2 ก ย 2555    13.30 น. ถอดซีดี ธรรมะสัปดาห์ที่ 1 ของเดือน โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

• คาถาที่ศักดิ์สิทธิ์น่ะ มันคือ จิตที่อยู่กับมนต์
• เส้นทางในการสำเร็จพระอริยเจ้า มันจะมาดูกันด้วยวัย ด้วยอายุขัย ด้วยอยาก ไม่ได้
มันต้องดูด้วยวิบากกรรมของแต่ละคนๆ ที่สั่งสมมา
• สกุลศากยวงศ์ คือ หมู่หนอนขี้ที่ไต่ขึ้นมาตามชายจีวรโดยไม่แปดเปื้อนมูตคูต และกองขี้
(กราบ)
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน ผู้รับชมรายการ ปุจฉา วิสัชนา คุณมนัส ตั้งสุข        ผู้ดำเนินรายการ ญาติโยมพุทธบริษัท ผู้อยู่ ณ. สถานที่ศาลาวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) เนื่องในกิจกรรมแสดงธรรมประจำเดือน ของอาทิตย์ต้นเดือน ซึ่งเมื่อเช้าก็มีรักษาคนไข้ ประมาณซัก 60 กว่าคน แล้วก็ ช่วงบ่ายก็มีแสดงธรรม ปฏิบัติธรรม
วันนี้ ที่จริงแล้ว มีเรื่องที่จะคุย 2 เรื่อง ที่อยากจะอธิบายขยายความให้ฟัง
เรื่องแรก ก็คือ เมื่อครู่นี้ ได้ยินว่า พิธีกรเค้าเชิญชวนให้เรามาร่วมงานวันกตัญญู ซึ่งทุกปี

ของอาวาสวัดอ้อน้อยในเดือนสิงหาคม คือ วันที่ 10 สิงหาฯของทุกปี ก็จะมีทำบุญอุทิศ

ส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษ แล้วก็ท่านผู้มีคุณแก่อาวาส ท่านผู้มีคุณแก่ศาสนา รวมทั้งดวง

พระวิญญาณของอดีตบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า บรรพบุรุษคนไทยชาวไทยผู้มีคุณต่อ

แผ่นดิน แล้วก็สรรพสัตว์ทั่วไป แต่ในเวลาที่ผ่านมาในเดือนสิงหาคม มีกิจกรรมมาก ก็เลย

เลื่อนมาเป็นวันที่ 30 กันยาฯ
ปีนี้ มีกิจกรรมพิเศษก็คือ มีกิจกรรม เค้าเรียกว่า เปรตพลี เปรตพลี ก็เหมือนกับพวกเรา มี

พิธีทั้งพิธีพราหมณ์ พิธีพุทธ พิธีจีน พิธีไทย
พิธีจีน ก็คล้ายๆ กับที่พวกเราไหว้ผีไม่มีญาติ ข้าวหม้อ แกงหม้อ ขนมนมเนยอะไรที่มาวางๆ

ข้างทาง จุดธูป น้ำเป็นขวดๆ เป็นตุ่มๆ เป็นถังๆ อะไรอย่างนี้
ถ้าเป็นประเพณีไทย เค้าก็เรียกว่า เป็นเครื่อง ตั้งเครื่องพลีกรรมต่อผีไม่มีญาติ เค้าก็จะกลัด

กระทง  เค้าเรียกเอาใบตองมาทำกระทง แล้วก็เอาอาหารคาว หวาน ใส่เข้าไปในกระทง แต่

ละชนิดๆ แล้วก็ไปวางตามทางสามแพร่งบ้าง เค้าเรียกว่า เซ่นเจว็ด หรือไม่ก็ บางคนก็เอา

มาใส่ถ้วยเป็นสำรับ แล้วก็ไปวาง แล้วก็จุดธูป เรียกพวกผีไม่มีญาติ ผีพวกนี้ ก็มีพวกอะไร

บ้าง ตามตำรานะ นี่ไม่ได้อวดอุตริมนุสธรรม เดี๋ยวจะหาว่า ติดต่อกับสตีฟ จ๊อบได้ อะไร

อย่างนี้ ไม่ใช่
ตามตำรา ตามธรรมเนียมปฏิบัติเค้าทำกันมา เค้าก็มีผีอะไรบ้างที่จะมากินอาหารพวกนี้ได้

ก็มีพวกสัมภเวสี พวกอสุรกาย พวกเปรต ผีโป่ง ผีป่า ผีบ้าน ผีเรือน แล้วก็ ผีตายโหง ผีตาย

ห่า ผีตายท้องกลม ผีสารพัดผี ยกเว้น ผีพนัน เออ ผีพนันนี่คงจะไม่ได้ ลูก ผีขี้เมา ขี้โม้ คง

ไม่ได้ ผีประเภทที่ว่า ยังไม่ได้ไปสู่สุขคติ ยังอยู่ในทุคติภพ แล้วยังเวียนตายเวียนเกิด วน

เวียนอยู่ในภพภูมิของมนุษย์ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์ แล้วก็ยังหาที่อยู่ไม่ได้เป็นหลักเป็น

แหล่ง เค้าก็เรียกพวกนี้ว่า สัมภเวสี หรือไม่ก็ พวกเปรต พวกอสุรกาย พวกนี้ก็อยู่ใน

ประเภทที่กินอาหารที่ชาวบ้านเค้าเซ่นสรวง หรือทิ้ง หรือว่า ซากอสุภะ หรือว่า ซากศพ

พวกนี้เค้าเรียกอีกอย่างว่า ผีอดอยาก
แต่ละปี เราก็จะมีกิจกรรม ถ้าธรรมเนียมไทย จริงๆ เค้าก็จะมีสาร์ทเดือน 10 เรียกว่า

สาร์ทกลางเดือน 10 ถ้าธรรมเนียมจีน เค้าก็เพิ่งจะผ่านไป เค้าเรียกอะไร สาร์ทจีน เค้าทำ

กัน
งั้น วันที่ 30 นี้ ก็ทำทั้งธรรมเนียมไทย ธรรมเนียมจีน ก็จะตั้งเครื่องเซ่น เครื่องพลีกรรม

ให้กับผีไม่มีญาติ และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ไม่ใช่ตั้งข้าวหม้อ แกงหม้อ อาหารคาวหวานเท่านั้น
ให้ทุกคนเอากระดาษ มาเขียนความดีของตน ในชีวิตมีดีอะไรกับเค้าบ้าง มีไม๊ (มี) เออ

นึกๆได้ พยายามนึกให้ได้ก็แล้วกัน เขียนใส่กระดาษ แล้วอ่านให้ผีฟัง
เออ เขียนใส่กระดาษ แล้วอ่านให้ผีฟัง แล้วก็ขอให้ผีเหล่านั้นอนุโมทนาความดี
อันนี้ เค้าเรียกว่า พลีสูงสุด ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนา จุดธูป 1

ดอก วางเครื่องพลี แล้วก็ อ่านความดีที่เราเขียนใส่กระดาษ ทำดีอะไรบ้าง
ไม่ใช่บอกว่า ชีวิตชั้นไม่มีดีอะไรเลย อย่างนั้นมันคงก็ไม่ได้ มันก็ต้องมีดีซักอย่าง เขียน

แล้วก็อ่านให้ผีฟัง ให้ผีเค้าอนุโมทนา แล้วก็เอาไปใส่ในพานในขันที่เค้าเตรียมไว้ ถึงเวลาก็

จะมาชักบังสุกุล กรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศล แบ่งความดีเหล่านั้นให้กับผีทั้งหลาย แล้วก็ไปเผา
นี่คือ เสร็จธรรมเนียมปฏิบัติทั้งจีน ทั้งไทย ทั้งเขมร ทั้งลาว เค้าทำกันแบบนี้
งั้น วันกตัญญูปีนี้ ก็เป็นวันกตัญญูที่ทำให้มันสมบูรณ์แบบ ทำให้เป็นต้นแบบ เป็นเยี่ยงอย่าง

สำคัญไม่ใช่เครื่องเซ่น แต่อยู่ที่ความดีของเราที่จะไปเซ่นทำพลี เพราะว่า ถ้าเราเชื่อ เรื่อง

บุญสำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนา พระพุทธเจ้าสอน ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จได้ด้วยการ

อนุโมทนา เราเป็นผู้มีบุญ ก็บอกกล่าวให้ผีเค้ารู้ว่า เรามีบุญอะไร เค้ารู้เข้า เค้าก็จะได้ร่วม

สาธุโนโมทนากับเราได้ นี่เรื่องหนึ่ง
เรื่องที่ 2 ก็คือ สืบเนื่องเรื่องเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์ที่แล้วนี้ ให้ปฏิบัติกรรมฐานในวิถี

แห่งสติ คือให้ไปเจริญมนต์ หลังจากสอนพวกเราแล้ว ให้ไปเจริญมนต์บทหนึ่งล่ะ เจริญ

มนต์ไม่จบ ก็คงจะเยอะไป บทเดียวก็ยังไม่จบ อ้ายที่ไม่จบ ไม่ใช่อ่านหนังสือไม่ออก แต่

เพราะว่าเราไม่ซื่อตรงต่อมนต์ ไม่อยู่กับมนต์ จิตไม่ตั้งอยู่กับมนต์ มนต์กับจิตไม่รวมเป็น

หนึ่ง สวดยังไม่ได้กี่บรรทัดก็แว๊บออกไป แล้วก็กลับมาสวดใหม่ เรียกว่า ลิงหลอกเจ้า
รุ่งขึ้น วันจันทร์ก็สอนพระ เห็นชาวบ้านสวดเยอะ อาจจะไม่ได้ เลยสอนพระให้สวด เอาแค่

นะโม 3 จบ นึกว่า คุณพระจะได้ พระก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน แค่ นะโม 3 จบ ใช้เวลาก็

ประมาณร่วม 2 ชั่วโมง ก็ยังสวด นะโม ไปกลับไม่จบ ก็ทำให้เห็นว่า มนุษย์น่ะ มันมี

วิบากจิต เค้าเรียกว่า วิบาขจิต ก็ทำให้นึกถึงพระอรหันต์รูปหนึ่ง คือ ท่านจุฬปันถก ท่านได้

เป็นพระอรหันต์ แต่ว่าอดีตของท่านก่อนจะเป็นอรหันต์ เป็นพระภิกษุสาวกที่โง่มากๆ

สาเหตุก็เพราะว่า นะโม 3 จบ สวดใช้เวลา 3 เดือน ยังไม่ได้
ทีนี้ เข้าใจหรือยังว่า ทำไม นะโม จุลฬปันถกจึงใช้เวลาตั้ง 3 เดือน ยังไม่ได้ ก็เพราะว่า

สมัยก่อนพระอรหันต์จะทำอะไร หรือ พระอริยเจ้า หรือ พระภิกษุ ผู้จะทำอะไร ท่านจะทำ

อย่างซื่อตรงไง ปากพูด ใจคิด มือทำ, มือทำ ใจคิด ปากพูด, ใจคิด ปากพูด มือทำ

อย่างนี้เป็นต้น คือ ทำ พูด คิด เรื่องเดียวกัน แต่เผอิญท่านจุลฬปันถกตอนนั้นท่าน ปากพูด

อีกอย่าง ใจไปคิดอีกอย่าง มือทำอีกอย่าง นะโม ท่านก็เลยใช้เวลานานตั้ง 3 เดือน
มองกันโดยผิวเผิน ก็ถือว่า อาจจะสติไม่ตั้งมั่น เป็นเรื่องของจิตวิปลาส จิตวิปริต หรือไม่ก็

เกิดถีนมิทธะ ความง่วงหวาวหาวนอน เกิด อุทธัจจะกุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน หงุดหงิด

รำคาญใจ คือ จิตไม่อยู่กับร่องกับรอย จิตไม่ตั้งมั่น ไม่คงที่
แต่ถ้ามองโดยคุณลักษณะของจิต เจตสิก รูป นิพพาน ซึ่งเป็นคุณลักษณะของหลักอภิธรรม

แล้ว ก็จะมองได้ว่า มันเป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่ง เป็นอกุศลวิบาก เพราะว่า ท่านจุลฬปันถก

ท่านก็มีวิบากกรรม เมื่อสมัยอดีต เพราะว่า ฟังธรรมก็ไม่ใส่ใจฟัง หลับๆ ตื่นๆ ซักบ้าง เออ

ไม่สนใจ หลุกหลิกๆ ปฏิบัติธรรมก็ไม่จริงจัง ทำอะไรก็ทำไปแกนๆ สักแต่ว่าทำ ทำให้มัน

จบๆ ไม่มีใจที่จะทำ ไม่ทำด้วยหัวใจ ไม่เต็มใจทำ ไม่สมัครใจทำ ไม่ตั้งใจที่จะทำ
พอถึงเวลา เราจะเอาใจเป็นเรื่องเป็นราว เอาใจเป็นนาย เอาใจเป็นใหญ่ เอาใจเป็นหัวหน้า

ในการกระทำ ใจมันก็เลยไม่ยอมทำตามเรา นี่ก็ถือว่า เป็นวิบาก วิบาขจิต หรือ วิบากกรรม
วิบากกรรม หรือ วิบาขจิต ในหลักอภิธรรมเนี่ย เค้าแยกแยะไว้เยอะมาก ลูก เค้ามีอกุศล

วิบาก กุศลวิบาก รูปาวิบาก อรูปาวิบาก แล้ว มหาวิบาก มีมหาวิบากด้วยนะ ในมหาวิบากก็มี

อ้ายวิบากแปลว่า ผล ถ้าว่ากันจริงๆ แล้วก็คือ อกุศลวิบาก ก็คือ เป็นผลของอกุศล ถ้ากุศล

วิบาก ก็เป็นผลของกุศล       รูปาวจรวิบาก อรูปาวจรวิบาก อย่างนี้เป็นต้น
ถามว่า มันมีผลอะไร
ก็มีผลส่งให้เราไม่ตั้งมั่นอยู่ในเรื่องราวที่เรากำลังจะทำ เพราะผลเหล่านั้น มันดึง มันดัน มัน

ดุน มันฉุดกระชากลากถูเราไป ด้วยเหตุปัจจัยของสิ่งที่สั่งสมอบรมมาแต่อดีต พอถึงคราวที่

จะเอาเรื่องเอาราวให้มันเป็นจริงเป็นจัง ก็ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ราว ไม่ได้เรื่องจริงๆ จังๆ
ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ มันมาจากการมีชีวิตอยู่ในขณะหนึ่งๆ ที่เราไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ไม่ตั้งใจ

ไม่เต็มใจ ไม่สมัครใจ ไม่มีหัวใจที่จะทำ งั้น ถ้าทำแบบเสแสร้ง ทำแบบแกล้ง มนุษย์

ปัจจุบันจึงยากที่จะบรรลุธรรม ด้วยเหตุผลว่า มนุษย์ปัจจุบันใส่หน้ากากอยู่เนืองๆ
ถ้ามองในเรื่องของวิปัสสนา ที่จริงแล้วในขณะที่สาธยายมนต์แล้วจิตเกิดวิบาก เรียกว่า เกิด

ผลขึ้น มันไม่ได้อยู่มนต์น่ะ พูดง่ายๆ ถ้ามองในเรื่องของวิปัสสนา ก็ต้องตามไปดูว่า นี่เป็น

กุศลวิบาก หรือ อกุศลวิบาก รูปาวิบาก หรือ อรูปาวิบาก หรือ มหาวิบาก อย่างนี้เป็นต้น คือ

ต้องแยกแยะให้ได้ว่า จิตนี้มันเกิดเป็นชนิดใดๆ ถ้าอย่างนี้ ก็ถือว่าเป็นวิปัสสนา
นั่นหมายถึงว่า ในขณะที่กำลังเจริญมนต์อยู่ ไม่ว่ามนต์บทใดก็แล้วแต่ แล้วจิตมันฟุ้ง มันยุ่ง

มันย้ายออกไปจากมนต์ ต้องตามไปดูว่า อ้ายที่ฟุ้ง มันฟุ้งในกุศล หรือ อกุศล ถ้าเป็นอย่างนี้

