้าด้วย เผื่อฟลุ๊คได้ 7 ล้าน แล้วได้ความไงบ้างหลังจากชุมนุมแล้ว อืม กูนึกไม่

ออกว่า ถ้าเผื่อเป็นชาติภพ มันจะเป็นยังไง ขณะจิตหนึ่งๆ ที่ไปแย้วๆ กับเค้าเนี่ย เป็นกรรม

ไม๊ (เป็น) เป็นการสั่งสมไม๊ สั่งสม กรรมชนิดหนึ่ง คนอยากพ้นทุกข์ อยากมีสุข อยาก

ไปนิพพาน แต่อ้ายความอยากกับสิ่งที่ตัวเองทำ มันค้าน กันตลอด มันก็ยาก นี่คือ ธรรมที่

ทวนกระแส ธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นธรรมที่ทวนกระแส เราก็รู้ๆ กันอยู่ว่า

ขณะที่ตาเห็น หูฟัง จมูกได้ ลิ้นรับ กายสัมผัส ใจรับรู้อารมณ์ ถ้าเรามาปรุง แต่งให้มันเป็น

อะไร แล้วทำให้เกิดอะไรในอารมณ์ มันก็คือ กระบวนการสร้างชาติภพ มันก็เป็นกระบวน

การของการสร้างวัฏฏะให้มันต่อเนื่อง หมุนวนให้ได้รอบ กินให้รอบตัว มันไปเรื่อยๆๆ แต่

ถ้า ตาเห็นสักแต่ว่าเห็น หูฟังสักแต่ว่าฟัง จมูกดมสักแต่ว่าดม ลิ้นรับสัก แต่ว่ารับ ไม่ปรุงแต่ง

มันก็ถึงคำว่า ดับ เย็น แล้วเรื่องอย่างนี้ รู้ไม๊ รู้ กูเพิ่งสอนเนี่ย รู้สิ ก็กูเพิ่งจะพูดจบไปเมื่อกี้

ทำไมจะไม่รู้ เออ เพราะงั้น มันเป็นเครื่องทวนกระแส เพราะ เรามีอะไร ก็อย่างที่บอกว่า

เรามีปฏิจจสมุปันธรรมอยู่ อวิชชา ทำให้เกิดสังขาร เพราะสังขารทำให้เกิดวิญญาณ แล้วก็

วิญญาณทำให้เกิดนาม รูป พอนาม รูป ทำให้เกิดสฬายตนะ ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

อวิชชา คืออะไร ความไม่รู้ สังขาร ก็คือ การปรุงแต่ง พอไม่รู้แล้วก็ปรุงแต่ง ปรุงแต่งไป

เรื่อย สิ่งที่ได้มา ตาเห็นไม่รู้ หูฟังไม่รู้ จมูกดมไม่รู้ ลิ้นรับไม่รู้ กายสัมผัสไม่รู้ ปรุงไปเรื่อย

มันก็เลยทำให้เกิดนาม รูป สังขารก็ทำให้เกิด นาม รูป นาม รูป นี่มันเป็นอะไร ก็ตัวกูกับตัว

มึงนี่แหละ นาม รูป เค้า เรียก มึงกับกูเนี่ย เค้าเรียก นาม รูป ส่วนที่เป็นนาม ก็คือ อะไร ใจ

ส่วนที่เป็นรูป ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มือ ตีน เท้า หนัง อวัยวะทั้งหลาย เค้าเรียกว่า เป็นรูป

มีสักแต่ว่ารูป เพราะว่าเป็นแค่รูปอย่างหนึ่ง หลายสิ่งรวมเป็น 1 สิ่ง เรียกสิ่งนี้ว่า เช่นนี้ๆ

พอเกิดนาม รูปแล้ว มันก็จะต้องมีแดนต่อ มีตัวกูแล้วก็ต้องมีแดนต่อ อ้ายแดนต่อ ก็คือ ตา

เห็น หูฟัง จมูกได้ แดนต่ออะไร ต่ออารมณ์เข้ามา ตาเห็นเกิดอารมณ์ หูฟังเกิดอารมณ์

จมูกดมเกิดอารมณ์ กายสัมผัสเกิดอารมณ์ ก็เรียกว่า สฬายตนะคือ แดนต่ออารมณ์ พอมี

แดนต่ออารมณ์แล้ว มันก็มีผัสสะ สัมผัส ชอบใจ ไม่ชอบใจ ก็เกิดสัมผัสบ้าง บางทีสัมผัส

แล้วจึงจะชอบ ไม่ชอบ สัมผัสแล้วก็เกิดเวทนา สุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ชอบใจ พอ

เวทนาแล้ว ทีนี้เกิดอะไรขึ้น ต่อมา อยาก ตะกละ ต้องการ อยากไปเรื่อย พออยากแล้ว ที

นี้ทำไงต่อ ก็เกิดอุปาทาน สีเหลืองกู สีแดงกู เออ เจ้านายกู ปรองดองของกู อะไรก็ว่าไปเรื่อย

มีอุปาทาน อุปาทานแล้วก็ทำให้เกิดภพ ชาติ ตามมาด้วยพยาธิ ชรา มรณะ แล้วก็วนกลับไป

เพราะ ความไม่รู้เหมือนเดิม มันวนอยู่เนี่ย งั้น ปฏิจจสมุปบาท นี่มันต้องข้ามภพข้ามชาติ

ถึงจะรู้ไม๊ ขณะจิตหนึ่ง ลูก เกิดกระบวนการปฏิจจสมุปันธรรม ถ้าเรามีสติอย่างยิ่ง พร้อม

มูลอย่างยิ่ง เราจะเห็นขณะจิตหนึ่งของปฏิจจสมุปบาท ขณะจิตหนึ่งเนี่ย มันเกิด ดับ เกิด ดับ

จนกลาย เป็นภพเป็นชาติ เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นนินทา เป็นสรรเสริญ แต่ก็เอาล่ะ เรายังไม่รู้

ก็อย่าเพิ่ง ก็อย่างที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วบอกว่า อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ให้รู้ไว้ว่า 3 สิ่งนี้ มัน

เป็นรากฐาน รากเหง้า โคตรเหง้า บรรพบุรุษของการเกิดชาติภพ งั้น ถ้าตาเห็น หูฟัง จมูกดม

กายสัมผัส สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าดู สักแต่ว่าดม สักแต่ว่าสัมผัส มันจะเกิดชาติไม๊ เกิดภพไม๊

ไม่เกิดชาติ ไม่เกิดภพ พอไม่เกิดชาติ ไม่เกิดภพ เราก็ต้องระวังเตือนเรา ฝึกสติว่า ถึงวันนี้

เราต้องระวัง ตาเห็น ก็ อย่าให้เกิดชาติภพ หูฟังก็อย่าให้เกิดชาติภพ จมูกดมก็อย่าให้เกิด

ชาติภพ คือ ต้องเตือนเรา อยู่เฉยๆ มีอารมณ์อยู่ เกิดปรากฏ เค้าเรียกว่า เครื่องปรุงจิต ก็

ต้องดูว่า มันปรุงให้เราเกิด ภพชาติไม๊ ถ้าเกิด ก็แสดงว่า เราต้องมาอยู่ในวัฏฏะต่อไปเรื่อยๆ

งั้นก็ ครั้งสองครั้งก็ยังพอทำเนา มันก็หายไป แต่เดี๋ยวนี้มันบ่อยมาก ก็คือ อ้ายครั้งสองครั้ง

สมัยก่อนนี้ เค้ามีกิจกรรม ธุรกรรมที่จะช่วยชาติ ป้องกันชาติ เอ้า รวมกันไป แล้วพวกนี้ก็

จะมาเกิดเป็นชาตินี้ อยู่ในชาตินี้ คร่ำหวอดอยู่ในชาตินี้ ไม่ไปไหนล่ะ แต่เดี๋ยวนี้ มันบ่อยมาก

ปีหนึ่ง 3 เที่ยว 4 เที่ยว อ้ายพวกนี้มันจะต้องเป็นอะไร มันจะต้องลึกลงไปอีกล่ะ ต้อง

เป็นกิ้งกือ เป็นไส้เดือน ต้องลงมุดอยู่ใต้แผ่นดิน เพราะมันลึกไง มันลึกเยอะขึ้น ยิ่งตอนนี้มี

ค่าจ้างตาย 7 ล้าน ยิ่ง แหม ยิ่งอยากใหญ่ หลายคนอยาก ขาย มันก็ไม่ได้ ขายถั่วก็ไม่ได้

ขายข้าวก็ไม่ได้ ขายทั้งชาติยังไม่ได้ 7 ล้าน ไปดีกว่าวะ เผื่อจะ ฟลุ๊คได้ 7 ล้าน แต่ที่พูดนี่

ก็เพื่อให้ลูกหลานได้คิด ได้ปลดเปลื้องมันบ้าง อย่าไปแบกมันไว้มากนัก ก็ ธรรมะมันอยู่ใน

โลก ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเครื่องทวนกระแสโลก แต่ถ้าไปยุ่ง กับมันมากๆ เข้า

มันก็จะกลายเป็นว่า อ้ายกระแสโลกมันจะดูดเราลึกเข้าๆ จนกระทั่ง วิถี แห่งท่านผู้รู้ ดับสูญ

ไป แต่มันลึกยังไง มันก็ไม่ดับสูญหรอก เพราะว่า แม้สัตว์นรกตัวสุดท้าย ก็ยังมีสิทธิ์ตรัสรู้ใน

วิถีแห่งโพธิญาณ วิถีแห่งโพธิศรัทธา โพธิปัญญา ทุกคนมีธาตุแท้ของการตรัสรู้อยู่ ธาตุแท้

ของการบรรลุธรรม มันขึ้นอยู่กับว่า ธาตุนั้น ใครจะลึก ใครจะตื้น อ้ายบางคนฟังธรรมนิด

หน่อย ก็บรรลุธรรมได้ อ้ายบางคนฟังมา 10 ชาติ ยังไม่บรรลุ ก็ เพราะมันลึกมากไง ฟัง

10 ชาตินี่ ชาติหนึ่งก็ฟังครั้งหนึ่ง 10 ชาติก็ 10 ครั้ง เพราะ มันอยู่ลึกมาก ปกติคนถ้า

อยู่ตื้นๆ ไม่ต้องมาก แค่ฟังคนอื่นเค้าเล่าต่อๆ กันมา แล้วจิตคล้อย ตาม ก็บรรลุธรรมได้

นั่นแสดงว่า คนๆ นี้ วิถีแห่งการตรัสรู้ตื้นมาก บารมีสั่งสมอบรมมา เต็มที่ งั้น อ้ายสิ่งที่เรา

ทำกันอยู่ทุกวันนี้เนี่ย ก็เป็นการสั่งสมอบรมอย่างหนึ่งนะ ลูก ทำกุศล ก็สั่งสมอบรมอะไร

กุศล ทำอกุศล ก็สั่งสมอบรม อกุศล แล้วสั่งสมไปเรื่อยๆๆๆ มันขึ้นอยู่กับว่า เราจะสั่งสมอะไร

มากกว่า สั่งสมทอง หรือสั่งสมขี้ ถ้าสั่งสมขี้มาก ก็ธาตุแห่งการตรัสรู้ มันก็เล็กลง เรียวลง

เหมือนกับเพชรก้อนเล็กๆ ที่ตกลง ไปในหลุมขี้ลึกๆ แต่ถ้าหากว่า สั่งสมกุศลมากๆ ธาตุแห่ง

การตรัสรู้ มันก็ลอยขึ้นสูง เพชร มันก็ลอยขึ้นจากหลุมขี้ไปเรื่อยๆๆ จนไปต้องแสงอาทิตย์

แสงจันทร์ ได้รับประกายแห่ง เพชรอันงดงาม นั่นก็แสดงว่า กระบวนการตรัสรู้ ลุล่วงสำเร็จ

ไปได้ด้วยดีล่ะ งั้น แต่ละคนนี่มันจะมีสภาวะธรรมที่มันไม่เหมือนกัน แต่ส่วนหนึ่งที่เหมือน

กันก็คือ มี ความตรัสรู้ อยู่ มีธรรมชาติของการบรรลุธรรมอยู่ มีธรรมชาติของการสู่คำว่า

นิพพาน ดับ และเย็นอยู่ แต่ธรรมชาตินั้น ใครจะมาก จะน้อย จะลึก จะตื้น จะหนา จะบาง

จะใหญ่ จะยาว จะสั้น อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการของคนๆ นั้น อุปนิสัยของคนๆ นั้น

พฤติกรรมของ คนๆ นั้น วาทะกรรมของคนๆ นั้น กระบวนการมีชีวิตของคนๆ นั้นว่า ตา

เห็นรูปปรุง หูฟัง เสียงปรุง เกิดผัสสะ ตาเห็นเกิดผัสสะ เกิดผัสสะ มีเวทนา สังขารการปรุง

แต่ง สังขารนี่มัน กระโดดข้ามมาอยู่ตาเห็นได้ไม๊ โดดได้ไม๊ ถ้าไล่ปฏิจจสมุปบาทเนี่ย อ้าย

สังขารนี่มันอยู่ใน ข้อที่เท่าไหร่ ลำดับที่เท่าไหร่ ลำดับที่ 2 แต่ถ้าไล่ตาเห็นเนี่ย อ้ายตัวตา

เห็นนี่ มันอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่ ลำดับที่ 4 ที่ 5 สฬายตนะ ลำดับที่ 4 งั้น ตาเห็นรูป

เกิดการปรุง เห็นไม๊ อ้ายลำดับที่ 2 กระโดดข้ามมาอยู่ในลำดับที่ 4 ปฏิจจสมุปบาทเกิด

ขึ้นตลอดเวลา พอเกิดการปรุงแล้วก็ ตา เห็น เกิดการปรุง มีผัสสะ มีเวทนา มันก็ย้อนกลับ

ไปอีกนะ ถ้าไล่ตามลำดับก็ได้ ไล่ข้ามไป ข้ามมาก็ได้ เช่น ตาเห็น เกิดผัสสะ สัมผัส พอ

สัมผัสก็เกิดการปรุง สังขารเข้ามาปรุง ปรุง แล้วก็เห็น รับรู้ได้ เป็นเวทนา สุข ทุกข์ ไม่สุข

ไม่ทุกข์ ถ้าไม่ปรุง จะรู้ไม๊ เวทนา ไม่รู้ ลูก เห็นไม๊ สังขารกระโดดข้ามมาที่ 4 ที่ 5

กระโดดข้ามไปอีก พอเกิดเวทนาแล้วก็เกิด ความอยาก อยากมี อยากเป็น อยากเด่น อยาก

ได้ อยากดัง ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่ อยากด่น ไม่อยากได้ ไม่อยากดัง มันอยู่ในตัณหา

เสร็จแล้ว ก็ยึดถือ เป็นอุปาทาน งั้น กระบวนการนี้ ต้องตายแล้วเกิดไม๊ เห็นภาพครั้งเดียว

หูฟังเสียงครั้งเดียว จมูกดมครั้งเดียว ลิ้นรับครั้งเดียว กายสัมผัสครั้งเดียว มันเกิดกระบวน

การนี้ยาวตลอด เกิดกระบวนการนี้อยู่ตลอดเวลาทุกขณะจิต รวมแล้ว ปฏิ จจสมุปบาทมีรอบ

12 หรือที่หลวงปู่เรียกว่า รอบ 13 เพราะเติมคำว่า มรณะ พยาธิ แยกออกมาจากคำว่า

ชาติ ภพ มันก็จะวนให้ผลอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนาน ยืนหยัดอยู่ตลอด เวลา ทางตา ทางหู

ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วมันเกิดทุกขณะ ทีนี้ ถ้าเราไม่เป็นผู้ปรารถนาความ

เพียรอันแก่กล้า เป็นผู้ปรารถนาวิมุตติธรรม ความหลุด พ้น เป็นผู้ปรารถนาความสุขอัน

ยั่งยืน เป็นผู้ปรารถนานิพพาน เป็นผู้ปรารถนาการบรรลุ เค้าเรียกว่า ตัดธรรมชาติแห่งการ

ตรัสรู้เนี่ย วิถีโลกนี่ ต้องระวังที่สุด วิถีโลกทั้งหลายเนี่ย ต้องระวังที่สุด เพราะถ้าไม่ระวังมัน

ธรรมชาติแห่งการตรัสรู้ มันก็จะ หล่นลึกลงไปเรื่อยๆๆๆ จนกระทั่งถึงก้นบึ้ง เป็นสัตว์นรก

ตัวสุดท้าย แล้วไม่รู้ว่า สัตว์นรกตัว สุดท้ายนี่ จะพ้นจากนรกแต่ละขุมๆๆ ขึ้นมา ลองหลับตา

นึกดู กว่าจะลอยขึ้นมาจากขี้ก้อน สุดท้ายที่มันอยู่ใต้หลุม แล้วกว่ามันจะย่อยสลายจนกลาย

เป็นความเบาบาง จนลอยขึ้นมา อยู่ปากหลุมนี่ มันใช้เวลาเท่าไหร่ นานพอสมควร นาน

บางคนนี่นานแสนนาน นานจนยากที่จะรับรู้ได้ว่า ความนานของการ พ้นทุกข์ หรือ การ

ตรัสรู้นี่จะนานเท่าไหร่ งั้น ถ้าเรายังเป็นผู้มีนิสัยคล้อยตามสภาวะธรรมรอบกาย มี

ธรรมชาติของการ ตาเห็น หูฟัง จมูกได้ ลิ้นรับ กายสัมผัส ใจรู้อารมณ์ แล้วก็ชื่นชม ชื่น

ชอบไปเรื่อยตามกระบวนการนี้ไม่ จบสิ้น ไม่มีสิทธิ์ มันก็จะกลายเป็นเหมือนกับเพชรที่

ตกลงไปในเหว ในหุบเหวที่มีน้ำไหลเชี่ยวกราด เราก็ไม่รู้ ต้องค้นหาอีกนานกว่าจะขึ้นจาก

ปากเหวได้ แล้วยิ่งคนที่คุยอวดตัวเองว่า เป็นพระอริยะเจ้า เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้วิเศษ ถ้า

มีธรรมชาติ ตาเห็นสวย หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส ใจรู้อารมณ์

แล้วชื่นชมยินดี ไปตามกระบวนการนั้นๆ เนี่ยนะ พ้นไม๊ พ้นหลุมขี้ไม๊ ไม่พ้น ไม่พ้น อันนี้

เผอิญอาตมาไม่ได้เป็นอรหันต์นะคะ เผอิญอาตมาเป็นครูของอรหันต์ อาตมาก็เลยเล่า ให้

คุณโยมทั้งหลายได้ฟังนะคะ ว่า ธรรมชาติของคนที่มีธาตุตรัสรู้อย่างแจ่มแจ้ง ถึงกับ

ประกาศตัวเองว่า เป็นผู้พ้นแล้วซึ่งภัยแห่งวัฏฏะ จะต้องไม่มีเรื่องที่ตาเห็นแล้วเกิดสังขาร

การปรุง จะต้องไม่มีเรื่องที่หูฟังแล้วเกิดผัสสะจนเป็นเวทนา เกิดตัณหา อุปาทาน ไม่มี จะ

ต้องไม่มีจมูกดม ลิ้นรับ กายสัมผัส แล้วเกิดสักกระบวนการ ไม่มีเลย เค้ามีแต่คำว่า เห็นก็

สักแต่ว่าเห็น ฟังก็สักแต่ว่าฟัง ดมก็สักแต่ว่าดม ดูก็สักแต่ว่าดู สัมผัสก็ สักแต่ว่า สัมผัส มัน

เหมือนกับเทียนจุ่มน้ำ น้ำไม่สามารถซึมเข้าเนื้อเทียนได้ฉันใด ธรรมชาติของพระอริย เจ้า

พระผู้บรรลุธรรม ผู้วิเศษ ผู้สำเร็จพระอรหันต์ ก็เหมือนดั่งเทียนจุ่มน้ำ ที่จะไม่ซึมซับ แม้

จะอยู่ในกระแสโลก ตกอยู่ในแม่น้ำไหลตั้งแต่ต้นจนปลายสาย ต้นสายถึงปลายสาย ก็จะ

ไม่ซึมซับเอาน้ำเข้ามาในเนื้อเทียน แม้ไส้เทียนจะเปียกก็ตามที แต่เนื้อเทียนไม่มีน้ำอยู่

เพราะอณูของเนื้อเทียนมันแน่นผนึกจนกระทั่งไม่มีน้ำไหลเข้าไปได้ ซึมซับเข้าไปได้ ฉันใด

จิตของพระผู้เป็นอริยเจ้า ผู้เป็นอรหันต์ ผู้บรรลุธรรม เข้าถึงวิโมกศักดิ์ เป็นผู้หลุดพ้น

แล้วอย่างแท้เนี่ย มันเหมือนกับเพชร มันไม่มีสิ่งเจือปน เพราะมันบริสุทธิ์ด้วยธรรมชาติแท้

เพชรเม็ดหนึ่งนี่ ใช้เวลาสั่งสมนานไม๊ เพชรมันเกิดจากอะไร ลูก ถ่านหรือคาร์บอน แล้วใช้

แรงกด แรงอัด แรงกัด แรงขี่ แรงข่ม จากบรรยากาศรอบกาย ธรรมชาติรอบตัว ความ

ควบแน่นของตัวมันเอง แล้วก็ธรรมชาติที่คงทน และแร่ธาตุที่เป็น ประโยชน์ที่จะควบแน่น

ได้ ใช้เวลาอันมหาศาลนะ เป็นสิบไม๊ ร้อยปีไม๊ อุ๊ย เป็นล้านๆ ปี เป็นพันๆ ปี กว่าจะได้

เพชรมาเม็ดหนึ่ง ธรรมชาติของคนตรัสรู้ ก็เหมือนกัน จิตของผู้ตรัสรู้แล้วนี่ มันใช้กระบวน

การควบแน่น จน สกัดเอา อ้ายรูป ราคะคิ โทสะคิ โมหะคิ โลภะคิ วิตกคิ อะไรทั้งหลายออก

จนเกลี้ยงหมดแล้ว มันบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว งั้น คนที่จะเป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์เนี่ย

หลวงปู่ไม่อยาก จะคุย กูนี่ ถ้ากูอยากเป็น กูเป็นได้ไม๊ (ได้) เออ กิ๊กก๊อก ยังชั้นกิ๊กก๊อก

มันไม่รู้เป็นทำไม เป็นแล้วมันไม่เป็นยังไง เป็นแล้วมันไม่มัน ในอารมณ์ มันไม่สะใจ เป็น

แล้ว เออ มันไม่ต้องเป็นขี้ข้า ไม่ต้องทำการงาน เป็นแล้วมัน เป็นธรรมชาติ มองอะไรก็เป็น

ธรรมชาติไปเลย อันนี้ ที่นำเรื่องนี้มา ก็ไหนๆ เมื่อคืนตื่นตี 2 ก็มานั่งจารพระรุ่นสุดท้าย ก็

ควรจะมีคำสอน สุดท้ายๆ ฟังกันเอาไว้บ้าง เรียน สติ มาเยอะแล้ว ควรจะฟังเรื่องพวกนี้ได้

มากขึ้นล่ะ แล้ววันต่อๆ ไป ก็จะเอา หลักปฏิจจสมุปันธรรม มาบรรยาย เอาหลักอริยสัจ 4

มาตีแผ่ให้รู้ แล้วก็เอา หลักอภิธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน มาขยายความให้เข้าใจ พอเข้า

ใจสิ่งเหล่านี้แล้ว จะได้รู้ว่า ธรรมชาติแห่งการตรัสรู้ มันไม่ได้อยู่ไกลกับตัวเอง แต่ คนที่จะ

เรียนรู้และฟังเรื่องพวกนี้ได้อย่างแจ่มชัดนั้นน่ะ มันต้องใช้กระบวนการอะไร ที่ หลวงปู่

พยายามเพียรขัดเกลาสติมึงตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ก็เพื่อให้ถึง คำสอนสุดท้าย ในการที่

จะเรียนรู้ศึกษา แล้วคำสอนสุดท้าย เป็นคำสอนที่สามารถจะทำให้ตัวเองถึงคำว่า ธรรมชาติ

แท้แห่งการ ตรัสรู้ได้ งั้น แม้หลวงปู่จะไม่ได้เป็นผู้ตรัสรู้เองในปัจจุบันก็ตามที แต่ก็พอมี

สติปัญญาติดตามตัวมา บ้างที่จะรู้ว่า ธรรมชาติแห่งการตรัสรู้ มันคืออะไร ถึงได้กล้าบอกว่า

อ้ายพวกที่ประกาศตัวเอง คุยเขื่องว่า ตัวเองเป็นผู้มีชาติสุดท้าย ไม่เกิดแล้ว ใช่ มันเป็น

มนุษย์ชาติสุดท้าย ต่อไปเป็นเดรัจฉาน ต่อไปเป็นเดรัจฉานทุกชาติไป งั้น พวกเป็นอริยเจ้า

เป็นอะไรเนี่ย คุยทั้งนั้น เพราะอะไร ยุคนี้ มันเป็นยุคอัตรธาน 3 อย่าง มีอะไรบ้าง 1.

