6 ม ค 56   13.10 น. ธรรมะต้นเดือน แสดงธรรม โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ (กราบ) เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน จะบอกว่า สวัสดีปีใหม่ มันก็ไม่ใหม่แล้วนะ ยังใหม่อยู่มั้ยเนี่ย ฮึ ใหม่ตรงไหนวะ เห็นมีแต่คนเก่าๆ หน้าแก่ๆ บางคนก็ร่อแร่ๆ เออ ความคร่ำคร่า ความเสื่อม ความโทรม ความทรุด แล้วก็ความเซ็ง เข้ามาครอบงำ มันก็เป็นวิถีของคนที่หลอกตัวเองไปวันๆ ได้เหมือนกัน เวลาเรามีกระบวนการเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความสุข หลวงปู่ไม่รู้คนอื่นคิดยังไง แต่หลวงปู่ก็จะบอกว่า คนที่ฉลองมากเท่าไหร่ ก็คือ หลอกตัวเองได้มากเท่านั้น หลอกตัวเองมากขึ้น ก็ทำให้ตัวเองหลงลืมความจริงของวิถีคิด วิถีชีวิต และวิถีธรรม มากขึ้น เพราะว่า โดยหลักของความเป็นจริงของชีวิตแล้ว มันจะฉลองกันก็ต่อเมื่อต้องสำเร็จ ในรอบปีของชีวิตที่ผ่านมา เราถามตัวเองหรือเปล่าว่า เราสำเร็จอะไรบ้าง เราประสบความสำเร็จเรื่องอะไรว่า เราไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องใดๆ เลยเนี่ย การเฉลิมฉลองนั้นๆ มันก็ไม่ควร หรือยังไม่พึงมี จนกว่าเราจะประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นๆ สิ่งนั้นๆ อีกทั้งกระบวนการในความสำเร็จนั้น มันต้องฉาบ ทา ประกอบ เติมแต้ม ไปด้วยความเสื่อม ความทุกข์ ความทุรนทุราย ความทรมาน ความแลกได้แลกเสีย แล้วก็ความทรุดโทรม ความคร่ำคร่า ความชราภาพ ความเก่า แล้วก็ความแก่ ในความสำเร็จของทุกความสำเร็จ เราจะต้องแลกกับสิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น นักมวยเวลาไปชกบนเวทีชนะ เค้าได้ชัยชนะก็ต้องแลกมากับความเสื่อม ความเสื่อม ความทรุดโทรม ความคร่ำคร่า ความชราภาพ งั้น จะบอกว่า เป็นชัยชนะที่สวยหรู แต่สุดท้าย สิ่งที่เค้าต้องแลกกับมันมาในชัยชนะ ในความสวยหรูนั้น ก็คือ ต้องมีแลกได้แลกเสีย เอาอะไรไปแลกกับมันมั่ง ก็อย่างที่เรามองออก คิดเป็นว่า เค้าต้องทุ่มเทมหาศาล แล้วพลังงานที่เค้นออกมา มันเท่ากับเร่งความเสื่อมให้มากขึ้น ปลุกเร้าความเสื่อมให้มันไปเร็วขึ้น เพราะงั้น พูดอย่างนี้ ก็ไม่ได้หมายถึงว่า อย่าทำชีวิตให้ประสบความสำเร็จ หรือว่า มีชัยชนะ พูดถึงชัยชนะนี่ เราไม่เคยชนะอะไรกันจริงๆ แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่มีชัยชนะ ถ้าชนะ นี่มันต้องชนะได้ด้วยความหมายของคำว่า กูไม่ตาย กูไม่แก่ กูไม่เจ็บ กูไม่ป่วย เนี่ยเค้าเรียกว่า คนมีชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด งั้น ชนะบนความตาย ความแก่ ความเจ็บ ความป่วย ไม่มีสิทธิ์จะเรียกว่า ชัยชนะ จะเรียกมันว่า อะไรดี เพราะโลกใบนี้ มันประกอบไปด้วยสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้นเลย โลกใบนี้ มันเป็นความจริงที่ประกอบไปด้วยสิ่งเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงต้องสอนพวกเราให้รู้ว่า สูทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้อันตระการ ดุจราชรถ ที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่พวกผู้รู้ หาข้องอยู่ไม่ ที่ต้องนำเรื่องนี้มาคุย มาพูดกับท่านทั้งหลาย ได้รับรู้ ก็เพราะว่า อยากให้กลับมาสู่ความเป็นจริงของชีวิตเสียที เพราะเราหลอกตัวเองกันมา 1 สัปดาห์เต็มๆ หรือ 2 สัปดาห์แล้ว บางคนหลอกมาเป็นเดือนแล้ว ว่า เรามีความสำเร็จ มีความสุข มีความสมบูรณ์ มีความพึงพอใจ เฉลิมฉลองกันเป็นเรื่องเป็นราว แต่ถ้าเราจะถามตัวเราเองจริงๆ ก็ต้องถามกันอย่างชัดเจนว่า เราได้อะไรที่ประสบความสำเร็จของชีวิต ที่สมควรจะมาเฉลิมฉลอง แล้วความสำเร็จอันนั้น มันต้องแลกกับอะไรมาบ้าง เออ หลวงปู่ ถ้าแลกได้ในชีวิต ถ้าจะขอให้แลกเนี่ย จะแลกหยุดความเสื่อม แลกการหยุดความเสื่อม เพราะงั้น ถ้าถามว่า วันเกิดอยากจะได้อะไร อยากจะอยู่คนเดียว เพราะ ถ้าอยู่คนเดียว ความเสื่อมมันจะน้อยลง ถ้าอยู่กับคนเยอะๆ นี่ ความเสื่อมมันจะเพิ่มพูนมากขึ้น มึงว่า จริงไม๊ จริงหรือเปล่า เอ๊า จริงสิ ทำไมจะไม่จริง ไปอยู่กับคนเยอะๆ ก็ต้องมีการงานเยอะ ถูกไม๊ มีกิจกรรมเยอะ มีการกระทำเยอะ มีเครื่องแสดงออกเยอะ มันก็เท่ากับว่า การปลุกเร้าความเสื่อมเพิ่มขึ้น ความทุรนทุราย ความเสื่อม ความทรุดโทรม ความคร่ำคร่า ความแก่ชรา ก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆๆ ตามกระบวนการการทำงาน แล้วก็ตามจำนวนของบุคคล แล้วก็ชนิดของงานนั้นๆ งั้น ถ้าถามว่า วันเกิดอยากได้อะไร อยากอยู่คนเดียวในป่า มันจะได้อย่างน้อยจะได้ชะลอความเสื่อม ชะลอความเสื่อม ไม่ใช่หยุดความเสื่อม มันหยุดไม่ได้หรอก แม้อยู่คนเดียวก็เสื่อม แต่มันเสื่อมช้าหน่อย ถ้าอยู่กันหลายๆ คน มันก็เสื่อม แต่มันเสื่อมมากหน่อย เสื่อมเร็วหน่อย อยู่ 100 คน ก็เสื่อม 100 ครั้ง อยู่คนเดียวก็เสื่อม 1 ครั้ง อยู่ 1,000 คน ก็เสื่อม 1,000 ครั้ง งั้น ก็เลือกเอาว่า เราจะเสื่อมมากเสื่อมน้อย คนมีปัญญาเค้า ก็จะเลือกเสื่อมน้อย คนโง่เขลา ก็อยากเสื่อมมากๆ เสื่อมเยอะๆ โดยไม่รู้ว่า มันเป็นความเสื่อมจริงๆ งั้น การฉลองอะไรก็แล้วแต่ มันจะเกิดขึ้นมาบนพื้นฐาน และบนคราบความสูญเสีย ก็คือ ความเสื่อมทั้งนั้น