ตามไปดูแบบนี้ เค้าเรียกว่า เป็นวิปัสสนา
แต่ถ้าหากมันฟุ้ง แล้วจิตก็ไม่รู้ว่า มันเป็นสภาพอย่างไร ไม่รู้ว่ามันเป็นกุศล ไม่รู้ว่ามันเป็น

อกุศล ไม่รู้ว่าเป็นรูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต ไม่รู้ว่าเป็นมหากุศลจิต หรือ ไม่ใช่มหากุศลจิต ก็

เมื่อแยกแยะจิตไม่ได้ หรือเป็นอัพยากฤตจิตก็ไม่รู้ แล้วมีแต่คำว่า ภาวนา พยายามจะเพ่ง

จิตให้อยู่กับคำภาวนา อยู่กับบทสวด บทสาธยาย แม้มันวิ่งออกไปก็พยายามบังคับ ข่มมัน

ดึงมันกลับมา ถ้าอย่างนี้ เค้าเรียกว่า เป็นองค์คุณแห่งการเพ่งจิต เรียกว่า สมถะ
รวมความแล้ว ในขณะที่เรากำลังเจริญมนต์ แล้วจิตมันเกิดวิบาก ก็คือ เกิดความสับสน พูด

ง่ายๆ ก็คือ ฟุ้งออกไป ถ้าเรารู้ แล้วไปดูว่า มันฟุ้งเรื่องอะไร มันเป็นวิปัสสนา แต่ถ้าไม่ตาม

ไปดู พยายามดึงมันกลับมาแล้วอยู่กับมนต์อยู่ตลอดเวลา เป็นอะไร เป็นสมถะ
งั้น เมื่อสัปดาห์ที่แล้วสอน ก็ไม่ได้แยกให้เป็นสมถะ และไม่ได้แยกให้เป็นวิปัสสนา แต่

สอนให้มันอยู่, มันอยู่ไม๊, มันไม่อยู่ มันยังไม่อยู่
เหตุที่มันยังไม่อยู่ ก็เพราะว่า เรายังมีวิบากจิตเยอะมาก มีวิบาขจิตนี่เยอะมาก คือ ทั้งกุศลก็มี

อกุศลก็มี อัพยากฤตจิตก็มี รูปาวจร อรูปาวจร มหาวิบากทั้งหลายหลั่งไหลพรั่งพรูเข้ามา

เหมือนกับท่านจุลฬปันถกที่ว่า นะโม ไม่ครบ 3 จบเสียที จนครบ 3 เดือนผ่านไปแล้วก็

ยังไม่จบ เหตุผลเพราะมีวิบาก จิตนี้มีวิบากมาก แล้วก็ไม่แยกแยะ ไม่ใช้ปัญญา ไม่ใคร่

ครวญ ไม่พินิจพิจารณา
แม้ที่สุด ไม่ใช้ปัญญาก็ไม่เป็นไร มีพลังจิตทุ่มเทลงไปในคำสวด คำสาธยาย บทภาวนา ก็

ยังถือว่า ยังพอใช้ได้ เรียกว่า วิขัมกหาปณะ คือ การข่ม แต่ก็ไม่มีกำลังพอที่จะข่ม ไม่มี

แรงพอที่จะข่ม เรียกว่า เล่นล่อเอาเถิด หลุดไป แล้วก็วิ่งกลับ หลุดไป แล้วก็วิ่งกลับ หลุดไป

ก็นับ 1 ใหม่ หลุดไปก็นับ 1 ใหม่ รวมแล้วนับไปนับมา รำคาญว่ะ เออ มันได้กี่จบแล้ว

วะเนี่ย อะไรอย่างนี้ แล้วมันสวดไม่จบซักทีว่ะ เออ พันธุ์นี้
มันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดความสันหลังยาวขึ้นไง เค้าเรียกว่า ขี้เกียจ เกิดความขี้เกียจ เกิด

ความเบื่อ เกิดความเซ็ง เกิดความรำคาญ หงุดหงิด เลยเลิกไปเลย ไม่อยากทำเลย อือ ไหนๆ

มันนับไม่ถ้วน ก็อย่าทำไปเลย เอาไว้เที่ยวหน้าก็แล้วกัน หลวงพ่อ เหมือนเดิม
อย่างนี้ แน่นอนเลย คือ ไม่ไปไหนเลย หลวงพ่อ เหมือนเดิม เหมือนเดิมอะไร ก็เหมือน

เดิมของมึงที่ยังไม่จบซักทีไง นะโม ก็ไม่จบ บทใดๆ ก็ไม่จบ ถ้าอย่างนี้ มันก็ใช้ไม่ได้ ไม่ใช่

เป็นนักฝึกจิตที่ดี
งั้น ที่เล่าให้ลูกหลานฟังทั้งหมดนี่ ก็เพื่อจะให้เห็นว่า การวิเคราะห์จิต การดูแลสภาพจิต การ

เฝ้ามองอารมณ์ของจิต บางทีบางครั้ง เราก็ใช้ปัญญา บางกรณีก็ใช้สัญญา คือ ความทรงจำ

ในบางกรณีก็ใช้สมาธิ หรือ อำนาจของฌาน เรียกว่า อำนาจตบะ อำนาจเดช อำนาจการเพ่ง

อำนาจการข่ม เรียกว่า       วิกขัมกหาปณะ เพื่อจะบังคับบัญชาให้จิตนี้มันอยู่กับที่
เอาล่ะ เราไม่อยากแยกว่า มันเป็นกุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต ดวงไหนมันจะเกิด เราไม่สนใจ

เราจะเอาแต่ว่า นะโมให้จบ อย่างนั้นก็ต้องข่มมัน ใช้กำลังมากๆ ใช้ความพยายามเยอะมาก

จนที่สุดมันยอมศิโรราบ เราชนะมัน แต่ส่วนใหญ่แล้ว เราศิโรราบ มันชนะเรา เราสวดไม่

ค่อยจบหร๊อก
ถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว เมื่อวานนี้ ไปเจริญมนต์ให้หลวงพ่อชุ้น ก็ยังบอกกับพระเค้าว่า พวก

ท่านนี่ สวด นะโม ไม่ครบ 3 จบนะ ถามว่าเพราะอะไร ก็จิตมันไม่ได้อยู่กับ นะโม, สวด

นะโม, ปากสวด แต่ใจมันล่องลอยไปไหนก็ไม่รู้ สวด นะโม ไม่ครบ 3 จบ
แล้วก็จะไปสวดบทอื่นๆ ก็ยิ่งไม่ครบใหญ่
เพราะฉะนั้น คาถาที่ศักดิ์สิทธิ์น่ะ มันคือ จิตที่อยู่กับมนต์ จิตที่อยู่กับคาถา คาถากับจิตที่รวม

เป็นหนึ่ง ไม่ต้องบท 12 ตำนาน 7 ตำนานหรอก เอาแค่ นะโม ตัสสะ ก็ศักดิ์สิทธิ์แล้วล่ะ

ถ้าจิตกับมนต์อยู่รวมกัน เรากับจิต จิตกับมนต์ รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน นะโมเป็นเรา เราเป็น

นะโม ถ้าอย่างนี้ มันก็เป็นเดช เป็นศักดา เป็นตบะ เป็นอำนาจ เป็นพลัง ของจิต เรียกว่า มี

อะไร มีสมาธิจิต เป็นสมถะ เป็นองค์ฌาน เป็นคุณอันประเสริฐของจิต
แต่ถ้าวิเคราะห์แล้วมันแยกออกไป จิตมันสับสนว้าวุ่น ตามมันไปดู เอ้า ลองตามมันไปดูซิ

มันเรื่องอะไร มันวุ่นเรื่องอะไรบ้าง เอารู้เรื่องก่อน พอรู้เรื่องแล้ว ก็แยกชนิดว่า นี่มันกุศล

หรือ อกุศล มันบุญหรือบาป มันดีหรือชั่ว ก็แยกแยะ พอแยกแยะอย่างนี้ มันก็กลายเป็น

ปัญญา เป็นปัญญา ก็เป็นวิปัสสนา ก็เรียก จิต เจตสิก เข้าขั้น จิต เจตสิก รู้เจตสิก คือ เครื่อง

ปรุงจิต มีจิต แล้วก็มีเจตสิก คือเครื่องปรุง รู้จักเครื่องปรุงว่า มันหวานมาปรุง เปรี้ยวมาปรุง

เผ็ดมาปรุง เค็มมาปรุง มันมาปรุง จืดมาปรุง รู้ชัด ถ้าอย่างนี้ก็ เราก็จะรู้ว่า สภาพที่จะเกิดต่อ

ไปนี้ มันเป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นบุญเป็นบาป เป็นกุศลเป็นอกุศล หรือ เฉยๆ ไม่เป็นอะไรเลย

เราก็จะรู้ต่อไป
เมื่อรู้อย่างนี้ แล้วมันก็ไม่ตกเป็นทาสของอะไรในอารมณ์ ไม่ทำอารมณ์ให้เกิดอะไร
ทีนี้ เราก็จะเป็นผู้เบาสบาย เรียกว่า มีวิปัสนาญาณน้อยเกิดขึ้น จากการเปลื้องจิตในวิบาก

กรรมทั้งปวง ที่จริง วิบากกรรม หรือ ผลแห่งกรรม ก่อนที่มันจะให้ผลทางวาจา ก่อนที่มัน

จะให้ผลทางกาย มันต้องให้ผลทางไหนก่อน ลูก ต้องทางใจก่อน
คนเราจะฆ่าเค้าได้ มันเริ่มมาจากตรงไหนก่อน
ฆ่าที่ใจก่อน
อยู่ดีๆ ยิ้มแล้วฆ่า มีไม๊
หัวเราะ ก๊ากๆๆๆ ยิงคนโป้ง มีไม๊
ไม่มี๊ มันฆ่าที่ใจก่อน เพราะงั้น วิบากเกิดขึ้นที่ไหนก่อน
เกิดขึ้นที่ใจก่อน
พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า มะโนบุพพังคะมา ธัมมา มะโน เสฏฐา มะโนมยา การทั้งหลายมีใจ

เป็นนาย มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ
งั้น ถ้าเรารู้เรื่องใจ เข้าใจใจ รู้จักใจ สำเหนียก สำนึก รู้จักภาษาแห่งใจ เราก็จะรู้ว่า ทำดีทำชั่ว

พูดดีพูดชั่ว ทำอะไรเป็นประโยชน์และเป็นโทษ เราจะรู้ แล้วเราจะเข้าใจ
แต่ถ้าไม่รู้จักภาษาใจ ไม่รู้จักใจ เราจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ปัจจุบัน เราได้ฆ่าใครเค้าไปกี่ศพแล้ว

เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เราได้โกหกใครไปบ้าง เรามัวเมาประมาทขาดสติหรือเปล่า เราไม่รู้ด้วยซ้ำ
นี่คือ เรื่องที่อยากจะเตือนแล้วก็เล่าให้ลูกหลาน แล้ววันนี้ก็จะฝึกใหม่ แต่คงจะไม่หักด้าม

พร้าด้วยเข่า เอาทั้งบทใหญ่ๆ เอาซัก นะโม ก็พอแล้ว ดูหน้าอย่างพวกสูเจ้าทั้งหลาย ก็ให้

มันมีปัญญาจบเถอะ
นะโม 3 จบ ให้มันจบ ให้มันอยู่กับเราตลอดเวลา อ้ายครบ นะโม 3 จบได้ล่ะก็ เอ กูจะ

ให้อะไรพวกมึงดีหว่า ท๊อฟฟี่ก็แล้วกันวะ
เอ้า เดี่ยวทิ้งเวลาให้คุณมนัสฯ เค้าทำมาหากินหน่อยแล้วกัน เชิญทำหน้าที่
คุณมนัส    กราบนมัสการท่านหลวงปู่พุทธะอิสระนะครับ แล้วก็กราบนมัสการพระคุณเจ้า

ที่ปฏิบัติสมาธิอยู่ด้านนอกศาลาปฏิบัติธรรมแห่งนี้ด้วย............แล้วก็

สวัสดีท่านญาติธรรมวัดอ้อน้อยทุกท่านนะครับ
วันนี้ต้องบอกว่า พอมาถึงวัดแล้วก็เกิดความปิติขึ้นเหมือนกัน มันเหมือนกับเราอยู่ข้างนอก

มาตลอด 5-6 วัน มันมีอะไรบางอย่างมากระทุ้งจิตของเราเหมือนกัน แล้วพอท่านหลวง

ปู่มาเปิดเวทีสนทนาธรรมวันนี้ที่ศาลาปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ก็พูดเรื่องจิตขึ้นมา มันก็เหมือนกับ

เป็นการย้ำเตือนอะไรบางอย่างให้กับพวกเราได้มานั่งคิดกัน
เพราะงั้น รายการปุจฉา วิสัชนา ถามมาตอบให้ วันนี้ ให้เดือนกันยายน เราเริ่มต้นเป็น

เดือนของเยาวชนต่อเนื่องจากเดือนแม่ สิงหาคมที่เพิ่งผ่านพ้นไปนะครับ
เพราะฉะนั้น คำถามวันนี้ ผมลองแยกๆ ดู ท่านหลวงปู่ครับ จะมีอยู่ 2 หมวดด้วยกัน

หมวดหนึ่งคือ เรื่องของธรรมะ เรื่องของจิตซะเป็นส่วนใหญ่ แล้วอีกเรื่องก็เป็นเรื่องของ

สุขภาพนะครับ คงต้อง 60 ชีวิตที่รักษาไปเมื่อเช้า บ่ายนี้คงต้องตรวจสุขภาพอีกมั๊งฮะ

เพราะว่ามีเยอะมาก เยอะกว่าปุจฉาที่ถามเรื่องธรรมะเข้ามาเสียอีก
หลวงปู่    ว่า
คุณมนัส    เพราะว่า มันเยอะจริงๆ ก็เป็นเรื่องของอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของญาติธรรม

ส่วนหนึ่งก็เป็นของคนที่รู้จัก ก็ถามเข้ามาเยอะ งั้น ผมเริ่มปุจฉาด้วยเรื่องของธรรมะก่อนก็

แล้วกัน ขออนุญาตครับ
หลวงปู่    อืม
ปุจฉา    พูดถึงอานิสงส์ของเมตตา เจโตวิมุตติที่มีอยู่ 11 ข้อด้วยกัน มีอยู่ข้อหนึ่งว่า ไม่

หลงทำกาลกิริยา หมายถึงอะไร แล้วเราจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้อานิสงส์ของเจโตวิมุตติ  
วิสัชนา      คำว่า ไม่หลงทำกาลกิริยา คือ ไม่หลงตาย ไม่ตายอย่างคนหลง ไม่ตายอย่างคน

มืดบอด พูดง่ายๆ คือ มีสติเวลาตาย เค้าจึงเรียกว่า ไม่หลงทำกาลกิริยา การจะได้อานิสงส์

ของเมตตาเจโตวิมุตติ สำคัญที่สุด คือ มีสติก่อน คนมีสติ จะรู้ว่า จะมีเมตตา หรือว่า ขาด

เมตตา อ้ายคนไม่มีสติ บางครั้งก็ทำพลาดไป ทำเผลอไป ผิดไป อาจจะไร้เมตตาธรรม
งั้น สำคัญ ต้องมีสติก่อน จบ
ปุจฉา     ขณะที่จะเริ่มสวดมนต์ มีจิตรับรู้การเต้นของหัวใจ รับรู้ที่ปราณที่มือ รับรู้ความ

ร้อนรอบกาย แบบนี้เป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือเปล่า
วิสัชนา    ไม่ถูก
คุณมนัส     เพราะว่า
หลวงปู่    เพราะว่า เรื่องที่ควรรู้คือ มนต์ ไม่ใช่รู้เรื่องชีพจร ไม่ใช่รู้เรื่องลมหายใจ ไม่ใช่รู้

เรื่องกาย เพราะให้รู้เรื่องมนต์ แสดงว่า นี่มันเป็นวิบากจิต วิบากของจิตอย่างหนึ่ง คือ เรื่อง