ปฏิเวธะอันตรธาน 2. ปฏิบัติอันตรธาน 3. ปริยัติอันตรธาน ปฏิเวธะ คือ ความสงบ

ระวังซึ่งอุปกิเลสและกองกิเลสทั้งปวง ยุคนี้มันอันตรธาน แทบจะไม่ มีหรือหาได้น้อยมาก

อ้ายที่มี เค้าก็ไม่มาประกาศโฆษณา เค้าไม่รู้จะประกาศทำไม เพราะ เห็นก็สักแต่ว่า เห็น

ฟังก็สักแต่ว่าฟัง ดูก็สักแต่ว่าดู ดมก็สักแต่ว่าดม คลำก็สักแต่ว่าคลำ แล้วจะมาประกาศเพื่อ

อะไร เหมือนกับเพชรที่มาประกาศว่า กูเป็นเพชร กูเป็นเพชร อ้าย นั่นน่ะ แท้ หรือ เก๊ เก๊

เพชรจริงๆ เค้าต้องประกาศไม๊ มีแต่คนเข้าไปหามัน ยอมที่จะตายเพื่อมัน นั่นแหละ เพชร

จริง อ้ายที่ตะโกนบอก กูเป็น เพชร กูเป็นเพชร เก๊ทั้งชาติ กูเนี่ย มือปราบเพชร กูปราบมา

หลายตัวแล้ว แต่ก็ขี้เกียจไป วุ่นวาย พักหลังนี่ มันแก่แล้วไง เขี้ยวมันชักคลอน มือไม้มัน

ชักหมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว เลย ไม่อยากจะไปปราบอะไรมากมาย แต่ก็เล่าให้ลูกหลานฟังว่า

ธรรมชาติของผู้ตรัสรู้ ไม่ได้อยู่ไกล ลูก อยู่ใกล้ๆ ตัวเรา ไม่ไกล จากตัวเรา อ้ายคนที่ตาเห็น

เกิดผัสสะ ตาเห็นรูป เกิดผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน มันจะ เกิดชาติภพไม๊ (

เกิด) แล้วมาคุยได้ไงว่า เป็นชาติสุดท้าย หูฟังเสียง เกิดผัสสะ เพราะหู ตา จมูก ลิ้น กาย

มีอยู่ในหลักอะไร สฬายตนะ คือ แดนต่ออารมณ์ แดนต่ออารมณ์ ก็คือ แดนต่ออารมณ์

และแดนต่อชาติภพ ชรา มรณะ พยาธิด้วย เพราะมันกำลังทำอารมณ์ให้เป็นอาลัย แล้วมี

อะไรๆ ในอารมณ์นั้นๆ บทโศลกเหล่านี้ หลวงปู่เขียนเมื่อ 30 ปีที่แล้ว บวชเมื่อประมาณ

ซักพรรษา 3 แล้วถ้ากูจะคุยได้บ้างว่า กูนี่เป็นผู้บรรลุธรรมตั้งแต่บวชพรรษาแรก กูคุยได้

ไม๊ ได้ กูไม่รู้จะคุยทำไม เพราะกูก็ไม่ได้บรรลุอะไร กูไม่รู้จะคุยทำไม กูเพียงแค่ศึกษาและ

เข้า ใจ เข้าใจ เข้าใกล้ เข้าถึง และเป็นผู้ปฏิบัติในธรรมนั้นอยู่เนืองๆ เท่านั้น เพราะ

ปรารถนาเพื่อจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเท่านั้นเอง ไม่ได้ปรารถนาที่จะเป็นผู้ บรรลุ

ธรรม งั้น มันต้องศึกษาให้กระจ่าง ถ่องแท้ ชัดเจน แจ่มใส เพื่อจะได้พร้อมที่จะ อธิบายให้

กับสัตว์ผู้มืดบอดทั้งหลายได้เข้าใจ ได้รู้จักตามความเป็นจริง แต่ละอะไร แต่ละอุปนิสัยของ

ตนๆ เพราะแต่ละคนฟังหลวงปู่เนี่ย ร้อยคนฟัง คนๆ เดียวพูด ฟังได้เหมือนกันหมดไม๊ จับ

ใจความได้ไม่เหมือนกัน นั่น ก็คือ อะไร ก็ขึ้นอยู่กับว่า อ้ายเพชรเม็ดนั้นน่ะ มันอยู่ลึก หรือ

อยู่ตื้น ธรรมชาติแห่งการตรัสรู้น่ะ มันอยู่ ลึกหรืออยู่ตื้น ถ้าคนที่อยู่ตื้นๆ ก็ฟังนิดหน่อย ก็

เพีงแค่คำว่า อ้าว ตาเห็นแล้วคิด เกิดชาติภพไม๊ (เกิด) หูฟังเสียงแล้วคิด เกิดชาติภพไม๊

(เกิด) จมูกดมกลิ่นแล้วคิด เกิดชาติภพไม๊ (เกิด) ถ้า เห็นสักแต่ว่าเห็น หูฟังสักแต่ว่า

ฟัง จมูกดมสักแต่ว่าดม สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส ชาติภพจะเกิดได้ไม๊ (ไม่ได้) ถ้าฟังแค่นี้

ก็บรรลุล่ะ ทิ้งได้ล่ะ เออ ถ้าอย่างนั้น กูก็ต้องระวัง ตาที่เห็น หูที่ฟัง จมูกที่ดม ลิ้น ที่สัมผัส

กายที่รับรู้ ต้องระมัดระวัง ระมัดระวังอย่างนี้ต้องมีคำว่า อะไร เข้าไป มีสติ สัมปชัญญะเข้า

ไป งั้น หลวงปู่สอนผิดไม๊ ทั้งปี ฝึกให้มึงเดินป๊อกบ้าง เพ่งความว่างบ้าง อยู่กับการเพ่ง

ปราณตัว เองบ้าง สอนผิดไม๊ (ไม่ผิด) เพราะมันเป็นการกระตุ้นให้ตัวสติมันเจริญเติบ

โตอย่างกล้าแข็ง พอฟังแล้วทีนี้ อ้ายตัวสติ เนี่ย มันเหมือนกับเครื่องกรองกากขี้ เพื่อจะดึง

เอาธรรมชาติของการตรัสรู้ให้ลอยสูงขึ้นๆๆ งั้น เราก็ต้องขยัน วิริเย ทุกขมัต เจติ คือ บุคคล

ล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร ก็ต้องขยันที่จะ ฝึก สั่งสมสติให้เยอะๆ ยุคโบราณน่ะ เค้ารอที่

จะฟังคำสอนของครูคำสอนสุดท้าย เพราะถือว่า เป็นคำสอนวิเศษ เป็นคำสอนแห่งการตรัสรู้

คำสอนสุดท้ายที่หลวงปู่อยากจะสอนพวกเรา อยากจะบอกพวกเรา ก็คือ คำสอนของการได้

ระวัง ให้มีสติระมัดระวังการสร้างชาติภพ ต้องระมัดระวังการสร้างชาติภพ จากใครสร้างให้

(ตัวเราเอง) เอ้อ ตัวเราเอง ไม่มีคนอื่นสร้างให้ แล้วอ้ายการสร้างนั้นน่ะ เป็นกรรมไม๊ (

เป็น) เราจะตั้งข้อสังเกตุได้ไม๊ว่า ในหลักปฏิจจสมุปบาท ไม่มีคำว่า กฏของกรรม หรือ

กรรม เข้า มาเลย ได้ไม๊ จริงๆ แล้ว ไม่ได้ มันคือ เรื่องเดียวกัน ลูก เพราะ ตาเห็น หูฟัง

จมูกได้ ลิ้นรับ กายสัมผัส เกิดผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เป็นกรรมไม๊ (

เป็น) เป็น มันเป็นกรรมอยู่ในตัวมันเสร็จ รวมปฏิจจสมุปันธรรม ก็คือ กรรม รวมอยู่ทั้ง

หมด เรียกมันว่า กรรม กรรม คือ ใครกระทำ เราเป็นผู้กระทำ แล้วก็แยกออกไปว่า เป็น

อดีตกรรม เป็นปัจจุบันกรรม เป็นอนาคตกรรม เป็นกุศลกรรม เป็นอกุศลกรรม ก็แยกกัน

ออกไป แต่ทั้งหมด นี่มันเกิดในขณะจิตหนึ่งเท่านั้น ลูก ขณะจิตหนึ่งที่ตาเห็น ขณะจิตหนึ่ง

ที่หูฟัง ขณะจิตหนึ่ง งั้น สติของพระอริยเจ้า นี่มันต้องเหมือนกับ มันต้องเหมือนกับอะไร

มันต้อง เหมือนกับอ้ายที่เค้าใช้จับโมเลกุลจับอะไร เครื่องรังสีสำหรับ x-ray หรือไม่ก็

เครื่อง scan หรือไม่ มันก็เหมือนกับเครื่องเตือนภัย รังสีที่แสงพุ่งออกไป แล้วใครมา

โดน แสงปุ๊บ มันก็จะร้องจี๊ดจ๊าดขึ้นมา ประมาณนั้นเลย มันจะเป็นอย่างนั้นเลย เครื่องเตือน

ภัย สติของพระอริยเจ้า ต้องควบแน่นถึงปานนี้ ตาเห็น เตือนทันที หูฟัง เตือนทันที จมูกดม

เตือนทันที ลิ้นรับรส เตือนทันที กายสัมผัส เตือนทันที เผลอไม่ได้ พอเผลอ ศัตรูเข้าใกล้

ศัตรูเข้ามาจู่โจม เข้ามาทำร้ายทำลาย นั่นคือ สติของพระอริยเจ้า เพราะงั้น อ้ายที่เป็นๆ อยู่

เนี่ย เป็นพระอริยเจ้าไม๊ หา ถ้าเล่ากันอย่างนี้แล้ว ให้เข้าใจหลักปฏิจจสมุปบาท นี่ยังไม่ได้

นับรวมถึงความเข้าใจใน ความหมายของคำว่า อริยสัจ 4 ยังไม่ได้รวมนับถึงความหมาย

ของคำว่า มรรคมีองค์ 8 ยังไม่ได้รวมนับถึง จิต เจตสิก รูป และนิพพาน เข้าไปด้วย นี่

เอาแค่พื้นๆ ในหลักปฏิจจสมุปบาท สมัยนี้ยังมีพระอริยเจ้าให้เห็นไม๊ อ้ายที่โฆษณาๆ นั่นน่ะ

เป็นตัวอะไร ตัวอะไรจ๊ะ หา อ้ายชาติสุดท้ายน่ะ ตัวอะไรจ๊ะ ตัวอะไรก็ไม่รู้จ้ะ เออ มันตัว

อะไรก็ไม่รู้ เพราะถ้าไม่เข้าใจความหมายของหลักธรรมะอัน เป็นเครื่องตรัสรู้ดังกล่าวนี้แล้ว

มันเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ แล้วพวกนี้ จะน่าสงสาร เค้าจะเป็น บุคคลที่น่าสงสาร ที่ต้องนำเรื่องนี้

มาพูดคุยให้ฟัง ก็เพราะว่าได้ชี้ให้เห็นถึงหลักธรรมอย่างชัดแจ้ง คุณชาติ หรือธรรมชาติ

แห่งการตรัสรู้ว่า มันเป็นกระบวนการที่มันคนละเรื่องกับการมีชีวิต พระอริยเจ้ามีญาติไม๊

(มี) ทุกคนในโลกใบนี้และสัตว์ผู้เกิดแก่เจ็บตาย เป็นญาติของตน พระอริยเจ้ามีชาติไม๊

ไม่มี ลูก เพราะเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ฟังก็สักแต่ว่าฟัง ดมก็สักต่ว่าดม ดูก็สักแต่ว่าดู มันมีคำว่า

สักว่า ถ้ามีชาติภพนี่ มันจะต้องมาเป็นอะไร อ้าว ชาติของกู ชาติของกู แล้วมันเกิดอุปาทาน

ไม๊ เอ้า เทียบกับหลักปฏิจจสมุปบาท ชาติกู มีอุปาทานไม๊ (มี) อ้าว มีอุปาทานแล้ว

เพราะอุปาทานทำให้เกิดชาติภพ อย่างนี้ เป็นพระอริยเจ้าได้ไม๊ ไม่ได้ เพราะอุปาทานทำให้

เกิดชาติภพในหลักปฏิจจสมุปบาท พระศาสดาทรงสอนไว้ชัด งั้น พระอริยเจ้ามีคำว่า ชาติ

ไทยไม๊ (ไม่มี) ประเทศไทย (ไม่มี) คนไทย (ไม่มี) แผ่นดินไทย (ไม่มี)

เลือดเนื้อเชื้อไทย (ไม่มี) ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย พระอริยเจ้าร้องเพลง

นี้ได้ไม๊ (ไม่ได้) ไม่ได้ ให้จำไว้ว่า พระอริยเจ้าร้องเพลงนี้ไม่ได้ เพราะพระอริยเจ้า เห็น

สักแต่ว่าเห็น ดูสัก แต่ว่าดู ดมสักแต่ว่าดม มีความเป็นอยู่และรู้สึกเหมือนดั่งแผ่นดิน แผ่น

ดินนี่ มันเลือกทวีปไหนบ้างไม๊ ไม่เลือก แผ่นดิน ก็คือแผ่นดิน ใครจะเหยียบ จะย่ำ จะ ถีบ

จะถอง จะเยี่ยวรด จะชี้รด จะ ตอกเสาเข็มอัดใส่ แผ่นดินไม่โวย ไม่วาย ไม่รู้สึกอะไร นั่น

แหละ คือ พระอริยเจ้า นี่ หลวงปู่ไม่ได้พูดเอง พระสารีบุตรท่านยืนยันอารมณ์เช่นนี้แก่

พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้ มีพระภาคเจ้าจึงพยากรณ์ว่า ท่านเป็นอรหันต์ ว่าท่านได้บรรลุ

อรหันต์แล้ว เพราะอารมณ์ เช่นนี้ปรากฏขึ้นแก่พระสารีบุตร เพราะฉะนั้น จึงอยากจะบอก

ท่านทั้งหลายว่า เป็นอรหันต์นี่ ไม่ได้เป็นยาก มันไม่ได้เป็นยาก มันแค่ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น

ดูก็สักแต่ว่าดู ดมก็สักแต่ว่าดม สัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส รู้ก็สักแต่ ว่ารู้ แต่ไม่มีสังขาร คือ

การปรุงแต่ง ไม่มีเวทนาจากการดู การเห็น การฟัง คือไม่มีความ รู้สึกใดๆ แล้วไม่มี

อุปาทาน คือ ไม่ยึดถือในสิ่งที่เห็น ที่ดู ที่ดม ที่ฟัง ที่สัมผัส เท่านี้น่ะ เป็น แล้ว เริ่มตั้งแต่โสดา

สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ก็ถามว่า ทำไมต้องมีระดับขั้น ก็เพราะว่า สภาพจิตมันเกิดสติได้

ทุกขณะ ดูสักแต่ว่าดู ได้ทุกขณะไม๊ เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ทุกขณะไม๊ ดมสักแต่ว่าดม ได้ทุก

ขณะไม๊ ถ้าไม่ทุกขณะ มันมีแว๊บๆ ออกมาบ้าง มันมีพ่อกู มันมีแม่กู มันมีญาติกู บ้าง

อย่างนี้เป็นต้น พระอริยเจ้า ถามว่า มีพ่อแม่ไม๊ เอ้า พระอริยเจ้าไม่ทิ้งคุณธรรม งั้นพ่อแม่

ของพระอริยเจ้า ก็คือ ผู้ที่ต้องทำหน้าที่ พระสารี บุตร ท่านได้รับการยกย่องว่า เป็นลูกยอด

กตัญญู ท่านทำหน้าที่ เมื่อเช้านี้หลวงปู่สอนใน โบสถ์ อ้ายลูกหลานที่มันมาจากเมืองนอก ว่า

ความรักนี่ มันมี 2 อย่างนะ ลูก รักโดย อารมณ์ กับ รักโดยความรับผิดชอบ รักโดย

อารมณ์นี่ หมดอารมณ์ก็หมดรัก แต่รักโดยความรับผิดชอบเนี่ย มันต้องใส่อารมณ์ ไม๊ (

ไม่ต้อง) มันมีความรับผิดชอบ เหมือนดั่งที่พ่อแม่รักลูก ต้องรับผิดชอบจนกระทั่งพ่อแม่

ตาย ก็ยังรัก อยู่ไม๊ รักอยู่ เหมือนกัน พระอริยเจ้ามีความศรัทธาปสาทะ มีความซื่อตรงต่อ

สัจธรรมของพระผู้ มีพระภาคเจ้า หรือพระธรรมอันเป็นเครื่องบริสุทธิ์บริบูรณ์ อันวิเศษสูง

สุด ท่านทำภาระ กรรมตามหน้าที่ที่มี เช่น ท่านไปโปรดมารดาของท่าน นางสารี ก็ไปตาม

อะไร ด้วยอารมณ์ หรือด้วยหน้าที่ ด้วยหน้าที่ หน้าที่ของบุตรที่จะพึงมีต่อบิดาและมารดา

ท่านมีอารมณ์ไม๊ ไม่ต้อง ไม่ได้ใส่อารมณ์ ไม่ได้ใส่อารมณ์เข้าไป งั้น อย่าลืมว่า พระอริย

เจ้า มีพ่อมีแม่ไม๊ มี แต่มีโดยหน้าที่ พระอริยเจ้ามีพี่มีน้องไม๊ มี แต่มีโดยหน้าที่ แต่เป็น

หน้าที่ที่ต้องไม่มีอารมณ์ ถ้ามีอารมณ์ มันก็จะทำอารมณ์ให้เป็น อาลัยๆ แล้วจะเกิดอะไร

ในอารมณ์ต่อมา อย่างนั้น ก็ไม่ใช่พระอริยเจ้า งั้น เข้าใจ อย่าให้สับสน ลูก เราเป็นผู้แสวง

หาพระอริยเจ้าทั้งนั้นแหละ ที่นั่งๆ อยู่นี่ กูว่า มึง ไปหลายอาจารย์แล้ว ไปมาหลายอาจารย์

แล้ว แล้วแต่ละอาจารย์ ก็เป็นอริยะทั้งนั้น เป็น ระยะๆ บ้าง บางที แต่ก็ไม่รู้เลยว่า

ธรรมชาติแท้ของพระอริยะ คือ อะไร วันนี้ ก็พูดถึงธรรมชาติแท้ของพระอริยให้รู้ว่า

ธรรมชาติแท้ของพระอริยะ ต้องมีสภาวะ เหมือนดั่งแผ่นดิน สติของพระอริยะแต่ละท่าน

พระโสดาระดับหนึ่ง พระสกิทาคาระดับหนึ่ง พระอนาคาระดับหนึ่ง แล้วพระอรหันต์อีก

ระดับหนึ่ง แต่ละระดับ มันมีอายุขัย มีวัย มี กระบวนการ แล้วก็มีพัฒนาการ มีอายุขัย ก็คือ

สติของพระโสดา ท่านก็มีขีดจำกัดในระดับที่อายุขัยของท่าน คุณธรรมของ ท่าน ความรู้

ความสามารถของท่าน ไม่ได้มีมากไปกว่านี้ แล้วพระโสดาก็ไม่สามารถมีสติ ให้ยิ่งใหญ่

ข้ามภพไปถึงกระบวนการพระสกิทาคา หรือ อนาคา พระสกิทาคาก็ไม่สามารถข้ามไป

อนาคา พระอนาคาก็ไม่สามารถข้ามไปถึงอรหันต์ ก็มีสติเฉพาะๆ ยกเว้นจะพัฒนา พัฒนา

จากตัวเองที่มีทุนเดิมนั้นให้ก้าวข้ามล่วงไป อย่างนี้ น่ะ ได้ แต่ต่างจากสติพระโพธิสัตว์เจ้า