อยากพูดเรื่องนี้ ซึ่งจริงๆหลายคนอาจจะไม่ค่อยชอบใจ หรือ บางคนอาจจะไม่ชอบใจว่า แหม มันเทศกาลเฉลิมฉลองแห่งความสุข ท่านมาพูดความเสื่อม เสื่อมกับสุข นี่มันไม่ควรจะคู่กันได้เลย แต่มันคู่กันจริงๆ ถ้าอยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปฉลองนี่ ก็คงไม่ต้องตายตั้ง 300 กว่า เสื่อมไม๊ ถ้าอยู่เฉยๆ แล้วไม่ต้องไปฉลองนี่ ก็คงไม่ต้องเจ็บถึงเกือบ 4,000 กว่า อยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปฉลองนี่ รถลา ม้า ช้างไม่ต้องทรุดโทรม ไม่ต้องพัง ไม่ต้องเสียหาย ญาติไม่ต้องตาย หลานไม่ต้องพิการ ผัวไม่ต้องนอนหยอดน้ำเกลือ สรุปแล้ว ไม่มีอะไรที่จะได้มา ความสุขที่ไม่ต้องแลกไม่มีเลย ความสุขเกิดจากการแลกเปลี่ยนกับความเสื่อม แล้วความสุขนั้น เราก็ไม่รู้มันสุขจริงหรือเปล่า สุขจริงไม๊ วันเกิดที่มีคนมากมายเยอะแยะ ถามว่า หลวงปู่มีความสุขไม๊ มึงว่า กูมีความสุขไม๊ หา มีไม๊ ถ้าจะสุข ก็คือ สุขที่ได้ทำงาน ได้ทำหน้าที่ แต่ไม่ใช่สุขเพราะว่า วันเกิด ไม่ใช่สุขเพราะว่า การเฉลิมฉลอง สุขที่ทำหน้าที่โดยการให้ปัญญา ให้สติ ให้ความรู้ แต่ไม่ใช่สุขที่เกิดจากความเฉลิมฉลอง จะสังเกตุดูว่า หลวงปู่จะไม่ค่อยยินดีกับความเฉลิมฉลองใดๆ กับใครเค้านัก แม้กระทั่ง คนเค้ามาว่า เมื่อวานนี้ เค้าบอก ท่านจัดงานวันเกิด คนจากสงขลา ทำไมไม่เห็นบอกกันมั่งเลย ใครเค้าจัดล่ะ กูไม่รู้เรื่องอะไรกับเค้า มึงมาบอกว่ากูจัด อะไร กูไม่รู้เรื่อง อ้าว แล้ว ทำไมไม่มีใครบอก ทำไมต้องบอกมึง มึงเป็นพ่อกูหรือไง ทำไมกูต้องไปบอกมึง ไม่เห็นมีเหตุจำเป็นอะไรต้องไปบอกใครว่า กูจะเกิดหรือจะตาย อะไร งั้น อยากบอกว่า อาจจะเป็นวิธีมองโลกอีกมุมหนึ่งของหลวงปู่ก็ได้ ไม่ใช่มองแบบแห้งแล้งนะ ไม่ใช่มองแบบไม่มีกำลังวังชา ไม่มีกำลังใจ ไม่มีเครื่องกระตุ้น หนุน ดัน ผลัก ขับเคลื่อน ก็บอกแล้วว่า เมื่อใดที่เราใช้ราคะขับเคลื่อน โสสะขับเคลื่อน โลภะขับเคลื่อน โมหะขับเคลื่อน อวิชชาขับเคลื่อน ตัณหาขับเคลื่อน เราก็จะต้องการเรื่องสารพัดเรื่องอย่างที่เค้าเกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ถ้าเมื่อใดที่เราไม่ใช้ราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา ขับเคลื่อน เราใช้จิตว่าง ความว่าง ใจว่าง สมองว่าง กายว่าง พฤติกรรมว่าง โลกมันก็จะว่างโดยปริยาย เมื่อโลกมันว่างเปล่าไปโดยปริยายแล้ว มันก็ไม่มีอะไรต้องไปฉลอง ไม่มีอะไรต้องไปยินดียินร้าย ไม่มีอะไรต้องไปแสดงอะไรต่ออะไรเยอะแยะมากมาย เพราะว่า มันว่าง เมื่อมันว่าง มันก็ผ่อนคลาย คนที่ผ่อนคลายได้ในระดับนี้ต่างหากล่ะ จึงควรเฉลิมฉลอง งั้น ชีวิต ในวันปีใหม่ ส่งท้ายปีเก่า วันที่ส่งท้ายปีเก่า ออกมานำสวดมนต์ ก็สอนเรื่องให้ทำความว่างให้ปรากฏในทิศทั้ง 4 เมื่อใดที่ความว่าง ปรากฏในทิศทั้ง 4 ก็คือ วันที่ควรจะเฉลิมฉลอง นาทีที่ควรเฉลิมฉลอง ช่วงจังหวะเวลาที่ควรจะเฉลิมฉลอง ชั่วโมงในที่ควรเฉลิมฉลอง แต่ถ้ามองไปในทิศทั้ง 4 ในเวลาใด วันใด ชั่วโมงใด นาทีใด คราครั้งใด แล้วมันไม่ว่างเลย มันตึง มันตัน มันมีแต่เรื่อง มีแต่ตัณหา มีแต่อวิชชา มีแต่อุปาทาน มีแต่สิ่งรุมเร้า เครื่องล่อ เครื่องครอบงำ เครื่องผูก แล้วก็การตกเป็นทาสอยู่เนืองนิจ มันไม่มีอะไรฉลองได้เลย เพราะเราไม่มีเสรีภาพพอ เราไม่มีอิสระพอ แล้วฉลองเราก็ไม่ได้ความสุขมาอย่างจริงจัง เราฉลองให้กับราคะ เราฉลองให้กับตัณหา เราฉลองให้กับกามคุณ เราฉลองให้กับโลภะ เราฉลองให้กับโทสะ เราฉลองให้กับอวิชชา เราฉลองให้กับความทะยานอยาก เราไม่ได้ฉลองให้กับตัวเอง เพราะว่า เมื่อเราฉลองให้กับราคะ ตัณหา อวิชชา โมหะ โทสะ สิ่งที่เราจะได้กลับคืนมาเป็นสินจ้างรางวัล คือ ความเสื่อม ความคร่ำคร่า ความทุรนทุราย ความเศร้าโศกเสียใจ ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ แล้วก็ มีแต่รอวันเสื่อมลงๆๆ ได้มาเป็นรางวัลในการเฉลิมฉลอง ถ้าเราจะฉลองให้กับตัวเอง เราต้อง ไม่ต้องเสื่อม เราต้องหยุดความเสื่อมได้ หรือไม่ ก็ต้องชะลอความเสื่อมได้ และความเสื่อมนั้น จะต้องไม่ครอบงำเราอยู่เนืองนิจ อย่างนี้ บางที หลวงปู่ยังมองดูเลยว่า โลกนี้มันชั่งขัดข้องนัก ชั่งคับแคบนัก ชั่งอึดอัดนัก ชั่งวุ่นวายนัก จะบอกว่า ที่นี่ วุ่นวายหนอ ที่นี่ ขัดข้องหนอ ก็ว่าได้ เพราะมันมีแต่ความเสื่อมครอบงำ ไปที่ไหนๆ ก็มีแต่ความเสื่อมครอบงำ มันเหมือนกับอยู่ในโลกกลมๆ ซึ่งมันมองเห็นใสๆ คล้ายๆ กับอยู่ในฟองอากาศ หรือฟองน้ำ หรือ ลูกบอลล์อากาศที่มันลอยในอากาศ แล้วคนก็เข้าไปอยู่ในนั้น แต่จะทะลุทะลวงออกมาไม่ได้ มันดูไม่มีอะไร โปร่งใสมาก แต่มันครอบงำเรา และอากาศที่อยู่ในลูกบอลล์ อากาศนั้น มันก็เป็นอากาศที่เป็นมลภาวะ เป็นมลทิน เราสูดดมเข้าไป แล้วเราก็ทุรนทุราย ไม่ได้มีความสุขสมบูรณ์ ไม่ได้ผ่อนคลาย ไม่ได้โปร่งเบาสบาย ความรู้สึกหลวงปู่นี่ บางทีมันยังเป็นอย่างนั้น ยังรู้สึกว่า โอ้ โลกนี้มันคับแคบนัก มันขัดข้องนัก พูดอย่างนี้ ก็ไม่ใช่บอกว่า เอ๊ ถ้าอย่างนั้น อยากตาย ไม่ใช่ ก็ต้องหาวิธีอยู่กับมันให้ได้ แล้วก็เอาชนะมัน ด้วยกรรมวิธีที่จะต้องทะลุทะลวงให้มันหลุดออกจากโลกกลมๆ แคบๆ แบบนั้น ด้วยการที่ไม่ตกอยู่ในอำนาจในการครอบงำของมัน