ที่ควรรู้กลับไม่รู้ อ้ายเรื่องที่ไม่ควรรู้ ดันทะลึ่งรู้ เสือกรู้ แล้วเราก็ฝึกตัวเองเป็นอย่างนี้
เหมือนอย่างเด็กสมัยนี้ อ่านหนังสือ ก็ฟังซาวเบ๊าส์อย่างนี้ ถูกไม๊
ที่จริงแล้ว อยากจะดูหนังสือ หรือฟังซาวเบ๊าส์กันแน่
ก็เราฝึกจิตแบบนี้ไง เราฝึกจิต เค้าเรียกว่า จิตสำส่อน จิตสำเพ็ง จะให้พูดให้เต็มปากไม๊
คุณมนัส    เอาซะหน่อย
หลวงปู่     จิตอีดอกสำเพ็ง
คุณมนัส     เค้าเรียก หลายใจ
หลวงปู่     เอ๊อ นั่นแหละ จิตอะไรก็ คือ เราฝึกแบบนี้ไง เราฝึกจิต ตอหลดตอแหล ปลิ้น

ปล้อน หลอกลวง อย่างนี้อยู่ตลอดเวลาไง เราก็เลยกลายเป็นบุคคลที่เหมือนกับทำอะไรไม่

จริงจัง หน้าไหว้หลังหลอก
คุณมนัส     ไม่ซื่อสัตย์ต่อจิตตัวเอง
หลวงปู่    เออ ไม่ซื่อสัตย์ต่อจิตตัวเอง ไม่ซื่อสัตย์ต่ออารมณ์ตัวเอง ไม่ซื่อสัตย์ต่อฐานะหน้าที่

บทบาท ชีวิตตัวเอง แล้วก็ไม่ซื่อสัตย์ต่อเรื่องที่ตัวเองกำลังกระทำ มือทำอย่าง ปากพูดอีก

อย่าง ใจไปคิดอีกอย่างหนึ่ง หลวงปู่จึงบอกเสมอ ไปที่ไหน ก็จะไปบอกว่า คนมีธรรมะ พูด

อย่างไร คิดอย่างนั้น คิดอย่างไร ทำเช่นนั้น คิด ทำ พูด ต้องเรื่องเดียวกัน
งั้น คนมีธรรมะ ต้องเป็นผู้ซื่อตรง ถ้าเมื่อไรที่เราไม่ซื่อตรง เวลาเราฝึกจิต เราก็จะเจอแต่

ความไม่ซื่อตรง ถามว่า ในเวลาที่เราเจริญวิชาปราณโอสถ ได้สัมผัสถึงชีพจร ได้สัมผัสถึง

การเต้นของหัวใจ ได้เห็นโครงร่างภายในกาย ได้รู้จักการเดินหมุนเวียนของเลือดลม รู้จัก

เส้นเอ็น พังผืดที่ยึดติดตามข้อกระดูก ดีไม๊ อันนั้น ดี เพราะมันซื่อตรง ก็คือ กำลังเจริญ

เรื่องนั้น
แต่เวลามาสวดมนต์ ดันไปเห็นเส้นเอ็น เห็นพังผืด เห็นลมหายใจ เห็นชีพจร อย่างนี้ ดีไม๊
มันจะดีได้ยังไง ก็มนต์มันหายไปแล้ว แล้วพอกลับไปจับมนต์ หรือกลับไปจับชีพจร ก็ไม่

ได้อะไรซักอย่างหนึ่ง เค้าเรียกว่า จับปลา 2 มือไง นี่คือ ผลแห่งความไม่ซื่อตรงของตน

เองที่สั่งสมอบรมมาแล้วแต่อดีต มันก็ส่งผลให้เราไม่ได้ผลจริงจังในปัจจุบัน เป็นวิบาก

จิตอย่างหนึ่ง เป็นวิบากของจิต งั้น ทำอะไร ก็ต้องทำให้มันจริงจัง ทำให้มันจบ
พระพุทธเจ้าบอกว่า อนากุลา จะ กัมมันตา การงานทั้งหลายไม่อากูล เอตัมมังคะละมุตตะมัง

ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ชีวิตเราชอบอากูล หมักหมม ทำไม่จบ ทำไม่สิ้น ทำไม่รู้แล้ว ทำไม่

เลิก ทำไม่หยุด เพราะทำไม่เสร็จ ผลัด เอาไว้ก่อน, เดี๋ยวก่อน, รอก่อน เช้าอยู่ เมื่อย

ปวด เหนื่อย เปลี้ย เพลีย มันก็เลยกลายเป็นการหมักหมมสั่งสม
แล้วหยุดที่ไหนล่ะ มันไม่ได้หยุดที่พฤติกรรมแค่นั้นนะ มันเข้ามาเป็นนิสัยของจิต อ้ายคำว่า

เอาไว้ก่อนเนี่ยนะ รอก่อนเนี่ยนะ เดี๋ยวก่อนเนี่ยนะ เช้าอยู่ ยังไม่ถึงเวลา พอถึงเวลาที่เรา

จะทำเรื่องอื่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เอาไว้ก่อน แต่อ้ายเรื่องเอาไว้ก่อน มันดันโผล่เข้ามา ในขณะที่

เราทำเรื่องอื่น
ถามว่า เพราะอะไร ก็เพราะจิตมันเป็นกังวลไง
ฮึ อ้ายนั่น กูก็ยังไม่ทำนี่หว่า, ฮึ ผ้ากูซัก ยังไม่ได้ตากเลย, อ้าว ก็เอาไว้ก่อนไง นี่กูจะ

นั่งสวดมนต์ อ้าว ตายห่า เสียบปลั๊กไฟหม้อข้าวไว้ ไม่ชักออก, อ้าว น้ำเดือดในหม้อ กา

น้ำยังไม่ชักออก ฤทธิ์ที่เอาไว้ก่อน เลยทำอะไรไม่เสร็จซักอย่าง วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่อย่างนั้น

แหละ
ทั้งหมดนี่ มันกลายเป็นวิบากของจิต
ใครเป็นคนทำวิบาก
ตัวเราเองน่ะ สันดานตัวเราไม่ดี สมน้ำหน้า สันดานเสีย คนสันดานเสียมันเป็นอย่างนี้ อ้าว

จริงๆ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ มันมาจากนิสัยสันดานเราฝึกมามันเป็นแบบนี้
งั้น หลวงปู่จะไม่ชอบเลยล่ะ ชีวิตนี้ ถ้าทำอะไรไม่เสร็จล่ะ ไม่ได้เรื่องละ ต้องให้จบ ต้องให้

แล้ว ต้องให้เสร็จ เพราะถ้ามันไม่จบ ไม่แล้ว ไม่เสร็จ ถึงเวลาไปทำอย่างอื่น เดี๋ยวมันผลุด

ขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวมันโผล่ขึ้นมาให้เราคิดละ อ้าว กูยังทำไม่เสร็จนี่ เออ เลยไม่รู้จะทำอะไรละ

หมดเวลาเสียแล้ว อ้าว เดี๋ยวต้องไปทำเรื่องอื่นต่ออีก ทีนี้ มันก็สั่งสมไปเรื่อยๆๆๆ วันนี้

พรุ่งนี้ ปีหน้า ชาตินู้น โอ้โห กลายเป็นนิสัย สันดานไป
งั้น ทำอะไรให้แล้วเสร็จ ธรรมะพระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้าย มันต่อเนื่อง

เป็นเรื่องเป็นราวสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทำให้เราบรรลุถึงเป้าประสงค์ได้อย่างชัดเจน เรา

จะปฏิเสธข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้เลย จะบอกว่าทำศีล ทำสมาธิอย่างเดียวก็ไม่ได้ ไม่ทำสมาธิ

ทำปัญญาอย่างเดียวก็ไม่ได้ แม้ที่สุด ไม่ฟังเรื่องอเสวนา จะพาลานัง ไม่ฟังเรื่องมงคล 38

ประการ ไม่ฟังเรื่องหิริ สติ สัมปชัญญะ ขันติ โสรัจจะ ไม่ฟังทั้งนั้น ฟังแต่เรื่องจิต สุดท้าย

อ้ายที่ไม่ฟังๆ ๆ นั่นแหละ มันก็แสดงผลที่จิต เพราะจิตเราสั่งสมที่ไม่เอาๆๆ ไม่รู้ ไม่ฟัง ไม่

อยาก ไม่ได้ ไม่ดู ไม่เข้าใจ สุดท้าย มันปรากฏออกมา เพราะความไม่เอา ไม่รู้ ไม่ได้ ไม่ดู

ไม่เห็น นี่แหละ มันเลยทำให้เรา ทำผิด ทำพลาด ทำไม่ถูก ทำไม่สมบูรณ์ ทำไม่เต็มที่ แล้ว

สุดท้าย แสดงผลทางจิต เป็นวิบาขจิต เป็นอกุศลวิบากบ้าง เป็นกุศลวิบากบ้าง เป็นรูปาวจร

วิบากบ้าง เป็นอรูปาวจรวิบากบ้าง อย่างนี้เป็นต้น
งั้น ทั้งหมดทั้งมวลเนี่ย ลูก  มันไม่มีคนอื่นทำให้เรา เราเป็นคนทำเอง สมน้ำหน้า จบ
คุณมนัส     ผมว่า วิสัชนาของท่านหลวงปู่น่าจะตอบปุจฉานี้ได้ด้วย ถามต่อว่า ตอนนอนก็

เหมือนกัน จิตจะรับรู้การเต้นของหัวใจ แล้วก็มีจิตรับรู้การเต้นที่สะดือที่เห็นชัดกว่าหัวใจ

และก็รับรู้ที่อื่นด้วย ก็แสดงว่า ไม่ถูกต้องเหมือนกัน
หลวงปู่     มันรู้ได้ไม่กี่ตุ๊บหรอก เดี๋ยวมันก็หลับ
คุณมนัส    เพราะมันหลับ
หลวงปู่     อุ๊ย มันก็คุยโวไปอย่างนั้นแหละ เชื่อเฮอะ นับ 1 ไม่ถึง 10 มันก็คร๊อกแล้ว
คุณมนัส     อันนี้เป็นปุจฉาผม ที่บอกไว้ตอนต้นว่า 5-6 วันกว่าจะมาวัดทีหนึ่ง มันก็

หงุดหงิดพอสมควร หลายๆ อย่าง มันเข้ามาในชีวิต มากระทบกับจิตเรา งั้น ผมก็เลยปุจฉา

ท่านหลวงปู่ว่า อ้ายจิตเวลาติดนิวรณ์น่ะครับ หดหู่ งุ่นง่าน ฟุ้งซ่าน ลังเล สงสัยในชีวิตประจำ

วัน เราจะปรุงแต่ง เราจะปรับจิตของเราอย่างไรให้มันผ่านปัญหา หรือว่า ผ่านเรื่องที่มัน

กระทบจิตเราได้
หลวงปู่     อืม สำคัญที่สุด คือ เราต้องมีกำลัง มีกำลัง กำลังในที่นี้ คือ อะไรบ้าง พละ จำได้

ไม๊มีอะไร
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ แล้วก็ปัญญา
จิตที่มีกำลังมากพอ มันก็จะสามารถเอาชนะอุปสรรคของจิตได้ เอาชนะเครื่องปรุงแต่งจิตได้

เอาชนะเครื่องครอบงำจิตได้ แล้วเราจะกลายเป็นผู้ที่ใช้กิเลสได้ ไม่ใช่ให้กิเลสมาใช้เรา
คนที่มีจิตมีกำลัง อยู่กับกิเลส ก็คือ ผู้ครอบงำกิเลส ไม่ใช่กิเลสครอบงำ
อ้ายคนที่มีจิตอันไม่มีกำลัง อย่าว่าแต่อยู่กับกิเลสเลย อยู่กับเงินกับทอง มันก็ครอบงำเราจน

กลายเป็นคนละโมภโลภมาก เดี๋ยวนี้เนี่ยนะ ไปที่ไหนๆ ก็มีแต่โครงการเยอะแยะไปหมด

เลยนะ
คุณมนัส    ครับ
หลวงปู่    มีโครงการอบรมเณร โครงการอบรมพระ โครงการอบรม อบต. อบจ.

โครงการอบรม
นี่ยังนึกว่า ทำไมไม่มีโครงการอบรมคนบ้าบ้างไม่รู้นะ ใครๆ มันก็เอาแต่คนบ้ามาทิ้ง เมื่อ

เช้าก็เอามาทิ้งไว้คน เมื่อวานไล่ไปคน วันนี้มาอีกคนละ เออวัดอ้อน้อย นี่มันไม่สิ้นคนบ้า

เลยจริงๆนะให้ตายห่า แล้วอ้ายคนที่ไล่ไปนะ ก่อนจะไป ยัง แหม คนเค้ามาเล่าให้ฟัง คุณ

ย่าคะ กลับแล้วนะคะ, จ๊ะ จำเริญๆแหม คุณย่านี่ พูดเพราะจังเลย เหมือนพระราชินี,

ย่าบอก อ้าว ฉิบหาย เอาคุกมาให้กูแล้วไม๊ล่ะ
คุณมนัส    วัดอ้อน้อยไม่สิ้นคนบ้า
หลวงปู่    มีคนบ้ามาตลอดล่ะ นี่ เมื่อเช้ามาอีกแล้ว เออ พระวัดนี้ ก็วันดีคืนดีก็ 10 โมงเช้า

เอาบาตรไปเดินบิณฑบาตร วันดีคืนดีก็เอาไม้กวาดมาขี่เป็น Potter จะบินไง จะบิน

เค้าเข้าใจรับมาบวชนะ
คุณมนัส    เค้าเกิดความสงสัยในอะไรบางอย่าง
หลวงปู่    หา
คุณมนัส     สงสัยอะไรบางอย่าง
หลวงปู่    ไม่รู้ เข้าใจรับมาบวช คือ อ้ายคนดีๆ ไม่ค่อยมีมาวัดนี้หรอก คุณ ส่วนใหญ่มาวัดนี้

บ้าทั้งนั้นแหละ คุณ เออ เพราะงั้น อยากให้รัฐบาลมีโครงการอบรมคนบ้าบ้างก็ดี ยิ่งตอนนี้

คนบ้ามันจะเกลื่อนเมืองไปหมดแล้ว
คุณมนัส      ใช่ครับ มันมีสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงสาธารณะสุขครับ เค้า

ออกมาให้ข้อมูลว่า ตอนนี้ คนบ้าประเภทที่ว่า ต้องกักขังเอาไว้นะครับ 1 ตำบล จะพบ 1

คนบ้าที่ถูกจองจำ
หลวงปู่     อืม
คุณมนัส     ซึ่งเรื่องนี้ น่าเป็นห่วงมาก WHO คือ องค์การอนามัยโรคเค้าก็มีข้อมูลบอกว่า

ตอนนี้ โรคร้ายๆ 5 โรค ทั้ง มะเร็ง เบาหวาน หัวใจ ความดันฯ ที่เราเป็นกันมากๆ แล้วก็มี

1 ใน 5 โรคที่ติดอยู่ในอันดับโลกก็คือ โรคทางจิต ในอีกไม่ถึง 10 ข้างหน้า มันจะ

กลายเป็นโรคอันดับ 1 ของโลกที่มีคนป่วยมากที่สุด เพราะงั้น ท่านหลวงปู่ต้องสอนเรื่อง

จิตให้มากขึ้นแล้วล่ะ คนบ้าจะได้ไม่ล้นโลกฮะ
หลวงปู่     มันยิ่งสอน จะยิ่งบ้ามั๊ง ดูท่า จบ
ปุจฉา     พูดถึงการรวมจิต มีทั้งรวมภายในและภายนอกครับ ก็เลยอยากจะรู้ว่า เราจะใช้

สติในการดูจิต หรือ ควบคุมจิตอย่างไร
วิสัชนา    มันขึ้นอยู่กับการงานที่เราจะให้จิตมันทำ การงานนั้น เป็นการงานภายในหรือ