เพราะสติพระโพธิสัตว์เจ้า ต้องข้ามล่วงพระโสดา สกิทาคา อนาคา แล้วก็อรหันต์ ด้วยเหตุผล

เพราะพระโพธิสัตว์เจ้าต้องพัฒนาเป็นอะไร เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่ กิ๊กก๊อกได้ไม๊

ไม่ได้ รู้น้อยก็ไม่ได้ รู้น้อยจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ยังไง ก็ต้องรู้ให้มาก รู้ให้มากก็ต้องทำไง

ต้องขวนขวาย ต้องศึกษา ต้องสั่งสม ต้องอบรม ต้องทดลอง พิสูจน์ เพื่อให้ได้สั่งสมคุณธรรม

คุณประโยชน์ ได้สร้างสรรคุณประโยชน์ คุณค่าให้เกิดขึ้นในหมู่สรรพสัตว์ให้ได้มากมูล

มากขึ้น งั้น หลวงปู่จึงพูดเสมอว่า อ้ายพวกนี้ มันกระดูกคนละเบอร์ มันคนละชั้น อาตมาชั้น

ปู๊น มึง มันชั้นปู๊น ลง คนละชั้น แต่เล่าให้ลูกหลานฟังได้รู้ว่า ทำใจให้มันนิ่งๆ บ้าง แล้วไม่จำ

เป็นต้องมานั่งหลับตาภาวนา สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องฝึกและสั่งสมอบรมไว้ ไม่ใช่แก้วแหวน

เงินทอง เพชรนิลจินดา หรือ ความรู้ความสามารถใดๆ นอกเหนือจาก มีสติและปัญญา

เพราะสติและปัญญาเท่านั้น เป็นคุณชาติของเครื่องตรัสรู้ ถ้าไม่มีสติ ไม่มีปัญญา เราจะรู้ไม๊

ว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น พอเห็นปุ๊บนี่ เออ สีอะไร สวยไม๊ หน้าตาทำไมมันขี้เหร่อย่างนี้ เอ้ย

อ้ายนั่น ทำไมมันสวยเหลือเกินล่ะ เนี่ย มองเห็นแบบนี้ เรียกว่า เห็นอย่างมีสติปัญญาไม๊

ไม่มี ถ้าเห็นแบบมีสติปัญญา ก็ต้อง เห็นก็สักแต่ว่าเห็น หรือ จะใช้ปัญญาวิจารณ์ พิจารณา

ก็ว่า สิ่งที่เห็นเป็นรูป หรือ เป็นนาม เอ้า เป็นรูปนามก็ยาก อย่างนั้น สิ่งที่เห็น มันคงทนไม๊

มัน ตั้งอยู่ได้นานขนาดไหน มันมีตัวตนจริงๆ หรือไม่ มันอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัยจน

กระทั่งเราตายนี่ มันดำรงอยู่หรือเปล่า สิ่งที่เห็นนี่ มันมีอายุขัยไม๊ มันมีวันเศร้าหมอง เสื่อม

โทรมไม๊ มันมีปฏิกูลพึงรังเกียจอยู่มากหรือไม่ แล้วมันจะต้องบริหารจัดการมันอยู่ตลอด

เวลาหรือเปล่า ที่จะรักษาคุณค่าของมันเอาไว้ สิ่งที่เห็นนี่มันเป็นภาระ มันเป็นธุระ หรือมัน

เป็นเครื่องบำรุงบำเรอ แล้วมันอยู่กับเรา เป็นเพื่อนเราให้กับเราอยู่ตลอด เราไม่ต้องให้

อะไรมันเลย ถ้าอย่างนี้ ก็แสดงว่า เห็นอย่างเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น อย่างมีปัญญา วิจารณ์ พิจารณา

คำว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น นั้น มันต้องผ่านกระบวนการนี้มาก่อนแล้วนะ ลูก ต้องวิจารณ์

อย่างนี้มาก่อน ส่วนคำว่า อ้ายที่เห็นแล้วไม่ต้องคิด เห็นแล้วก็ไม่ต้องดู เห็นแล้วไม่ต้องดม

อะไรเนี่ย นั่นมันแสดงว่า ท่านผู้นั้นเป็นผู้รู้แล้ว เป็นผู้รู้อันเลิศแล้ว อีกประเภทหนึ่ง ลูก มัน

ไม่คิดอะไร ไม่รู้อะไร ไม่ดูอะไร ไม่ดมอะไร เอาเป็นว่า เป็นพระ ภควัมปติ ปิดหู ปิดตา

ปิดปาก ปิดตูด ปิดจมูก ปิดหมด กูไม่รู้อะไร อย่างนี้ พระพุทธเจ้า ท่านใช้เรียกพวก

ประเภทนี้ว่า วิกขัมภนปหานะ คือ การข่มใจไว้ด้วยอารมณ์ฌาน พวกนี้ยืนยาวไม๊ ฌานนี่

มันมีหมดไม๊ หมด ลูก ฌานมันเหมือนถ่านไฟฉาย จำไว้เลย ปัญญานี่มันเหมือนแสงสว่าง

ของพระอาทิตย์ แต่ฌานนี่มันเหมือนกับกระบอกไฟฉาย ที่ ต้องใช้ถ่านไฟฉาย ถ่าน

ไฟฉายมันมีหมดไม๊ มีเสื่อมไม๊ พระอาทิตย์เนี่ย มันหมดหรือเปล่า (ไม่หมด) เออ

หลวงปู่จึงเขียนบทโศลกไว้เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ลูกรัก พระอาทิตย์สว่างกลางวัน พระ

จันทร์สว่างกลางคืน คนมีปัญญาสว่างได้ทั้งคืนทั้งวัน 30 กว่าปีที่แล้ว ตอนกูอยู่ถ้ำรังเสือ

หลวงปู่โต๊ะท่านอยู่ถ้ำสิงโตทอง อยู่ใกล้ๆ กัน กูอยู่ถ้ำ รังเสือ เค้าอยู่ถ้ำสิงโตทอง กูอยู่ในถ้ำ

เขียนบทโศลก อยู่ที่นั่นเขียนบทโศลกได้ตั้งหลายร้อย บท เพราะไม่มีใครมายุ่มย่ามกูด้วย

กูก็ได้พิจารณาธรรม วิจารณ์ธรรม ตรึกในธรรมอยู่ ตลอดเวลา บางวันก็ได้ 2-3 บท

บางวันก็ได้เป็น 10 บท บางวันไม่ได้ซักบท เพราะ อยากอยู่ในอารมณ์นิ่งๆ เฉยๆ

อารมณ์อย่างนั้น ลักษณะอย่างนั้น คนเค้าอยากจะมาใส่บาตรกูจะตายไป เพราะอารมณ์

อย่างนั้น มันเป็นอารมณ์สมมุติสงฆ์ มันเป็นสภาวะแห่งความสมมุติว่า ท่านผู้นี้ ยังเป็น

สมมุติอยู่นะ ขณะเสวยอยู่ในอารมณ์แห่งการรู้ธรรม เข้าใจธรรม อรรถ พยัญชนะ ก็ยัง

เป็นสมมุติ เพราะอะไร มันไม่ยั่งยืนไง ลูก มันไม่ถาวร มันไม่ตลอดกาลตลอดสมัย เพราะ

ถ้ากูยั่งยืน กูคงไม่ไปลานพระบรมรูปหรอก กูคงไม่เป็นพระเสื้อเหลือง เสื้อสารพัดสีอะไรที่

ชาวบ้านเค้าเรียกขาน จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่ ” แต่กูก็จะไปล่ะ “แต่ทำหน้าที่ มนุษย์ควรจะ

ต้องกตัญญู” อืม พอก่อน ลูก เดี๋ยวจะได้ไปทานข้าว เดี๋ยวฟังใหม่ แต่อยากจะบอกว่า ที่

พูดมาทั้งหมดน่ะ เป็นเพียงแค่อะไร หลักการ ทฤษฎี กระบวนการ ส่วนผู้ที่จะเดินเข้าไป

พร้อมหรือยัง แข็ง แรงหรือยัง มีกำลังวังชามากหรือยัง ตรงนี้สำคัญที่สุด อริยสัจ 4 ทุกข์

สมุทัย นิโรธ มรรค ปฏิจจสมุปันธรรม มหาสติปัฏฐาน กรรมฐาน 40 หรือ จิต เจตสิก รูป

นิพพาน โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ ทั้งหมดน่ะ เป็นหลักการ เป็นวิถี หรือ หนทาง ที่

พระพุทธเจ้าชี้ ว่าเดินไปแต่ละขั้นๆ มี กระบวนการแบบนี้ๆ แต่อ้ายคนเดินน่ะ มันมีขาไม๊

ขา 2 ข้าง มันแข็งแรงไม๊ แล้วตัวมันตั้งตรงไม๊ 2 มือ มันทำได้จริงหรือไม่ 1 หัว คิด

เป็นหรือเปล่า 1 ใจ มีอานุภาพเข้มแข็งขนาดไหน เราไม่เคยถามตัวเราเองเรื่องอย่างนี้ แต่

เราชอบจะแสวงหาว่า ธรรมะอยู่ไหน ใครแสดง ธรรมะดี ที่จริง ธรรมะไม่จำเป็นต้องหา

ใครแสดง ดูในตำราแล้วหยิบมาอ่าน ก็เป็นธรรมะแล้ว ถ้าเรา ต้องการทฤษฎีที่ว่าด้วยการ

ตรัสรู้ เพราะในพระไตรปิฎกก็มี หนังสือก็หลากหลาย แต่ถามว่า ใครจะเป็นผู้เข้าไปตรัสรู้

เราไม่เคยถามอย่างนี้ งั้น ถ้ารู้จักถามอย่างนี้ เราก็จะรู้ว่า เราไม่พร้อมเลย เราไม่มีคุณสมบัติ

เลย ทั้งๆ ที่ธรรมชาติ แห่งการตรัสรู้ มีอยู่กับทุกคน แต่บางคนมันลึกจนกระทั่งอยู่นรกขุม

สุดท้าย แต่บางคนมันก็ ตื้นๆ แค่ปากแค่จมูก แค่เห็นพยับแดด แค่ฟังใครแสดงธรรม ก็สา

มารถปิ๊ง บรรลุธรรมได้ งั้น หน้าที่ของเราก็คือ ต้องพยายามพัฒนาตัวเอง งั้น หลวงปู่จึง

สอนลูกหลานเสมอว่า มนุษย์มันเป็นกระบวนการของการพัฒนา ถ้าเมื่อไรที่ มนุษย์ปฏิเสธ

การพัฒนา นั่นคือ เดรัจฉาน ไม่ใช่มนุษย์ แล้วมันพัฒนาจากอะไร พัฒนาจากความไม่รู้

ให้มันเป็นความรู้ พัฒนาจากไม่แข็งแรง ให้มันแข็งแรง พัฒนาจากอ่อนแอ ให้มาเข้มแข็ง

พัฒนาจากคนไร้สติ ให้มีสติ คนไม่มีปัญญา ก็ให้มีปัญญา คนไม่มีสำนึก ก็ให้รู้จักสำนึก คน

คิดอ่านไม่ออก ก็ให้คิดอ่านเป็น คือ มันต้องพัฒนาทุกกระบวนการ ถ้าเมื่อใดที่เราปฏิเสธ

การพัฒนา เราก็จะเป็นมนุษย์ที่ดีไม่ได้ งั้น วิถีแห่งการพัฒนาก็มีหลากหลายมาก มีเริ่ม

ตั้งแต่ชั้น ออกจากท้องแม่ สั่งสอนอบรมไป เรื่อย กระบวนการออกจากท้องแม่ สั่ง

สอนอบรมก็ นิมิตตัง สาธุรู ปานัง กตัญญู กตเวทิตา นี่คือกระบวนการพัฒนาการมนุษย์ จาก

นิมิตตัง สาธุรู ปานัง กตัญญู กตเวทิตา ก็หิริ ความละอายชั่ว โอตัปปะ ความเกรงกลัว บาป

นี่ก็พัฒนามนุษย์ในระดับอีกขั้นหนึ่ง จากหิริ ความละอายชั่ว โอตัปปะ เกรงกลัวบาป ก็มา

ขันติ ความอดทน โสรัจจะ ความ เสงี่ยม ก็พัฒนาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง จากขันติ ความอดทน

โสรัจจะ ความเสงี่ยม ก็พัฒนามาสู่คำว่า ศีล รักษากาย วาจา ให้เรียบ ร้อย แล้วก็พัฒนาขึ้น

ไปสู่กระบวนการสมาธิ ตั้งใจมั่น ในขณะที่อยู่ในกระบวนการพัฒนาเรื่องศีล ก็มีการบริจาค

การเสียสละ การให้ทาน เรียกว่า ทำตนให้เป็นคนที่มีประโยชน์ทั้งตนและคนรอบข้าง ให้

ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท พัฒนาอย่างนี้ยังไม่หยุด ต้องพัฒนาจนจิตเราแน่วแน่ และ

นิ่งสงบไม่ไหวติงต่อเครื่องเร้าสิ่ง ล่อทั้งหลาย นั่นเรียกว่า สมาธิ แล้วก็พัฒนาไปสู่กระบวน

การสุดท้าย คือ มีปัญญา พอมีปัญญาแล้วทีนี้ หรือ เป็นเครื่องพร้อมเตรียมปัญญาแล้ว เดิน

ไปในทาง ในวิถี ทั้งหมดนี่ เป็นกระบวนการ เดินไปในวิถี วิถีของอะไร ก็มาเรียนรู้ศึกษา

ต่อไปว่า หลักปฏิจจสมุปบาท เริ่มต้นจาก อวิชชาความไม่รู้ ทีนี้ เรารู้แล้ว ก็จะไม่มีอวิชชา

พอรู้แล้วก็ไม่มีอวิชชา อวิชชา ไม่มี ก็ไม่ต้องมีสังขาร การปรุงแต่งก็ไม่มี วิญญาณการรับรู้

ก็รู้เฉพาะแค่บริสุทธิ์กับไม่ บริสุทธิ์ คือ รู้จริงกับรู้เท็จ แล้วก็ไม่ปรุงแต่งใดๆ พอมีวิญญาณ

ก็มีรูปมีนาม ก็มีร่างกาย ก็ เป็นร่างกายที่สักแต่ว่าทำหน้าที่ พอมีร่าง มีกายแล้ว มันก็จะมี

สภาวะที่ติดตามต่อมา คือ ตา หู จมูก ลิ้น ก็ รู้ก็สักแต่ว่ารู้ ดูก็สักแต่ว่าดู ดมก็สักแต่ว่าดม

สัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส มีคำว่า สักแต่ว่า เฉยๆ เวทนามันก็ไม่เกิด ตัณหาก็ไม่ตาม อุปาทาน

ก็ไม่ผูก ชาติภพก็ไม่ปรากฏ อย่างนั้นแหละ จึงทำลายบ่วงแห่งวัฏฏะได้อย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์

งั้น ปัญหามันไม่ใช่อยู่ตรงนี้ ลูก แต่ที่พูดมานี่ ปลายเหตุทั้งนั้น แต่อ้ายต้นเหตุก็คือ มึง

พิการหรือเปล่า มึงแข็งแรงหรือยัง มึง เป็นมนุษย์สมบูรณ์ไม๊ เป็นคนที่ผ่านกระบวนการ

พัฒนามาแล้วหรือยัง ถ้ายัง กลับไปเริ่มต้นใหม่ งั้น หลายปีที่สอนมาเนี่ย สอนให้พัฒนา

อย่างแข็งแรง ส่วนการบรรลุธรรมไม่ต้องสอน ลูก ไม่ต้องสอน เพราะทุกคนมีธรรมชาติ

แห่งการตรัสรู้อยู่ในตัวแล้ว แค่เพียงมีปัญญา มีใครบ้างไม่อยากพ้นทุกข์ ยกมือซิ ทุกคน

อยากพ้นทุกข์ไม๊ อยาก ขอเพียงมีปัญญา เดี๋ยวก็ขวนขวายหาทางพ้นทุกข์เอง แต่ปัญหา

สำคัญของเราเวลานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงหลักธรรม เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า อย่ามามัว

จมปลักกับการไม่พัฒนา ต้องพัฒนา แล้วพัฒนาแล้วคำตอบสุดท้าย มันคืออะไร ก็ ดับแล้ว

เย็น โดยวิถีทางแห่งมรรคาปฏิปทา อย่างนี้เป็นต้น เอาล่ะ รับเหยื่อเฮอะ ได้เวลาแล้ว ไปหา

ข้าวกิน ลูก อย่าทะเลาะกันนะ อยู่กันด้วยการอย่า สร้างชาติภพ ถ้ามันจะเป็นชาติ เป็นภพ ก็

เป็นกุศลชาติ กุศลภพ อย่าไปสร้างทุกขคติภพ ทุกขคติชาติ นั่นหมายถึงว่า เราต้องมี

พัฒนาการทางจิตวิญญาณในอารมณ์อยู่เนืองๆ เอ้า กราบพระ อะระหัง สัมมา (กราบ)

............ กินข้าว แล้วเดี๋ยวมาฟังธรรมต่อจนถึงบ่าย 2 โมง เดี๋ยวจะขอ

ตัวไปปลงผม วันนี้วันโกน (กราบ)
3 มิ ย 2555    13.55 น. ถอดซีดี ธรรมะต้นเดือน ก่อนวันวิสาขบูชา

โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
• ส่วนสำคัญของการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าสูงสุดก็คือ ทำความเห็น

ของตนให้ตรงและถูกต้อง
• ต้องเห็นให้ตรงและถูกต้องตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงให้ได้
• กรรม เป็นตัวชักนำให้ธาตุทั้ง 4 มีความบิดเบี้ยว ผิดเพี้ยน เปลี่ยนแปลง

หรือปรับปรุง...
• ใครมีวิชามาก การปรุงก็ดีมาก
• อวิชชามันแต่งได้แม้กระทั่งอารมณ์และจิตวิญญาณนะ
• จิตของพระอริยเจ้า เหมือนดั่งแผ่นดิน จิตของผู้เห็นตามสภาพธรรมที่

ปรากฏตามความเป็นจริง เหมือนดั่งแผ่นดิน
• วัฏฏะหยุดหมุนทันที การวนรอบก็จะหยุดนิ่ง มันจะเกิดอันตรธานในชาติ

ภพ
• ไม่โง่ก็ไม่เกิด โง่จึงเกิด
• คนดี ต้องได้ดีจากการทำดี ไม่ใช่ฉลองดี
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน รวมทั้งท่านผู้ชม ผู้รับชมรายการ

ปุจฉา-วิสัชนา และพิธีกร คุณก้อง ผู้ดำเนินรายการ
วันนี้ เป็นวันโกนซึ่งพรุ่งนี้จะเป็นวันพระใหญ่ วันพระ วันธรรมะสวนะ แล้วก็เป็นวันพิเศษๆ

ของคนพิเศษๆ ที่ต้องการคุณวิเศษ เป็นวันที่ตรงกับวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้

อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตรงกับวันประสูตร แล้วก็ตรงกับวันปรินิพพาน อีกทั้งเค้าถือกันว่า

พุทธชยันตี วันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสรู้ครบ 2600 ปี มีการเรียกขานในวันนี้

ต่างๆ หลายชื่อ หนึ่งในหลายชื่อนั้น ก็คือ สัมมาชยันตี
สัมมาชยันตี ถ้าว่ากันจริงๆ แล้วก็เริ่มต้นจากสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาสังกัปปะ สัมมา

วายามะ สัมมาอาชีวะ ข้อสำคัญของสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ ข้อสำคัญของสัมมาปฏิบัติ

ก็คือ สัมมาทิฏฐิ คือ การทำความเห็นของตนให้ตรงและถูกต้องตามสภาพที่ปรากฏ แล้วก็

อยู่ในวงเล็บว่า (ตามความเป็นจริง)
ถ้าเมื่อไรที่เรายังเห็นไม่ตรง ไม่ถูกต้องตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ก็ถือว่า

เราไม่ใช่เป็นผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่ได้เป็นผู้ยืนอยู่ในมรรคาปฏิปทา หรือ สัมมาปฏิปทา เรา

บิดเบี้ยวไป เราเฉียงไป เราเกเรไป เราผิดพลาดไป แล้วเราก็ไม่ได้ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ กลาย

เป็นผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิ
ส่วนสำคัญของการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าสูงสุดก็คือ การทำความเห็นของตนให้ตรง

และถูกต้อง พอเห็นตรงและถูกต้อง แล้วจึงจะดำริที่จะทำถูก พูดถูก คิดถูก สืบไป เรียกว่า

ความดำริชอบข้อที่ 2 แล้วความเห็นของตนให้ตรงและถูกต้องเนี่ย มันเป็นหัวใจสำคัญ

เพราะเป็นวิถีแห่งปัญญา
คนที่ต้องการพ้นทุกข์ ต้องการจะพ้นจากภัยแห่งวัฏฏะ ต้องการพ้นจากความทรมานทาง

สัตว์นรก ทางเปรต ทางอสุรกาย ต้องการจะพ้นจากอำนาจบ่วงของมาร ต้องการจะพ้นแล้ว

ซึ่งอุปกิเลสทั้งปวง ต้องการจะพ้นจากเครื่องร้อยรัดทั้งสิ้น ต้องเห็นให้ตรงและถูกต้องตาม

สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงให้ได้
ก็อย่างที่บอกว่า เมื่อมีความเห็นที่ตรงและถูกต้องตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง

มันก็สามารถจะพ้นจากทุกข์ พ้นจากบ่วงแห่งมาร พ้นจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง พ้นจากภัย

แห่งวัฏฏะ หรือการวนรอบ แล้วก็พ้นจากอุปกิเลสทั้งสิ้นทั้งหลาย รวมทั้ง พ้นจากอำนาจ

ของกรรมด้วย
มันจะพ้นอย่างนี้ได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องมีปัญญามากๆ มีสติมากๆ แล้วก็พยายามจะใช้สติ