งั้น อยากบอกท่านที่รักทั้งหลายว่า กลับเข้ามาอยู่ในชีวิตจริงของตนเองได้แล้ว ว่า ชีวิตจริงในช่วงเวลาต่อไปนี้ มันเป็นชีวิตจริงที่เราต้องเผชิญ ต้องเจอะเจอ ต้องสัมพันธ์สัมผัส และเราพร้อมที่จะเผชิญ เจอะเจอ สัมพันธ์ สัมผัสไม๊ เพราะเรามัวแต่ไปเสียอะไรๆ ให้กับการเฉลิมฉลอง แล้วได้กลับมาเป็นรางวัล คือ ความเสื่อม แล้วเรามีความเสื่อมเป็นสมบัติอยู่เยอะขนาดนี้แล้ว เราจะไปเผชิญชีวิตจริงที่ต้องเจอะเจอ ต้องเผชิญ ต้องผจญภัยอีกกี่เวลานาทีเดือนปี ที่จะเดินต่อไปนี้ เราพร้อมไม๊ เราแข็งแรงพอไม๊ เรา 2 ขาแข็งแรง, 2 มือลงทำได้, 1 ตัวตั้งมั่น, 1 หัวคิดเป็น คิดออกได้สมบูรณ์แบบหรือยัง ถ้ายัง ก็จะต้องตระเตรียมได้แล้ว เพราะยังมีอีกหลายสถานการณ์ ที่กำเนิดก่อเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ซึ่งเรายังไม่รู้ว่า เสื้อเหลืองจะมาเมื่อไหร่ เสื้อแดงจะโผล่มาตอนไหน ทั้งเหลืองและแดงจะเคลื่อนทัพมาชนกันตอนไหน แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้นตามมา สถานการณ์โลก สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากร แล้วก็ชีวิตความเป็นอยู่ รวมทั้งตัวเราเองจะต้องเผชิญเจอะเจอ แล้วที่เราเจอะเจอกันอยู่ทุกวัน อยู่เนือง อยู่ทุกลมหายใจ ก็คือ ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์  ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของที่รักของชอบใจเป็นทุกข์ ความคร่ำคร่า ความทรุดโทรมเป็นทุกข์ เราเจอทุกวัน แล้วเราก็ทำเป็นลืมๆ เรามองไม่เห็นมัน แล้วเราก็ทำไม่สนใจ ไม่ใยดีต่อมัน แต่มันก็ตามเราอยู่อย่างกับเงาตามตัว มันกัดกินเราตลอดเวลา มันกัดกิน มันครอบงำ มันกระโดดขี่คอ มันนอนทับเรา มันทำร้ายทำลายเราอยู่ทุกเวลา ตื่นนอนขึ้นมา ก็ผมขาวอีกเส้นหนึ่งแล้ว เออ สระผมครั้งหนึ่งก็ ผมร่วงอีกกระจุกหนึ่งแล้ว ล้างหน้าทีหนึ่งก็ อ้าว นี่ ตีนอะไรปรากฏที่หน้ากูละหว่าเนี่ย เออ ตีนผัวหรือตีนกาหรือตีนกู ไม่รู้ สารพัดตีน รอยเต็มหน้า แล้วมันมีสารพัดริ้วรอยปรากฏขึ้น แล้วเราก็พยายามบำรุงรักษาตีนเหล่านั้น ไม่ให้มันปรากฏชัดเจน ก็ดึงให้มันตึงบ้าง เอาสลิงขึงบ้าง อะไรก็แล้วแต่เถอะ แต่มันก็อยู่ดี สุดท้ายก็ต้องปรากฏอยู่ดี เพราะธรรมชาติของมันต้องปรากฏให้เราเห็นเป็นเช่นนั้น งั้น ความเสื่อมอย่างนี้แหละ มันมีอะไรน่าฉลองล่ะ ลูก ไม่มี เอถ ปัสส ถิมัง โลกัง     จิตตัง ราชรถู ปะมัง   ยัตถะ พาลา วิสี ทันติ    นัตถิ สังโค วิชา นะติ สูทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้อันตระการ ดุจราชรถ ที่พวกคนเขลาหมกอยู่ โลกนี้มันสวยงามตระการตามากดั่งราชรถที่ปรุงแต่งประดับประดาด้วยเครื่องอลังการ อลงกต ที่พวกคนเขลาเค้าหมกอยู่ แต่พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ เราจะเป็นคนสุดท้าย คือ ผู้รู้ หรือเปล่า มันขึ้นอยู่กับว่า สติปัญญาเรามีไม๊ เรามี สิ่งหนึ่ง นั้น ยังแข็งแรง มั่นคง แล้วมองทะลุทะลวง จนกระทั่งไม่ลื่นไหลถลาไปกับการครอบงำ เหมือนกับวันที่หลวงปู่นำพวกเราสวดมนต์ ที่ลานโพธิ์วันส่งท้ายปีเก่า อ้ายเราก็ว่าง สอนให้ลูกศิษย์ว่าง สวดมนต์แล้วทำใจว่างๆ อ้ายข้างๆ วัดมันก็ไม่ว่าง เสียงคาราโอเกะให้รื่มร่ำๆ เราก็นั่งนึก เอ๊อ กูก็ว่างๆ อ้ายเราก็พาลูกหลาน พาชาวบ้านขึ้นสวรรค์ อ้ายนี่ มันก็ตะกาย พากันลงนรก แต่มันก็เป็นความเสื่อม ที่ทุกคนคิดว่า มันเป็นวิถีของโลก วิถีของปุถุชน วิถีของคน วิถีของสังคม วิถีของชีวิตที่มันต้องทำ เพราะมันเป็นวิถีงาน อ้าว แล้วมันจะมีชีวิตอยู่ยังไง ถ้ามันเสื่อมอยู่อย่างนี้ ก็ต้องหลอกตัวเองไปวันๆ หลอกไปเรื่อยๆ หลอกจนเคยชิน หลอกจนคุ้นเคย หลอกจนเป็นนิจสิน หลอกจนเป็นอาจินต์ แล้วสุดท้าย ก็กลายเป็นยินดีในความหลอก ชื่นชอบในความหลอก ชื่นชมในความหลอกล่อ แล้วทีนี้ ก็เลยกลายเป็นคนทิ้งห่างจากความเป็นจริงอย่างชัดเจน คนละทิ้งความเป็นจริงอย่างชัดเจน ทีนี้ มันก็กลายเป็นผู้ที่มีอวิชชาครอบอย่างเต็มที่ เพราะความหลอก มันก็ไม่ต่างอะไรกับความไม่รู้ ความหลอก ก็คือ ความไม่รู้ ทีแรก หลอกๆ ก็แกล้งไม่รู้ พอหลอกกันจนเป็นนิสัย  5 ขวบหลอก, 10 ขวบหลอก, 15 ขวบหลอก, 20 ปีหลอก, 40 ปีหลอก, 60 ปีหลอก, หลอกจนกลายเป็น กูไม่รู้ ตัวกูอยู่ตรงไหน เพราะมันเริ่มหลอกมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ ทีแรกก็หลอกๆ แกล้งบอก ไม่รู้ ความรู้มีอยู่ แต่แกล้งบอกไม่รู้, บ่อยๆ เข้าๆ ก็เลยไม่รู้จริงๆ ซะเลย ทีนี้ ก็เลยกลายเป็นชนเผ่าที่มีอวิชชาครอบเลย อย่างนี้เป็นต้น งั้น สอนลูกสอนหลาน ให้เป็นคนอย่ามักหลอก อย่าชอบหลอก แล้วไม่มักหลอก ไม่ชอบหลอก ทำอย่างไร ก็ต้องหาวิธีศึกษาสั่งสมอบรม ฟังของจริงบ้าง เรียนรู้เรื่องจริงบ้าง ให้เห็นตามความเป็นจริงบ้าง เข้าใจชีวิตจริงๆ บ้าง รู้จักสรรพสิ่งของความเป็นจริงที่อยู่รอบกาย หรือ ความเป็นจริงในสรรพสิ่งที่อยู่รอบกายให้มากขึ้น มันก็จะหลอกบ้าง จริงบ้าง, หลอกบ้าง จริงบ้าง มันก็ยังดีกว่า โดนหลอกตลอด ยังดีกว่าโดนหลอกตลอด เอาละ ปีนี้กูโดนหลอก ก็ไปฉลองเค้าเสียหน่อย อ้าว พอสิ้นปี ฉลองกลับมา ดูสิ กระเป๋าก็แฟบ เออ แรงก็หมด กำลังก็เปลี้ย ใจก็ระเหี่ย เพราะไม่มีข้าวจะกินในวันต่อไป