การงานภายนอก บางทีถ้าเราอยากอ่านหนังสือ แน่นอนล่ะ อย่างนี้เป็นการงานภายนอก

หรือ ภายในภายนอก หนังสือมันเป็นนอกหรือใน (นอก)
เออ อย่างนี้ก็ถือว่า เอาจิตไปรวมไว้อยู่กับการงานภายนอก  ถ้าเราอยากดูชีพจร อย่างนี้ก็

ถือว่า การงานภายใน อยากดูลมหายใจ ก็ถือว่า เป็นการงานภายใน มันขึ้นอยู่กับว่า จะหา

การงานอะไรให้จิต แล้วสำคัญที่สุด นอกจากมีงานให้จิตแล้ว จิตมันอยู่กับงานนั้นอย่างจริง

จังหรือเปล่า มันไม่ใช่อยู่แว๊บๆ ทุกวันนี้ที่เราประสบความสำเร็จได้ในชีวิต ไม่ใช่เพราะ

จิตอยู่กับงานอย่างจริงจังหรอกนะ มันประสบความสำเร็จได้ เพราะว่ามันเหลือทน มัน

เหลือทน คือ มันฟลุ๊ค มันไม่ได้สำเร็จเพราะจิตอยู่กับงานนั้นอย่างชนิดต่อเนื่องยาวนานจน

ตลอดรอดฝั่งแล้วจบ
ไม่ใช่หรอก มันอยู่แบบผลุบๆ โผล่ๆ วิ่งไปวิ่งกลับ วิ่งไปวิ่งกลับ วิ่งรอกเหมือนกับส่งไม้ วิ่ง

ส่งไม้กันอย่างนั้น ขนาดนี้ก็ยังมีความสำเร็จได้เห็นปานนี้ แล้วถ้าอยู่อย่างชนิดที่มันจดจ่อ

จับจ้อง ตั้งใจจริงจังจนแล้วเสร็จเนี่ย โอ้โห ผลมันจะมหาศาลขนาดไหน
เพราะงั้น อยากจะบอกว่า อ้ายทุกวันนี้ที่เราทำงานสำเร็จๆ กันเนี่ยนะ ไม่เชื่อคุณขับรถเนี่ย

ตอนขับรถ จิตอยู่กับรถได้ซักกี่นาทีกี่ชั่วโมง นอกนั้นก็ร่อนตะลอนไปเรื่อยเปื่อยไป บางที

โทรศัพท์บ้าง ฟังเพลงบ้าง ล่องลอยไปเรื่อย อ้ายจะอยู่กับรถนี่ น้อยมาก แต่มันก็มาจนถึง

วัดอ้อน้อยได้ เออ มันไม่แวะข้างทาง ถ้ามันอยู่กับรถจนตลอดเวลา โอ๊ย อย่าว่าแต่รถมันจะ

มาชนเลย แมลงวันมันก็จะไม่ชน แมลงวันมันก็จะไม่ชน เพราะมันจะรู้ตลอดว่า อะไรมัน

เกิดขึ้นทั้งก่อน ทั้งปัจจุบัน และทั้งจะมีต่อไปในอนาคต
คุณมนัส     ครับ
หลวงปู่     งั้น เรื่องอำนาจจิตนี่มันยิ่งใหญ่มาก มันสำคัญมาก งั้น ถ้าเราฝึกให้มันอยู่กับการ

งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตลอดเวลาต่อเนื่องยาวนาน เราจะเป็นผู้ทรงพลังจิตมาก จบ
คุณมนัส     ตอนนี้น่าห่วงมากนะครับ เรื่องของขับรถ เพราะตอนนี้อ้ายนี่อีกแล้วนะครับ

เค้าแจกใบเตือนนะครับ
หลวงปู่     ไม่จริงหร๊อก ชั้นก็เห็นมันตั้งทุกด่านแหละ
คุณมนัส     13 ข้อหา ซึ่งๆหน้าก็ยังจับเหมือนเดิม ตะกี้ขับรถมาแถวบางเลนก็ตั้งด่าน
หลวงปู่     เออ
คุณมนัส     ตั้งด่านสกัดเส้นนั้น ผมก็เลยชะลอรถ เค้าคงเห็นโลโก สติ๊กเกอร์รถผม น่ะครับ
หลวงปู่     เหร๊อ
คุณมนัส     ผมก็เลยมองหน้าตำรวจ ตำรวจก็มองหน้ากับผมกลับมาเหมือนกัน
หลวงปู่    อืม
คุณมนัส     ที่มอง เพราะอะไรรู้ไม๊ครับ เพราะผมมองไม่เห็นสัญลักษณ์ที่เป็นด่านที่ขึ้นชื่อ

นายตำรวจ ที่ประจำด่าน อนุญาตให้มีการตั้งด่าน ถ้าท่านเจอแบบนี้ ท่านร้องเรียนเลยนะ

ถ่ายรูปได้เลย ถือว่า พวกนี้ลักลอบ หาเบี้ยใบ้รายทางหาเงินเข้าหน่วยงานของตนเอง
หลวงปู่     ทำไมล่ะ เค้าอนุญาตให้เราออกใบสั่งตำรวจได้ ไม่ใช่เหรอ
คุณมนัส     มันเป็นคล้ายๆ กับมีใบเหมือนกัน เราก็เขียนบอกไปได้เหมือนกัน แต่ถ้าใคร

ไม่มีใบพวกนี้ ก็จำด่านไว้ก็ได้ แล้วก็โทรเข้าไปที่กองบังคับการ 1197 นะครับ เป็น

ตำรวจจราจรของนครบาลของกรุงเทพฯ เค้า แต่ถ้าเป็นกรมการขนส่งทางบกก็ 1584

สายด่วน 24 ชั่วโมง
หลวงปู่     เค้าห้ามตั้งเฉพาะกรุงเทพฯ หรือ ปริมณฑล
คุณมนัส     เฉพาะกรุงเทพฯ ครับ แต่ต่างจังหวัด
หลวงปู่      บางเลนนี่มัน
คุณมนัส     มันก็ไม่มีสิทธิ์ตั้งตามกฎหมาย คุณควรจะมีป้ายที่เป็นด่าน ป้ายด่าน แล้วก็ป้าย

ไฟไซเรนขึ้น แล้วก็เขียนตลอดว่า ผู้กำกับสน.นี้ สารวัตรเวรชื่อนี้ อนุญาตให้มีการตั้งด่าน

ตรวจสอบ ถ้าไม่มีก็ถือว่าเค้าเก็บเงิน เก็บส่วยแล้วละครับ ไม่ถูกต้อง
หลวงปู่     อืม
คุณมนัส     ผมก็เลยมองต่อไป เค้าก็มองกลับมา สุดท้ายเค้าก็ไม่ทำอะไรผม ผมก็ขับมา

เรื่อยๆ แค่นี้ล่ะครับ เล่าให้ฟัง เพราะงั้นก็ ใครที่ใช้รถใช้ถนน ก็ระมัดระวังหน่อยนะ โดย

เฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ ที่มี Application ทั้งหลาย จะ chat จะ line

อะไรกันในรถ ให้ระวังกันหน่อย อุบัติเหตุมันเยอะนะครับ ปุจฉาเรื่องของจิตหน่อยนะครับ

ท่านหลวงปู่ครับ
ปุจฉา     พูดถึงการเจริญมนต์ บทที่เราสวดได้แล้ว มักจะกำหนดจิตไว้ที่ใดที่หนึ่ง แล้วให้

ตัวหนังสือที่เป็นมนต์นั้นปรากฏ จะอ่านตัวหนังสือที่ปรากฏนอกตัวด้วยการเพ่ง หรือว่า ใน

อากาศ อย่างนี้ถือว่า เอาจิตเอาไว้นอกกายหรือเปล่า
วิสัชนา      เค้าเรียก นิมิต ที่จริงแล้ว สมัยก่อนตอนหลวงปู่บวชใหม่ๆ ก็สวดพระปาติโมกข์

แรกๆ ก็เขียนใส่เศษกระดาษแล้วก็เดินท่องไปด้วยบิณฑบาตร เพราะว่าบิณฑบาตรนาน

นับหมอนรถไฟไปหลายหมอนกว่าจะถึงบ้านคน ก็ท่องไปในใจบ้าง เดินบิณฑบาตรไปด้วย

เออ หนักๆ เข้า ท่องไปท่องกลับ มันไม่ต้องใช้ดูใส่เศษกระดาษ ไม่ต้องกางเศษกระดาษ

เดินไปบนทาง ก็มีมนต์ปาติโมกข์ตามหมอนรถไฟ บนอากาศ หันไปที่ไหน ก็มีแต่มนต์

ปาติโมกข์
ถ้าอย่างนี้ เค้าเรียก อุคคหนิมิต คือ นิมิตติดตา นิมิตติดใจ ถ้าอย่างนี้ก็ถือว่าใช้ได้ ไม่ได้เสีย

หายอะไร เพราะเราต้องการรู้มนต์ เราไม่ได้ต้องการรู้เรื่องราวของตัวเราเอง จบ
ปุจฉา      เส้นทางการสำเร็จสู่เป็นพระอรหันต์ คนในปัจจุบันสามารถทำได้หรือเปล่า
วิสัชนา    จะไปแล้วเหร๊อ เข้าผิดสำนักหรือเปล่า
คุณมนัส     มีปุจฉามาต่อเนื่องว่า พระในปัจจุบันบางรูปอ้างว่า ตนสำเร็จเป็นพระอรหันต์

แล้ว
หลวงปู่      เออ ไปสำนักนั้นเผื่อจะได้เจอเค้า แต่สำนักนี้อย่าเข้ามา หลงเข้ามา ซวยแน่เลย

เออ เส้นทางในการสำเร็จพระอริยเจ้า มันจะมาดูกันด้วยวัย ด้วยอายุขัย ด้วยอยาก ไม่ได้

มันต้องดูด้วยวิบากกรรมของแต่ละคนๆ ที่สั่งสมอบรมมา แล้วก็กำลังมีต่อไป บางคนมี

วิบากกรรมอันน้อยนิด คือ มีกรรมชั่วอันน้อยนิด มีบารมีอันมากมาย มาฟังธรรมนิดหน่อย

ก็บรรลุ แต่เค้าก็ไม่ได้เกิดมาในยุคนี้ คนพวกนี้ก็จะไปเกิดในยุคพระศรีอารย์บ้าง ยุคที่ทัน

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอุบัติมาบ้าง
ถ้าเกิดในยุคนี้น่ะ อู๊ นาน นาน ลูก สากกะเบือออกดอกนั่นแหละ นาน อย่าฝันมากนักเลย

เออ สากกะเบือออกดอก
คุณมนัส     จากนี้ไป เป็นปุจฉาที่ใกล้ตัวเรามากขึ้น แล้วก็น่าจะได้อรรถรสมากขึ้นจากลีลา

ของท่านหลวงปู่นะครับ
หลวงปู่     ว่า
คุณมนัส     หลวงปู่มีความคิดเห็นอย่างไรกับการที่มีหนังสือเรียนคัมภีร์ไบเบิลของบาง

ประเทศ เค้าระบุว่า ศาสนาพุทธของเรา พระพุทธศาสนาของเราเป็น Fail

Religion เป็นโมฆะศาสนา หลวงปู่เคยได้ยินไม๊ฮะ
หลวงปู่     ไม่เคยได้ยินนะ แต่ว่ามันเป็นธรรมชาติน่ะ เราทะเลาะเค้า เค้าทะเลาะเรา เรา

กระทบเค้า เค้ากระทบเรา เมื่อวานนี้ หลวงปู่เดินบิณฑบาตร ขากลับมา พอเสร็จเรียบร้อย

รับบาตรแล้วเดินออกข้างหลังครัว ยังนึก เออ ศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลามนี่ เค้าก็ทะเลาะ

กันมาตลอด แล้วก็ศาสนาพุทธก็โดนกดขี่ข่มเหงกันมาตลอด แต่ศาสนาก็ยังอยู่มาได้ถึงวันนี้
งั้น ถ้าอยู่แบบไม่ทะเลาะกัน ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างอบรมสั่งสอน ต่างคนต่างเอาดีเข้ามา

แสดง มันน่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข แต่ที่ผ่านมานี่มันไม่ได้อยู่โดยคำสอนพระศาสดา

มันอยู่โดยความคิดอคติในจิตของตัวเอง ของตนๆ แต่ละศาสนา ซึ่งพระศาสดาไม่ได้รับรู้ด้วย
เนี่ย ถือว่าเป็นบาป เป็นศิษย์บาป เป็นศานุศิษย์ผู้มีบาป เป็นตัวบาปของศาสนา
งั้น ศาสนาทุกศาสนา พระศาสดาทุกองค์ เป็นผู้ดี เป็นคนดี แล้วมีคุณงามความดีที่จะเป็น

ต้นแบบให้สังคมได้ ให้แก่ศาสนิกของตนๆ ได้ แต่อ้ายที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ เราต้องยอมรับว่า

มันไม่ดีมันไม่ใช่พระศาดา แต่มันไม่ดีเพราะมาจากสาวกของศาสนานั้นๆ ที่มีอคติธรรมอยู่

ในใจ แล้วก็ไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานของคำสอนอย่างถูกตรง
เหมือนอย่างที่หลวงปู่ไปอบรมพระเณรหลายจังหวัดที่ผ่านมา บอกกับเค้าว่า พวกเราลืม

สกุลศากยวงศ์ของเราละ
สกุลศากยวงศ์ คือ อะไร
สกุลศากยวงศ์ คือ หมู่หนอนขี้ที่ไต่ขึ้นมาตามชายจีวรโดยไม่แปดเปื้อนมูตคูต และกองขี้

แล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงสุบินนิมิตเรื่องนี้ แล้วก็ทรงทำนายฝันไว้ว่า อ้ายหมู่หนอนหัวดำหัว

ขาวที่ไต่ขึ้นมาจากกองมูตคูตแล้วมาเกาะชายจีวรพระองค์ คือ ผู้ที่ไม่ติดอยู่ในโลกธรรม
โลกธรรมมีอะไรบ้าง ก็ มีลาภ เสื่อมลาภ มีสุข มีทุกข์ มีนินทา มีสรรเสริญ มียศ เสื่อมยศ

อย่างนี้เป็นต้น
อ้ายโลกธรรมเหล่านี้ เดี๋ยวนี้ถามว่า พระนักบวชยุคปัจจุบันสนใจไม๊
สนใจเป็นอันดับหนึ่งเลยล่ะ ไขว่คว้าหา แสวงหา ต้องการหา อยากได้มา แล้วได้มาแล้วก็

รื่นเริงบันเทิง บางทีบางครั้งก็ประจบตระกูล ประจบคฤหัสถ์ ไม่วางตัวเป็นผู้อาจ ผู้สง่างาม

ผู้สามารถ
คำว่า ศากยวงศ์ คือ วงศ์ของผู้องอาจ สง่างาม เราไม่ภาคภูมิในวงศ์ของตน แต่เราไป

ภาคภูมิในวงศ์ของคฤหัสถ์ ประจบชาวบ้าน เพื่อให้ได้มาซึ่งลาภสักการะ เกียรติยศ ศักดิ์ศรี

ชื่อเสียง อะไรก็แล้วแต่ เราก็ภูมิใจกันมากเสียเหลือเกิน เราภูมิใจกับการที่จะใช้อะไร ใช้

ยศนำหน้าชื่อ แต่สมัยโบราณเค้าใช้ชื่อนำหน้า ใช้ธรรมะนำหน้าชื่อด้วยซ้ำ ใช้คุณธรรมนำ

หน้าชื่อ
งั้น คนโบราณเค้าจึงได้พูดกันว่า ยศช้างขุนนางพระ เอายศไปให้ช้าง ช้างมันไม่เอาหร๊อก

มันเอาอ้อย เอาขุนนางมาให้พระ พระไม่รู้เรื่องอะไรหร๊อก ไม่รู้จะเอามาทำอะไร เพราะ

เกิดมา บวชแล้วอยู่ในพระศาสนาแล้ว ก็หวังว่า จะพ้นทุกข์อย่างเดียว ไม่ได้หวังว่า จะทำ