ปัญญาที่มากนั้นในการที่จะไม่สร้างชาติภพ
พูดให้มันรวบรัด ตัดใจความก็คือ ทั้งวันทุกวัน ทั้งเวลาทุกเวลา ทั้งนาทีทุกนาที ทั้งชั่วโมง

ทุกชั่วโมง ทั้งปีทุกปี ทั้งชีวิตทุกชีวิต จะต้อง ไม่ยืนอยู่ ไม่นั่งอยู่ ไม่เดินอยู่ ไม่นอนอยู่ เพื่อ

จะสร้างชาติภพใหม่ เราอยู่ในภพเก่า ภพภูมิเก่า ก็ถือว่า ใช้หนี้เก่าให้มันหมดไป แต่อย่า

ไปสร้างชาติภพภูมิใหม่
แล้วกระบวนการสร้างชาติภพภูมิใหม่เนี่ย มันก็เริ่มต้นมาจากตั้งแต่ ความไม่รู้ ที่เรียกว่า

อวิชชา
อ้ายความไม่รู้ ที่เรียกว่า อวิชชา มันก็คือ ความโง่ พอคนเราโง่ ไม่ฉลาด เรียกว่า ไม่มี

สัมมาทิฏฐิ            มีแต่มิจฉาทิฏฐิ มันก็จะเห็นไม่ตรง ไม่ถูกต้องตามสภาพธรรมที่

ปรากฏตามความเป็นจริง
เห็นอย่างไรว่าที่ ไม่ตรง ไม่ถูกต้องตามสภาพธรรมที่ปรากฏที่ตามความเป็นจริง  ก็เช่น

เห็นว่า โลกเที่ยง อย่างนี้เป็นต้น เห็นว่า โลกมันไม่เป็นทุกข์ มีแต่สุข เห็นว่า สุขนี้แสวงหา

ได้โดยการแลกสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุข
ในมุมกลับกันของคนที่มีความเห็นตรงถูกต้องตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง

เค้าจะเห็นว่า โลกนี้ไม่เที่ยง เค้าจะเห็นว่า โลกนี้ไม่มีตัวตน โลกนี้มันประกอบจากหลายสิ่ง

รวมเป็นหนึ่งสิ่ง ชื่อสิ่งนี้ แล้วเมื่อสิ่งนี้ถึงอายุขัยของมัน หลายสิ่งก็แตกแยกออกไป ไม่

เหลือสักสรรพสิ่ง แม้ที่สุด ในร่างกายเรา ตัวเรา ชีวิตเรา ก็เหมือนกัน มีหลายสิ่งรวมกัน
หลายสิ่งรวมกันมีอะไรบ้าง ก็เห็นง่ายๆ ก็มี กระดูก ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง นี่เรียกว่า หลาย

ส่วนในของเป็นธาตุดิน ที่จริงแล้ว พระองค์ทรงชี้นำให้เราเห็นถึงมหาภูตรูป หรือ ธาตุทั้ง 4
สรรพสิ่งในโลกประกอบไปด้วย 4 ธาตุ มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม แล้วก็ธาตุไฟ 4 ธาตุ

นี้ประชุมพร้อมกัน เรียกสิ่งนั้นๆ เป็นชื่อนี้ ประเภทนี้ ทำหน้าที่เช่นนี้ มีเผ่าพันธุ์ เชื้อสาย

แบบนี้ เพราะมาจากธาตุทั้ง 4 ส่วนจะเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง แก้ไข หรือว่า ไม่เหมือน

ผิดแผกแตกต่างออกไปตามเหตุตามปัจจัย ตามอุตุคือที่เกิด ตามอากาศ ตามที่อยู่อาศัย

หรือสถานที่ เผ่าพันธุ์ เชื้อชาติใดๆ ก็ด้วยอาศัย อำนาจกรรม
กรรม เป็นตัวชักนำธาตุทั้ง 4 ให้มีความบิดเบี้ยว ผิดเพี้ยน เปลี่ยนแปลง หรือปรับปรุง

หรือว่า แก้ไข หรือไม่ก็ดีกว่า เลวกว่า หยาบกว่า ดำกว่า ขาวกว่า สูงกว่า สั้นกว่า ยาวกว่า

ใหญ่กว่า อันนี้มันอยู่ในอำนาจของกรรม
แต่รวมแล้ว ไม่ว่าจะดี ยาว ใหญ่ ดำ ด่าง ขาว เรียว สูง ยาว สีใดๆ สุดท้ายมาจบลงตรงคำว่า

คือ ดิน น้ำ ลม แล้วก็ไฟ แล้วอะไรมันทำให้ ดิน น้ำ ลม ไฟ ผิดแผกแตกต่างไปมากมายถึง

ปานนี้ มีทั้งหญิง มีทั้งชาย มีทั้งกะเทย มีทั้งไม่กะเทย มีครบ 32 ไม่ครบ 32 มีตัวผู้ มี

ตัวเมีย มีพ่อ มีแม่ มีญาติ มีผู้ใหญ่ มีคนแก่ มีเด็ก มีปานกลาง มีผู้เฒ่า มีวัยชรา มีผิวดำ มี

ผิวขาว มีผิวแทน ผิวเหลือง ผิวกระดำกระด่าง ทั้งๆ ที่มันมาจากธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม

ไฟ
ทั้งหมด นี่มันมาจากกรรม
กรรม เป็นตัวชี้นำให้มันเป็นอย่างนี้ เช่นนี้ พันธุ์นี้ รูปร่างนี้ เผ่าพันธุ์นี้ เชื้อสายนี้ อายุขัยนี้

ชีวิตแบบนี้ สันดานเช่นนี้ นิสัยแบบนี้
งั้น ชีวิตความเป็นอยู่ เป็นอย่างนี้ กรรมเป็นตัวนำไป
แล้วใครเป็นคนทำกรรม
ถ้ามีปัญญา ก็จะรู้ว่า กรรมนี้ไม่มีใครทำ เราเป็นผู้กระทำกรรมเอง ซึ่งมันมีอดีตกรรม

ปัจจุบันกรรม แล้วก็อนาคตกรรม
อดีตกรรม เค้าก็เรียกว่า ชนกกรรม  คือ กรรมแต่งให้เกิด อย่างนี้ส่วนนี้ เรียกว่า เป็นอดีต

กรรม ชนกกรรม เป็นอดีตกรรม คือกรรมแต่งให้เกิด
อุปถัมภกกรรม ก็คือ ปัจจุบันกรรม กรรมที่หล่อเลี้ยงในปัจจุบัน เรียกว่า อุปถัมภกกรรม
อุปรียกรรม กับ อุปฆาตกรรม คือ กรรมของอนาคตกรรม
รวมแล้ว เรามีอดีตกรรม ปัจจุบันกรรม แล้วก็อนาคตกรรม เป็นตัวครอบงำให้เรามีเพศภาวะ

สถานะ นิสัย ความเป็นอยู่ จิตวิญญาณ แตกต่างกัน ทั้งๆที่เราก็มาจาก ดิน น้ำ ลม แล้วก็ไฟ

ไม่ได้ผิดแผกกันเลย เหมือนกันไปหมด นิโกร ฝรั่ง ลาว พม่า เขมร มอญ หน้าเหลี่ยม หน้า

กลม หน้ายาว หน้าสั้น สีแดง สีขาว มันมาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งนั้น ไม่ได้มาจากที่อื่นเลย

แต่ที่มันเป็นหน้าเหลี่ยม หน้ากลม มันอยู่ได้ มันอยู่ไม่ได้ มันสีเหลือง สีแดง สีเขียว สีขาว

เพราะอะไร
เพราะ กรรม มันพาให้เป็นไป กรรม มันทำให้เป็นไป
แล้วใครเป็นคนทำกรรม
ก็ตัวเรา
แล้วที่ทำกรรมอย่างนี้ เพราะด้วยเหตุปัจจัยอะไร
ก็ย้ายเข้าไปดู ในความหมายของคำว่า ปฏิจจสมุปบาท
ใครเป็นคนทำให้เกิดกรรมอย่างนี้ ทั้งๆ ที่คนทุกคน สัตว์ทุกประเภทปรารถนาสุข ปฏิเสธ

ทุกข์ แต่ทำไมมันได้ทุกข์กลับมาเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เจ้าบ้านเจ้าเรือน อยู่เนืองนิจ
ก็เพราะเราไม่รู้ไง เราไม่เข้าใจ เราไม่รู้ เราโง่เขลา เราไม่เข้าใจ เพราะความไม่รู้ โง่เขลา ไม่

เข้าใจเนี่ย พระพุทธเจ้า เรียกสิ่งนี้ว่า อวิชชา
หัวข้อที่ 1 ในปฏิจจสมุปันธรรม คือ ความไม่รู้ เรียกว่า อวิชชา
เพราะอวิชชา มันทำให้เกิดการปรุงแต่ง ที่เรียกว่า สังขาร
สังขาร คือการปรุงแต่ง มันปรุงแต่งทั้งภายใน แล้วก็ปรุงแต่งทั้งภายนอก เหมือนกับที่เรา

ไม่รู้ แล้วเราก็ทำอดีตกรรม ปัจจุบันกรรม อนาคตกรรม
สังขารที่มีการปรุงแต่งในอดีต ก็กลายเป็น ชนกกรรม
สังขารที่มีการปรุงแต่งในปัจจุบัน ก็กลายเป็น อุปถัมภกกรรม
สังขารที่มีการปรุงแต่งในอนาคต ก็กลายเป็น อนาคตกรรมนั่นแหละ เค้าเรียกว่า อุปรียกรรม

แล้วก็อุปฆาตกรรม
เราไม่พ้น ทั้งหมดนี่มันมาจากการปรุงแต่ง แล้วปรุงแต่งให้เป็นอะไรล่ะ  อ้าว ทั้งๆที่มันมา

จาก ดิน น้ำ ลม ไฟ มันยังปรุงแต่งให้เป็นอะไร อ้าว เป็นผู้หญิงไง เป็นผู้ชายไง
ไม่รู้ แล้วปรุงแต่งให้เป็นผู้หญิง ให้เป็นผู้ชาย จะให้หล่อหน่อยก็ไม่ได้ ดูซิ มันยังมีปานตรง

หน้า จะให้สวยหน่อยก็ไม่ได้ ดูซิ ตาเสือกเหล่อีกต่างหาก แหม มันปรุงมา ทั้งทีทำไมไม่ให้

เป็นมนุษย์สมบูรณ์วะ ดูเดินขาบิดขาเบี้ยว เดินหน้าเหี่ยว ลากพื้น อะไรอย่างนี้ เอ๊ ทำไมหัว

มันถึงล้าน ผมมันถึงหงอก ทำไมปรุงแต่งให้ดีกว่านี้ไม่ได้
ก็โง่ไง โง่แล้วไม่รู้ไง ไม่รู้ ก็เลยทำผิดไง มันเหมือนกับช่างพิมพ์ที่แกะพิมพ์ผิด เพราะไม่รู้

มันจึงมีช่างพิมพ์หลายระดับ ระดับประถม ระดับมัธยม ระดับเตรียมอุดม แล้วก็ระดับ

อนุบาล อ้ายช่างพิมพ์ระดับประถท ก็อกๆ แก็ะๆ พอให้เห็นภาพล่ะ
นี่ตัวอะไรหว่า
ควายครับ
อ้อ มึงต้องบอกกูนะ ไม่งั้น กูไม่รู้ว่า นี่เป็นควาย
เพราะมันทำได้แค่นี้ไง มันคิดของมันว่า นี่คือควาย แต่ดูยังไงมันก็ไม่เหมือนควาย เลยต้อง

ถามมันว่า ตัวอะไรหว่า
ควายครับ
อ้อ ถึงรู้ว่า นี่ควายหน้าตาเป็นอย่างนี้เว้ย พุงลากดิน หน้าบู้ทู่ แขนขาลีบ หัวโตๆ ตูดโด่งๆ

แล้วก็มีเขี้ยวด้วย เนี่ย ควายของมึง หน้าตาเป็นอย่างนี้ ก็มันเป็นช่างพิมพ์ระดับนี้ มันแค่

ชั้นประถม ชั้นอนุบาล ก็ทำได้แค่นี้
อ้ายช่างระดับมัธยม เตรียมอุดม มันก็ทำให้เห็น เออ ควายนี่ดูท่า ทะมัดทะแมง พอมอง

เห็นปุ๊บ เป็นควายทันที เออ นี่ แสดงว่า มึงมีดี คนมีฝีมือ
กรรม มันเป็นอย่างนี้แหละ ลูก มันตกแต่ง ทั้งๆ ที่มันเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกันหมด

อ้ายช่างประถมก็เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ อ้ายช่างมัธยมก็ ดิน น้ำ ลมไฟ อ้ายช่างเตรียมอุดมก็

ดิน น้ำ ลมไฟ อ้ายช่างอนุบาลก็ ดิน น้ำ ลม ไฟ
แต่เพราะอวิชชามันต่างกัน สังขารการปรุงแตกต่างกัน มันก็เลยปรุงแต่งให้อ้ายสิ่งนี้ ช่าง

เหล่านี้ ที่มาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกัน แต่ฝีมือไม่เท่ากัน กระบวนการเรียนรู้ ทักษะ

การศึกษาวิชาการ สติปัญญา และความละเอียด หยาบถี่ แตกต่างกัน เนี่ยเค้าเรียกว่า สังขาร

การปรุงแต่ง จากอำนาจของอะไร
อวิชชา และ กรรม
มาถึงช่างชั้นเตรียมอุดม ควายกูนี่ งามมาก อ้วนพี ดูดีเหลือเกิน น่าจะแตกต่างจากช่าง

มัธยมกับช่างประถม เพราะอะไร
มีปัญญามากขึ้น มีวิจิตรพิสดารในการปรุงแต่งได้เยอะขึ้น
เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราปฏิเสธปฏิจจสมุปันธรรมไม่ได้ นอกจากปฏิเสธปฏิจจสมุปบาท

ไม่ได้แล้ว เรายังปฏิเสธความจริงในหลักของสัมมาทิฏฐิไม่ได้
คนมีสัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นตรงถูกต้อง ต้องเห็นให้ชัดด้วยเหตุปัจจัยพวกนี้มันเกิดจาก

อะไร ที่กล่าวมา เราปฏิเสธปฏิจจสมุปบาทในข้ออวิชชา ความโง่ ไม่ได้ ก็ทุกคนโง่ แล้วเรา

ก็โง่ แล้วเราจึงมีสังขารการปรุงแต่ง
พอมีสังขารการปรุงแต่ง วิญญาณการรับรู้ก็ปรากฏ รู้เฉยๆ ยังไม่มีอะไร แต่เป็นตัวรู้ชัด รู้

แจ้ง รู้จริง นั้นว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง ขึ้นอยู่กับรากเหง้าของสังขาร การปรุง
แล้วรากเหง้าสังขาร การปรุง คืออะไร
อวิชชา ความไม่รู้
อ้ายอวิชชานี่ แต่ละคน มันมาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกัน แต่มีอวิชชาต่างกันไม๊
ต่างกัน ไม่เท่ากัน นี่มีอยู่ในหัวข้อสัมมาทิฏฐิ คือ เห็นตรง ถูกต้องตามสภาพธรรมที่ปรากฏ
ทีนี้ มันก็ไม่ต้องว่ากันล่ะ ไม่ต้องมาทะเลาะกัน พอเห็นตรงถูกต้องอย่างนี้ เอ อ้ายนี่ ทำไม

มันชั่วได้ใจ เอ๊ย ทำไมอ้ายนั่นมันดีขนาด ดีเหลือหลาย  เออ อ้ายนี่ ทำไมมันโง่ได้เรื่องเลยวะ

อ้ายนั่นทำไมมันเลวสิ้นดี ทำไมหน้าอ้ายนั่น มันเหลี่ยมเหมือนเกี๊ยกเลยวะ เอ๋อ อ้ายนี่ทำไม

หน้ามันกลมเหลือเกินวะ
เพราะมีอวิชชา คือ ต้นตำหรับเดิมไม่เท่ากันไงด้วยเหตุปัจจัย เมื่อมันไม่เท่ากันแล้ว มันก็

จะมีที่มาที่ไปแตกต่างกัน สังขารการปรุงแต่งก็จะแตกต่างกัน งั้น คำว่า สังขารในที่นี้เนี่ย

เพราะอวิชชา จึงทำให้เกิดสังขาร เพราะฉะนั้น ใครมีวิชามาก การปรุงก็ดีมาก ใครมีวิชาน้อย

การปรุงก็น้อย
เพราะอวิชชา ทำให้เกิดสังขาร สังขาร คือ การปรุงแต่ง
เพราะสังขารมี จึงทำให้เกิดวิญญาณ การรับรู้ ก็จะแจ่มชัดแตกต่างกันอีกบ่ะ มันขึ้นอยู่กับ

ต้นตอ คือ โง่หรือฉลาด อวิชชามากหรือน้อย วิญญาณการรับรู้ก็จะแตกต่างกัน คนๆ หนึ่ง

พูด อีกพันคนฟัง แต่รู้เท่ากันไม๊
ไม่เท่ากัน
ถามว่า มันขึ้นอยู่กับอะไร
ขึ้นอยู่กับวิชา การปรุงแต่ง แล้วทำให้เกิดวิญญาณการรับรู้ จึงแตกต่างกัน เห็นไม๊ มันสืบ

เนื่องกัน มันไม่มีโอกาสที่จะบิดเบี้ยวไปไหนเลย
พอมีวิญญาณการรับรู้แตกต่างกัน ก็เลยเป็นที่ว่า ทำไมมึงโง่นักวะ ทำไมมึงฉลาดเหลือเกิน

วะ ก็เพราะว่า อวิชชามันแตกต่างกัน ทั้งที่มันก็มาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกันแหละ
ทีนี้ พอมีวิญญาณการรับรู้แล้ว ก็จัดเป็นกระบวนการสร้างให้เกิดรูปนาม อ้ายรูปนามเนี่ย ก็

คือ มีอะไรบ้าง ก็มี กายกับใจ ใจเป็นนาม กายเป็นรูป ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว
ย้อนกลับไปว่า ทำไมคนสวย คนหล่อ คนรวย อีกคนทำไมมันซวย ซ๊วย ซวย ซวยทุกถิ่น

ทุกที่ ทุกทาง ซวยทุกซอก ทุกมุม ซวยสนิท ซวยหมดจด ซวยเหลือเฟือ ซวยร่ำรวยอะไร

ได้ขนาดนี้ มันซวย ซ๊วย ซวย เหตุผลก็เพราะ มันมาจากอะไร
(อวิชชา)
เอ๊อ ดินเหมือนกัน ลูก น้ำเหมือนกัน อ้ายคนหล่อมีดินไม๊
(มี)
อ้ายคนสวยมีดินไม๊ (มี) คนซวยมีดินไม๊ (มี)
เออ เหมือนกัน ดินเหมือนกัน แต่ทำไมมันแตกต่างกัน
อ้าว ก็ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกิด อวิชชาก็แตกต่างกัน สังขารก็ปรุงมาไม่เหมือนกัน

วิญญาณการรับรู้ก็หยาบละเอียดแตกต่างกัน มาถึงพอจะมีศักดิ์ มีรูปร่างกับเค้าบ้าง มีหน้า

ตากับเค้าบ้าง มีตัวตนบ้าง มันก็เลยไม่เหมือนกันไง เพราะมันไม่เหมือนกัน แม่พิมพ์มัน

มาแตกต่างกัน ก็ไม่เหมือนกันอย่างนี้แหละ
พอมีรูปไม่เหมือน มีนามเหมือนไม๊ ใจเหมือนไม๊
ใจก็ไม่เหมือน
อะไรเป็นองค์ประกอบของใจ
จำอารมณ์ รู้อารมณ์ คิดอารมณ์ และรับอารมณ์
อ้ายคนมีอวิชชา เวลามันรับเนี่ย เลือกไม๊
ไม่เลือก ถ้ามันรับล่ะ กูเอาหมด แล้วมีพื้นฐานของการรับมาจากโลภะมูลจิต โมหะมูลจิต ยิ่ง

แล้วใหญ่เลย ขี้มันก็รับ ขอให้กูได้รับเถอะ เพราะถือว่า กูเป็นผู้ได้ คิดแบบคนโง่ๆ คิดน่ะ
เพราะอวิชชามันแต่งได้แม้กระทั่งอารมณ์และจิตวิญญาณนะ สังขารนี่มันปรุงทั้งภายใน

และภายนอก เมื่อกี้บอกแล้วไงว่า สังขารมันปรุงได้ทั้งภายในและภายนอก เมื่อมันปรุง

แต่งแม้กระทั่งองค์ประกอบของจิต รับ จำ คิด รู้ ก็แตกต่างกัน
รับ จำ คิด รู้ พอแตกต่างกันแล้ว ทีนี้ มันก็จะเป็นที่ชี้แหละ อ้ายตัวนี้จะชี้แหละ ธาตุรู้ของ

คนแต่ละคนจึงแตกต่างกัน
ธาตุรู้ของคนบางคนก็อยู่นู่น บนเศียร บนเกศ บนกระหม่อม
อ้ายธาตุรู้ของคนบางคน มันอยู่ใต้ฝ่าตีน ใต้ฝ่าเท้า
อ้ายธาตุรู้ของคนบางคน มันลึกกว่าใต้ฝ่าเท้า ลงไปอเวจี มันลึกลงไปในใต้แผ่นดิน กว่ามัน

จะขึ้นมาอยู่ฝ่าเท้า ฝ่าตีน ขึ้นมาหัวเข่า หน้าแข้ง สะดือ จนหัว ใช้เวลานานหลายอสงไขย

แสนกัปป์ ทั้งที่มันก็มาจากต้นขั้วเหมือนกัน ไม่ได้แตกต่างกัน
ทั้งหมดเนี่ย เป็นสัมมาทิฏฐิ เห็นตรง ถูกต้อง ตามสภาพธรรมที่ปรากฏ ตามความเป็นจริง
เอ้า เมื่อมีรูป มีนาม คือมีกายกับใจ แล้วมันก็ต้องมีอายตนะ การรับรู้ ตาเหมือนกัน หูมีเท่า

กัน คล้ายกัน ใครมีหู 3 หูบ้าง ตาใครมี 4 ตาบ้าง
มีเท่ากัน เพราะมันมาจากแม่พิมพ์ก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก มันก็ดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกัน

จะแตกต่างกันตรงที่กรรมมันทำให้ตามันมีบ้าง ไม่มีบ้าง ก็สุดแท้แต่ ขึ้นอยู่กับโง่มาก หรือ

ฉลาดมาก
คนเกิดมา ตาดี ก็แสดงว่า ฝึกตามาดี ฝึกตาเห็นรูป ก็ไม่ติดในรูป ตาก็แจ่มใส ตลอด
คนเกิดมา หูดี ก็แสดงว่า ฝึกหูมาดี ฟังแต่เสียงมงคล อัปมงคลปิดหู ไม่ฟัง ประสาทหูมันก็

เลยทะลุทะลวงไปยังชั้นพรหม ฟังเสียงแบบไหนได้
อ้ายคนฝึกหูมาไม่ค่อยดี มึงว่าอะไรกูวะ คอยจะตะแคงหูฟัง มึงนินทาอะไรกูวะ อ้ายเสียง

อัปรีย์ล่ะ แหม ฟังดีนัก เฮ้ย ๆไปฟังเค้าหน่อย เค้ากำลังพูดเรื่องอะไร อือ มันกำลังด่า มันเลย
อีกข้างหนึ่งพระเทศน์ อื๊อ รำคาญ บ่นเหลือเกิน เออ ไม่เข้าหู แต่อ้ายเสียงด่า เสียงก่นสาป

แช่งของชาวบ้าน ฟังแล้วมัน ฟังแล้วมันสะใจมาก เสียงนินทาชาวบ้าน
อ้ายพวกนี้ เกิดไปภพชาติต่อๆ ไป มันแต่งมาแบบนี้ไง พอมันแต่งมาแบบนี้ อ้ายสังขาร

การปรุง มันมาจากอวิชชา ต้นรากเหง้า มันก็ส่งผลไปถึงรูปนามด้วย ส่งผลไปถึงวิญญาณ

ส่งผลไปถึงสฬายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
งั้น อ้ายคนที่ซ่านหาแต่อกุศลเสพ ทางหู ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันจะ

ออกมา ดีไม๊
ไม่ดี ลูก
ก็เพราะมันเสพแต่ของไม่ดี แล้วประสาทมันก็จะไม่ดีตามไปด้วยไง ถ้าหากว่า เสพแต่ของ

ดีๆ หูมันก็โปร่ง ตามันก็ใส สมองมันก็ไปไกล ความคิดก้าวอ่านใดๆ มันก็ทะลุทะลาย

สำเร็จประโยชน์
แต่ถ้าวันทั้งวัน ไม่ได้ดูอะไร เน่าสนิท พอ 2 ทุ่ม ก็มารอดูหน้าอ้ายจอสี่เหลี่ยม มาแล้ว

พระเอกหวานใจกู เอาล่ะ วันนี้จะได้ตบอิจฉาไม๊วะ อะไร ดูอยู่อย่างนั้นแหละ ทีพระเทศน์

ล่ะไม่ยอมเปิด พอเจอพระ อย่างกับผีเลย กดรีโมทจมมิดเลย เออ เจอละคร เจอพระเอกน้ำ

เน่าล่ะ โอ้โห ถ่างตาดู อ้ายพวกนี้น่ะ อย่ามาบ่นว่า ตาฟาง ตาฝ้า
อ้าว จริ๊ง เพราะมันฝึกตามาแบบนี้ ให้ดูแต่ของไม่ดี ของไม่ดีนี่ มันแสลงตาไม๊ ลูก
แสลงตา แสลงใจ แสลงประสาท แสลงอารมณ์ แสลงพฤติกรรม แสลงชีวิต แสลงความเป็น

อยู่ แสลงการกระทำ มันแสลงไปหมด เหมือนกับคนชอบกินเหล้า ทั้งที่รู้ว่ามันแสลง ก็ยัง

กินน่ะ ชอบเล่นการพนัน ก็นั่นแหละ เค้าเรียกพวกอะไร พวกที่เหมือนกับดอกบัวใต้โคลน

ตม มันพัฒนายาก ชอบเห็นของผิดเป็นถูก แล้วจะมาบอกว่า สัมมาทิฏฐิได้ไม๊พวกนี้
ไม่ได้ เป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ แม้จะประกาศให้คนเค้ารู้ทั้งโคตร ทั้งเหง้าว่า ชาวเรา คือ พุทธ

บริษัท มันก็ไม่มีสิทธิ์ได้ยี่ห้อพุทธ เพราะเหตุผลว่า ยังทำความเห็นของตนไม่ตรงและไม่

ถูกต้องตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง แล้วจะมาอวดอ้าง คุยอ้าง แล้วไป

ประกาศโฆษณา หรือว่า เฉลิมฉลองพุทธชยันตี ไม่มีสิทธิ์ ไม่ได้อะไร ก็ได้แต่กากเดน

และสัญลักษณ์เฉยๆ
กลับมาดูใหม่ ว่าสฬายตนะ คือ สิ่งที่ปรากฏทาง ตาก็ตาม หูก็ตาม จมูกก็ตาม ลิ้นก็ตาม กาย

และใจก็ตาม ถ้ามันปรากฏขึ้นมาแล้ว รู้ไม่ชัดตามความเป็นจริง แยกแยะไม่ได้ระหว่างขี้

กับทอง ระหว่างเพชรกับพลอย ระหว่างดีกับชั่ว ดำกับขาว ถูกกับผิด แสดงว่า เรายังจะต้อง

มีวัฏฏะ เพราะเมื่อผัสสะมาปรากฏต่อมา พอมีสฬายตนะ คือ แดนต่ออารมณ์ที่เรียกว่า ตา

หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เกิดผัสสะ คือ การสัมผัส ตาเห็นของชอบ ชอบ ตาเห็นของซวย ซวย

ชอบ ซวย ตาเห็นของดี ชม ตาเห็นของสวย ยินดี ตาเห็นของไม่ดี ไม่ชอบใจ
ทั้งหมดเนี่ย เกิดมาจากผัสสะ ผัสสะแล้วอ้ายชอบไม่ชอบ กลายเป็น เวทนา
พอชอบขึ้นมา ก็มีความอยากได้
อยากได้ไม๊  เจอของชอบแล้ว อยากได้ไม๊
อยากได้ ก็เป็นตัณหา
พอมีตัณหา คือ ความอยาก มันก็เกิดอุปาทาน ความยึดถือ
เอาล่ะ ทีนี้ มึงได้เกิดอีกชาติหนึ่งแล้ว ชาติภพได้เกิดล่ะ อยากได้อะไร เอ้า อยากได้วัวเค้า ก็

ได้ไปเกิดเป็นวัว เอ้า อยากได้ควาย ก็ได้เกิดเป็นควาย อยากได้ลูกเค้า ก็ได้ไปเกิดเป็นลูก

แต่ลูกอะไรก็ไม่รู้ ลูกบอลล์ หรือ ลูกอ้ายกอล์ฟ สารพัดลูกนั่นแหละ
ก็อยากได้ไง ก็ตัณหาความทะยานอยาก
เพราะตัณหา ความทะยานอยาก จึงเกิดอุปาทาน ความยึดถือ
เพราะอุปาทาน ความยึดถือเกิด จึงเกิด ชาติ ภพ
เพราะชาติภพเกิด จึงเกิด ชรา พยาธิ และ มรณะ
เห็นไม๊ว่า ปฏิจจสมุปันธรรมเนี่ย มันเกิดในขณะจิตเดียวที่อยากได้ เกิดในขณะจิตเดียวที่

ตาเห็น หูฟัง จมูกได้ ลิ้นรับ กายสัมผัส มันไม่ได้เกิดเป็นชาติ เป็นปี เป็นเดือน เป็นวัน แต่

เกิดขณะจิตหนึ่ง
ขณะจิตหนึ่งที่เราความอยากได้ ขณะจิตหนึ่งที่เราเห็นแล้วโกรธ ขณะจิตหนึ่งที่ฟัง แล้วชอบ

ขณะจิตหนึ่งที่สัมผัส แล้วชม ขณะจิตหนึ่งที่ดม แล้วรู้สึกพึงพอใจ ขณะจิตหนึ่งที่ลิ้มรส แล้ว

ถูกปาก ถูกคอ ถูกใจเหลือเกิน
มีชาติมีภพไม๊
เกิดทันที เพราะมีตัณหา ก็ต้องมีอุปาทาน ความยึดถือ
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงสอนพวกเราให้รู้ว่า เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ดูก็สักแต่ว่าดู ดมก็สักแต่ว่าดม

คลำก็สักแต่ว่าคลำ สัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส
คลำ เอ๊ นี่มันอะไรหว่า
เอ้อ เท่าไหร่หว่า ถาม เท่าไหร่นี่ เกิดไม๊
เกิดแล้ว
เพราะงั้น ถ้า เห็นสักแต่ว่าเห็น ดูสักแต่ว่าดู ดมสักแต่ว่าดม ชมไม่มี
หลวงปู่จึงเขียนบทโศลกไว้เมื่อ 20 กว่าปี ไม่ใช่ 30 ปี เพราะบทนี้ เขียนหลังสุด
ลูกรัก คนจริงไม่ไหวติงต่อคำชม ไม่เยินยอนิยมต่อคำนินทา คนๆ นั้น ดีจริงๆ
นั่นคือ แผ่นดิน จิตของพระอริยเจ้า เหมือนดั่งแผ่นดิน จิตของผู้เห็นตามสภาพธรรมที่

ปรากฏตามความเป็นจริง เหมือนดั่งแผ่นดิน เราจะเหยียบ จะย่ำ จะถุ่ย จะถม จะทำลาย จะ

เคาะ จะตี จะแทง จะศอก จะถอง จะกระทืบ จะเยี่ยวรด ขี้รด แผ่นดินก็ไม่โวยวาย
วัฏฏะหยุดหมุนทันที การวนรอบก็จะหยุดนิ่ง มันจะเกิดอันตรธานในชาติภพ คือ ภพก็

อันตรธาน ชาติก็อันตรธาน เพราะมันไม่มีเครื่องสืบต่อไง อวิชชาก็ไม่มี เพราะมันรู้แล้ว

สังขารการปรุงก็ไม่ปรากฏ วิญญาณการรับรู้ก็แจ่มชัด
เมื่อวิญญาณการรับรู้แจ่มชัด สภาวะธรรมต่อมา รูปและนาม ก็จะปรุงอย่างดี หรือไม่ก็จะ

เกิดในที่ดี หรือ ถ้าจะต้องเกิด ก็เกิดในที่ดี หรือถ้าไม่งั้น ก็ไม่มีเหตุปัจจัยให้เกิด เพราะไม่มี

อวิชชา คือ ดิน
อวิชชา นี่เปรียบเหมือนดินอุดมนะ ลูก ตัณหาและอุปาทาน มันเหมือนเมล็ดพืชที่หว่านไป

ในดินอุดม ถ้าหว่านเมล็ดพืชลงในพื้นถนน มันขึ้นได้ไม๊
ไม่ได้
หว่านไปในอากาศก็ขึ้นไม่ได้ เมื่อมันไม่มีพื้นถนน ไม่มีดินอุดมให้เป็นที่เพาะปลูก มันก็ไม่

มีเมล็ดพืชเกิด ฉันใด ไม่มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ชาติ ภพ มันจะเกิดได้จากใคร
สรุปง่ายๆ พูดเป็นภาษาไทยชาวบ้าน ไม่โง่ก็ไม่เกิด โง่จึงเกิด
แล้วโง่ แล้วเกิดอะไร เกิดทุกอย่างที่อยากให้เกิด เกิดราคะ เกิดโทสะ เกิดโมหะ เกิดตัณหา

เกิดอุปาทาน เกิดชาติภพ เกิดชรา มรณะ พยาธิ เกิดทุกสิ่ง เกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดบุญ เกิดบาป

เกิดตัวกู ตัวมีง เกิดพ่อมึง พ่อกู เกิดสีแดง สีขาว สีเหลือง เกิดหน้าเหลี่ยม หน้ากลม สารพัด

เกิด เกิดหมด มันเกิดทุกสรรพสิ่ง มาจากคำว่า อวิชชา
ทั้งหมด นี่เป็นกรรมไม๊
ใครทำ
เราเอง
เมื่อเราเป็นคนทำกรรมเอง มันมาจากสาเหตุปัจจัยของการที่ไม่มีสัมมาทิฏฐิ
นี่แค่ สัมมาทิฏฐินะ ลูก
ยังไม่ได้พูดถึงคำว่า ดำริชอบ ดำริที่จะออกจากความผิดพลาดและความโง่เขลา เจรจาชอบ

เพียรชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ ยังไม่ได้พูดถึง สติชอบ สมาธิชอบ ยังไม่ได้พูดถึง

แค่คำว่า สัมมาทิฏฐิ ก็ยิ่งใหญ่มโหฬารแล้ว
งั้น ลูกหลานทั้งหลายที่จะไปเฉลิมฉลองพุทธชยันตี หรือ ท่านทั้งหลายที่กำลังคิดว่า จะทำ

พิธีนู้นพิธีนี้ จะเฉลิมฉลองพุทธชยันตี
ถามกลับไปว่า เรามีอะไรไปฉลอง
ผยุงคนอ่อนแอ คนเปลี้ย ไร้แขนขา ไร้สมอง ไร้สติปัญญา ไปฉลอง
ปกติการเฉลิมฉลอง นี่มันต้องมีชัยชนะ เราชนะอะไรมาบ้าง เราได้มีชัยชนะกับอะไรมา

บ้างในชีวิตเรา ชนะอวิชชา ชนะสังขารการปรุง ชนะวิญญาณการรับรู้ หรือ ชนะรูปนาม คือ

กายกับใจเราแล้ว ชนะ ตา หู จมูก ลิ้น  สิ่งที่ตาเห็น หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูก

ต้องสัมผัส ใจรับรู้อารมณ์ เอาชนะมันได้บ้างหรือยัง มีผัสสะ แล้วมันเกิดสุข ทุกข์ เวทนา

ตามมา อยากได้นู่น อยากได้นี่ มีตัณหาตามมา ชนะมันบ้างหรือยัง แล้วไปยึดถือเป็นตัวกู

ของกู จะมีอะไรจะชนะ ก็เดี๋ยวก็ไปผุดอีกแล้ว ไปเกิดอีกแล้ว เกิดเป็นดอกเห็ด แล้วมีอะไร

ไปฉลอง
ปกติ การเฉลิมฉลอง มันต้องประสบความสำเร็จ
สำเร็จอะไร ถามจริงๆ เถอะ พวกมึงสำเร็จอะไร มึงสำเร็จอะไร มึงมีอะไรมาสำเร็จ
สำเร็จอวิชชา
ก็ถึงได้บอกไงว่า ฉลองน่ะ ดี แต่เป็นดีแค่สัญลักษณ์ ยังไม่ได้ดีถึงดี แล้วก็ดีจริงๆ ที่พึงดี ได้ดี
คนดี ต้องได้ดีจากการทำดี ไม่ใช่ฉลองดี
งั้น ถ้าจะให้หลวงปู่ชวนคนทำการเฉลิมฉลอง ต้องถามกลับไปว่า
เอาคนพิการมาฉลองอะไร เอาคนอ่อนแอมาฉลองอะไร เอาคนขี้แพ้มาฉลองอะไร เอาคน

ป้อแป้มาฉลองอะไร เอาคนมีสัมมาทิฏฐิมาฉลอง หรือมิจฉาทิฏฐิมาฉลอง มีแต่ความเห็น

ผิดตามสภาพธรรมที่ปรากฏ เพราะไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง เห็นว่า ตัวกู ของกู มันกลาย

เป็นเห็นโลกเที่ยงไปแล้ว มันก็เห็นผิดจากทำนองคลองธรรม ไม่ถูกต้องตามทำนองคลอง

ธรรม แล้วจะมาฉลองอะไร
เลยอยากจะฝากท่านที่รักทั้งหลายว่า ถ้าเข้าถึงวิถีแห่งพุทธิปัญญาอย่างชัดแจ้งแล้ว เราก็จะรู้

ว่า เรากำลังจะหลอกชาวบ้าน หลอกพระพุทธเจ้า แล้วก็หลอกตัวเอง
แต่เอาล่ะ เราชอบที่จะทำสัญลักษณ์ให้มันปรากฏ เพราะมันเป็นเชิงพาณิชย์ เชิงเชิญชวน

โฆษณาชวนเชื่อ หรือ เชิญอะไรก็แล้วแต่เถอะ ที่จะทำให้คนมาเชื่อ แล้วถือว่า ความเชื่อ

เป็นเรื่องพัฒนาตนในเบื้องต้น หรือขั้นต่อๆ ไป ก็ตามที
แต่เราเชื่อแบบนี้มากี่ร้อยกี่พันปีล่ะ กี่ชาติกี่ภพล่ะ ก็ไม่เห็นได้ดีอะไรซักทีเลย อ้ายความ

เชื่อแบบนี้
ทำไมไม่ทำความเชื่อให้มันเป็นตัวเป็นตน เป็นที่พึ่งพาอาศัย จนจับต้องลูบคลำเป็นรูปธรรม

ตายแล้วได้พึ่งสิ่งนั้นได้ นั่นแหละ เค้าเรียกว่า ผู้เข้าถึงชัยชนะแห่งการควรการเฉลิมฉลอง
เมื่อครู่นี้ ฟังแล้วเข้าใจไม๊
หา เข้าใจไม๊ อีดิน เข้าใจไม๊ อ้ายน้ำ เข้าใจไม๊ อ้ายลม เข้าใจไม๊ นางไฟ
เข้าใจไม๊
(เข้าใจค่ะ)
เออ พอมีชื่อเข้าก็ลืมอีดิน อีน้ำ อ้ายลม อ้ายไฟ ที่จริง มันไม่ควรจะต้องมีชื่ออะไร เรียก อีดิน

อ้ายดิน อีน้ำ อ้ายน้ำ อีลม อ้ายลม นางไฟ อ้ายไฟ แล้วมันจะได้เข้าใจว่า เออ นี่กูมันแค่ ดิน

น้ำ ลม ไฟ ไม่ได้มีอะไร กูไม่ได้หน้าเหลี่ยม หน้ากลม กูไม่มีอะไรกับเค้าทั้งนั้น กูมี ดิน น้ำ

ลม ไฟ อย่างเดียว
พอเข้าใจความหมายนี้แล้ว เราก็จะรู้ไปถึงกลับไปถึงธรรมชาติเดิมของตนเอง แล้วเราจะได้

ไม่ต้องปรุงให้ดินมันเป็นของวิเศษ น้ำเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ลมเป็นของมีกำลัง ไฟเป็นของ

ทุรนทุรายเร้าร้อน เพราะสุดท้าย ไม่ว่า ดินก็ตาม น้ำก็ตาม ลมก็ตาม ไฟก็ตาม ถ้าขาดเหตุ

ปัจจัยในการประชุม
นั่นแหละ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวดิน น้ำ ลม ไฟ ไปให้เกาะกลุ่มรวมกัน
อะไร
อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม
มันเป็นเหมือนเครื่องเชื่อมสัมพันธ์ระหว่าง ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้กลายเป็นมึง เป็นกู เป็นคน

ผอม คนอ้วน คนรวย คนหล่อ คนซวย คนสวย
แล้วทำยังไงจะไม่ให้มันเข้ามาวุ่นวาย เกาะเกี่ยวพันธนาการเรา จนกลายเป็นเราไม่เป็นเรา

แล้ว เดี๋ยวนี้ เราเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้
ก็นั่นสิ ทำยังไง
ก็ต้องมีวิชา ต้องมีวิชา พอมีวิชาในวิถีแห่งการไหว้ครูกรรมฐาน สอนไว้ว่าอย่างไร
เรียนรู้ชีวิต ศึกาวิชา ลุถึงปัญญา นำพาชีวิต
เออ เรียนรู้ไปแค่ไหนแล้วล่ะ ชีวิตมึงน่ะ รู้จักอีดิน อ้ายดินหรือยัง
(รู้ค่ะ)
ก็รู้ ตอนที่กูพูดนี่แหละ
รู้จักอีน้ำ อ้ายน้ำ อีลม อ้ายลม นางไฟ อ้ายไฟ แล้วหรือยัง เรียกว่า รู้จักมหาภูตรูป 4

แล้วหรือยัง
ถ้ายังไม่รู้
ยังยาก ยังไม่ได้เป็นสัมมาทิฏฐิ
ฝึกไปก็เท่านั้นแหละ มันก็ไม่ต่างอะไรกับอะไร
กับเอาอะไร เอาดอกไม้ไปทิ่มในถังขี้น่ะ
ดอกไม้มันสวย แต่ขี้มันเหม็น มันเหมือนดอกไม้ทิ่มในถังขี้ ไม่ได้ประโยชน์อะไรมาก
เอ้า เดี๋ยวคนหล่อเค้า เดี๋ยวอ้ายดินหล่อ เค้าจะมานั่งหง่าว ก็ให้ทำงาน ทำหน้าที่ตามเหตุตาม

ปัจจัย
งั้น วันที่พวกท่านทั้งหลายจะเฉลิมฉลองวันตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ต้องถามกลับมาว่า

 
เรารู้อะไร แล้วสิ่งที่เรารู้ หรือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านรู้ เราได้รู้ตามไม๊ เมื่อเรารู้แล้ว เป็นที่

พึ่งพวกเราได้หรือเปล่า
ถ้ายังไม่ได้ แสดงว่า เราไม่รู้อะไร เมื่อไม่รู้อะไร แล้วจะมาฉลองอะไร
ต้องถามอย่างนี้ ต้องถามกันแรงๆ ตรงๆ อย่างชนิดที่ทวนกระแส ตบหน้าแรงๆ สำหรับคน

ที่ชอบฉลองอย่างนี้ เราเสียงบประมาณมากมายกับการเฉลิมฉลอง ทั้งที่เราไม่รู้อะไร ไม่

ได้อะไร ไม่เหลืออะไร ไม่มีอะไร รอวันตายอย่างเดียว
มันเป็นเรื่องโกหก และน่าทุเรศสมเพชมาก
ถามหลวงปู่ว่า พุทธชยันตี รู้สึกอย่างไร
เฉยๆ ใจมันเฉยมาก จะพุทธชยันตี ไม่ชยันตี ก็เฉยมาก เอ้า มันเฉยจริงๆ ไม่ได้มีความ

รู้สึกรู้สาอะไร
เพราะสิ่งที่รู้ มันก็น่าจะเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ จะฉลองก็ต้องฉลองวันความสำเร็จและวัน