อ้าว หนี้ก็มา เงินก็ต้องกู้ โอย กิจกรรมก็ต้องทำ การงานก็ต้องตาม ทุกเรื่องมันมีแต่ความเสื่อม เมื่อมันรุมเร้าเห็นปานนี้แล้ว ก็จะต้องมองว่า โอ๊ นี่กูหลอกมา แค่เผลอหลอกไปแค่ไม่กี่วันเอง กูโทรมขนาดนี้ ใช่ไม๊ เผลอหลอกไปไม่กี่วัน ดูสิ เค้าหลอกกูมาเที่ยวตั้งไกล กลับไปนี่กูโทรมขนาดนี้เลยเหรอ แล้วถ้าเค้าหลอกกูทั้งปี กูจะเหลืออะไร เออ ต้องคิดอย่างนี้แหละ ลูก หลวงปู่ สมัยเด็กๆ ล่ะนะ โดนเค้าหลอกไปดูหนัง วันเกิดตัวเอง ตอนนั้น 10 กว่าขวบ สมัยนั้น ก็งานฤดูหนาวแถวๆ ลานพระรูป อ้ายสวนสุนันทา อู้หู กว่าจะไป ก็เดิน สมัยก่อนนี่รถเมล์นายเลิศ มันก็ไม่ได้มีเยอะแยะ ชั่วโมงหนึ่งจะคันหนึ่ง ก็ยังไม่โผล่บางที แล้วมาที ก็เอียงไปข้างหนึ่ง ทั้งหิ้ว ทั้งโหน ทั้งอะไรไม่รู้ละ มันเต็มไง เราก็ขึ้นกับเค้าไม่ได้ ตัวเล็กๆ ก็ เอ้า เดินทอดน่องไป อุ๊ย กว่าจะไปถึง ก็เมื่อยน่องโป่ง แล้วก็ไปนั่งขด โอ๊ย หนาวก็หนาว อากาศก็ ความหนาวมันเสียดแทงเข้าไปในผิวหนัง โอ๊ย มันทุรนทุราย อ้ายจะเดินกลับ ก็กลัวกลับไม่ถูก เพราะเพื่อนไม่ยอมกลับซะที มันยังสนุก มันยังมันอยู่ อ้ายเราก็ โอ๊ย กูจะมาทำไมเนี่ย มานั่งดูเค้าทำอะไร ดูหนัง ดูเค้าเล่นดนตรี ดูเค้าแสดงละครไม่ได้มีสุขเล๊ย ทรมาน ตั้งแต่นั่นน่ะ ใครมาหลอกกูไปเที่ยว กูไม่ไปเลยล่ะ กูเข็ด ไม่ชอบไป เป็นคนที่ไม่ค่อยโดนหลอก ถ้าจะหลอกให้เข้าป่า กูไปง่าย ไม่ต้องจูง กูเดินหน้าไปเลย แต่ถ้าหลอกให้ไปเที่ยวนี่ ไปไม่ได้ มันมีความรู้สึกว่า ทำไมกูต้องโดนหลอก เพราะกลับมาเดี๋ยวมันก็ทรมาน มันทุรนทุราย มีอยู่ครั้งหนึ่ง แม่พาไปไหว้หลวงพ่อโต บางพลี กูสมัยก่อนนี่ ก็เดินทุ่ง เพราะหน้าแล้ง น้ำมันแห้ง เรือไปไม่ได้ เดินไปตามอ้ายคันนา ตีนแตก โอ๊ย เลือดโทรม ไปถึงหลวงพ่อโต กูนึกในใจว่า หลวงพ่อโต มาไหว้ก็ได้บุญแหละ แต่ตีนน่ะ จะทำยังไง ตีนมันได้บาปกลับมา เลือด เพราะว่า อ้ายคันนา มันแตกระแหงไง แล้วรอยตีนควาย บางทีมันเหยียบเอาไว้ ดินแหลมๆ อุ๊ย เหยียบ แล้วรองเท้าก็ขาด ทรมาน ตั้งแต่นั่น เข็ด ไม่ไปอีกเลย ใครมาชวนไปเที่ยว ไม่ไป เพราะมีความรู้สึกว่า มันไม่ได้ คือ เราไปเที่ยว มันต้องเป็นสุข กลับมาแล้ว มันก็ต้องสุข ถ้าไปเที่ยวเป็นสุข กลับมาแล้วเป็นทุกข์ ก็ไม่ถือว่า สมประสงค์ในการไปเที่ยว ถ้าอยู่เฉยๆ มันจะทุกข์น้อยกว่าที่ไปหรือเปล่า สมัยก่อนนี่ หลวงปู่คิดอย่างนี้แล้วนะ เด็กๆน่ะ คิดอย่างนี้แล้วนะ ถ้ากูอยู่เฉยๆ กูนอนอยู่บ้านนี่ กูยังจะสบายกว่าที่กูต้องตะกายไปนั่งหลังขดหลังแข็ง นอนขดเอากระดาษหนังสือพิมพ์ห่อตัว ก็เพื่อนมันไม่ยอมกลับ อย่างนั้นก็กระดาษหนังสือพิมพ์รองนั่ง มาห่อตัวกันหนาว อุ๊ย ทรมานทรกรรม งั้น คนเรา นี่มันเริ่มหลอกตัวเองตั้งแต่เล็กๆ แล้วมันก็จะหลอกไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น แล้วสุดท้าย มันก็จะได้แต่คำว่า ไม่รู้ คือ อวิชชา เป็นสมบัติ อ้ายวิชา ที่ควรจะมี อ้ายจิตประภัสสร จิตผ่องใส จิตผ่องแผ้ว จิตบริสุทธิ์ จิตหมดจด จิตว่าง มันก็จะไม่มีเหลืออะไร มันก็จะหายไป มันจะได้แต่ความมายาการ จิตที่มีมายาการปรากฏ จิตที่ประกอบและประดับประดาด้วยมายาการ ดุจราชรถที่พวกคนเขลาหมกอยู่ปรากฏ แล้วเราก็จะอลังการ งดงาม สง่า แต่คนมีปัญญา เค้ามองว่า โอ๊ นั่นกำลังจมน้ำตาย กำลังคร่ำคร่า กำลังเสื่อมโทรม งั้น ก็ถือโอกาสพูดให้สติ เตือนพวกท่านเอาไว้ เพื่อความไม่มัวเมา ไม่ประมาท นี่มันยังฉลองกันไม่เลิกเลย อ้ายข้างวัดเนี่ย เมื่อวานนี้ ก็ยังเสียงดังลั่น เปิดดนตรีกัน ไม่รู้มันจะฉลองไปถึงไหน แล้วอ้ายยิงปืน ไม่รู้มันจะยิงโดนเทวดาองค์ไหนได้บ้างนะ ไม่รู้มันยิงหาโคตรพ่อโคตรแม่หรือไงไม่รู้ มันโป้งๆๆ อะไรไม่รู้ นึกในใจ มันหล่นใส่กะบาลอ้ายคนยิงบ้าง มันก็น่าจะดี เออ ยิงกันให้ตุ้มตั้มๆ ๆ ฉลองไปทำไม อ่านหนังสือพิมพ์เจอ อ้ายอายิงปืนไปโดนหน้าหลาน เออ มานั่งร้องไห้เสียใจว่า โอ ไปโดนหน้าหลาน เพราะว่า หลานนอนแล้ว ลูกปืนหล่นมาทะลุหลังคาโดนหน้า ต้องไปโดนตำรวจจับอีก เนี่ย เฉลิมฉลองได้ความอัปมงคล แล้วเค้าก็ให้สัมภาษณ์ บอกว่า นึกว่า ยิงปืนแล้วจะเป็นมงคล เอ๊อ ฟังมันพูดสิ เป็นมงคลแล้วมึงจะมาขึ้นโรงพักเหรอ มันก็เห็นๆ อยู่แล้ว แล้วตำรวจเค้าก็ประกาศห้ามยิง โดนตำรวจจับ มันก็ยังทำ เพราะมันหลอกไง มันหลอกอยู่ในใจจนกลายเป็นสันดาน แล้วก็เชื่อในความหลอกนี้ว่า เป็นของจริง แล้วก็ทำกิจกรรม พิธีกรรม อะไรต่ออะไร ที่จะหลอกไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น เอาละ เดี๋ยวปล่อยให้คุณสืบสกุล พันธ์ดี เค้าทำหน้าที่ ก็เตือนไว้เพื่อไม่ให้มีความมัวเมาประมาทเกินไป แล้วก็กลับมาอยู่กับโลกและชีวิตของความเป็นจริงเสียที แล้วก็อย่างแข็งแรงด้วย ก็อวยพรให้พวกท่าน ที่กลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงในชีวิตของท่านทุกคนให้มีกำลัง 2 ขาแข็งแรง, 2 มือทำได้, 1 ตัวตั้งมั่น, 1 หัวคิดออก แล้วก็ อย่าหลอกตัวเองเกินไปนัก แล้วทำทุกเรื่องให้ประสบความสำเร็จ และเจริญ สมปรารถนา สมหวัง ทุกท่านทุกคน เทอญ (สาธุ) 6 ม ค 56   13.50 น. ธรรมะต้นเดือน ช่วงรายการปุจฉา วิสัชนา โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ หลวงปู่      