อะไรให้มากกว่าความไม่พ้นทุกข์ ยกเว้น พวกปรารถนาที่จะเป็นพระศาสดาในอนาคต หรือ

บำเพ็ญบารมีธรรมของตนๆ ตามเหตุตามปัจจัย
งั้น พวกที่ไม่ได้เป็นพระศาสดาในอนาคต ทำได้อย่างเดียว คือ ความพ้นทุกข์ อยู่ได้อย่าง

เดียวเพื่อพ้นทุกข์ คิดได้อย่างเดียว คือ เรื่องอะไรที่จะทำให้เราหลุดพ้น ถืออะไรไม่ได้

หยิบอะไรไม่ได้ แบกอะไรไม่ได้ หามอะไรไม่ได้ รัดรึงผูกพันธนาการสิ่งใดๆไม่ได้ มีแต่

ทำวาง, ทำปล่อย, ทำให้, ทำเว้น, ทำละ, ทำวาง, ทำปล่อย, ทำเว้น ถ้า

อย่างนี้ ถือว่า เป็นผู้ปรารถนาอย่างซื่อตรง อย่างศากยวงศ์ที่ควรกระทำ
เดี๋ยวนี้เราไม่มี เราไม่มี มีแต่เรื่องพยายามจะโปรโมท โปรโมชั่นตัวเอง อวดอำนาจ อวด

ฤทธิ์ อวดเดช อวดศักดา อวดอภินิหาร อวดสารพัดอวด เพื่อให้ได้มาซึ่งลาภสักการะ ไม่ได้

อวดเพื่ออะไรละ อวดเพื่อให้ได้มาซึ่งลาภสักการะ แล้วมันก็เลยกลายเป็นหมู่หนอนที่เดิน

จากชายจีวรลงไปในหลุมขี้ ไม่ใช่หมู่หนอนที่ไต่จากหลุมขี้มาเกาะชายจีวรพระศาสดา

เหมือนที่พระองค์ทรงสุบินนิมิต แล้วก็บอกว่า หลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว แสดง

ธรรมไปแล้ว ธรรมนั้นขจรกระจายไป ก็จะมีหมู่หนอนหัวดำหัวขาวไต่ขึ้นจากหลุมมุตคูต

อ้ายมูตคูตนี่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปรียบเป็นโลกธรรม คือ เครื่องผูกสัตว์ให้ข้อง
งั้น คนยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะนักบวชยุคปัจจุบันก็ข้องอยู่ในโลกธรรมอยู่เนืองนิจ ฝักใฝ่

ขวนขวายแสวงหา ใส่ใจ ต้องการอยู่ในโลกธรรมอยู่เป็นเนืองๆ จนกระทั่งกลายเป็นหลุมขี้

หลุมใหญ่ล่ะ หายากมากที่จะปฏิเสธโลกธรรม มันก็เลยเป็นความทำลายสกุลวงศ์ สกุลศากย

วงศ์ก็หายไป เหลือแต่สกุลตาสี ตาสา ยายมา ยายมี
งั้น หลวงปู่ก็ตะลอนๆ ที่จริงไปไม่ได้คุ้มหรอก ลูก ออกไปแสดงธรรม เมื่อคราวที่แล้วไป

เชียงใหม่ เชียงราย
คุณมนัส    ไปอุดรฯ
หลวงปู่    เออ ไปอุดรฯ เชียงใหม่ เชียงราย ไปแต่ละครั้ง เค้าก็เบิกเงินไปครั้งหนึ่งก็ 2

หมื่นกว่า 3 หมื่น ค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่ากิน บางทีไป ก็ต้องไปหาที่พัก คนขับรถมันก็ต้องไป

หาที่พัก ได้มาทีก็ 3,000 บาท แต่เสียไป 30,000 บาท 30,000,

40,000 บางที 50,000  
คุณมนัส     คุ้ม
หลวงปู่    คุ้ม
คุณมนัส    ยิ่งกว่าคุ้ม
หลวงปู่    เออ แล้วก็เอาซีดีไปแจกไปเป็นพันๆ หลายพัน
คุณมนัส    ยิ่งคุ้มเข้าไปใหญ่
หลวงปู่     ยิ่งคุ้มใหญ่ เพราะงั้น หลวงปู่ไม่ได้หวังอะไร หวังเพียงว่า ถ้าเราไปแล้วพูดให้

พระเณรซักองค์หนึ่งในพันองค์ หรือ 500 องค์ 800 องค์ เป็นแรงบันดาลใจให้กับ

เค้าได้คิดถึงความงดงามของศากยวงศ์ แล้วก็ทำให้วงศ์ศากยะยิ่งใหญ่ด้วยตัวเค้าเอง ให้เป็น

ที่เคารพศรัทธาของตัวเองได้ ให้รู้สึกภาคภูมิในศากยวงศ์ ตระกูลวงศ์ของตน ไม่ได้หวังอะไร

หวังแต่เพียงว่า เมื่อไรที่เค้ามี เราสร้างแรงบันดาลใจให้เค้า เค้ามีวิธีคิดอย่างศากยวงศ์คิด

คิดอย่างวิถีศากยบุตรคิด
เท่านี้ เราก็โอ้โห ได้บุญมโหฬารมหาศาลละ
คุณมนัส    ด้วยวิธีคิดแบบนี้ของท่านหลวงปู่นี่แหละครับ ทำให้วัดอ้อน้อยของเราวันนี้

เกรียงไกรมากนะครับ ไปถึงต่างแดน พวกเราจะไม่ช่วยกันเปล่งสาธุการให้ท่านหลวงปู่

หน่อยเหรอฮะ
(สาธุ)
หลวงปู่    อ้าว ทำไม
คุณมนัส     เพราะมีใน face book เข้ามาทักผมนะฮะ ถามว่า เวลาเข้าไป

สัมภาษณ์ท่านหลวงปู่ ถามจริงๆ เถอะ เข้าถึงตัวยากไม๊ ดุไม๊ ใจดีไม๊
หลวงปู่    อย่าเข้า อย่าเข้ามาหา เข้ามาหาเดี๋ยวโดดกัดเอา
คุณมนัส    ผมบอก ใจดี๊ ท่านไม่ดุหรอก ก็กำลังจะพิมพ์ต่อ เผอิญ Net มันล่มไปหน่อย

หนึ่ง ที่จะพิมพ์ต่อไปก็คือ จะบอกว่า ต้องทนปากท่านหน่อยนะ ท่านจริงใจ ท่านเป็นคนซื่อ

สัตย์กับใจ เมื่อสักครู่ เรารับศีล 5 ไปแล้วนะครับ ปุจฉาต่อครับ ท่านหลวงปู่
ปุจฉา   ถามว่า ผู้ที่รักษาศีล 8 พอหลังเที่ยงไปแล้ว สามารถทานไอสครีมกาแฟ หรือไอติ

มช๊อคโกแลตที่ไม่ใส่ผลไม้หรืออย่างอื่นๆ ได้หรือไม่ และทานช๊อคโกแลตล้วนๆ ได้หรือไม่

เคยเห็นพระป่าท่านฉัน เช่น น้ำตาลอ้อยเป็นก้อนๆ และกระเทียม ช่วงตอนเย็น
วิสัชนา    เล่นโจ๊กซะเลยก็หมดเรื่อง มันจะอะไรยากมากมายหนักหนา ไหนๆ อยากแดก

แล้วก็แดกให้มันเต็มที่เลย ไม่ต้องไปอะไรเยอะแยะ
คุณมนัส    เป็นข้อสังเกตุ
หลวงปู่    ไม่ต้องสังเกตุ อยากแดก ก็แดกเลย ไม่ต้องไปอะไรมันมากมาย
คุณมนัส    อยากได้ความกระจ่าง
หลวงปู่    ไปเลี่ยงบาลงบาลี แล้วจะกินนู่นกินนี่ได้ไม๊ ลองเล่นกระเทียมเป็นหัวได้ ก็เล่นมัน

เผาได้แล้ว โอ้โห ไม่ต้องอะไรมากหร๊อก จบ
ปุจฉา    เวลาพระป่าชอบสนทนาธรรม บางครั้งท่านก็ถามสภาวะธรรม ถ้าตอบกลับ จะ

บาปไหม
หลวงปู่      ไม่ได้บาปอะไร สมัยก่อนนี้ พระพุทธเจ้าถามพราหมณ์ พราหมณ์ถามพระสา

รีบุตร พระสารีบุตรถามพระมหากษัตรย์ ถามพระเจ้าปเสนทิโกศล เค้าถามกันด้วยธรรม

เค้าเรียกว่า กัลยาณธรรม แต่สมัยนี้ เจอกัน เป็นไง ฉลองหรือยังล่ะ ได้มาไม่ฉลองเดี๋ยวเข้า

ตัวนะ อะไรอย่างนี้ อ้าว แล้วอย่าลืมนิมนต์ผมนะถ้าจะฉลอง อะไรประมาณนี้ มันเป็นอี

พันธุ์แหละ มันไม่ได้สนทนา คือ ไม่มีวาจาสุภาษิต
การที่เจอหน้ากัน แล้วสั่งสนทนาธรรมกัน เค้าเรียก วาจาสุภาษิต นะ แต่เจอหน้ากันแล้ว

ถามแต่เรื่อง กามโลกีย์เนี่ยนะ ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือ เรียกว่า

โลกธรรมทั้งปวง นำขึ้นมาสนทนา เค้าเรียกว่า วาจาทุภาษิต นะ เพราะวาจานั้น ไม่ได้ทำให้

เกิดข้อคิด วิถีทาง กระบวนการ ความหลุดพ้น และ แสงสว่างของชีวิตได้เลย ไม่ใช่วาจา

สุภาษิต เป็นทุภาษิต จบ
คุณมนัส     เอาละฮะ มาเรื่องใกล้ตัวเข้าไปอีกนะครับ
ปุจฉา     เรากับแม่มีความผูกพันกันมาก ถามเผื่อไปในอนาคต ถ้าคุณแม่เราจบชีวิตลง ไป

เกิดเป็นแมว เกิดเป็นน้องหมา แล้วเราอธิษฐานไป เกิดกี่ชาติๆ ก็ขอให้เป็นลูกแม่ทุกภพทุก

ชาติ แล้วแบบนี้ จะตามไปเป็นลูกหมาลูกแมวหรือไม่
วิสัชนา     มีส่วนๆๆ ชั้นเองยังนึกเลย โยมชั้นเนี่ย แกก็ร่ำร้องที่จะกำผักบุ้งขาย เพราะสมัย

ก่อนนี้แกกำ หลวงปู่เด็ดไง แล้วก็ไปขาย บางทีก็พาแกไปนั่งชายนา แกเห็นผักบุ้งเข้า ท่าน

ทำไมไม่เก็บเอาไปขาย แล้วแกก็บ่นมาหลายเที่ยว เราก็ เออ วันนี้มีคนเยอะ เมื่อวานเย็น ก็

เลยลงนา ไปลุยเก็บผักบุ้งให้แก อู้หู ปวดระบมไปหมดเลย มันต้องก้มใช่ไม๊
คุณมนัส    ครับ
หลวงปู่    ก้มแล้วก็ พอขึ้นมา หมด 2 ชั่วโมง ก้มเก็บกว่าจะได้ผักบุ้งเต็มเข่งล่ะนะ พอมี

ทหารช่วยด้วย มันก็ไม่รู้จักเด็ดเท่าไหร่ เก็บมาให้แกนั่งกำ เห็นแกมีความสุข เออ ทำให้

แม่มีความสุข เราก็เออ พอตกเย็นหน่อย เดินท่านี้ (เอามือ 2 ข้างจับเอวด้านหลังทั้ง 2

ข้าง) มันปวดหลัง ทรมาน เดินขาสั่นเลยล่ะ เพราะมันลุยอยู่ในขี้โคลนไง น้ำแค่เข่าน่ะ
คุณมนัส    ดีว่า เป็นผักบุ้ง
หลวงปู่     ก็ไม่รู้  ดีไม่ฟุบลงไป เลื้อยลงไป
คุณมนัส    เป็นผักกะเฉด ล่ะก็
หลวงปู่    เลื้อยเป็นผักกะเฉด ก็ ยังนึกว่า เอ๋อ กูนี่ นี่มันทำถูกหรือทำผิดวะ เออ แม่เรามี

ความสุข ก็ทำไปเฮอะ ทำให้แก แกมีความสุข แกสบายใจ เห็นแกนั่งกำผักบุ้งไป แกก็มี

ความสุขไป เออ เราก็ยืนดูแก เดี๋ยวอาทิตย์หน้า เก็บให้ใหม่นะ
คุณมนัส     ก็เอาเป็นว่า
หลวงปู่     แค่นี้ กูก็แย่แล้ว
คุณมนัส    ก็ทำให้แม่ให้พ่อ มีความสุขก็พอ
หลวงปู่    คือ อย่างน้อยก็ทำให้แก คือ คนอายุมากน่ะ ลูก ถ้าแกอยู่เฉย แกจะกลับเรื่องเก่า

แกจะไปบ้านเก่า เพราะงั้น ต้องไม่ให้แกอยู่เฉย ต้องให้มีกิจกรรมให้แกทำอยู่ตลอดเวลา

แล้วแกจะอยู่แต่ปัจจุบัน อยู่กับสิ่งที่ทำ เราก็ยังนึกว่า เออ วิธีการ ทีเวลาเราไม่กินข้าว แม่

เรายังปะเหลาะให้เรากินได้ เราไม่อ่านหนังสือ แม่ยังพยายามบังคับเคี่ยวเข็นให้เราอ่าน

หนังสือจนเรียนได้ อ่านออกเขียนได้ 
เรื่องง่ายๆ แค่นี้ ไม่ได้เรื่องยากอะไร เราก็ปะเหลาะให้แก ดึงใจแก ดึงจิตแก ผูกจิตแกให้

อยู่กับปัจจุบันอยู่เนืองๆ อย่างต่อเนื่องยาวนาน ให้มันเป็นประโยชน์แล้วกันในปัจจุบัน

อย่างมีสติ ไม่ได้เสียหาย ลูก จบ
คุณมนัส    ร่วมแลกเปลี่ยนกันนะครับ ผมก็มีเรื่องมาเล่าให้ฟังเหมือนกัน ผมว่า หลายท่าน

ก็ควจะต้องเอาไปคิดเหมือนกัน สังเกตุ อย่าปล่อยให้คุณแม่ คุณพ่อ อยู่ที่บ้าน อยู่แบบเหงาๆ

คือ ด้วยความที่ชีวิตเราก็ทำงาน ตื่นตี 4 ก็ออกไปทำงาน เช้าเสร็จกลับมาตอนเย็น ก็ไป

จ๊อกบ้างอะไรบ้าง กลับมาอีกที ก็ 3 ทุ่ม เพิ่งอ่านข่าวเสร็จ กลับไปก็คุยกับแม่น้อยมาก ก็

คือ เวลาทานข้าว แล้วก็เวลาเช้าตื่นมา
มีอยู่วันหนึ่ง ท่านหลวงปู่ เป็นอาการเหมือนที่ท่านหลวงปู่บอก  คือ อาการกลับน่ะฮะ กลับ

คุณแม่ไม่มา นินทาได้  คือ มีอยู่วันหนึ่ง จู่ๆ ที่โต๊ะทานข้าว คุณแม่เค้าก็ถามพูด แล้วก็ย้ำ

ความคิดตัวเอง ย้ำอยู่รั่น แล้วก็พูดกลับไปกลับมาๆ ผมชักไม่น่าไว้วางใจกับอาการที่เกิดขึ้น

ละ คือ คนเริ่มมีอายุมากขึ้นนะฮะ
หลวงปู่    ใช่
คุณมนัส    อย่าปล่อยให้เค้าอยู่คนเดียว โดยที่เค้าไม่ได้คุยกับใครทั้งวันแบบนี้ อันตรายมาก