แห่งชัยชนะของตน
พระพุทธเจ้าท่านสำเร็จ ท่านมีชัยชนะ ถ้าจะยินดีกับท่าน จะได้ประโยชน์จากสิ่งนั้นได้มาก

ก็คือ ก็ต้องทำตนให้เป็นผู้มีชัยชนะและสำเร็จด้วย ไม่ใช่แค่พลอยยินดี
เอาล่ะ เรากลับมาดูคำว่า  งั้น เราก็ไม่มีน้ำใจเลยเหรอ แสดงมุทิตา
เค้าแสดงมุทิตากับมนุษย์ที่มีเพศภาวะ เค้าไม่ได้แสดงมุทิตากับผู้ที่เข้าสู่นิพพาน ผู้ที่เข้าสู่

นิพพาน ไม่ต้องการมุทิตา ไม่ต้องการน้ำใจ เค้ามีน้ำใจเหลือเฟือมากมาย มากกว่าพวกมึง

ไม่ต้องไปให้น้ำใจเค้า
ไม่ต้องอุทิศส่วนกุศลให้พระพุทธเจ้า
มันมีทุเรศๆ อุทิศส่วนกุศลให้พระพุทธเจ้า สำนักทุเรศๆ อยู่ทางทิศทุเรศๆ ทางนู่นน่ะ
เออ อุทิศส่วนกุศลให้พระพุทธเจ้า
อู้หู ทำอย่างกับพระพุทธเจ้านี่อดอยากเหลือเกิน ต้องอาศัยส่วนกุศลของพวกทุเรศๆ พวกนี้
เฮอะ มันคิดยังไง มันพูดอะไร มันสอนอะไร แล้วคนทุเรศๆ ก็เชื่อมันด้วย
เนี่ย มันสร้างเงื่อนไขของความทุเรศๆ เอาไว้ แล้วพวกนี้มันตายไป ไปเกิดไม่ไกลนะ มัน

เกิดใน        ตะข้องเดียวกัน ในหลัวเดียวกัน เกิดในเข่งเดียวกันพวกนี้
อย่างพวกมึง ตายไป ก็ไปเกิดคนละเข่งสองเข่ง กระจายไป กลายเป็นขนมเข่ง ขนมเทียน

ไปบ้าง แต่อ้ายพวกนั้น มันตายไปรวมอยู่เข่งเดียวกัน มันกลัวเหงาไง มันก็ต้องรวมกลุ่มกัน

อบอุ่นดี เค้าว่าอบอุ่น พวกมึงตาย ก็ไปกันคนละเข่งสองเข่ง เข่งใครเข่งมัน แบ่งเข่งกัน
มันเป็นอะไรที่ หลวงปู่จึงได้บอกว่า เบื่อ กับการเห็นสังฆมณฑล เห็นกับพฤติกรรมของคน

เห็นกับคนที่โกหกตลบตะแลง ตอแหล หลอกลวงเค้าไปวันๆ แล้วก็เพื่อให้ได้มาซึ่งลาภ

สักการะ เกียรติยศชื่อเสียง การกราบไหว้บูชาของชาวบ้าน
แต่จริงแล้ว ใส้กลวง เป็นมนุษย์พันธุ์มะละกอ มนุษย์ใส้กลวง ไม่มีแก่นสารสาระอะไร ถึง

ได้เบื่อ นี่พักหลังนี่ กูชักเริ่มเบื่อๆๆ เบื่อไปเรื่อยๆ เบื่อ เดี๋ยว เข้าป่า เออ พอเบื่อมากๆ เข้า

เข้าป่า พอมันเห็นอะไรเยอะๆ เข้า มันผิดจากขาวมาดำ จากหงายมาคว่ำ จากถูกมาผิด

แล้วทำจิตให้มันกลายเป็นความยิ่งใหญ่ จนเป็นที่ยอมรับของกันและกันได้ในความผิดของ

ตัวเองและคนอื่น อยู่ร่วมกันได้เป็นปลาตะข้องเดียวกัน เน่าเหมือนกัน
สังคมมันเริ่มเห็นสภาพธรรมที่ปรากฏว่า โอ๊ นี่ดินมันผสมดิน มั่วกับดิน หมักกับดิน จนไม่

รู้หัว รู้หาง รู้ตีน รู้มือ มั่วไปหมดแล้ว
มหาภูตรูป 4 มันแยกไม่ได้แล้ว ว่า ลูกใคร ลูกใคร มันรวมไปหมดแล้ว แล้วก็มีแต่ความ

ชั่วร้าย
เอ้า เปิดโอกาสให้ถามปัญหา เดี๋ยวจะได้ปฏิบัติธรรม
3 มิ ย 2555    14.45 น. ถอดซีดี ปุจฉา – วิสัชนา ธรรมะต้นเดือน วัน

วิสาขบูชา โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
• จิตดวงที่ 7 มีอยู่ กับสิ่งที่ไม่มี เมื่อถึง จึงจะรู้ คำว่า มีกับไม่มี แตกต่างกัน

อย่างไร
• งั้น ก็อย่าให้เข้าใจว่า เราฟังธรรมแล้ว เราห่วงพะวงว่า เอ แล้วอดีตชาติเรา

มันเยอะแยะ จะหมดเหร๊อ ถึงได้บอกว่า ช่างแม่มัน อย่าไปยุ่งกับมัน
• สำหรับหลวงปู่แล้ว ไม่มีเจตนาไปเหยียดหยามดูถูกใคร พูดตามสภาพ

ธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ชี้ให้เห็นถูกผิด ดีชั่ว ชอบธรรม  ไม่ได้คิดจะไปเหยียด

หยามดูถูก ตัวเมีย ตัวผู้ มันก็ดินน้ำลมไฟ ไม่มีอะไรแตกต่าง นอกจาก กรรมเป็นตัวกำหนด

ให้มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย คนอื่นไม่รู้ หลวงปู่ไม่รู้ใจเค้า เค้าจะพูดด้วยเจตนาอะไร

แต่ถาม ถ้ามีเจตนา มันก็เป็นบาป
• เรียกว่า สร้างริ้วรอยของความเสื่อมให้กับตัวเอง มันก็ธรรมชาติของคนโง่

คนมีอวิชชา เป็นธรรมชาติ
• ปิดหู ปิดตาเสียบ้าง จะได้นั่งนอนสบาย ถ้าเปิดหูเปิดตา เราจะเป็นทุกข์จน

ตาย
คุณก้อง    กราบนมัสการหลวงปู่พุทธะอิสระ และสวัสดีพุทธศาสนิกชนทุกท่านนะครับ

ขอนำทุกท่านเข้าสู่รายการปุจฉา – วิสัชนา ........
ปุจฉา   จากที่ได้ฟังธรรมจากหลวงปู่เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ ว่า การรู้เข้าถึง

จิตดวงที่ 7 มีก็ได้ หรือไม่มีก็ได้ และผู้ที่เข้าไม่ถึง ต้องหาจิตดวงที่ 7 แต่ผู้ที่เข้าถึง

จิตดวงที่ 7 จะรู้ว่า จิตดวงที่ 7 นั้นไม่มี กลับไปปฏิบัติ เข้าใจว่า ต้องเข้าถึงความว่างให้

ได้แล้ว พิจารณา....อยากทราบว่า ที่เข้าใจ ถูกต้องหรือไม่
วิสัชนา    ทำต่อไป อย่าหาคำตอบจากคนอื่น จงหาคำตอบจากตัวเอง
จิตดวงที่ 7 มีอยู่ กับสิ่งที่ไม่มี เมื่อถึง จึงจะรู้ คำว่า มีกับไม่มี แตกต่างกันอย่างไร
อย่ามาถาม ถ้าถาม ก็แสดงว่า มันยังมี แล้วความไม่มีก็จะไม่ปรากฏ
เมื่อความไม่มีจะปรากฏกับสิ่งที่คนถาม แสดงว่า ไม่มีนั่นน่ะ คือมี มันก็ไม่ใช่จิตดวงที่ 7

อีก จบ
ปุจฉา    ขอวิธีทำอาหารไปด้วย พร้อมมีจิตว่างไปด้วย ทำอย่างไร
วิสัชนา    บุรุษแห่งรัฐ 2 คน เค้าทะเลาะกัน เรื่องทำงานด้วยจิตว่างในหลายทศวรรษที่

ผ่านมา นั่นคือ ท่านคึกฤทธิ์ ปราโมท กับท่านพุทธทาสภิกขุ
ท่านพุทธทาสก็บอกว่า จงทำงานด้วยใจว่าง ท่านคึกฤทธิ์ ถ้าว่าง ก็บ้าล่ะสิ ก็เพราะว่า ถ้าว่าง

แล้ว มันจะทำงานได้อย่างไร สองคนนี่ ถูก แต่ถูกกันคนละที
ท่านคึกฤทธิ์ ท่านถูกในฐานะที่ท่านเป็นผู้อยู่ในโลกียวิสัย แต่ท่านพุทธทาส ท่านก็ถูก ถูกใน

ฐานะที่ท่านอยู่ในโลกุตตระธรรมวิสัย งั้น มันมีคำว่า สมมุติบัญญัติ สมมุติสัจจะ สมมุติปรมัติ
ถ้าใช้สมมุติ รู้จักสมมุติ ให้เกียรติในสมมุติ ยอมรับสมมุติ สุดท้ายก็ได้ประโยชน์จากสมมุติ

แล้วไม่มีสรรพสิ่งที่เป็นสมมุติ
บทโศลกบทนี้ เขียนไว้เมื่อ 30 กว่าปีมาแล้ว ลองไปศึกษาดู จบ
ปุจฉา   มหากุศล 8 มัอะไรบ้างครับ
วิสัชนา   เปิดหนังสือดูสิ ในบท มรรคมีองค์ 8 ประการ จบ
ปุจฉา   พระพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้า ต่างกันอย่างไร
วิสัชนา    ก็หล่อต่างกัน พระพุทธเจ้าหล่อมากกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าหล่อน้อยกว่า
พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้เพื่อสั่งสอนเวไนยนิกร แต่พระปัจเจกโพธิ์ หรือ พระปัจเจกพุทธเจ้า

ท่านตรัสรู้เพื่อเอาตัวรอด คนอื่นไม่รอด ก็ปล่อยมัน จบ
ปุจฉา   การที่สังคม  I T มีการเล่น face book  คนที่เข้าไปดูเรื่องของคนอื่น

ใน face book และแสดงความคิดเห็นตามที่เปิดโอกาส หรือตั้งกระทู้ไว้ การ

กระทำนี้ จะเป็นการต่อกรรม สร้างภพสร้างชาติต่อกัน หรือไม่
วิสัชนา   อ้ายพวกนี้ เค้าเรียก ตาสอดรู้ หูสอดฟัง พวกเสือก พวกนี้พวกเสือก เสือกไปสอด

สอดไปเสือก เสือกๆ สอดๆ อยู่อย่างนี้ อ้ายพวกนี้เกิดชาติภพต่อๆ ไป เนี่ย ตาเสื่อม หูเสื่อม

สมองเสื่อม ปัญญาเสื่อม เพราะเรื่องคนอื่นทั้งหมด แต่เรื่องตัวเองไม่รู้เรื่องเลย
กรรมฐานที่สอนก็คือ รู้จักตัวเอง เรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชา ลุถึงปัญญา นำพาชีวิต
ไปเสือกเรื่องของคนอื่นนี่ เรื่องตัวเองหรือเปล่า
ไม่ใช่ เรื่องของคนอื่น งั้น พวกนี้ จะมีหู ก็เหมือนกับหูกระทู้ กระทะ  ฟังไม่รู้เรื่อง หูเยอะ

แต่ฟังไม่รู้เรื่อง มีตาก็เป็นตาสอดรู้สอดเห็น ตาถั่ว ตาไม่แจ่มชัด เสื่อมไปเรื่อยๆ เค้าเรียกว่า

สร้างริ้วรอยของความเสื่อมให้กับตัวเอง มันก็ธรรมชาติของคนโง่ คนมีอวิชชา เป็นธรรมชาติ
แล้วพวกนี้ ถามว่า ท่านผู้รู้ ตัวรู้ วิถีแห่งการตรัสรู้ อยู่ลึกไม๊
ลึกมากๆ พวกนี้จะอยู่ลึกมาก เพราะมันไปยุ่งแต่เรื่องของคนอื่น เรื่องของตัวเอง มันไม่รู้ไง

มันก็ลึกมาก ยิ่งไปยุ่งกับคนอื่นมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งลึกมากเท่านั้น เหมือนกับเป็นแรงกดทับ

ให้ธาตุธรรมชาติแห่งการตรัสรู้ จมดิ่งลงไปเรื่อยๆๆๆ
โบราณเค้าถึงได้สอนว่า ปิดหู ปิดตาเสียบ้าง จะได้นั่งนอนสบาย ถ้าเปิดหูเปิดตา เราจะเป็น

ทุกข์จนตาย งั้น รู้จัก แต่เดี๋ยวนี้ เค้าไม่มี ปิดหูปิดตา โง่สิ เออ โง่สิ ไม่รู้ ไม่ทันสมัย
อ้ายเพราะคำว่า ไม่รู้ ไม่ทันสมัยเนี่ย
ไม่รู้น่ะ ไม่รู้เรื่องของใคร ไม่ทันสมัยน่ะ สมัยไหน ถึงคราวมึงจะตาย สมัยไหนใครเค้าช่วย

มึงได้ ถึงคราวเราจะแย่ เราจะโง่ เราจะงมงาย เราจะหลง เราจะงี่เง่า เราจะฆ่าตัวตาย ใคร

ช่วยได้ หรือเรากำลังจะตาย ใครช่วยได้
สมัยที่เราจะตาย อ้ายคนพวกนี้ช่วยเราได้ที่ไหน ดีไม่ดี มันมาถมถ่มซ้ำเราให้หนักกว่าเก่า

ด้วยซ้ำ
งั้น ไม่รู้ หลวงปู่ดูไม่เป็น เปิดไม่เป็น ไม่ใช่ดูไม่เป็น เปิดไม่เป็น ก็ไม่รู้จะดูไปทำไม เรื่อง

ของคนอื่น ของตัวเองก็ยังจะแย่อยู่แล้ว มันเป็นกรรมของสัตว์ จบ
ปุจฉา   การที่นำสุนัขมาปฏิบัติธรรม จะได้บุญหรือเปล่า
วิสัชนา   ทำไมมึงไม่ถามสุนัข มาถามอะไรกู กูไม่ใช่หมานี่ ถามมันสิ พี่บ๊อบ พี่บ๊อบ พี่ได้

บุญไม๊ ถามมัน มึงก็คุยกับหมาดูสิ มาคุยอะไรกับกู จบ
แต่จำไว้อย่างหนึ่ง ลูก สัตว์ตนใดก็แล้วแต่ ที่มันมีปฏิสัมพันธ์ใกล้เคียงกับมนุษย์ แล้วจิตสุด

ท้ายที่มันจำสภาพมนุษย์ไว้ได้ มันจะเกิดเป็นมนุษย์ แต่สัตว์ตนใดที่มันใกล้เคียงกับมนุษย์

แล้วจิตสุดท้าย มันดันไปจำสภาพของเดรัจฉาน มันจะเกิดเป็นเดรัจฉาน แม้ที่สุดมนุษย์

มนุษย์ตนใดที่มีสภาพเป็นอยู่เหมือนดั่งมนุษย์ แต่จิตสุดท้าย ไปหวนคำนึงนึกถึงเดรัจฉาน

มันก็จะไปอยู่ในท้องเดรัจฉาน
งั้น มันขึ้นอยู่กับจิตสุดท้ายเหมือนกัน อ้ายจิตสุดท้ายนี่ ต้องใช้คำว่า ฟลุ๊กนะ ฟลุ๊ก อ้าว

เหตุผลก็เพราะว่า ที่ผ่านมา โง่มาตลอดไง ก็รอฟลุ๊กเอาจิตสุดท้ายว่า ควรจะไปผุดอยู่ตรงไหน

ใช้คำว่า ฟลุ๊ก
แต่ถ้าหากว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเนี่ย มันมีแต่กุศล บุญ คุณงามความดี วิชา สติปัญญา สมาธิ

ทาน ศีล ภาวนา จิตสุดท้ายมันกำหนดได้ เพราะมันมีแรงมาก เหมือนกับจรวดที่บรรจุเชื้อ

เพลิงเต็มที่ มันก็สามารถจะพุ่งโด่งไปจนไกลสุดได้
งั้น คุณงามความดี บุญกุศลน่ะ มันเหมือนกับเชื้อเพลิงของจรวด ถ้าอ้ายจรวดอันนั้นไม่มีเชื้อ

เพลิงอะไรเลย ใส้กลวงอีกต่างหาก รับรอง จุดฟู่ แปะ ไปไม่ไหว จิตสุดท้ายมันก็แป๊กอยู่

ตรงนั้นแหละ ไม่ไปไหน จบ
ปุจฉา   การเป็นหนี้ ถือว่า เป็นคนพิการ ไม่แข็งแรงในคำสอนของหลวงปู่หรือไม่
วิสัขนา      เกิดมา แล้วพิการตามเหตุตามปัจจัย ก็คือ ถ้าเมื่อกี้ ฟังอยู่ก็จะรู้ดีว่า มันมาจาก

อะไร
กรรม กรรม มาจากกรรม มีชนกกรรม ปัจจุบันกรรม
ชนกกรรม คือ อดีตกรรม
อุปถัมภกกรรม คือ ปัจจุบันกรรม
อุปรียกรรม อุปฆาตกรรม คืออนาคตกรรม
กระบวนการทั้ง 3 เนี่ย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนให้ผลสืบเนื่อง เกิดมา แล้วพิการเลย ก็แสดง

ว่า ชนกกรรมไม่ดี ชนกกรมไม่ดี ก็มาดูซิว่า อะไรบ้างในหลักปฏิจจสมุปบาท เปิดดู ดูแผนที่

เอ กูโง่ไปหรือเปล่า กูเคยมีสังขารการปรุงมาไม่ดี อ้ายห่า ลืมเอาตามาได้ยังไงวะ ลืมเอาตา

มา ก็แสดงว่า สติมันไม่ดี จึงลืมเอาตามา ลืมเอาตีนเอาหูมา เลยเกิดมาชาตินี้ ตาบอด ตีนหาย

หูแหว่ง
ถ้ามีปัญญาดี เรียกว่า มีวิชา ไม่เป็นอวิชชา ก็จะ เอาตา เอาตีน เอาตูด เอาหู มาพร้อมเสร็จ
แสดงว่า ความโง่ มันทำเหตุปัจจัยให้เราพิการ ปฏิเสธไม่ได้ หนีไม่พ้น จบ
ปุจฉา   คนพิการในสมัยพุทธกาล มีใครบรรลุธรรมบ้างหรือไม่
วิสัชนา    คนพิการในสมัยพุทธกาล ก็มี ผู้บรรลุธรรม มี ไม่ใช่ ไม่มี ตาบอดอย่างเช่น พระ

อะไรนะ (พระมหาปาละเถระ หรือ พระจักขุบาลเถระ) ที่ท่านเพ่งความเพียรจนกระทั่ง

ตาท่านบอด ก็บรรลุธรรมได้ มี ไม่ใช่ ไม่มี แต่ไม่ใช่พิการแล้วมาบวชนะ ไม่ใช่ เพราะ

พิการแล้วมาบวช ในครั้นอดีต ครั้นพุทธกาล พระสาวกทั้งหลาย เคยเอาคนพิการมาบวช

แล้วก็ได้รับการโจษจัน กล่าวขานจากพวกพราหมณ์ว่า ศาสนาสมณโคดม เป็นที่ประชุม

ของพวกพิการ
พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสาร ก็เลยมาทูล ขอ ชาวบ้านเค้าลือกันว่า พระตถาคตเจ้า

พระสุคตเจ้า มีแต่สาวกพิการ ท่านก็เลยตั้งพระวินัยขึ้น ให้ภิกษุควรตรวจสอยบ แล้วใน

วินัยนั้น ก็อยู่ในหลักสมบัติ 5 อย่างของการมาเข้าบวช
สมบัติ 5 อย่าง ก็ให้พระอุปัชฌาย์ไปซักถาม
กุฏฐัง คัณโฑ กิลาโส โส โส มะนุสโสสิ๊ คือ ท่านพิการ เป็นโรคเรื้อน โรคกุดถังไม๊ เป็นคน

พิการ มือ แขน ขา ขาดไม๊ เป็นโรคติดต่อหรือเปล่า แล้วก็เป็นมนุษย์สมบูรณ์ไม๊ อย่างนี้

เป็นต้น
เป็นที่มาของวินัยในข้อรับคนเข้าบวช แต่ถ้าบวชเข้ามาแล้ว แล้วพิการ แล้วบรรลุธรรม มีอยู่

มี จำชื่อไม่ได้ แค่ก็มี คือ ตาท่านบอดทั้ง 2 ข้าง แต่เป็นผู้มีทิพยจักษุญาณ จบ
ปุจฉา    ขณะฟังธรรมด้วยจิตที่จดจ่อในธรรม ที่ฟังแล้วเกิดปิติ ถือว่า เป็นการปรุงใน

สังขารหรือไม่
วิสัชนา     เป็นสภาวะธรรม เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏกับจิต เหมือนกับดินที่ได้รับน้ำ มันก็

จะชุ่มชื่น เอิบอาบ ไม่ใช่เป็นการปรุง แต่ถ้าเอามาคิด เอามาตรึก มาวิเคราะห์ นั่นเป็นการ

ปรุง
เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง
ปิติ นี่มันเป็นสภาวะธรรม แต่ถามว่า เป็นอารมณ์ไม๊
ถ้าเป็นอารมณ์ ก็ต้องเกิดจากการทำฌาน เพ่งฌาน
ในปฐมฌาน มีอารมณ์ 5 อย่างวิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัคคตา เค้ายังเรียกว่า อารมณ์ 5

อย่าง
งั้น ในกระบวนการอารมณ์ 5 อย่าง การปรุงแต่งสังขารเนี่ย มันต้องได้มาจากการมีเจตนา
งั้น กระบวนการเข้าถึงพระกรรมฐานข้อต้นที่เรียกว่า ปฐมฌาน เพราะเรามีเจตนาทำ