วันนี้มา มวยแทนเหรอ คุณสืบสกุล       ครับ หลวงปู่    อ้าว มนัส ไปไหนล่ะ คุณสืบสกุล     สลับกันมา ครับ หลวงปู่      อ๊อ ผลัดกันชกเหรอ คุณสืบสกุล     กราบองค์หลวงปู่พุทธะอิสระนะครับ แล้วก็สวัสดีญาติโยม พุทธศาสนิกชนทุกท่านนะครับ ที่วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) แห่งนี้ แล้วก็สวัสดีท่านผู้ชมทางบ้านที่รับชมรายการปุจฉา วิสัชนา ทางช่อง เดลินิวส์ทีวี เวลา 14.00 - 15.00 น. ทุกวันศุกร์ อาจจะล่วงเลยช่วงปีใหม่มาสัปดาห์กว่าๆ เพราะว่า รายการของเราออกอากาศวันศุกร์ที่ 11 มกราคม  ก็ยังคงต้องถือโอกาสที่จะสวัสดีปีใหม่กับทุกท่านด้วยนะครับ แล้วก็องค์หลวงปู่ครับ ปีใหม่ที่ผ่านมา ผมก็โดนหลอกเหมือนกันครับ หลวงปู่     อืม คุณสืบสกุล     โดนหลอกไป count down แต่ว่า count down ของครอบครัว ไม่ได้เฉลิมฉลองอะไรมากมาย หลวงปู่      ไป count down อะไร คุณสืบสกุล    ก็นับถอยหลังอยู่ที่บ้านฮะ หลวงปู่    ไปนับทำไม๊ คุณสืบสกุล     เห็นเค้านับกันทั่วบ้านเลยฮะ ก็เลยนับด้วยฮะ หลวงปู่         นับทำไม เอ๊อ อ๋อ ที่ได้ปีใหม่มานี่ เพราะพวกคุณนับเหรอ ชั้นเพิ่งรู้นะเนี่ย ขอบคุณมากเลย อุ้ย อุตส่าห์นับให้ชั้นได้อายุเสื่อมลง เอ๊อ ขอบคุณมาก คณะญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายทั่วโลกที่ช่วยกันนับ จนชั้นได้ปีใหม่มา ขอบคุณเหลือหลายเลย โง่บัดซบ ไม่รู้อะไร นับทำไม เอ๊ย ไม่ต้องไปนับ มันก็กินเรา กาลเวลากลืนกินสรรพสิ่ง กัดกินชีวิตสัตว์ ไม่ต้องไป 1, 2, 3, 4, 5 อะไรโอ๊ย นับทำไม ไม่มีอะไรจะต้องนับ คือ คนเรา มันก็พยายามสร้างพฤติกรรมเพื่อจะหลอกตัวเอง หลอกพวก หลอกสังคม หลอกโลก หลอกประเทศ หลอกแผ่นดิน หลอกจิตวิญญาณไปเรื่อยๆ เพื่อจะให้มันมองดูว่า เออ มันอลังการ มันฟู่ฟ่า มันหรูหรา แต่มันโทรม มันเสื่อม ที่จริง ถ้าหากว่า จะฉลองปีใหม่ หรือ รับปีใหม่เนี่ย ก็ต้องบอกว่า กูแก่ กูโทรม ต้องตะโกนอย่างนี้ เออ พอนาทีแรก ก็ กูแก่, นาทีที่ 2 ก็ กูโทรม กูไม่มีอะไร กูไม่เหลืออะไร กูไม่ได้อะไร พอวันที่ 1 เป๊ง กูตายแน่ มันต้องตะโกนอย่างนี้ มันถึงจะเหมาะสม อ้าว จริงๆ ไม่มีอะไร หลวงปู่ก็นอนข้ามปีเลย ไม่เห็นจะไปสนใจอะไร เพราะว่า นำเจริญมนต์เสร็จก็เข้านอน นอนแล้วก็ เออ จะว่านอนข้ามปีก็ไม่ได้ พวกพาไปเที่ยว ไปตามฝัน ไปป่าเขาลำเนาไพร ไปไหนก็ไม่รู้ รำคาญมานั่งนับ รำคาญคนนับเลยไปเที่ยวดีกว่า เลยไม่ค่อยได้สนใจ งั้น ชั่วชีวิตหลวงปู่ไม่เคยเข้าไปเรื่องพวกนี้นะ ตั้งแต่เล็กๆ วัยรุ่นจนมาถึงวัยกระเตาะ วัยกำดัดอะไรก็แล้วแต่ วัยฉกรรจ์ ไม่เคยไปร่วมอ้ายกิจกรรมพวกนี้ เพราะมีความรู้สึกว่า มันปัญญาอ่อน ไร้สาระ นี่ไม่ได้ว่าคุณนะ แต่ก็พูดไปแล้ว ทำไงได้ล่ะ พูดไปแล้ว มันไม่มีอะไร มันเป็นเรื่องของคนไม่มีหลักคิด ไม่มีวิธีคิดที่มันดูแล้วมันแปลก มันเปลี่ยน มันรุ่ง มันเจริญ หรือ มันไม่พ้นความเสื่อมได้ คุณสืบสกุล     ไว้ มนัส ตั้งสุข มานะครับ หลวงปู่ครับ หลวงปู่ช่วยบอกแบบนี้อีกทีนะครับ เพราะว่า มนัสฯ เค้าได้รับการจ้างงานไป นับ count down ที่ Central World  ฮะ เผื่อ ปีหน้า ถ้ามนัสฯ เค้าได้งานนี้อีกนะฮะ หลวงปู่จะได้ให้เค้านับแบบ หลวงปู่      คุณก็ฝากเค้าด้วย ฝากว่า ชั้นขอขอบคุณมาก ที่คุณช่วยให้ชั้นได้ปีใหม่มา เพราะถ้าคุณไม่ไปนับ นี่ชั้นไม่ได้นะเนี่ย เออ ขอบคุณมาก ถ้าคุณไม่นับนี่ ชั้นจะไม่แก่นะ เออ ชั้นจะไม่เสื่อม คุณสืบสกุล       ปีหน้า เผื่อมนัสเค้าไปนำ count down ที่ Central World แบบที่หลวงปู่แนะนำนะฮะ เราจะได้ใช้ชีวิตตามหลักธรรมะ หลวงปู่      นิมนต์ชั้นไปมั่งได้ไม๊ คุณสืบสกุล     อะไรนะครับ หลวงปู่        ลองนิมนต์ชั้นไปมั่งได้ไม๊ แล้วชั้นจะได้ไปหาวิธีนับ ที่ไม่เหมือนกับคนอื่นเค้า กูแก่ คุณสืบสกุล     ครับ แต่ว่ายังไงก็ตาม หลวงปู่ฮะ อยากให้หลวงปู่ ได้ให้พรแก่คุณผู้ชมทางบ้านหน่อยครับ หลวงปู่      ให้ไปแล้วเมื่อกี้ บอกว่า เมื่อท่านไปฉลองกันแล้ว ก็ได้ความเสื่อมกลับมาเป็นรางวัลแล้วก็ขอให้ความเสื่อมในตัวท่าน ในชีวิตจิตวิญญาณในสันดาน ในสมอง ในอารมณ์ของท่านให้มันหยุดอยู่กับที่ หรือไม่ก็น้อยลง แล้วก็มีร่างกายที่แข็งแรง 2 ขาที่ยืนได้, 2 มือที่ทำได้, 1 ตัวที่ตั้งมั่น และ 1 หัวที่คิดออก แล้วไม่มีเรื่องอะไรที่คุณจะบอกแล้วทำไม่ได้ทั้งหมดในชีวิตตลอดทั้งปี หรือ ปีต่อๆ ไป ขอให้อยู่กับมัน อยู่กับทุกสถานการณ์ด้วยความแข็งแรง แล้วก็มีความสำเร็จ มีชัยชนะ แล้วค่อยมาเฉลิมฉลองในวันสุดท้ายของปีก็ได้ หรือวันขึ้นปีใหม่ของปีต่อๆไปก็ได้ แต่ถ้าหากว่า ทั้งชีวิตคุณไม่มีความสำเร็จอะไรเลย มีแต่คำว่า กูแก่ กูเจ็บ กูป่วย กูตาย กูโทรม กูทรุด กูคร่ำคร่า กูชราภาพ มันก็ไม่ควรจะต้องมีอะไรฉลองเลย คุณสืบพันธ์    องค์หลวงปู่ครับ ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา มีเยาวชนไทยไปสวดมนต์ข้ามปีเยอะมากขึ้น หลวงปู่     ดีๆ ก็ถือว่า ดี คุณสืบพันธ์    แล้วก็คนไทยสวดมนต์กว่า 3 ล้านคน หลวงปู่      เรื่องพวกนี้ ต้องขอบคุณพวกคุณยพ เพราะว่า ในรอบปีที่ผ่านมา ช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง สื่อทุกแขนงพยายามที่จะชี้นำสังคม ประกาศโฆษณาเชิญชวน