ผมก็มานั่งคิด ทำไมแม่ผมพูดแล้วก็ถาม ถามแล้วก็ทำ ทำเสร็จแล้วก็กลับมาถามใหม่ว่า

ชั้นทำไปหรือยัง อะไรแบบนี้
หลวงปู่    คือ แกลืม แล้วก็บางทีโรคย้ำทำย้ำคิด มันจะเกิดขึ้น
คุณมนัส    แต่ผ่านไปแล้ว หายแล้ว นะครับ
หลวงปู่    เออ ต้องชักจูงจิตใจแก ให้แกอยู่กับปัจจุบันเนือง อย่าปล่อยให้กลับบ้านเก่า

พอกลับบ้านเก่า แล้วเดี๋ยวพอหมดลมไป ก็ไปอยู่ที่เก่า เพราะงั้น ถ้าไม่อยากให้แม่กลับไป

เป็นหมา เป็นแมว แล้วเราจะตามไปเป็นลูกหมา ลูกแมว ก็ให้แม่อยู่กับปัจจุบัน จบ
ปุจฉา     ถ้าเกิดมีความคิดลบลู่ผู้มีพระคุณ หรือว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แว๊บขึ้นมาในใจของเราทั้งๆ

ที่ไม่ต้องการจะไปคิดแบบนั้น ทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ ก็จะนึกกลัวบาปในใจ การมีความคิด

แบบนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ มันมีผลหรือไม่ มีอานิสงส์อะไรหรือไม่
หลวงปู่      พระพุทธเจ้าทรงกำหนดเอาไว้ เรื่อง เจตนา ลูก
เจตนาหัง ภิกขะเว กัมมัง กรรมทั้งหลายเกิดได้ เพราะเจตนา แต่ถ้าไม่มีเจตนา มันไม่เป็น

กรรม เป็นแต่ความชั่วหยาบในใจ มันเป็นวิบากของใจ แต่ไม่เป็นผลกรรมต่อเนื่องกับคนอื่น

เป็นวิบากของใจว่า วันข้างหน้า ถ้าเราจะทำใจให้สงบนั้น เป็นผู้หลุดพ้น ปลอดกิเลส อ้าย สิ่ง

เหล่านี้มันจะตามมา ตามมาล้างผลาญ ตามมาหลอกหลอน ตามมาทำร้าย ทำลาย เพราะเรา

สร้างริ้วรอยเกิดขึ้น
จิตนี่ มันเหมือนกับการถ่ายภาพ ฉายภาพ, ดี มันก็ฉายเก็บ, ชั่ว มันก็ฉายเก็บ, กุศล

มันก็ฉายเก็บ, อกุศล มันก็ฉายเก็บ, อัพยากฤตจิต มันก็ฉายเก็บ มันเก็บไว้หมดแหละ

ทีนี้ เมื่อถึงเวลาเราฝึกมัน ฝนมัน มันก็ผลุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดล่ะ อ้ายที่เก็บๆ ทั้งหมดนั่น

แหละ
พระพุทธเจ้าจึงสอนให้มีสติทุกขณะจิตไง
ทีนี้ ถ้ามีไปแล้ว เกิดไปแล้ว ทำไปแล้ว ทำอย่างไร ไม่มีเจตนา ไม่เป็นกรรมแต่มันบาปทาง

ใจอย่างหนึ่งเป็นบาปทางใจที่เป็นวิบากที่จะต้องตามผลุด ตามหลอก ตามหลอน ตามล้าง

ตามผลาญเราอยู่ในขณะที่เราต้องฝึกจิต
อ้าว ถ้าอย่างนี้ ก็ไม่ต้องฝักสิ
อ้าว ไม่ฝึก ก็หนักเลยทีนี้ ก็กลายเป็นเหมือนกับผลของกรรมที่ส่งผลมาสู่ ก็บอกแล้วว่า

กรรมเริ่มต้นมันมาจากไหนก่อน, จิตก่อน มันมาจากจิตก่อน วันนี้ เรากล้าที่จะปรามาส

คนที่คุณในจิตได้ วันข้างหน้า เราก็กล้าที่จะทุบตีคนมีคุณได้ เพราะกรรมเบื้องต้นมันเกิด

จากจิต ถูกไม๊ วันนี้เรากล้าด่าพ่อแม่ในใจได้ วันข้างหน้าก็กล้าตีพ่อแม่ด้วยมือได้
อ้าว มันเริ่มจากจิตก่อน
งั้น ก็ต้องล้างจิต ชำระจิต ทำให้จิตนี้ผ่องแผ้ว ผ่องใส จบ ลูก
ปุจฉา    อันนี้เป็นประโยชน์ครับ ท่านหลวงปู่ เรื่องของการสร้างถาวรวัตถุครับ โดยรวมทั่วๆ

ไปมิใช่วัดท่าน เรื่องการสร้างพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุด สูงที่สุด ทั้งที่ในหลายวัดชนบท ยัง

ขาดแคลนวัตถุและปัจจัยอีกมากมาย สร้างเพื่อวัตถุประสงค์อันใด ย้ำมาไม่ใช่วัดอ้อน้อย
วิสัชนา    ที่จริง มันอยู่ที่วิธีคิดของแต่ละคนนะ เวลาหลวงปู่ทำอะไร จะดูกำลังตัวเอง จะดู

ความสามารถ และความพร้อม ความพอเหมาะพอดีว่า ถึงคราวหรือยัง บังควรหรือยัง

เหมาะสมหรือยัง พร้อมหรือยัง ไม่ได้ทำเพราะความอยากทำตาม เหมือนคนอื่นเค้าทำ ไม่

ได้ทำเพราะความอยากทำตามเหมือนคนอื่นเค้าทำ ไม่ได้คิดแบบนั้น
ทีนี้ ถ้าคนอื่นคิดว่า ทำอะไรด้วยความอยากทำตาม เรามองในมุมบวกว่า ถ้าสมัยก่อนนี้ คน

โบราณไม่คิดจะสร้างกรุงศรีอยุธยา ไม่สร้างกรุงสุโขทัย วันนี้เราก็คงไม่มีซากกรุงศรีอยุธยา

กรุงสุโขทัยให้เราเห็นกันล่ะ วันนี้เราคงไม่ได้เห็นพระใหญ่ชัยมงคลหน้าตาเป็นยังไง หลวง

พ่อโต วัดพนัญเชิง หน้าตาเป็นยังไง ได้เห็นไม๊ เออ ไม่ได้เห็น ถ้าเมื่อก่อนนี้ เค้าคิดเหมือน

ที่คนถามเค้าถามมา
งั้น ก็คิดในมุมบวกเข้าไว้ว่า เออ เค้ามีปัญญาสร้างได้ เราไม่เดือดร้อนเรา ก็ดีแล้วล่ะ เค้าไม่

ได้มารบกวนเรา ไม่ได้ให้เราผ่อนส่งเดือนละเท่านั้นเท่านี้ ก็ดีแล้วล่ะ เออ ลืมผ่อน ก็มี

จดหมายมาทวง คุณโยมจ๊ะ ยังไม่ได้จ่ายนะจ๊ะ อะไรอย่างนี้ ก็ถือว่า ดีละ
คุณมนัส    อันนี้เกี่ยวกับวัดอ้อน้อยครับ
หลวงปู่    ว่า
คุณมนัส    เช่าองค์นาคปรกของท่านหลวงปู่ไป แล้ววันนี้จะเอาองค์พระนี้ไปให้ลูกค้าคน

หนึ่งเค้าทำบุญ ขึ้นบ้านใหม่ แต่ตอนยกขึ้นมา หนักมาก ล้มลงทั้งคนทั้งพระ ปรากฏว่า

หงอนของเศียรนาคหัก ถ้าจะเอาไปซ่อม แล้วเอาไปให้ลูกค้า มันจะ
หลวงปู่    ไม่เป็นไร เอาไปซ่อมได้ ไปซ่อม
คุณมนัส    ไม่เป็นไรนะครับ ถือว่า ผ่านการปลุกเสกจากท่านไปแล้ว
หลวงปู่      เออ ใช้ได้ แต่เค้าไม่นิยมให้ของแตกหัก มีตำหนิชำรุด เค้าจะให้ของที่ดีที่สุด

วันข้างหน้า เราอาจจะได้ผัวหัวขาด
คุณมนัส     แล้วต้องกลับมาไว้วัดอ้อน้อยไม๊
หลวงปู่     ผัวหัวขาด ผัวหงอนสั้น อะไรอย่างนี้ เออ ไม่รู้
ปุจฉา    เวลาใส่บาตร ตอนที่กรวดน้ำ ก็ภาวนาว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข ขอสัตว์ทั้งปวง

จงพ้นทุกข์ แบบนี้ถูกหรือไม่
วิสัชนา      ดี ใช้ได้ ให้น่ะเป็นใช้ได้น่ะ ลูก ถ้าให้นะ ตั้งใจให้ ให้ยังไงก็ใช้ได้หมดแหละ ถ้า

ให้ของดีนะ แต่ถ้าให้ของไม่ดี ก็อย่าไปให้ ให้แล้วต้องให้ของดี จบ
ปุจฉา     พระธาตุต้องเกิดจากกระดูกของพระอรหันต์เท่านั้น ใช่หรือไม่
วิสัชนา    พระธาตุนี่ มีพระสัมมาสัมพุทธธาตุ กับพระปัจเจกพุทธธาตุ และพระอรหันตธาตุ

แต่เดี๋ยวนี้ หินในถ้ำก็เป็นธาตุ เป็นพระธาตุ เห็นเกลื่อนไปหมดแหละ ไปที่ไหนๆ ก็มีแต่

พระธาตุ มีคนเอามาถวายบ่อยๆ บอก ดีไม๊
 ดี
เอ้า มึงเก็บไว้ ถ้าดี มึงต้องเก็บไว้ อย่าเอามาให้กู เพราะกูดีแล้ว มึงยังไม่ดี มึงเก็บเอาไว้ จะ

ได้ดีตามๆ กัน เพราะขี้เกียจเป็นภาระไง ขี้เกียจมารับ โอ๊ย
หลวงพ่อองค์นั้นทำฝากถวาย สมเด็จองค์นี้ฝากถวาย
เอ๊อ มึงเอาไปให้ท่านไหว้ของท่านไป เออ กูดีแล้ว ไม่ต้อง ไหว้พระธาตุอยู่ในใจ
ที่จริง หลวงปู่น่ะ ไหว้พระธาตุมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ตาสอนให้ไหว้ “มือลูกสิบนิ้ว ยกเหนือ

หว่างคิ้ว ต่างธูปเทียนทอง” ตาเป็นคนสอนให้ไหว้ ไหว้มาตั้งแต่เด็กๆ ละ พระธาตุสรร

เพชญ์เจ็ดองค์ ทรงเดช ทรงคุณลักขณา ท่องมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ เออ ตั้งแต่เริ่มจำความได้

แกก็สอนให้ท่องไหว้พระธาตุตั้งแต่เด็ก ไม่เห็นตัวพระธาตุด้วยซ้ำ ก็ไม่เห็นพระธาตุหล่น

ลงมาจากตรงไหนซักที ก็ไหว้มาถึงวันนี้ก็ยังไม่มี ไม่รู้เค้าไหว้กันอีท่าไหน ได้พระธาตุ
ที่จริงนะ ไม่ต้องไปลงทุนอะไรเยอะแยะหรอก เดินไปแถววัดราชนัดดา เค้าก็วางกองขาย

ตวงกันเป็นทะนานๆ แล้ว จะเอาประเภทประมาณเท่าไหร่ยังไง ก็แล้วแต่
แต่อยากจะบอกว่า ทำอะไร คิดอะไร พูดอะไร ดำริอะไร ก็ให้มันมีปัญญาหน่อย อย่า ไม่

ใช่ไปอวดอ้างส่งเดช แล้วเดี๋ยวนี้มี เปิดดูโทรทัศน์ ดูสื่อ มันมีประเพณีพิธีการตัดกรรม ถ่วง

กรรม ล้างกรรม สำรอกกรรม อะไรไม่รู้
ไม่รู้เดรัจฉานคาถา วิชา เกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอ
เอ๊ย ถ้ามันทำได้จริงๆ ขนาดนั้น คนคงไม่มีติดคุก เพราะมันรู้ว่า ทำชั่วแล้ว วิ่งเข้าไปหาอ้ายนี่

ช่วยสำรอกกรรมให้ทีอะไรอย่างนี้ หมด มันทำไม่ได้จริงๆ แล้วมันก็หลอกกัน แล้วก็มีคน

เชื่อนะ เค้ามีสถิติ ชั้นเคยอ่าน รู้สึกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สำนักพุทธฯ เค้าไปทำสถิติออกมา

ไปสำรวจที่ไหนไม่รู้ แต่ได้ความมาว่า คนเชื่อเรื่องการสำรอกกรรม หรือตัดกรรม ร้อยละ

70 ไม่น้อยเลยน่ะ คนไทย
เชื่อขนาดนี้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ แสดงว่า ไม่มีสติปัญญาไง ไม่มีความรับรู้ ไม่มีความเข้า

ใจเรื่องพุทธศาสนา
แล้วอ้ายคนที่มีหน้าที่สอน ก็ไม่สอนให้เข้าใจ ชอบไปสอนในเรื่องเลวร้ายเสียหาย โดย

เฉพาะเรื่องอะไรนะ ยักษ์ผสมคนธรรพ์ ออกมาเป็นเทวดาอะไรเนี่ยนะ ก็ยังเชื่อกันอยู่นะจน

เดี๋ยวนี้ มันทำอย่างกับนิทานอีสป เออ ออกมาลูกผสมกันได้ ครึ่งคนครึ่งยักษ์อะไรอย่างนี้

มีที่ไหน เค้าทำกันได้อย่างไร มีตำนานอยู่ไหนพระชาดกเล่มใดเค้าบอกกันมา เฮอ จบ ก็มี

คนโง่เชื่อด้วย มีคนโง่เชื่อด้วย
คุณมนัส     14 นาฬิกา 48 นาทีนะครับ ก่อนที่จะไปเรื่องของคลีนิค ท่านหลวงปู่

เยอะมากนะครับ ผมว่าต้องเปิดแล้วล่ะ
หลวงปู่    3 โมงตรง ก็เลิกแล้ว
คุณมนัส    ได้ไม๊ฮะ ผมจะพยายามรวบๆ ให้เร็วที่สุด มีคำถามคั่นกลางหน่อยแล้วกัน วันที่

5 วันที่ 7 นี้ รัฐบาลเค้าจะเอาน้ำเข้ากรุงเทพมหานคร ท่านหลวงปู่มีความเห็นอย่างไร
หลวงปู่    อ๋อ เค้าซ้อม ซ้อมความ “โต่ะใจ” เค้าซ้อมความ “โต่ะใจ” ว่าคนไทยจะ “

โต่ะใจ” เยอะไม๊
คุณมนัส    คนถามมา โดนใจผมมากเลย ผมก็จะถาม
หลวงปู่   ไปเชียงราย เดินไปเยี่ยมพวกมูเซอมา อุ๊ โต่ะใจ โต่ะใจโหมะเลย เดินเข้าไป มัน

กำลังทำอะไรอยู่ เรียกเค้า เค้าหัน อุ๊ โต่ะใจโหมะเลย เออ รัฐบาลเค้าซ้อมความ“โต่ะใจ”

อย่าโต่ะใจแล้วกัน อย่าตกใจ
คุณมนัส    ก็เตรียมพร้อมแล้วกัน วันที่ 5 บ่าย 2 โมง
หลวงปู่    เค้าซ้อมที่ไหนล่ะ
คุณมนัส     ฝั่งตะวันตกครับ วันที่ 5, วันที่ 7 ก็ ฝั่งตะวันออกนะครับ
หลวงปู่    เหรอ
คุณมนัส    บ่าย 2 โมงนะ มันตรงกับวันพุธกับวันศุกร์ งั้น ก็ไม่ต้องตกใจหรอก เค้า