กรรมฐาน ทำองค์ฌาน ถูกไม๊ ถูกหรือเปล่า  ทำฌาน นี่มีเจตนาไม๊
ทำสมถะ เพื่อให้เข้าถึงองค์ฌานเนี่ย ด้วยเจตนาไม๊
แต่ฟังธรรมเนี่ย เราก็ต้องเข้าถึงธรรม หรือฟังธรรมแล้ว ต้องการปิติ
(เข้าถึงธรรม)
เออ เพราะฉะนั้น ปิติ จึงกลายเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏ เหมือนดั่งน้ำที่พรมลงมาจากฟ้า

แล้วรดลงแผ่นดิน แล้วแผ่นดินจะเอิบอาบ ซึ่งจะมีข้อแตกต่าง จบ
ปุจฉา   ก่อนตื่นนอนทำวัตรเช้า ที่หอไตร มีนิมิต ฝันว่า คนมาบอกว่า จะต้องตายใน 2

เดือน ข้างหน้า ขอหลวงปู่ช่วยชี้แนะ
วิสัชนา    นิมนต์พระสิ ถ้าพระวัดนี้ เค้าก็สวดไม่ค่อยเป็น ถ้าสวดก็ต้องดูหนังสือ ก็ไม่เป็นไร
เป็นนิมิตที่ดี จะตายแล้วมีคนบอกว่า จะตายเนี่ย ดี ดีกว่าจะตายแล้วไม่รู้ว่าจะตาย เพราะไม่

ได้เตรียมตัว งั้นจะถามว่า จะให้ทำยังไง ให้ชี้แนะ
เตรียมตัวตาย จบ
ปุจฉา    หลวงปู่สอนให้ดับกิเลสที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพื่อดับวัฏฏะ ไม่ทราบว่า กิเลสเก่าที่มี

อยู่ในตัว จะดับด้วยวิธีใดบ้าง
วิสัชนา    ช่างแม่มันเถอะ อย่าไปยุ่งกับมันเลย ของใหม่ที่โผล่มา โผล่มา ฟันมันให้เกลี้ยงก็

พอแล้ว อย่าไปยุ่งกับของเก่า เพราะว่าไหนๆ มันก็เลยเถิดมาถึงวันนี้แล้ว เออ อย่าสนใจ

แค่ว่า ของใหม่ไม่สร้างขึ้น มันก็จะได้ไม่วนไปต่อท้ายของเก่า ก็พอแล้วล่ะ วัฏฏะมันก็จะ

ขาดช่วงไป จบ
ปุจฉา    มีผู้เข้าใจว่า การบริจาคดวงตา หรือ ส่วนใดส่วนหนึ่งของอวัยวะ เมื่อตายแล้ว เกิด

ใหม่ อวัยวะส่วนนั้นจะไม่ครบ จึงไม่ยอมบริจาค ขอหลวงปู่ช่วยอธิบายให้หายข้องใจ
หลวงปู่    เรื่องคำถามเก่าที่ว่า ช่างแม่มัน เพราะว่า คนที่ปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นสามารถ

บรรลุธรรมในภพชาติปัจจุบันได้ หรือ ฟังธรรมแล้ว รู้เรื่อง เข้าใจในธรรม แสดงว่า บารมี

ที่สั่งสมอบรมมา มันตรงกับทำนองคลองธรรม อย่าไปคิดว่า เอ แล้วอดีตที่เราสะสมมาตั้ง

หลายภพหลายชาติจะทำอย่างไร ถ้าฟังในภาษาธรรม แล้วรู้อรรถ พยัญชนะในธรรมปัจจุบัน

ก็แสดงว่า อ้ายของเก่าเราที่มี แต่ไม่ดีน่ะ มันน้อยนะ มันจึงทำให้เรามีปัญญารู้ได้ตามความ

เป็นจริงในปัจจุบันได้
ถ้าของเก่ามันสนิมเขรอะหนาเตอะ มาปัจจุบัน ฟังแล้ว หาว อาศัยเสา (พิง) เสากูล่ะ งอ

ไปเลย เออ อ้ายพวกนี้ อย่างหนานะ เอ้า ไม่รู้เรื่องหรอกนะ อ้าว จริงๆ เรื่องจริง
แต่อ้ายคนที่ฟังแล้ว เออ ตาหูสว่าง ปิติ เกิดความรู้สึกว่า เข้าอกเข้าใจ ขนลุกขนพอง มีความ

รู้สึกปลาบปลื้มเป็นสุข นั่นแสดงว่า อ้ายของเก่าที่มันของเศร้าหมองที่มี มันเบาบางนะ ลูก

มันถึงจะทำเหตุปัจจัย เราเชื่อเรื่องกฏของกรรมไม๊ล่ะ
(เชื่อ)
เชื่อเรื่องว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมไม๊
(เชื่อ)
เชื่อเรื่อง กัมมะ ทายาโท กัมมะ โยนิ กัมมะพันธุ สัมมะ ปฏิสะระโน
เรามีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นเครื่องอาศัย มีกรรมเป็รเครื่องมา

แล้วก็มีกรรมเป็นเครื่องไป เราอยู่ได้ด้วยอำนาจของกรรม
งั้น เราก็ต้องเชื่อว่า ถ้าวันนี้ เราฟังธรรมแล้วเรามีปิติสุข เราอิ่มเอิบ ซาบซ่าน ก็แสดงว่า

อดีตของเราไม่ได้ทำกรรมเลวร้ายนักหนาจนถึงขนาดทำให้สติปัญญาเราฟั่นเฟือน ก็แสดงว่า

ปัจจุบัน เรามีสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรมได้ไม๊
มีสิทธิ์ มีแววนะพวกมึงน่ะ มีแวว เออ มีแววว่า เขาจะงอก เออ มีแวว มีแวว พอจะมีแวว

มึงเอาไฟฉายส่องไว้หรือเปล่า ทำให้เห็นแวว
งั้น อย่าไปเข้าใจอะไรว่า เออ ให้ตัดกิเลสปัจจุบัน ถ้าเข้าใจว่า เราจะตัดกิเลสได้อย่างไรใน

ปัจจุบัน ก็แสดงว่า อดีตของกิเลสนั้น เราเบาบางมาก
แต่ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจอะไรเลยนี่สิ โอ่ย ยาก ลำบากล่ะ แล้วยิ่งหลวงปู่ไม่ใช่ผู้ประกาศตน

เป็นชาติสุดท้ายด้วย เค้าก็จะเชื่อ แล้วลือกันว่า โอ๊ย อย่าไปสำนักนี้เลย ท่านสอนให้คนพ้น

ทุกข์ไม่ได้หรอก ด้วยเหตุว่า ท่านไม่ใช่ชาติสุดท้าย ท่านยังอยู่อีกหลายชาติ มันก็เลยสอน

ให้พ้นทุกข์ไม่ได้ ก็เลยไปสำนักชาติสุดท้าย เพื่อหวังจะได้พ้นทุกข์ แล้วได้บรรทุกกลับมา

เพียบเลย
งั้น ก็อย่าให้เข้าใจว่า เราฟังธรรมแล้ว เราห่วงพะวงว่า เอ แล้วอดีตชาติเรามันเยอะแยะ จะ

หมดเหร๊อ ถึงได้บอกว่า ช่างแม่มัน อย่าไปยุ่งกับมัน
คำถามที่ 2 เมื่อครู่นี้ ถามว่า
คุณก้อง   ผู้ที่เข้าใจว่า ถ้าบริจาคดวงตา หรือ อวัยวะ
หลวงปู่    อย่าไปเชื่อ ถ้าให้ตาแล้ว จะทำให้เกิดชาติหน้าตาบอด  แล้วก็อย่าไปเชื่อว่า ให้ตา

แล้ว จะกลายเป็นตาที่ 3 ตาที่ 4 โผล่ขึ้นมาอีก ไม่ใช่ เออ เราให้ทานอวัยวะเนี่ย เค้า

เรียกว่า บารมีนี่ เค้ามี 3 อย่าง
ปฐมบารมี เรียกว่า บารมีธรรมดา อุปบารมี แล้วก็ ปรมัติบารมี
ให้เงินให้ทอง ให้แก้วแหวนเพชรนิลจินดา ทรัพย์สินสฤงคาร เค้าเรียก ปฐมบารมี
ให้ทรัพย์ภายใน เค้าเรียกว่า อวัยวะ เรียกว่า  อุปบารมี
ให้ชีวิต เรียกว่า ปรมัติบารมี
งั้น การสั่งสมบารมี เป็นเรื่องของคนที่เห็นตามความเป็นจริง สภาพธรรมที่ปรากฏตาม

ความเป็นจริง จึงกล้าที่จะให้ เหมือนอย่างพระมหาโพธิสัตว์เจ้าที่กล้าจะเฉือนเนื้อน่องของตน

เลี้ยงเสือแม่ลูกอ่อนที่ใกล้ตาย ที่อดอยากแล้วลูกทั้ง 4 ตัวจะตาย เลยเฉือนเนื้อของตัวเอง

เลี้ยงเสือ พระโพธิสัตว์ทำไมกล้าเฉือนเนื้อตัวเองเลี้ยงเสือ ก็เพราะว่า ดิน น้ำ ลม แล้วก็ไฟ

มีอะไรต้องห่วง
ถ้ามีปัญญารู้ชัดตามสภาพธรรมที่ปรากฏ ต้องห่วงอะไร เฉือนไปก็ดิน มีน้ำผสมหน่อยก็

เลือด แล้วมันจะต้องมากังวลวิตกอะไร แล้วดินน้ำลมไฟ เมื่อไหร่มันก็มี เค้าไม่ได้มองว่า นี่

คือ เนื้อกู เลือดกู ของกู ชีวิตกู ถ้าเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครกล้าให้ ไม่มีใครกล้าให้แล้วไม่คิดจะให้

เพราะมันเป็นของกูไปหมดไง
งั้น คำว่า หลักสัมมาทิฏฐิ เห็นสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงเนี่ย มันไม่มีอะไรจะ

ดิ้นเลย  ไม่มีตัวกู ของกู ญาติกู สมบัติกู ทรัพย์สินสฤงคารของกู ไม่มี
หลวงปู่ เวลาจะทำบุญ คนเค้าชอบว่า ตัวเองก็ยังลำบาก เงินทองก็ยังหามาใช้ของตัวเอง กับ

วัดวาตัวเองก็ยังไม่เสร็จ ชอบไปทำตรงนู้น ทำตรงนี้ ทำตรงนั้น
เอาก็ เออ คนมันมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็แยกแยะไม่ได้ว่า อะไรควร ไม่ควร ถูกผิด ดีชั่ว

ชอบธรรม เออ จบ
ปุจฉา    ผมเคยนั่งสมาธิ แล้วรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น แล้วเห็นภาพสถานที่ ..อยากทราบว่า

เป็นสภาพของสภาวะจิตประเภทใด
วิสัชนา    ฝัน จบ เค้าให้นั่งสมาธิ เสือกไปหลับ แล้วฝัน
คุณก้อง   เป็นสภาวะจิตอะไรครับ
หลวงปู่    สภาวะหลับ
ปุจฉา    พระที่ออกทีวี แล้วพูดถึงผู้หญิงในทางที่ไม่ดี แล้วพูดจาหยาบ ไม่สุภาพ หรือ ตลก

เกินความเป็นจริง คำพูดเหล่านั้นจะเป็นบาปหรือไม่
วิสัชนา    พระเหรอ
คุณก้อง    พระครับ
หลวงปู่    พระ อ๊อ เหรอ กูหรือเปล่า เป็นกูหรือเปล่า ไม่รู้ เพราะไม่ได้มีเจตนาจะไปสาป

แช่ง คนพูดเค้าอาจจะพูด กลอนมันพาไป แต่สำหรับหลวงปู่แล้ว ไม่มีเจตนาไปเหยียด

หยามดูถูกใคร พูดตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ชี้ให้เห็น ถูกผิด ดีชั่ว ชอบ

ธรรม ไม่ได้คิดจะไปเหยียดหยามดูถูก ตัวเมีย ตัวผู้ มันก็ดินน้ำลมไฟ ไม่มีอะไรจะแตกต่าง

นอกจาก กรรมเป็นตัวกำหนดให้มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย คนอื่นไม่รู้ หลวงปู่ไม่รู้ใจเค้า

เค้าจะพูดด้วยเจตนาอะไร แต่ถาม ถ้ามีเจตนา มันก็เป็นบาป
เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง พระศาสดาทรงกล่าวว่า
ถ้ามีเจตนา ทุกเรื่องเป็นกรรม ถ้าไม่มีเจตนา ก็ไม่เป็น จบ
ปุจฉา    มหาอสงไขย แปลว่าอะไร
วิสัชนา    อู๊ย มันเยอะๆๆๆๆ มันใบไม้เป็นป่าๆ แล้วก็มานับกันเป็นอสงไขย แล้วคำว่า มหา

แปลว่า ใหญ่ ใช้ใบไม้กี่ป่าๆ เออ ประมาณนั้น จบ
ปุจฉา    การทำอาหารโดยการฆ่าไก่ แล้วนำมาทำบุญใส่บาตร จะได้บุญหรือเปล่า
วิสัชนา    มันดูดาวลูกไก่หนักไปหรือเปล่า อ้ายพร ภิรมย์ ก็ตายไปแล้ว ลูกไก่เอาดาวมา

จากไหนวะ ลูกไก่ทั้ง 7 เหมือนโดนเด็ดดวงใจ พากันโดดเข้ากองไฟ ตายคาแม่ไก่ดังกล่าว

จบ
คุณก้อง     ....
หลวงปู่    อ้าว กูจะไปรู้เหรอ อีตอนทำบุญน่ะ มีเจตนาหรือไม่ล่ะ ถ้ามีเจตนา เป็นบุญ แต่อี

ตอนฆ่าน่ะ มันเป็นบาป งั้น บุญกับบาป มันต้องแยกออกจากกัน ไม่เหมือนกัน มีเจตนาที่

จะทำบุญ เราได้บุญ แต่ไปฆ่าสัตว์มาเพื่อทำบุญ มันเป็นบาป บุญมี บาปก็มี
ทีนี้ บุญกับบาป มันจะมาก ต่างกันอย่างไร
มันก็ขึ้นอยู่กับว่า อ้ายไก่ตัวนั้น มันมีพันธนาการกับอะไร ถ้าเป็นแม่ไก่มีลูกไก่ทั้ง 7

เหมือนโดนเด็ดดวงใจ อ้ายนั่นน่ะ กรรมหนัก เพราะว่า มันมีพันธนาการกับลูกอีก 7 ตัว

มันต้องเลี้ยงดูลูกมัน แต่เป็นไก่โสดไก่สาว ก็ตัวใครตัวมันล่ะวะ กูไม่รู้ กูไม่ใช่หมอไก่ จะ

มานั่งวิจารณ์ไก่ เออ จบ
ปุจฉา    ภาวะวุ้นลูกเสื่อม มีวิธีรักษาอย่างไร
วิสัชนา    วุ้นน้ำตาเสื่อม ต้องหาวิธีเติมน้ำตาเทียม หยอดน้ำตาเทียม แล้วก็ใช้สายตาอย่าง

ประหยัดให้มากขึ้น หลวงปู่นี่ ที่จริงต้องใส่แว่นนะ แต่กูก็อาย ใส่เวลาที่คนไม่ค่อยมี เออ

เมื่อวานไปเผาพระราขทานเพลิงศพแม่พลเอกวรเดช ต้องใส่ เพราะไม่ใส่ แสบ เจ็บตา

น้ำตาไหล ก็เลยใส่ พวกนั้น เค้ายังถามตาเจ็บเป็นอะไร แก้วตามันเป็นแผล กระจกตามัน

เป็นแผล ยาบำรุงประสาทตากิน ก็จะช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่สำคัญคือ ต้องดูแลสุจภาพตา

เมื่อคืน ตื่นตี 2 มาจารพระ พอตื่นดึกๆ บางทีนอนน้อย ตาก็จะเสื่อมเร็ว จบ
คุณก้อง    คำถามสุดท้ายนะครับ
ปุจฉา    นิ้วหัวแม่มือซ้ายล๊อก ถ้าขยับ แล้วดีดเป็นสปริง จะรักษาให้หายอย่างไร
วิสัชนา   นำอุ่นนะ ลูก ใช้น้ำอุ่นแช่ทุกวันๆ ละ 3 เวลา แช่แล้วก็นวดด้วยขี้ผึ้งเทพโอสถ ก็

จะยืดได้ แล้วก็ไปซื้อยาคลายเส้นมากิน มีสมุนไพรคลายเส้น จบ
ให้ทุกท่านที่รับชมรายการปุจฉา-วิสัชนา จงรุ่เรือง เจริญ คิดหวังสิ่งใด จงสมปรารถนา

แล้วจะเฉลิมฉลองอะไร ก็ต้องถามตัวเองว่า ต้องมีอะไรไปฉลอง เรามีความสำเร็จอะไร

เราชนะอะไร เราได้ประโยชน์อะไร และได้ผลอะไร
ถ้าไม่มี จะฉลองอะไร ก็ต้องให้รู้สึกไว้เสมอว่า นี่เรากำลังหลอกตัวเอง และคนอื่นหรือไม่
แล้วท้ายที่สุด ก็อย่าแสร้งทำดี เพื่อให้คนอื่นเค้าดูดี จงดีที่มีจากหัวใจจริงๆ แล้วเป็นใจดีๆ

แล้วดีนั้น เป็นที่พึ่งพาอาศัยได้ แม้นที่สุด วันตาย นั่นแหละ เค้าเรียก คนดี เจริญธรรม
(สาธุ)
(กราบ)
ไปพักลูก เข้าห้องน้ำห้องท่า แล้วเดี๋ยวมาปฏิบัติธรรม
ไป กราบพระ แล้วก็ไปเข้าห้องน้ำห้องท่า
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ได้สั่งไปว่า ให้เตรียมเครื่องอุปกรณ์กันฝนมา เตรียมมาหรือเปล่า
เออ ตัวใครตัวมึง บอกแล้ว เตือนแล้ว สั่งไว้แล้ว
ไปเข้าห้องน้ำห้องท่า ล้างหน้าล้างตา แล้วเดี๋ยวมาปฏิบัติธรรม
เคลียร์พื้นที่ด้วย ลูก เสื่อสาด ของ อาสนะเก็บ

3  มิ ย  2555   15.15 น. ระหว่างปฏิบัติธรรม โดย องค์หลวงปู่พุทธะ

อิสระ
ขั้นที่ 1 ภาค 1, ขั้นที่ 1 ภาค 3, ขั้นที่ 3, ท่ายืน นั่ง เดิน, นอน
• วิถีแห่งการตรัสรู้มันมีอยู่ พระพุทธเจ้าทรงชี้  หน้าที่ของเรา คือ ต้องเตรี

ยมตัวเพื่อเดินทาง ทุกวันนี้ เราไม่ได้เตรียมตัวเพื่อเดินทาง จ้องที่จะลากซากศพไปในทาง

สุดท้ายมันก็ไปตายกลางทาง
• สิ่งที่สอน ก็คือ สิ่งที่เตรียมตัวเพื่อจะเดินทาง
• ที่จริงแล้ว ทางมีอยู่ แต่ตัวเราจะเดินเข้าไปตามทางอย่างแข็งแรง หรือ

อย่างรุ่งริ่ง ร่วงโรย ร่วงหล่น นั่นแหละ สำคัญที่สุด
• ชั่วชีวิตหลวงปู่ พร่ำสอนให้คนเดินอยู่อย่างแข็งแรง บอกและเล่าให้ฟังอยู่

เนืองนิจว่า ทุกครั้งที่หลวงปู่จะขอพรจากสวรรค์และฟ้าดิน ไม่ได้ขออะไรมาก ขอสองขาข้า

จงแข็งแรง หนึ่งตัวข้าตั้งมั่น สองมือข้าทำได้ หนึ่งหัวข้าคิดออก หนึ่งใจรู้ยอดเยี่ยม
• ถึงวันนี้ ก็ยังไม่สามารถจะบอกได้ว่า ตัวเองแท้ๆ จริงน่ะ มันมีกี่ตัวกันแน่

เออ มันกี่ตัวกันแน่ที่มันซ้อนตัว ทับตัว กี่ตัวคร่อมตัว
• จะมีปัญญา รู้ชัดตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงหรือไม่ ต้อง

ฝึกปัญญาให้เยอะ
• ขั้นที่ 1 ภาคที่ 3 เดินจนกายรวมกับใจและจังหวะ  สามอย่างรวมเป็นหนึ่ง

จนกลายเป็นองค์ฌาน
• ทำไมเราไม่เลือกสร้างชาติสร้างภพที่มันสมบูรณ์ หรือแม้ที่สุด เห็นว่า

ความทุกข์มันเกิดกับทุกชาติทุกภพ ก็ยุติมันเสีย ไม่ต้องสร้างต่อไปอีก
• นั่นคือ อย่าเอาจิตไปแส่หาเรื่อง อย่าสร้างเรื่อง
• หน้าที่ของเรา ฝึกตัวรู้ให้แข็งแรง
เอ้า เตรียมเข้าที่ ใครไม่เคยฝึกมา ยกมือขึ้น รุ่นพี่เค้าจะได้เข้าไปแนะนำ ไปชี้บอก สิ่งที่ฝึก

ต้องทำความเข้าใจว่า มันก็คือ การเตรียมตัว เตรียมการ ไม่ให้เป็นบุคคลพิการ ให้มีสองขา

แข็งแรง หนึ่งตัว ตั้งมั่นอย่างมั่นคง หนึ่งหัวองอาจสง่างาม หนึ่งใจเราก็แจ่มใส รู้ชัดตาม

สภาพธรรมที่ปรากฏ สองมือเข้มแข็ง
วิถีแห่งการตรัสรู้มันมีอยู่ พระพุทธเจ้าทรงชี้ หน้าที่ของเรา คือ ต้องเตรียมตัวเพื่อเดินทาง

ทุกวันนี้ เราไม่ได้การเตรียมตัวเพื่อเดินทาง เราจ้องที่จะลากซากศพไปในทาง สุดท้าย มันก็

ไปตายกลางทาง
งั้น สิ่งที่สอน ก็คือ สิ่งที่เตรียมตัวเพื่อจะเดินทาง ทางมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าทรงชี้และแนะ

เรามีหน้าที่ที่จะเตรียมตัว เพื่อจะเดินทาง แล้วการจะเดินทาง ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
ใจต้องแข็งแรง ปัญญาต้องใสสะอาด ฉลาดแหลม กำลังกายต้องเข้มแข็ง  หนึ่งตัวต้องตั้ง