แม้รัฐบาลกันเอง ก็ยังชวน เพราะฉะนั้น กระบวนทัศน์ในการโฆษณา มันเป็นกระบวนทัศน์ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องการที่จะชวนคนวัยรุ่นเข้าไปวัดสวดมนต์ข้ามปี ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องเลวร้าย ก็ถือว่า เป็นเรื่องดี แล้วก็เอาตัวอย่างที่มันผิดพลาดที่ไปผับ ไปบาร์ ไปเทคฯ ไปดีสโก้ ไปอะไรก็แล้วแต่ ที่เป็นเหตุให้ล้มหายตายจากไป เป็นครู เป็นต้นแบบในการให้สติเตือน ก็ปีนี้ ก็มีคนมาสวดมนต์เยอะ แต่ละวัดก็เห็นว่า มีคนมาสวดมนต์เยอะ ก็ถือว่า เป็นเรื่องดี เป็นมงคล ก็ยังอยากจะชวนอีกสักครั้งหนึ่ง ซึ่งมันก็แก่ไปแล้วล่ะนะ ก็มันมีวันปีใหม่ของสากลไปแล้ว ใช่ไม๊ มันก็จะมีวันปีใหม่ของไทย ใช่ไม๊  ปีใหม่ของไทย วันไหนล่ะ ปีนี้ มันจะเป็นวันที่ 15 (เม.ย), ปีใหม่ของจีน ปีนี้ก็จะเป็นวันที่ 13 (ก.พ) จะทำอะไรดีล่ะ เราจะมานับ กูแก่ กูคร่ำคร่า กูเจ็บ กูตาย เพราะปีใหม่จีนปีนี้ เค้าก็จะถือฤกษ์เอาตอนที่เทวดาเปลี่ยนตำแหน่ง ก็คือ ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 วันที่ 13 จะมาสวดมนต์กันไม๊ หา อย่ามาเล๊ย อันนั้นก็ปีใหม่จีน ตำราเค้าบอกว่า เป็นการเปลี่ยนตำแหน่งของดาวนักษัตร กลุ่มดาวนักษัตร เทวดาประจำฤดู ประจำปีก็จะเปลี่ยนเวรกันทำหน้าที่ แล้วก็ปีใหม่ของไทย ก็จะเปลี่ยนเทวดาประจำนักษัตร ก็จะเปลี่ยนวันที่ 15 รู้สึกจะเป็นข้างขึ้นเท่าไหร่ ไม่รู้ จำไม่ได้ (ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5) วันสงกรานต์พอดี วันมหาสงกรานต์ เราก็ทำกิจกรรม ที่จริง เราสวด ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องเจริญพระพุทธมนต์แล้ว ก็อยากชวนไปเจริญพระพุทธมนต์ที่โรงพยาบาลศิริราชในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน คือ วันเสาร์ที่ 19 (ม.ค) ที่จะถึงนี้ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์  ไหนๆ เราก็สวดมนต์เป็นแล้ว ก็อยากจะสวดให้เป็นมงคลต่อแผ่นดินด้วย ก็ไปช่วยกันแสดงพลัง ความจงรักภักดี ถวายพระพรชัยมงคลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พ่อหลวงของพวกเราที่โรงพยาบาลศิริราช ในวันที่ 19 เวลา บ่าย 1 โมงตรง จนถึง 4 โมงเย็น ก็เป็นกิจกรรมที่อยากให้วัยรุ่นโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ทั้งหลาย ฝากคุณช่วยประชาสัมพันธ์ด้วยแล้วกันว่า เชิญชวนไป ไหนๆ ก็สวดมนต์กันมาต้นปีแล้วก็สวดมนต์ต่อๆ ไป เพื่อได้รับความเป็นมงคล ได้รับสิ่งที่งดงาม สิ่งที่ดีๆ เราจะเห็นว่า อุบัติเหตุปีนี้ เราไม่ค่อยเห็นวัยรุ่นตายเท่าไหร่นะ ส่วนใหญ่วัยกลางคน วัยฉะกันน่ะ อ้ายวัยรุ่น อายุ 10 กว่าขวบนี่เหมือนกับสมัยก่อนเด็กแว๊นเด็กเว้นอะไรเนี่ย จะตายเยอะ แต่ช่วงปีใหม่ที่มีการเฉลิมฉลองที่ผ่านมาเนี่ย ส่วนใหญ่จะ 20 ขึ้นทั้งนั้น 20 -30 ขึ้นที่ตาย แล้วพวกนี้ก็วัยฉกรรจ์ วัยมัวเมาประมาท วัยแรงงานซึ่งน่าเสียดาย น่าเสียดายพลัง ที่เอาไปสูญเสียกับสิ่งที่ไร้สาระ จบ คุณสืบพันธ์     สื่อก็ช่วยประชาสัมพันธ์ครับ องค์หลวงปู่ เพราะกิจกรรมที่ทางวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) ที่ไปสวดเจริญพระพุทธมนต์ที่โรงพยาบาลศิริราช ทางช่องฯ ก็ได้นำเสนอเหมือนกันครับ หลวงปู่     อืม คุณสืบสกุล      ผมยังเคยเห็นองค์หลวงปู่ออกทีวี หลวงปู่       ชั้นก็ออกทุก คุณสืบสกุล     หมายถึงว่า ตอนที่ไปที่โรงพยาบาลศิริราช หลวงปู่     อ๋อ คุณสืบสกุล       กับพุทธศาสนิกชนที่ไปด้วยกันน่ะครับ ผมยังเรียกคุณแม่มา บอก นี่ไง องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ หลวงปู่     หล่อไม๊ เนี่ย องค์นี้ หล่อไม๊ แม่ คุณสืบสกุล       คุณแม่บอกว่า หน้าขององค์หลวงปู่สดใสมาก หลวงปู่     โอ หน้าชั้นก็ใสตลอด เพราะชั้นใช้หอมจังไง เอาทุกช่อง คุณสืบสกุล     ช่วยกัน ทำมาหากินหน่อย แล้วก็ย้ำอีกครั้งนะครับ วันที่ 8-17 (ก.พ) นี้ นะครับที่งานตรุษจีนของโรงเจ หอคุณธรรมฟ้า ก็ร่วมทำบุญกันนะครับ แล้วก็เค้าเขียนมาฮะ หลวงปู่ฮะ รับอั่งเปาจากองค์หลวงปู่ด้วย หลวงปู่      อ้อ ใช่ ชั้นมีแจกทุกปี แจกทุกวัน เค้ามีงานเริ่ม ตรุษจีนวันที่เท่าไหร่ แต่งานที่ควรจะประชาสัมพันธ์ก่อนวันตรุษจีน ก็คือ งานวันเด็ก งานวันดอกไม้บานของแผ่นดินที่จะมีเด็กๆ มาร่วมประมาณ หมื่นกว่าคน เป็นกิจกรรมที่เปลี่ยนเวลาจากเช้ามาเป็นตอนเย็นซึ่งมันจะได้ไม่ทุรนทุราย แล้วเด็กๆ ก็จะได้ผ่อนคลาย อากาศไม่ทุรนทุราย จะเล่นเกม เล่นสนุกอะไรกัน ก็จะง่าย แล้วก็เป็นการที่ผู้ใหญ่ใจดีทั้งหลาย จะรวมตัวกัน ทำให้เด็กเกิดความประทับใจในกิจกรรมที่ผู้ใหญ่ใจดีจะรังสรรค์ จะคิดขึ้น จะนำเสนอ แล้วก็จะอบรมสั่งสอนลูกหลานให้เป็นคนที่มีศักยภาพ มีความรู้ความสามารถ และมีจิตวิญญาณที่งดงามที่เจริญเติบโตไปในอนาคต ก็เลยเป็นมาว่า อยากเชิญชวนทุกท่าน ผู้ใหญ่ใจดีทุกคน ใครมีของขวัญ ของฝาก มีอาหารการกินที่จะมาเลี้ยง มาสนับสนุนเด็กๆ เยาวชนทั้งหลาย ที่อยู่ตามชนบทที่จะมารวมตัวกัน ก็เชิญได้ในวันเสาร์ที่ 12 คุณก็มาตั้งร้าน ทำกับข้าว ทำอาหาร แล้วก็บ่ายๆ สัก 4 โมงเย็น 5 โมง เด็กๆ เค้าก็จะมารวมตัวกัน ทำกิจกรรมงานวันเด็ก