ปล่อยมา 30 แต่ถ้าเกิดมันกระทบปุ๊บ เค้าจะหยุดระบายน้ำทันที ก็ไม่ต้องไป โต่ะใจ
หลวงปู่    แล้วถ้ามันกระทบ แล้วใครจะรับผิดชอบ โต่ะใจ
คุณมนัส    ก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง
หลวงปู่    เหรอ
คุณมนัส     ก็เค้ากู้เงินมาแล้ว มันก็ต้องใช้
หลวงปู่    เออ
คุณมนัส    วันนั้น ผมก็ถาม SMS ในข่าวเหมือนกัน ทุกคนก็ตอบมาบอกว่า กู้ไปแล้ว ก็

ปล่อยให้เค้าทดสอบไปเถอะ เงินเราทั้งนั้น
หลวงปู่    เออ ใช่
คุณมนัส    ก็ถูกของเค้าล่ะนะ ก็ปล่อยให้เค้าทดสอบไป อย่า โต่ะใจแล้วกัน
หลวงปู่     ตกใจที ซ้อมที ก็หลายตังค์นะนั้นน่ะ
คุณมนัส   ถูกครับ
หลวงปู่     ซ้อมทีหลายตังค์
คุณมนัส    เอ้า เปิดคลีนิคกันดีกว่า สำหรับใครเป็นโรคทั้งหลาย ฟังทางนี้
มีอาการคัน อาการเป็นตุ่ม ผมถามรวมกัน 2 คำถามนะครับ มีอาการคันตามแขนตามขา

เคยไปหาหมอแล้วก็มีตุ่มแดงๆ ใสๆ ทาขี้ผึ้งเทพโอสถ อาการดีขึ้น ไปหาหมอแผนปัจจุบัน

ให้ยามาทา พอหยุดทาก็คันอีก อีกคน ทาขี้ผึ้งเทพโอสถ อาการดีขึ้น แต่กลายเป็นด่างขาว

แทน กลับมาคันเหมือนเดิม จะทำอย่างไร
หลวงปู่    ที่จริง น่าจะมาจากโรคเลือดนะ เลือดกับน้ำเหลือง ทางที่ดีควรจะไปกินยาขับน้ำ

เหลืองเสีย ยาบำรุงเลือด วันนี้ก็มีคนมา เป็นคนไข้ เมื่อเดือนที่แล้วเค้ามา (ผิวหนัง)มัน

หนาเต็มไปหมด แล้วก็ให้กินยา แล้วก็ให้เปลี่ยนสบู่ มาใช้สบู่มังคุด ใครเคยใช้บ้างหรือยัง โอ๊

สุดยอดเลย สบู่มังคุดเนี่ย ใช้แรกๆ มันจะแสบ เพราะว่ามันมีแอนตี้บอดี้ คือ มันจะกัดเซลล์

เก่าๆ ออก หน้าเน้อหัวเห้อสระได้ เค้าใช้อยู่ประมาณเดือนนึง อ้ายเรื้อนกวางที่หนาๆ น่ะ

บางลง สบู่เปลือกมังคุด ที่หนาๆน่ะ บางลง แล้วถ้าจะไปใช้สบู่อย่างอื่น เค้าเคยมาเล่าให้ฟังว่า

มันเห่อขึ้นมา แล้วผมนี่ก็เป็นสังกะตัง หนาเตอะ มันจะคันอยู่ตลอดเวลา งั้น ก็ให้ลองใช้

เปลี่ยนสบู่ดู แล้วลองกินยาขับน้ำเหลืองเสียกับยาบำรุงเลือด น่าจะดีขึ้น ส่วนใหญ่คนที่มา

รักษาโรคผิวหนังที่นี่ จะหาย จบ
ปุจฉา    เรื่องของเบาหวาน คุณแม่ป่วยมาหลายปีแล้ว ต้องฉีดอินซูลินด้วย แต่พอทานยา

ปรับธาตุของหลวงปู่ไปแล้ว เกิดท้องเสีย ทำยังไงดี
วิสัชนา     ที่จริง มันเสียไม่ได้ทุกครั้งหรอก ใหม่ๆ คนไม่เคย กินแล้วจะท้องเสียวันสองวัน

หลังจากนั้นแล้วมันจะอยู่ตัว คือ มันปรับสมดุลย์ของร่างกาย มันถ่ายเอาน้ำเหลืองเสีย เอา

ของที่หมักหมม เน่า ออกมา แล้วหลังจากนั้น มันก็จะอยู่ตัว ไม่ได้เสียหายอะไร ยาปรับ

ธาตุไม่ได้เป็นพิษต่อตัวเอง จบ
คุณมนัส    ต่อเนื่องคนเดิมนะครับ ถามว่า นมถั่วเหลืองกับนมวัว ทานเป็นน้ำปานะได้ไม๊

ในกรณีที่วันนั้นถือศีล 8 โดยเฉพาะวันพระ
หลวงปู่    โอ้โฮ ก็บอกแล้ว ลูก โจ๊กก็ได้ เอาอะไรก็เอาเฮอะ
ปุจฉา      คุณแม่อายุ 83 ปี เคยมารักษากับหลวงปู่ หลวงปู่สั่งยาเบาหวานกับยาบำรุงไต

น้องสาวเปิด Internet พบว่า น้ำคั้นกระชายช่วยบำรุงไต ไม่ทราบว่าจะคั้นแม่ดื่ม

ได้หรือไม่
วิสัชนา     อืม ที่จริงแล้วเนี่ย กระชายเค้าใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ไม่ใช่บำรุงไต กระชายนี่มัน

เป็นยาเย็น ใช้ขับปัสสาวะ มันไม่ใช่บำรุงไต ให้จำไว้ เข้าใจไว้ด้วย คนเข้าใจผิดคิดว่า

กระชายบำรุงไตไม่ใช่ แต่มันจะบำรุงฮอร์โมน กระชายนี่เค้าใช้บำรุงฮอร์โมน ผสมกับยา

หลายตัว จึงจะได้เป็นยาฮอร์โมน แล้วก็ขับปัสสาวะ ก็ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อโรคไต จบ
ปุจฉา      จากเบาหวานนะครับ เรื่องของโรคกระดูก เป็นโรคกระดูกพรุน ทานยากระดู

กเสื่อมของหลวงปู่ได้ไม๊ และต้องทานเท่าไหร่ อายุ 53 ปี
วิสัชนา    กินยาบำรุงกระดูก กับซุบที่เค้าทำขาย ซุปที่พระเค้าต้ม นี่เป็นซุปบำรุงกระดูก

บำรุงกำลัง แต่มันร้อนนะ ต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพราะบางคนกินเข้าไปแล้ว เลือดกำเดาไหลเลย

มันร้อนมาก ต้องดื่มน้ำเยอะๆ จบ
คุณมนัส     อันนี้เป็นยาอันเดียวกับยาบำรุงเซลล์กระดูกไม๊ครับ
หลวงปู่       ใช่ เป็นยาอันเดียวกัน
คุณมนัส     ต้องทานนานแค่ไหนถึงจะได้หยุด
หลวงปู่    เออ กินจนกว่าเราจะรู้สึกว่าเราแข็งแรง เพราะยาบำรุงกระดูก มันเป็นยาที่ไป

กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย เราจะรู้สึกได้ว่า เรามีความรู้สึกแข็งแรง ไม่ปวดข้อกระดูก

กระดูกเรารู้สึกยืดหยุ่น ตัวเราไม่ปวดเมื่อยตามกลามเนื้อ ตามข้อกระดูก จบ
ปุจฉา     หลานชายอายุ 18 ปี ปวดหลังมาก ก้มไม่ได้ หมอบอกเป็นโรคพังผืดเกาะที่ไข

สันหลัง รักษาด้วยวิธีกายภาพบำบัดทุกวันและตลอดไป อยากทราบว่า มียาอะไรจะช่วย

บรรเทาและรักษาให้หายได้
วิสัชนา      พวกนี้ ส่วนใหญ่วันทั้งวัน นั่งอยู่แต่เครื่องคอมฯ นั่งเล่นอยู่แต่หน้าเครื่องคอมฯ

อยู่หน้า Internet บ้าง บ่อยๆ เข้า หนักๆ เข้า ต้นไม้เอามาบอนไซในกระถาง มัน

ยังไม่โตเลย สาอะไรกับคน นั่งวันทั้งวันอยู่แต่หน้าคอมฯ ไม่ขยับเขยื่อนเคลื่อนไหวไปไหน

วันก็แล้ว สองวันก็แล้ว เดือนก็แล้ว ก็อยู่อย่างนั้นแหละ สิ่งที่ได้ก็เป็นแบบนั้น
ที่จริง ออกกำลังกายก็ได้ แก้ไขได้ ว่ายน้ำก็ได้ วิ่งก็ได้ แก้ได้ ไม่ต้องไปกินยา เพราะอายุยัง

ไม่มากเท่าไหร่ จบ
คุณมนัส    อายุ 53 ปี หมดประจำเดือนแล้ว อยากทานยาเพิ่มฮอร์โมนของหลวงปู่ได้ไม๊

ต้องทานนานเท่าไหร่ ยากระดูกเสื่อม กับยาเพิ่มฮอร์โมนทานด้วยกันได้หรือไม่
หลวงปู่      ได้ กินได้ แต่มันมีคนที่เคยกินแล้ว ประจำเดือนกลับมาเป็นใหม่ ก็ต้องดูก่อนว่า

เรากินแล้วรู้สึกยังไงบ้าง จบ
คุณมนัส    ผู้ที่ผ่าตัดมดลูกแล้ว สามารถทานยาฟอกเลือดได้หรือไม่
หลวงปู่    ไม่ได้เสียหายอะไร
คุณมนัส    ไม่ได้เสียหาย ทานได้นะครับ หลานสาวป่วยเป็นมะเร็งในรังไข่ หมอเพิ่งตรวจ

พบ มีขนาดใหญ่มากทั้ง 2 ข้าง ขนาดเกือบ 28 ซ.ม หลังจากผ่าตัด พบว่าบริเวณตับมี

จุด แต่หมอเอาออกแล้ว ขณะนี้ยังอยู่โรงพยาบาล ยังไม่สามารถจะมาพบหลวงปู่ได้ จะขอ

ยาหลวงปู่ไปให้ทานก่อนได้หรือไม่
หลวงปู่      ไม่ได้ เพราะว่า อยู่ในโรงพยาบาล หมอเค้าดูแล เอายาไป เค้าก็ไม่ให้กินอยู่แล้ว

ให้หมอเค้ารักษาเถอะ จบ
คุณมนัส     ลูกสาวอายุ 33 ปี เป็นมะเร็งเต้านม หมอบอกต้องให้คีโม และจะมีอายุอยู่

ต่อได้แค่ 6 เดือน - 1 ปี กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า จะต้องทำอย่างไร จึงจะยึดอายุให้

ยาวนานกว่านี้
หลวงปู่      อืม ที่จริงแล้ว คนเรามันมีอายุขัยเป็นของตนนะ ลูก ยกเว้นว่า เราจะมีมหากุศล

มหาศาลอะไรอย่างนี้ ก็ ลองเอายากินให้มันมากขึ้นหน่อย ยามะเร็งน้ำ มะเร็งเม็ด บำรุงเลือด

กินมันวันหนึ่ง 4 เวลา 5 เวลาเลย แล้วก็ทำจิตให้สบายๆ ให้ผ่องแผ้ว อย่าไปยึดถือร่าง

กาย ฝึกจิตให้แข็งแรง อย่าพะวงต่อร่างกาย แยกจิตกับกายออกจากกัน อาจจะอยู่ได้นาน ลูก

จบ
คุณมนัส  ไอรุนแรงมากติดต่อกันในช่วงประมาณ 4  -5 ทุ่ม บางครั้งมีเสมหะสีขาวใส

บางครั้งต้องลุกขึ้นมานั่งหลับช่วงตี 3-4  ตอนนี้ไอจามติดต่อกันมาประมาณ 2 อาทิตย์

บางครั้ง อมยาอมของหลวงปู่ก็ดีขึ้น แต่กลางวันไม่ค่อยไอ เอายาแก้ไข้เทใส่คอก็ทำมาแล้ว
หลวงปู่      น่าจะมาจากภูมิแพ้หรือเปล่า วันนี้ก็มีคนไข้มา เค้าเป็นโรคไอ คราวที่แล้วเค้า

ฟังหลวงปู่สอนว่า ให้ใช้น้ำมันกานพลู กวาดยาเข้าไปในลำคอ หยดแล้วเอานิ้วกวาดเข้าไป

ในลำคอ เค้าหาย ลองไปใช้ดูก็ได้ น้ำมันกานพลู วันนี้ คุณหมอ ศาสตราจารย์อะไรมาอยู่ศิริ

ราช เป็นหวัดมาหลายวันแล้ว เค้ากินยา มูกไม่โล่ง หลวงปู่ พอดี มานั่งฟืดๆ อยู่ข้างๆ รำคาญ

เลยงัดเอาน้ำมันกานพลู เอ้า หมอ ดมซะ ดมอยู่ซักพัก โล่ง เออ เค้าว่า ดีกว่ากินยาฝรั่ง ผม

กินยาฝรั่งมา 2 อาทิตย์แล้ว จมูกไม่โล่งขนาดนี้เลย เออ ใช้ได้
 ถ้าไอ ก็เอากรอกปาก เอาใช้วิธีกวาดลิ้น ถ้ารู้สึกเสลดมันเหนียวๆ ก็เอาหยดใส่น้ำอุ่นหน่อย

หนึ่ง น้ำอุ่นซักครึ่งแก้ว แล้วก็ดื่ม มันก็จะรู้สึกโล่ง สบายตัว
ปุจฉา     ใบม่อน ใบยอ เอามาต้มน้ำ ดื่มแทนน้ำเป็นประจำได้หรือไม่
วิสัชนา     ใบม่อนนี่ มันเป็นยาขับปัสสาวะ ใบยอนี่ มันยาบำรุงไต กินได้ไม๊ประจำ

ทุกอย่างมันกินประจำไม่ดีทั้งนั้น แต่ก็กินได้ จบ
คุณมนัส    ปุจฉาสุดท้ายในเวลาที่กำหนด 15 นาฬิกาพอดีเป๊ะ ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกจาก

เส้นเลือดสมองตีบ ขยับตัวได้เฉพาะด้านซ้ายอย่างเดียว ควรจะเริ่มต้นการรักษาอย่างไร
หลวงปู่      ทำกายภาพ แล้วต้องหา มันต้องเอามาตรวจดูว่าเป็นเพราะเหตุใด บางทีเส้น

เลือดตีบ เส้นเลือดสมองแตก หรือไม่ก็ มีปัญหาทางปลายประสาท งั้น ต้องมาตรวจ แต่ถ้า

จะให้วางยาตรงนี้ ก็ไปกินยาละลายลิ่มเลือด ขยายหลอดเลือด บำรุงสมอง ก่อน จบ
คุณมนัส     ทุกคำถาม มีคำตอบนะครับ ปุจฉา วิสัชนา โดยท่านหลวงปู่พุทธะอิสระนะครับ

วันนี้ขอบคุณทุกคำถาม ผมถามให้หมดเลย แล้วก็ในเวลาที่กำหนดด้วยนะครับ
15 กันยายน วันเสาร์นะครับ เรียนเชิญทุกท่านอีกครั้งนะครับ ที่โรงพยาบาลศิริราช เรา

จะไปร่วมกันเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
หลวงปู่    ไปไม๊ ไม่ถามเหรอ เค้าไปไม๊
คุณมนัส    ขอดูมือหน่อย ใครไป ยกมือ
หลวงปู่    อุ๊ย ทำไมน้อยจังหว่ะ
คุณมนัส     คนไป ไม่ได้มา เอาล่ะ พวกเราเปล่งสาธุการ เป็นการขอบพระคุณท่านหลวงปู่

นะครับ แล้วเดี๋ยวหลังจากนี้ ก็ทำกิจกรรมกันต่อนะครับ
(สาธุ)
หลวงปู่     ก็ขอให้ทุกท่านที่รับชมรายการ ปุจฉา วิสัชนา และคุณมนัส ตั้งสุข จงรุ่งเรือง

เจริญ คิดหวังสิ่งใด สมความปรารถนา มีปัญญารู้แจ้งทั่วถึงธรรม และเข้าใจในอรรถ ธรรม

พยัญชนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจริญธรรม
(สาธุ)
หลวงปู่     อย่าลืมวันที่ 15 ไปร่วมกันถวายความจงรักภักดี แสดงความจงรักภักดี เวลา