มั่นองอาจสง่างาม เราต้องพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์
แต่ทุกวันนี้ เราไม่ใช่ไง เรามีคนที่ไม่พร้อม แล้วอยากจะพร้อม พร้อมแบบอยากๆ พอ

หมดอยาก ก็หมดพร้อม สุดท้ายก็กลายเป็นไม่พร้อม แล้วก็ไม่มีใครถึงซักที มันก็เลยถึงคำ

ว่า ยุคอันตรธาน เรียกว่า ปฏิเวธะอันตรธาน
ปฏิบัติอันตรธานไม๊
ปฏิบัติไม่อันตรธาน ปฏิบัติก็ยังทำกันอยู่ เหมือนที่ทำๆ ลูบๆ คลำๆ กันอยู่
ถ้าถึงขั้นปริยัติอันตรธาน เรียกว่า ไม่มีธรรมะสอนแล้ว แสดงว่า แย่แล้วล่ะ แต่ตอนนี้ ยัง

อยู่ในขั้นปฏิเวธะอันตรธาน คือ อันตรธานมี 3 อย่าง ปฏิเวธะอันตรธาน ปฏิบัติอันตรธาน

ปริยัติอันตรธาน
อัตรธาน แปลว่า มันสาบสูญ แล้วหายไปเลย เดี๋ยวนี้ ปฏิเวธะมีแต่อวดอ้าง ไม่ใช่ ไม่ค่อย

เป็นของจริง แสดงว่า ของจริงมันอันตรธาน เพราะเหตุผลว่า เราไม่เข้าใจว่า จะทำยังไงให้

เกิดปฏิเวธะ เราไม่เข้าใจ เราคิดว่า เราต้องหาทางเอง ขวนขวายหาทางเอง ค้นหาทางเอง
ที่จริงแล้ว ทางมีอยู่ แต่ตัวเราจะเดินเข้าไปตามทางอย่างแข็งแรงหรืออย่างรุ่งริ่ง ร่วงโรย

ร่วงหล่น นั่นแหละ สำคัญที่สุด
ชั่วชีวิตหลวงปู่ พร่ำสอนให้คนเดินอยู่อย่างแข็งแรง บอกและเล่าให้ฟังอยู่เนืองนิจว่า ทุก

ครั้งที่หลวงปู่จะขอพรจากสวรรค์และฟ้าดิน ไม่ได้ขออะไรมาก ขอสองขาข้าจงแข็งแรง

หนึ่งตัวข้าตั้งมั่น สองมือข้าทำได้ หนึ่งหัวข้าคิดออก หนึ่งใจรู้ยอดเยี่ยม ใช้ได้ล่ะ เท่านี้ ก็ถือ

ว่า ความสำเร็จ ไม่ว่าจะทางไหนก็เดินได้หมด แต่ถ้าทางสะดวก รถวิ่งสบาย ลาดยาง เท

ปูนอย่างดี แต่ขาเปลี้ย ตัวไม่ตั้ง งอเก้งก้าง หัวก็คิดไม่ค่อยออก ใจก็อ่อนแอ ป้อแป้ ตายอยู่

กับที่ ไม่ได้ไปไหน
งั้น สำคัญคือ อยู่ที่ตัว พระพุทธเจ้าจึงสั่งสอนเรา บอกเรา เตือนเราว่า อัตตาหิ อัตโนนาโถ

ตนเป็นที่พึ่งของตน  แล้วค้นหาตัวเองหรือยัง ให้พึ่งตัวเองให้ได้ หลวงปู่บวชพรรษาแรกเนี่ย

ถามคำนี้ หาคำนี้ แสวงหาเรื่องนี้มาชั่วชีวิต
ถึงวันนี้ ก็ยังไม่สามารถจะบอกได้ว่า ตัวเองแท้ๆ จริงน่ะ มันมีกี่ตัวกันแน่ เออ มันกี่ตัวกัน

แน่ที่มันซ้อนตัว ทับตัว กี่ตัวคร่อมตัว  งั้น ต้องค้นหาตัวเอง
แล้วเมื่อเจอะเจอตัวเองแล้ว เดินตามทาง นั่นแหละ ไม่มีใครกล้ายุ่ง
มันจึงมีคำเรียกขานทางนั้นว่า เป็นเอกเทศ เรียกว่า มรรคาปฏิปทา หนทางของบุคคลผู้เดียว

เดินไป บุคคลผู้เดียวโดยไม่มีตัวซับซ้อน บุคคลผู้เดียวที่แข็งแรงอย่างจริงจัง ไม่ใช่แบก

พะรุงพะรัง ผัวกู แม่กู พ่อกู ญาติกู สมบัติกู ตัวกู ของกู
แบกไป มันไปไหนล่ะ มันก็ไปวัฏฏะสิ ไม่ได้ไปทาง มันก็วนไปเรื่อย ให้เข้าใจ
ไป เตรียมตัว ลุกขึ้นยืน
(กราบ)
เตรียมปฏิบัติธรรม ใครที่ไม่เคย ก็ให้รุ่นพี่ช่วยแนะนำ เออ วันนี้น่ะ ปฏิบัติยัน 5 โมงครึ่ง

บอกแล้วว่า จะเข่นพวกมึง สองวันสองคืน พรุ่งนี้ ให้ เตรียมกระดาษปากกาคนละแท่ง คน

ละแผ่นนะเว้ย
ไปอยู่ข้างนอกๆ บ้างก็ได้ ฝนมันไม่ตก ไปเดินข้างนอกๆ ใส่รองเท้า
ขั้นที่ 1 ภาคที่ 1 เริ่ม
ไม่ได้เดินหาภพ หาชาตินะ เดินเพื่อตัดภพ ตัดชาติ
.............
คิดไปถึงไหน รู้ไม๊ว่า คิด นั่นคือ ชาติหนึ่งแล้ว คิดครั้งหนึ่ง ก็ 1 ชาติ คิดบ่อยๆ ก็กลาย

เป็นมหาชาติ
พระพุทธเจ้าสอนว่า ใจเป็นนาย ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า
ถ้าคิดออกจากใจ ก็แสดงว่า เรากำหนดชาติภพของเราแล้ว
นิพพานแปลว่า ความดับเย็น ว่าง มันไม่มีชาติ ไม่มีภพ
จิต เจตสิก รูป และนิพพาน เกิดทุกขณะ
...............
ขั้นที่ 1 ภาคที่ 3
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่แนะนำ
เก็บให้หมดทุกจังหวะ
จะมีปัญญา รู้ชัดตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงหรือไม่ ต้องฝึกปัญญาให้เยอะ
หายไป 1 จังหวะ ก็แสดงว่า ปัญญาตกค้างไปหนึ่งล่ะ เก็บให้หมด
..................
ต้องไม่ให้ขาดแม้แต่จังหวะเดียว ครึ่งจังหวะก็ไม่ให้ขาด
เดินจนกายรวมกับใจและจังหวะ  สามอย่างรวมเป็นหนึ่งจนกลายเป็นองค์ฌาน เป็นเอกัค

คตาจิต มีอารมณ์หนึ่งเดียว เราจะรู้สึกเพลิดเพลินและเป็นสุขในขณะที่เดิน
.............
สำคัญ ไม่ใช่เดินหาภพชาติ แต่เป็นการเดินตัดภพตัดชาติ
..................
มีแต่ตัวรู้ แต่ไม่ปรุง
.................
รู้จังหวะ รู้เดิน
...............
เอ๊ย ทำไมไม่สอนผู้เฒ่า ทำไมมึงไม่บอก
................
ก้าวให้ครบจังหวะ
.................
เก็บให้หมดทุกจังหวะ ครึ่งจังหวะก็ไม่ให้เคลื่อน
...............
ขยับขึ้นขั้นที่ 3
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่เข้าไปแนะนำ
................
รุ่นพี่ที่แนะนำเค้าเนี่ย เป็นการสร้างบารมีของตัวเองนะ เค้าทำได้เท่าไหร่ เราจะได้เท่ากับที่

เค้าทำ
.............
รวมกับของเรา จะได้มากกว่าเค้าอีกด้วย
................
จังหวะสั้น จังหวะยาว เว้นให้ถูก ก้าวจังหวะ เว้นจังหวะ ไม่ว่าสั้นหรือยาว เว้นเท่ากัน
เอกัคคตารมณ์ เป็นอารมณ์ของโลกส่วนตัว ซึ่งไม่มีคนอื่นเกาะเกี่ยว ไม่มีอารมณ์อื่นเข้ามา

วุ่นวาย
................
เป็นอารมณ์ขององค์คุณแห่งปฐมฌาน
................
ที่ว่า เป็นองค์คุณแห่งปฐมฌาน ก็เพราะว่า มันยังไม่ยั่งยืน
ถ้ายั่งยืน ก็จะกลายเป็นฌานที่ 4 คือ อุเบกขา กับ เอกัคคตา
...............
เว้นให้ถูก ไม่ว่าจังหวะสั้นหรือยาว ก็ต้องเว้น
..............
ไม่ได้เดินหาชาติภพนะ เดินเพื่อตัดชาติภพนะ
...............
เดินหาชาติภพน่ะ เป็นพวกสัมภเวสี ผู้แสวงหาชาติเกิด ภพเกิดนะ
.................
เราไม่ใช่สัมภเวสี ผู้แสวงหาชาติภพเกิด เราจะยุติชาติภพ
...............
ล่องลอยครั้งหนึ่ง คิดครั้งหนึ่ง ก็หนึ่งภพ หนึ่งชาติแล้ว บ่อยเข้า ก็กลายเป็นมหาชาติ
...................
กลับเข้ามาอยู่ ขั้นที่ 1 ภาคที่ 3
............
เดินทุกจังหวะ ไม่ต้องเว้น
............
จะไปไหน จะไปเกิดที่ไหน
..............
ไม่เบื่อทุกข์บ้างหรือไง เดินแสวงหาชาติเกิดอยู่นั่นแหละ สัดส่าย สับสน
...................
หยุดอยู่กับที่ หลับตา
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
หายใจออก เบา ยาว หมด ผ่อนคลาย
สังเกตุดูว่า ในร่างกายเรา ตรงไหนที่มันตึงเครียด ปวดเมื่อย ขมึงทึง เกร็ง สูดลมหายใจเข้า

ไปให้ลมผ่านจุดนั้นๆ แล้วหายใจออกมาทางปาก ยาวๆ
.................
หายใจเข้าไปใหม่ กว้าง ลึก เต็ม
...................
ออก เบา ยาว หมด ให้ผ่อนคลาย
..................
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม อีกครั้ง ให้ปอดขยาย ยกอกขึ้น
แล้วผ่อนลมออก เบาๆ ยาวๆ ช้าๆ อย่างผ่อนคลาย
................
ทิ้งลมหายใจ ลืมตา
จิตตั้งอยู่กลางกระหม่อม รู้อยู่ที่กลางกระหม่อม สัมผัสได้ที่กลางกระหม่อม
ไม่ใช่เหลือกตาขึ้นดู ไม่ใช่เงยหน้าขึ้นมอง
รู้สึกได้ที่กลางกระหม่อม นิ่งอยู่ที่กลางกระหม่อม
บนกลางกระหม่อม มีพระพุทธะองค์หนึ่งที่สถิตย์อยู่ คือ ผู้รู้ ตื่น และเบิกบาน
................
ที่ไม่สอนให้หลับตา เพราะไม่อยากให้พิการ
ท่านผู้รู้ต้องไม่พิการ ลืมตา หลับตา มีสภาพคล้ายกัน เหมือนกัน
ถ้าเริ่มจากหลับตา เดี๋ยวลืมตาก็ไม่ได้
................
ท่านผู้รู้ ต้องสถิตย์อยู่ทั้งลืมตาและหลับตา
..............
เอ้า ทีนี้ ค่อยๆ หรี่เปลือกตาลงช้าๆ ดูซิ ท่านผู้รู้ยังอยู่ไม๊
.............
รู้อยู่ที่กลางกระหม่อม ตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อม รู้อยู่กลางกระหม่อมตัวเอง ไม่ใช่ไปรู้คนอื่น
.............
เมื่อเห็นว่า ท่านผู้รู้เบิกบาน แจ่มใส ตั้งมั่นอยู่กลางกระหม่อม แล้วค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งช้าๆ

อย่าให้ท่านผู้รู้เคลื่อน เลื่อนหลุดไปไหนเด็ดขาด ถ้าเคลื่อนเลื่อนหลุด ต้องลุกขึ้นยืนใหม่
.............
นั่งอยู่กับท่านผู้รู้ คือ พระพุทธะของเรา ครูของเรา ผู้วิเศษแห่งเรา
...........
ไม่มีชาติมีภพ มีแต่รู้ ตื่น และ เบิกบาน
.............
นั่งลงไป แล้วลองลืมตาดูว่า ท่านผู้รู้ยังอยู่กับเราไม๊ ไม่ใช่หลับตา
.............
ใครที่ท่านผู้รู้หายไปแล้ว ให้ลุกขึ้นยืนมาเหมือนเดิม
.................
อย่านั่งแบบไม่รู้ ยืนก็ต้องรู้ นั่งก็ต้องรู้ เดินก็ต้องรู้ นอนก็ต้องรู้ เรากำลังฝึกตัวรู้ ไม่ใช่ไม่รู้
เพราะไม่รู้แล้ว ชาติภพ อุปาทาน ตัณหา อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป มันจะปรากฏขึ้น

ทีนี้ ก็มีทุกข์ ชรา มรณะ พยาธิ ตามมาพรั่งพรูหลั่งไหลถาถม
งั้น ต้องรู้อย่างเดียว รู้อย่างเดียวเท่านั้นจึงจะสามารถกำหราบ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน นาม

รูป ชาติ ภพ ชรา มรณะ พยาธิได้
สรุปง่ายๆ คือ กำหราบทุกข์ให้ได้ด้วยความรู้ สร้างท่านผู้รู้ให้เกิดขึ้น สถิตย์ตั้งอยู่

กลางกระหม่อม
..................
ไม่ได้ให้หลับตา ให้ลืมตาดูท่านผู้รู้ สัมผัสให้ได้ที่กลางกระหม่อม
...............
พวกที่ไม่รู้ กำลังแสวงหาชาติเกิด ภพเกิด ซึ่งไม่แน่ใจว่า จะเป็นสุขคติ หรือ ทุกขคติ เพราะ

ล่องลอยไปเรื่อย จิตที่ไม่ตั้งมั่น สัดส่าย คือ อวิชชา ความไม่รู้ ก็จะเกิดสังขาร การปรุง

วิญญาณที่รับรู้แบบผิวเผิน ครึ่งๆ กลางๆ ก็จะนำพาไปสร้างรูปนามในทางที่ผิด มีแดนต่อ

อารมณ์ คือ สฬายตนะแบบบิดเบี้ยว ความถูกก็แปลเป็นผิด ความผิดก็กลายเป็นถูก เกิด

ผัสสะ เกิดเวทนา ในทางที่เลวร้าย
แล้วสุดท้าย มีตัณหา อุปาทาน ก็ไปอยู่ในชาติภพที่เป็นทุกขคติ
เราเป็นคนสร้างชาติภพเอง ไม่ใช่พระพรหมบันดาล ไม่ใช่คนอื่นมาชี้นำ
................
ทำไมเราไม่เลือกสร้างชาติสร้างภพที่มันเป็นชาติภพที่สมบูรณ์ หรือแม้ที่สุด เห็นว่า ความ

ทุกข์มันเกิดกับทุกชาติทุกภพ ก็ยุติมันเสีย ไม่ต้องสร้างต่อไปอีก
นั่นคือ อย่าเอาจิตไปแส่หาเรื่อง อย่าสร้างเรื่อง
..................
อย่าสร้างเรื่องให้จิต อย่าสร้างอารมณ์ให้จิต อย่าทำอารมณ์ให้เป็นอาลัย จะได้ไม่มีอะไรใน

อารมณ์
อยู่กับท่านผู้รู้ รู้อยู่ที่กลางกระหม่อม
...............
รู้อยู่เฉยๆ ทีนี้หลับตา สำรวจท่านผู้รู้ ว่าชัดเจนไม๊
...............
เสร็จแล้ว ลืมตาช้าๆ ท่านผู้รู้ ยังคงอยู่ไม๊
..............
ทีนี้ ลุกขึ้นยืน อย่าให้ท่านผู้รู้ เคลื่อนไปไหน
...............
ก็บอกแล้วว่า ต้องรู้ได้ทุกอิริยาบท ไม่ใช่อิริยาบทใดอิริยาบทหนึ่ง นั่นแสดงว่า เราพิการ
รู้ยืน แต่นอนไม่รู้ ก็แสดงว่า พิการ
..................
รู้นอน แต่เดินไม่รู้ ก็แสดงว่า เดินพิการ
รู้นั่ง แต่ยืนไม่รู้ ก็แสดงว่า ยืนพิการ หลวงปู่กำลังไม่ได้สอนคนพิการ
...................
ทุกอิริยาบท ต้องรู้หมด ยืนก็รู้ เดินก็รู้ นั่งก็รู้ นอนก็รู้
.............
ใครที่ไม่รู้ ให้นั่งลง เมื่อตัวรู้หายไปแล้ว ให้นั่งลงไป
..............
เห็นไม๊ว่า มีความพิการแล้ว เพราะคนพิการอย่างนี้แหละ จึงเดินทางเข้าไปสู่มรรคาไม่ได้
ในวิถีแห่งมรรคา ต้องการแต่บุรุษและสตรีที่แข็งแรงเท่านั้น ถ้าพิการ ทำไม่ได้
พิการเข้าไปไม่ได้ในวิถีแห่งมรรคานั้น
..................
เห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ สติชอบ สมาธิชอบ
ในวิถีแห่งความชอบนี้ ต้องอาศัยคนที่แข็งแรงและไม่พิการเท่านั้น จึงจะเข้าไปได้
..................
มันจะยาวมากสำหรับคนพิการ แต่มันจะสั้นมากสำหรับคนที่แข็งแรง
................
บางทียาวเป็นหลายอสงไขยสำหรับคนพิการ แต่แค่จิตวางสำหรับคนที่แข็งแรง
หน้าที่ของเรา คือ ฝึกตัวรู้ให้แข็งแรง
เดิน พร้อมท่านผู้รู้ อยู่ที่ศีรษะ
ออกเดิน พร้อมท่านผู้รู้ให้อยู่ที่ศีรษะ
...................
เดินอย่างผู้รู้ มีผู้รู้อยู่บนกลางกระหม่อม
ถ้าเมื่อไรที่ไม่รู้ ต้องหยุดอยู่กับที่
................
เมื่อผู้รู้ ตายไปแล้ว เคลื่อนไปแล้ว หล่นไปแล้ว หรือหายไปแล้ว ต้องหยุดเดิน
.............
อย่าฝึกให้เดินเป็นเด็กเตาะแตะ หรือเพิ่งเกิดออกจากท้องแม่ คลานต้วมเตี้ยม
กูกำลังสอนคนที่แข็งแรงและเป็นผู้ใหญ่
..............
ถ้ารู้แล้ว ค่อยๆ ย่อง เป็นคนพิการ เป็นคนป่วย คนอ่อนแอ มันจะมีประโยชน์อะไร
ชีวิตปัจจุบันเป็นอย่างไร ต้องรู้ให้ได้เหมือนอย่างปัจจุบัน
................
มารอ ย่อง แล้วจึงรู้ รอหยุด รอนิ่ง แล้วจึงรู้ แสดงว่า เราอ่อนแอและป่วย
................
รักษาตัวรู้ให้ได้ ให้มั่นคง
ตัวรู้ มีสภาพธรรมอย่างไร ไปค้นหาเอาเอง
..............
อะไรปรากฏขึ้นที่กลางกระหม่อม
............
เพ่งจิต ไม่ใช่เพ่งลูกตา อย่ารู้ผิดๆ
ใครที่ไม่กระพริบตา เพ่งตา เบิ่งตา ถ่างตา นั่นน่ะ แสดงว่า เรากำลังรู้ทางตา ไม่ใช่รู้ทางจิต
เข้าใจผิดแล้วล่ะ เรากำลังใช้สัญชาตญาณในการรับรู้ ไม่ใช่ปัญญาในการรับรู้แล้วล่ะ ต้อง

แยกให้ชัด
..............
เรามีสัญชาตญาณในการรับรู้ทางตา ก็ใช้ตาเข้ามาสอดส่ายหาความรู้ นั่นแสดงว่า ผิด

เพราะสิ่งที่เรารู้ ตาดูไม่ได้ แต่จิตสัมผัสได้
จิตจะสัมผัสได้ ต้องมีปัญญา ต้องมีสติตั้งมั่น ต้องสงบระงับ มีสมาธิพอควร
.................
ไม่ใช่ใช้ตา เพราะตาเป็นสัญชาตญาณ
...............
เดินอย่างท่านผู้รู้ ยืนอย่างท่านผู้รู้ นั่งอย่างท่านผู้รู้
.................
(เทปหายไปประมาณ 5 นาที)
หลังจากปฏิบัติ
พอเพ่งจิต ดีแตก หลับเลย ปุถุชนก็อย่างนี้ อีดิน อ้ายน้ำ นางลม อีไฟ
ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ลูก ดีกว่าอยู่เปล่าๆ
ถวายทาน เดี๋ยวจะได้ไปพัก เดี๋ยวไปพัก ว่า นะโม 3 จบพร้อมๆ กัน
...............
หลวงปู่ให้พร
................
โชคดี ลูก ธรรมะรักษา เดี๋ยวไปพัก แล้วก็ 7 โมง  สองชั่วโมงไปพัก พอไม๊
เออ 7 โมง มารวมกัน เจริญพระพุทธมนต์ พรุ่งนี้เช้าตื่น ตี 4 ครึ่ง ตี 5 ก็มาเจริญพระ

พุทธมนต์
ไป กราบพระ อะระหัง สัมมา
................
เย็นนี้ หลังจากเจริญพระพุทธมนต์ ฟังพระไตรปิฎก แล้วก็ลองวิจารณ์สิ่งที่สอนและทำไป

ดูซิว่า ได้ประโยชน์ ไม่ได้ประโยชน์อย่างไร มีเวลา พรุ่งนี้ ก็เป็นวันสิสาขะ
ไปพัก ลูก
(กราบ)