ก็ได้รับเกียรติจากท่านรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ท่านหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ท่านเมตตามาเป็นประธานเปิดงานให้ เป็นอดีตผู้ว่าฯ แล้ววันเกิด วันปีใหม่ ท่านมาอวยพร ก็เลยชวนท่านมาด้วย แล้วก็รับปากว่า จะมาทั้งครอบครัว ก็ฝากบอกทุกท่านที่รับชมรายการนี้ว่า ทุกคนมีสิทธิ์มาร่วมได้ ไม่จำเป็นว่า จะต้องเป็นคนใกล้วัดเท่านั้น ใครอยู่ที่ไหนที่ไกลๆ ก็สามารถมาได้ แล้วก็งานจะเลิกประมาณสัก 2 ทุ่ม 3 ทุ่ม งั้น ต่อไปจากงานวันเด็ก ก็จะเป็นงานตรุษจีนซึ่งจะมีงานสำคัญแฝงอยู่ในวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน ก็คือ งานยกพระเศียรพระมหาพุทธพิมพ์นาคปรก เป็นพระปฏิมาสำคัญ ถือว่า เป็นช่วงพระเศียรที่เป็นช่วงสำคัญของพระมหาพุทธพิมพ์ ก็จะยกตอนวันที่ 16 (ก.พ) วันเสาร์ เพราะเป็นพระประจำวันเสาร์ ก็ยกให้ตรงวันเสาร์ วันเสาร์ ถือว่า เป็นวันแข็ง ก็ถือว่า เป็นพระที่ค้ำดวงบ้านดวงเมือง ปกป้องคุ้มครองราชวงศ์จักรี คุ้มครองประเทศ แผ่นดิน แล้วก็ปกเกล้าปกกระหม่อม ให้เราปลอดภัย ผ่อนคลาย ร่มเย็น ก็ว่างๆ ก็เชิญชวนทุกคนให้มาร่วมกิจกรรมแล้วกัน เค้าจะยกกันประมาณสัก 5 โมงเย็น 6 โมงเย็น ประมาณนี้ หลังจากยกแล้ว ก็จะมีเหรียญพระปฏิมาแจก ตามเหตุตามปัจจัย สรุปแล้ว ชั้นประชาสัมพันธ์คนเดียวเลย คุณ คุณสืบสกุล    นี่ไงครับ ผมกำลังช่วยทำมาหากิน หลวงปู่       เอ่อ ช่วยทำมาหากินหน่อย คุณสืบสกุล    ก็ย้ำคุณผู้ชมนะครับ สำหรับวันเด็ก วันที่ 12 มกราคม นะครับ กำหนดการก็คือ .........ส่วนเสาร์ที่ 16 ธรรมดาแล้ว ทุกวันเสาร์ที่ 3 ของเดือน เราจะไปที่โรงพยาบาลศิริราช หลวงปู่     เอ่อ ใช่ คุณสืบสกุล   แต่ว่า เดือนหน้า หลวงปู่    จะงด คุณสืบสกุล     จะงดในวันนั้น แล้วก็ไปกัน วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่จะไปโรงพยาบาลศิริราช คือ ไปอีกเสาร์หนึ่งฮะ เสาร์ที่ 4 เดือนกุมภาพันธ์ หลวงปู่     ใช่ ก็ปีนี้ อยากให้ไปเจริญพระพุทธมนต์ทั้งปี คือ ทุกเดือนโดยไม่ขาด ก็เลยต้องเลื่อนเพราะว่า เรามีกิจกรรมที่มันตรงกับงานของวัด ของโรงเจ ก็เราเลื่อนงานใหญ่ไม่ได้ ก็ไปเลื่อนงานเล็ก การแสดงความจงรักภักดีก็ต้องไม่ขาด ไปทำกิจกรรม ก็เดี๋ยวไว้ถึงวันสัปดาห์หน้า สัปดาห์ที่ไปเจริญพุทธมนต์ ก็ต้องประกาศอีกที เอ้า ใครมีปัญหาอะไรอยากถาม เชิญ ปุจฉา      ขอ หลักการเจริญสติ ตามแนวทางขององค์หลวงปู่ วิสัชนา       ไม่มีอะไร ทำกายให้เป็นระเบียบ ทำความคิดให้เป็นระบบ คือ ปกติ ถ้าเป็นคนมักง่าย ก็หัดเป็นคนที่มีระเบียบวินัยเสียบ้าง เราก็จะรู้ว่า สิ่งที่ทำ มันถูกหรือผิด ปกติ นอนแล้ว ตื่นนอนมาก็สบัดก้น ผลึบ เข้าห้องน้ำ ก็ก่อนจะเข้าห้องน้ำ ก็ดื่มน้ำสักแก้วใหญ่ๆ ดึงผ้าปูที่นอนให้ตึง พับผ้าห่มเข้าที่ ทำกิจกรรมบนที่นอนให้จบสิ้น แล้วจึงจะไปเข้าห้องน้ำ กลับออกจากห้องน้ำ ก็ไม่ต้องมาทำงานอะไรที่คั่งค้าง อย่างนี้ เค้าเรียกว่า จัดกายให้เป็นระเบียบ จนความคิดเป็นระบบ ทำอยู่ทุกขณะ ทุกเรื่อง ทุกชีวิต ทุกโอกาส ทุกเวลา อะไรที่มันเข้ามาแล้วออกไป ก็ทำให้มันเป็นระเบียบซะ แล้วเราก็จะคิดทุกอย่างๆ เป็นระบบ เวลาหลวงปู่คิด จะเห็นว่า หลวงปู่คิดอย่างเป็นระบบ รู้จักอะไรสำคัญสุด อะไร 1 อะไร 2, 3, 4, 5 อะไรก่อน อะไรหลัง แต่ทั้งหมดนี่ มันไม่ใช่ได้มาจากการแค่นั่งหลับตา แค่พักแค่ครู่แค่ชั่วแค่ยามแค่ชั่วโมง 2 ชั่วโมง หรือว่า วัน 2 วัน ไม่ใช่ แต่มันต้องทำมาทั้งชีวิต ต้องสั่งสมมาทั้งชีวิต สมัยก่อนเด็กๆ หลวงปู่จะเป็นคนเลอะเทอะมาก ไร้สาระมาก เพราะเป็นคนขี้ลืมมาก หลงลืม บางทีของวางไว้ ก็ยังไม่รู้ คือ พอคล้อยหลังไป ก็จะไม่รู้แล้ว ไปอยู่ไหน ลืม เออ แม่ใช้ให้ไปซื้อซี้อิ๊ว กลับมา ดันหิ้วน้ำปลากลับมา อย่างนี้ อ้าว จริง บอก ไปซื้อซี้อิ๊ว กลับมา ดันหิ้วขวดน้ำปลามาเฉย ให้ไปซื้อน้ำพริก กลับมา ดันหิ้วพริกขี้หนูมาให้ อย่างนี้ แล้วเจออย่างนี้บ่อยๆ มาก จนเรารู้สึกว่า ทรมานตัวเอง อ้ายโทษฐานของความขี้ลืมของตัวเอง แล้วก็วิธีสอนของผู้ใหญ่สมัยนั้นในบ้าน รู้ว่า ผิด  ต้องให้ทำซ้ำ  ไม่ใช่ รู้ว่า ผิด แล้วให้ทำโทษนะ ให้ทำซ้ำ  ให้กลับไปทำซ้ำจนกระทั่งทำให้ถูก มันก็เลยกลายเป็นนิสัยไง เป็นสันดานว่า เออ ไม่ได้ ถ้าผิดแล้วเดี๋ยวกูต้องไปอีกรอบหนึ่ง แล้วสมัยก่อน ร้านค้ามันไม่ใช่ใกล้ๆ คุณ แค่นี้ สี่แยกน่ะ  โอ้โห วิ่งควบม้าไป ไม่ใช่ม้าเป็นๆ นะ ม้า 2 ขาเราเนี่ย เออ วิ่งไปวิ่งมาก็หอบแล้ว ก็ต้องฝึกตัวเอง งั้น สรุปแล้วก็คือ วิธีฝึกสติของหลวงปู่ ก็คือ จัดระเบียบของกาย จนเป็นระบบของความคิด แล้วทีนี้ สติปัญญา มันก็จะหลั่งไหลพรั่งพรูเข้ามาด้วยกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ พอชีวิตมีระเบียบแล้วเราก็จะคิดอย่างเป็นระบบ ทีนี้ พอคิดเป็นระบบแล้ว เราก็จะรู้จักขั้นตอน เหมือนดั่งคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนภิกษุทั้งหลาย เมื่อวาน หลวงปู่ก็ยังยกให้พระที่จะ ปัจฉิมโอวาท เวลาเราแจกวุฒิบัตรได้ฟังว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคต ไม่เคยเห็นเลย กับบุคคลผู้ไม่มีความใคร่ครวญ เรียกว่า ไม่มี โยนิโสมนสิการ อันเหมาะสม