บ่าย 2 โมง ณ. ลานพระรูปของสมเด็จพระบิดา อาคารร้อยปี ศิริราช หนังสือสวดมนต์

ไม่ต้องเตรียมไป ไปแต่ตัวกับหัวใจ อย่าลืมใส่ผ้าไปด้วยก็แล้วกัน เราจะไปเจริญพระพุทธ

มนต์ถวายพระราชกุศล ทุกเดือน
คุณมนัส     ฝนตก
หลวงปู่    ฝนตกก็ ธรรมชาติ แต่เราไม่ใช่เป็นน้ำตาลที่กลัว แล้วก็ต้องละลายตามฝน คือ ทำ

ดีแล้วมีอุปสรรค แล้วทำจนจบ ก็ถือว่า ดีนั้น ยอดดี สุดยอดดี ไม่ต้องกลัว ลูก แต่ก็ไม่ใช่ไม่

ต้องกลัวแล้วตัวใครตัวมันนะ ต่างคนต่างไป ก็ไม่ใช่
เอาล่ะ กราบพระ แล้วก็ไปพัก แล้วเตรียมตัวปฏิบัติธรรม
เอ้า ตลบมือให้เกียรติ
(กราบ)
ไป เข้าห้องน้ำห้องท่า ล้างหน้าล้างตา แล้วเดี๋ยวมาปฏิบัติธรรม
เอามาเดินก่อน เดินก่อน แล้วค่อยสวดมนต์
เคลียร์พื้นที่
2 ก ย 2555   15.00 น. ระหว่างปฏิบัติธรรม โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

ขั้นที่ 1 ภาคที่ 1, ขั้นที่ 1 ภาคที่ 2, ขั้นที่ 1 ภาคที่ 3 สวด นะโม 3 จบ ในใจ
เตรียมตัวปฏิบัติธรรม
(กราบ)
เอ้า เตรียมเดิน เดินก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยว่า นะโม ให้ว่าเลย  4 โมงก็ไม่จบ
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น เดี๋ยวรุ่นพี่เข้าไปสอน แนะนำ
เดินขั้นที่ 1 ภาคที่ 1
..................
รุ่นพี่ช่วยแนะนำคนที่มาใหม่ด้วย
...................
ระวัง อย่าสร้างวิบากให้กับจิต
ที่จริง ถ้าตั้งใจ ก็เป็นกุศลวิบาก
แต่ถ้าไม่ตั้งใจ ก็เป็นอกศุลวิบาก
ถึงเวลาเราจะทำให้จิตสงบ วิบากเหล่านี้ มันจะแสดงผล
งั้น ไม่ว่าจะทำอะไร ต้องทำจากใจ เต็มใจทำ ทำด้วยหัวใจ
ตั้งใจทำ จริงจังที่จะทำ อย่าทำแบบขอไปที
ถ้าเป็นอย่างนี้ ต้องหยุดอยู่กับที่ แล้วตั้งต้นใหม่
เดิน สักแต่ว่าเดิน แล้วก็มองไปเรื่อยเปื่อยน่ะ เป็นอกุศลวิบาก
เมื่อถึงคราวเราจะฝึกจิตจริงๆ จังๆ
อ้ายพวกนี้ มันจะผลุดขึ้นมาเป็นอุปสรรคให้แก่เรา
ถ้ามันไม่สงบ มันยุ่ง มันว้าวุ่น
หยุดทันที แล้วก็เริ่มต้นใหม่
..................
ขั้นที่ 1 ภาคที่ 2
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่แนะนำ
................
ขั้นที่ 1 ภาคที่ 3
มีคนที่สร้างวิบากที่เป็นอกุศล
รู้ว่า ล่องลอยแล้วไม่หยุด ไม่หยุดนิ่ง
ยังเดินต่อไปอีก
...............
รู้ว่า เราล่องลอยออกไปข้างนอก หยุด แล้วเริ่มต้นใหม่
ฝึกให้มันซื่อตรง
ไม่ใช่สร้างนิสัยให้กลายเป็นคนหลอกตัวเอง
แล้วสุดท้าย จิตที่หลอก มันจะผุดขึ้นมา
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น ให้รุ่นพี่เข้าไปแนะนำ ที่เดินไม่ถูกน่ะ
...................
ไปเอาหนังสือสวดมนต์มา คนละเล่ม
เปิด นะโม แปล แล้วออกไปนอกศาลา
ว่า นะโม แปล ให้ครบ 3 จบ
จิตอยู่กับ นะโม ครบ พร้อมคำแปล
ไม่ขาดเลย แม้แต่นิดเดียว แล้วเข้ามาข้างในได้
แต่ถ้าขาด ต้องเริ่มต้นใหม่ จนครบ
แล้วถ้าขาดอีก ก็เริ่มต้นใหม่อีก
..................
เสร็จแล้ว เข้ามาในศาลา เดี๋ยวจะมีคำสอน จะให้ทำอย่างไร
ออกไปว่า ข้างนอกศาลา
...................
ฝนตก ก็อยู่ในศาลาได้
เออ ถ้าข้างนอกฝนตก ก็อยู่ในศาลาได้
...................
แต่ยืน ว่า ไม่ให้นั่ง ว่า
ได้แล้ว จึงนั่ง
...............
ว่า ในใจ ไม่ให้ออกเสียง ทั้งเดินหน้า และถอยหลัง
...................
ท่อง เพราะ อ่าน, หรือ ท่อง เพราะ จำ
ถ้า ท่อง เพราะ อ่าน มันจะทีละตัว
แต่ถ้าท่องเพราะจำ ยังไม่ทันอ่าน ก็ท่องแล้ว
ดูซิ จิตเป็นอย่างนี้ไม๊ สังเกตุซิ
จิตที่ท่องเพราะอ่าน มันจะมองทีละตัว แล้วอ่านทีละตัว
แต่ถ้าจิตท่อง เพราะ จำ ไม่ทันมองทีละตัว ก็อ่านจบละ
ใช่ไม๊ ลองดูซิ
แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ อ้ายจิตที่ท่องเพราะจำน่ะ
บางตัวมันไม่ทัน ท่อง ไม่ทัน อ่าน คือ ไม่ทันอ่านก็ท่องแล้ว
แถมท่องแล้ว จิตล่องลอย จิตหนึ่งล่องลอยไปไหน ก็ไม่รู้
ซึ่งจะต่างจากจิตที่ท่อง เพราะมันอ่านทีละตัว
ฝึกใหม่
สังเกตุดู
จิตหนึ่ง มอง, จิตหนึ่ง อ่าน
มันจะมีจิต เกิด ดับ เห็นชัด
ซึ่งจะต่างจากจิตที่ ท่อง และจำ ไม่มีเกิด ดับ
จริงๆ แล้ว มัน เกิด ดับ แต่เราพยายามรวบยอด
มองปุ๊บ อ่านปั๊บ โดยที่ มองปุ๊บ ท่องปั๊บ จะแตกต่างกัน
ใช่ไม๊ ลองสังเกตดูซิ
.................
มอง 1 จิต, อ่านอีก 1 จิต, ถูกไม๊ ลองดูซิ
..................
มอง นั้นคือ จักษุปสาทะ
อ่าน คือ สภาวะ เจตสิก เครื่องปรุงจิต อีกดวงหนึ่งอีก
ถูกไม๊ ใช่ไม๊ ลองสังเกตดู
แต่ถ้า ท่อง เพราะ จำ ใช้แต่จักษุปสาทะ คือ จักษุประสาทสัมผัสเฉยๆ
แล้วจิตก็ ว่า ไปเลย โดยที่ไม่ได้อ่าน ไม่ได้สะกด ไม่ได้พิจารณา
พูดง่ายๆ คือ ไม่มีสติน่ะ
จิตดวงที่ท่องน่ะ ไม่มีสติ
..............
มีแต่จักษุปสาทะ และสัญญาขจิต
ใช้ไม๊ ลองวิเคราะห์ดูซิ
.................
รวมความแล้ว ท่องและจำ ก็มีแต่ จักษุประสาท คือ มอง แล้วก็สัญญา คือ ความจำ
แต่ถ้า ท่องแล้วอ่าน คือ ท่อง เพราะอ่านเนี่ย จักษุปสาทะ อ่านต้องมีสติ
มันจะค่อยๆ แกะทีละตัว
ทีนี้ มันจะไม่มีโอกาสหลุดไปไหนเลย จิตมันจะอยู่ครบทุกตัวอักษรเลย
วิบากจิตที่เป็นอกุศลก็จะไม่เกิด
ลองทำดู สังเกตุ
อย่าสักแต่ว่า ทำ
...................
อย่าออกเสียง ท่องในใจ
.................
แยกให้ได้ระหว่าง สัญญาจิต กับสติจิต
ทั้งบาลี และ คำแปล ทั้งถอยหลัง และทวนกลับ
................
ครบแล้ว ก็นั่งลง
ใครที่ครบ 3 รอบ ไปและกลับแล้ว ก็ให้นั่งลง
ต้องมั่นใจว่า ทุกตัวอักษรต้องแจ่มชัดนะ
ถ้า ท่องเพราะอ่าน ทุกตัวอักษรจะแจ่มชัด
................
 เราจะสว่าง “นะ” ก็จะสว่าง “โม” ก็จะสว่าง
มันแจ่มชัด มันจะรู้ได้ด้วยตัวเอง ลูก
เพราะอาการแจ่มชัด เป็นอาการของสติ
แสดงว่า จิตที่มีสติ ปรากฏ มันจะแจ่มชัด
มันจะไม่คลุมเคลือ ไม่สงสัย
เรียกว่า รู้ชัดตามความเป็นจริงของตัวอักษรอย่างแจ่มชัด
“นะ” ก็แจ่มชัด “โม” ก็แจ่มชัด
นั่งลงไปแล้วอีกรอบหนึ่ง
................
อย่าท่อง เพราะสัญญาขจิต
ท่อง เพราะใช้สติ เหมือน บุคคลผู้มีตาอันสว่าง
มองโลกในที่แจ้ง พระอาทิตย์กลางวัน
..................
ครบแล้ว นั่งลง ท่องใหม่ ให้แจ่มชัด
“นะ” ก็แจ่มชัด ตาเห็น เรียกว่า จักษุปสาทะ
จิตมี สติ วิจารณ์ พิจารณา อ่านอักษรที่ปรากฏ
เรียกว่า สติสัมปชัญญะจิต
จักษุปสาทะ บวก สติสัมปชัญญะจิต จึงจะรู้ชัดตามสภาพเป็นจริงที่ปรากฏ
ไม่มีอกุศลจิต
...............
กำจัดวิบากที่เป็นอกุศลได้
.................
ทุกครั้งที่มองอักษร ต้องสว่าง ต้องแจ่มชัด
แล้วลองหลับตา
ไม่ต้องดูหนังสือ หลังจากนั่งลงไปแล้ว
หลับตา
...................
ดูซิว่า เราจะเห็น นะโม ไม๊
อ่าน นะโม กลางอากาศ ในมโนภาพ ทีละตัว
...................
ถ้าไม่เห็น ลืมตามาดูใหม่
................
อย่าใช้สัญญาขจิต
ให้เห็นภาพ นะโม ข้างหน้า แล้วจึงอ่าน
ไม่ใช่ ท่อง โดยที่ไม่เห็น
อย่างนี้ เรียกว่า ซื่อตรง
ถ้าเป็นวิบาก ก็เป็นกุศลวิบาก เรียกว่า มหากุศลวิบาก ด้วยซ้ำไป
เพราะ เห็นแล้ว จึงรู้ ไม่ใช่ รู้ ก่อนเห็น
เห็น แล้ว จึง อ่าน ไม่ใช่ อ่าน ก่อนเห็น
แยกให้ได้ว่า จิตเห็น จิตอ่าน จิตรู้ คนละดวง
ดูซิว่า ใช่ไม๊
.................
จิตหนึ่ง เห็น ดับไปแล้ว จิตต่อมา รู้ จิตต่อไป อ่าน
....................
พวกที่นั่งลงไปแล้ว ทิ้ง นะโม
อยู่กับชีพจรที่ซอกคอ 2 ข้าง
..................
ดูชีพจรที่ซอกคอ 2 ข้าง
....................
ไม่ต้องสนลมหายใจ ปล่อยให้ลมหายใจเป็นธรรมชาติ
มันจะเข้า ก็ปล่อยมัน มันจะออก ก็ปล่อยมัน ไม่ต้องกั้นลม
..................
เลื่อนไปอยู่ที่กลางกระหม่อม
ชีพจรที่เต้นอยู่กลางกระหม่อม
..................
ลืมตา
....................
กลางกระหม่อม ไม่ใช่ขมับ
รู้เฉพาะ
อย่ารู้เรื่อยเปื่อย พร่ำเพรือ
................
วิชาปราณโอสถ สำคัญที่สุด คือ ต้องแม่นยำ
....................
มั่นคง แม่นยำ ชัดเจน
................
อย่าหลับตา
..................
มั่นคง อย่าเคลื่อน อย่าวอกแวก
................
กลางกระหม่อม ชีพจร กลางกระหม่อม คือ ชีพจรกลางกระม่อม
ไม่ใช่รู้เรื่องอื่น
.................
อย่ากลั้นลมหายใจ อย่าสนใจลมหายใจ
มันจะเข้า ปล่อยมันเข้า มันจะออก ปล่อยมันออก
ถ้าขืนไปรับรู้ลมหายใจ เดี๋ยวชีพจรจะหาย
....................
ชีพจรที่อยู่กลางกระหม่อมให้ชัดเจน
.................
เคลื่อนมาดูการเต้นของหัวใจ
....................
ไม่ใช่ดูการกระเพื่อมของทรวงอก
แต่ดูการสั่นไหวของผิวหนังที่อยู่เหนือหัวใจ
....................
ถ้าดูการกระเพื่อม มันจะกลายเป็นการหายใจ
................
ดูการสั่นไหวของใต้ทรวงอก ด้านซ้าย ที่อยู่เหนือหัวใจ
.................
เริ่มจากผิวหนังที่ทรวงอกด้านซ้าย แล้วตามไป
.................
เราจะเห็นการเต้นของหัวใจด้วยการสัมผัส
.................
ทำอะไรอยู่
...................
บอกว่า อย่าหลับตาไง แล้วนั่งโงก ง่วง
..................
เลื่อนจิตมาอยู่กลางฝ่ามือ 2 ข้าง
..................
เราดูงานภายนอก ก็ง่ายมาก กลางฝ่ามือ 2 ข้าง ก็มีปราณปรากฏ
ทำให้สัมผัสจับต้องได้ง่าย
..................
ดูซิว่า มันพัฒนาขึ้นบ้างไม๊
ใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น สูงขึ้น หนาแน่นมากขึ้น หรือ ผิวเผิน เบาบาง
....................
ทิ้งปราณ หลับตา
“นะโม”
ให้เห็น “นะโม” กลางอากาศ แล้วจึง อ่าน
หรือ “นะโม” ปรากฏข้างหน้า แล้วจึงอ่าน
เอาให้ครบ
..................
ไม่ใช่ อ่าน ก่อน แล้วจึง เห็น
เห็น ก่อน แล้วจึง อ่าน
อย่าใช้สัญญา นำ ปัญญา
...............
อย่านึกไปก่อน ต้องเห็นเสียก่อน แล้วจึงอ่านทีละตัว
...............
หลับตา
.................
เอ้า ทีนี้ ใช้จิตเขียน นะโม หลับตา
เขียนทีละตัว
เขียนแล้ว ให้เห็นด้วย
.................
เขียน เห็น แล้ว อ่าน
.................
ไม่ต้องแปล
..................
ครบแล้ว ลืมตา
...................
ลืมตา แล้วดูลมหายใจ
เข้า ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
ออก สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์
ทั้งๆ ที่ลืมตา
...................
ยกมือไหว้พระกรรมฐาน แล้วเข้าที่
(กราบ)