แล้วจะไม่เกิดอกุศล ไม่เคยเห็นเลย งั้น บุคคลผู้มีโยนิโสมนสิการ คือ ความใคร่ครวญ มีสติปัญญานั่นแหละ คือ ใคร่ครวญอย่างเหมาะสมแล้ว จะไม่เกิดอกุศลเลย จะมีแต่กุศลตลอด งั้น ความใคร่ครวญนี่แหละ จึงจะเป็นเรื่องที่มันจะไม่เกิดขึ้นเลยกับคนที่ไม่มีระเบียบ ที่ความคิดไม่เป็นระบบ จะไม่รู้จักใคร่ครวญ ทำอะไรแบบมักง่าย โยนๆ ขอไปที เข้าบ้านปุ๊บ ก็ รองเท้าอยู่ทางหนึ่ง ถุงเท้าอยู่ทางหนึ่ง กางเกงอยู่ทางหนึ่ง  เสื้ออยู่ทางหนึ่ง กางเกงในกับผ้าเช็ดหน้ากองอยู่ที่เดียวกัน งัดออกมาก็ไม่รู้กลิ่นอะไรเป็นกลิ่นอะไร ถ้าอย่างนี้ จะหาความใคร่ครวญไม่ได้ คนพวกนี้ คิดไม่เป็น เพราะมันทำมักง่ายไง ทำอะไรแบบมักง่าย เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยากให้ลูกเราเป็นอัจฉริยะ เป็นผู้มีความคิดเป็นระบบ งั้น การกระทำต้องเกิดระเบียบ ต้องสอนระเบียบให้ คนไทยเราที่ไม่ค่อยพัฒนา หรือ ไม่ค่อยเจริญเหมือนประเทศอื่นๆ เค้าก็เพราะว่า เมืองไทยเราไม่ค่อยเป็นระเบียบ เมืองไทยไม่ค่อยเป็นระเบียบแล้วเมื่อไม่เป็นระเบียบแล้วมันก็พัฒนายาก มันจะทำอะไรก็ลำบาก จะสอนอะไร จะสั่งอะไร จะออกกฏหมายข้อใดๆ ลำบากมาก ญี่ปุ่นเค้าเนี่ยนะ รัฐธรรมนูญเค้าเขียนมาร้อยปี เค้ายังอยู่ร้อยปี ไม่มีใครไปแก้หรือเปลี่ยน เพียงแค่ทำให้คนยอมรับ ทำตามรัฐธรรมนูญ แต่เมืองไทยนี่ เขียนแม่มันทุกปี ขออภัย ต้องพูดอย่างนี้ เมืองไทยนี่ เขียนรัฐธรรมนูญมันทุกปีๆ หนึ่งหลายๆ มาตรา แต่ก็ต้องเปลี่ยนกันทุกปีอีกแหละ เปลี่ยนเพื่ออะไร เปลี่ยนให้เข้ากับคน ไมใช่เปลี่ยนคนให้เข้ากับรัฐธรรมนูญ แต่ประเทศที่เค้าเจริญแล้ว เค้าเปลี่ยนคนให้เข้ากับหลัก ไม่ใช่เปลี่ยนหลักให้เข้ากับคน เค้าเอาหลักเป็นตัวตั้ง แล้วเอาคนไล่ตาม แต่ประเทศอย่างพวกเราเนี่ย เปลี่ยนหลักตามคน เพราะฉะนั้น หลักรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ถ้าพูด เหมือนเสาเนี่ยนะ มันไม่ได้ตรงแบบนี้หรอกนะ มันคดไปอย่างนี้ๆๆ แล้วบางทีบางปีมันก็ด่ำหัวลง บางทีมันก็มุดลง บางทีมันก็โผล่ขึ้น บางทีก็ยอดคดหน่อยหนึ่ง มันไปตามอะไรของมันก็ไม่รู้ ถ้าเปรียบว่า รัฐธรรมนูญเป็นหลัก มันเป็นแบบนี้ อีพันธุ์นี้ แต่รัฐธรรมนูญของประเทศที่เค้าเจริญแล้ว อังกฤษ หรือว่า อะไรเนี่ยนะ เค้าตั้งหลักเด่เลย ตรงเลย มั่นคงเลย แล้วคนต้องมาดู ต้องทำตามนี้ อย่างนี้ ก็เพราะ เค้าฝึกคนของเค้าให้มีระเบียบไง แล้วความคิดมันเกิดระบบขึ้นมา ให้เป็นที่ยอมรับของสังคม เป็นที่ยอมรับระบบ ระเบียบที่เกิดขึ้น สังคมไทยไม่มี ชั้นไปญี่ปุ่น ไปสอนหนังสือ คนญี่ปุ่น จะจูงหมาข้ามถนน หมายังรอไฟแดงเลย หมาไทยไม่มีรอไฟแดงหรอก มันวิ่งโดนรถชนตาย หา คนไทยก่อนหมา จริงๆ แล้วเค้าเนี่ยนะ ถ้าขึ้นรถ หลวงปู่ไปนั่งรถเมล์ ถ้าไม่เข้าแถวนี่ เค้าไม่เปิดประตูให้นะ ประตูเค้าไม่เปิดหรอกนะ ถ้ายืนเป็นแถวน่ะ เค้าจะเปิดประตูให้ คนขับเค้าจะกดเปิดประตู ไทยเราน่ะเหรอ ไปเป็นฝูงเลย เออ ประตูเท่าไหร่ ก็เบียดกันเข้าไป แล้วสุดท้ายก็ไปแย่งกันนั่ง เค้าเขียนป้ายไว้ โปรดอนุเคราะห์คนแก่ คนชรา สตรี แล้วก็พระภิกษุ มันรู้ว่า เราขึ้นไป นี่มันทำ..ไม่งั้นก็นั่งหลับ ทำไม่เห็นแหละ อ้ายเราก็ยืน อุตส่าห์ไปกระแซะๆ มัน ก็ยังไม่ตื่นอีก มันไม่สนใจหรอก เค้าเขียนไว้ว่า ที่นั่งของพระ ที่นั่งของคนแก่ มันก็นั่งของมันเฉย มันไม่สนใจหรอก ญี่ปุ่นเค้าไม่ได้นะ ขืนไปนั่งแบบนั้น เค้าด่าเอานะ เค้ามองหน้าเอาเลยล่ะ เจ้าหน้าที่เค้ามาชี้เลยล่ะ มาว่าเลยล่ะ เพราะงั้น คนไทยยังอีกไกล ห่างมาก รัฐธรรมนูญเค้าเขียน ก็เขียนมันทุกวันล่ะ ทุกนาทีล่ะ เพราะมันเขียนตามใจคน มันไม่ได้เอาหลักเป็นตัวตั้งแล้วให้คนมาตามหลักนั้น ไม่ใช่ ก็ทะเลาะกันไม่เลิก เพราะงั้น ถ้าถามชั้นว่า จะจัดระเบียบให้เป็นระบบอย่างไร ก็ฝึกซะแต่เล็กๆ แล้ววิธีฝึกสติ มันก็จะเกิดง่ายมาก กับการงานที่ทำ มันก็จะทำให้เกิดสติได้ไม่ยาก ยิ่งทำงานมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีสติมากเท่านั้น สำหรับคนที่มีชีวิตเป็นระเบียบ แล้วความคิดเป็นระบบ แล้วถ้าเค้าจะทำอะไร มันเป็นการงานที่ฝึกสติทั้งนั้น จบ ปุจฉา     ก็อย่างที่องค์หลวงปู่เล่านะฮะ ผมก็เพิ่งไปมา ความเป็นระเบียบ เค้าระเบียบมากนะครับ อย่าง เก้าอี้ที่เค้าคนแก่ หรือว่าจะเป็นเด็ก หรือว่าเป็นพระภิกษุนั่ง จะไม่มีคนนั่งเลย แม้ว่า รถไฟ หรือว่า รถเมล์ของเค้า จะคนเยอะก็ตาม แต่จะไม่มีคนนั่งตรงนั้น เพราะเค้าถือว่า เป็นการเว้นที่ให้ แล้วผมเห็นเค้าเรียงคิว เอ๊ เค้าทำอะไรอยู่ แค่เรียงคิวเดินขึ้นบันไดเลื่อน เค้าก็ยังเรียงคิวกัน ถ้าเป็นบ้าน หลวงปู่     อุ๊ย ไปเป็นฝูง คุณสืบสกุล     บ้านเราไปพร้อมกันนะฮะ พวกเราสามัคคี หลวงปู่     เอ่อ รวมกันเราอยู่ไง คุณสืบสกุล     ใช่ฮะ หลวงปู่     แยกหมู่เราตาย แสดงว่า คนไทยกลัวตาย คุณสืบสกุล    เค้าระเบียบเป๊ะมาก ถ้าเราทำได้แบบนั้น ก็อาจจะดีขึ้น หลวงปู่      คือ มันก็จะง่ายต่อการนำไง ง่ายต่อการพัฒนา ง่ายต่อการบริหาร ง่ายต่อการจัดการ ง่ายต่อการชี้ แล้วเป็นเรื่องประหลาดมาก ตามโรงเรียน ตามหน่วยราชการ ตามสถานที่ที่เป็นเค้าเรียกว่า เป็นหัวจักร หรือ เป็นฟันเฟืองของสังคม กลับไม่ทำตัวเป็นผู้นำ ตัวอย่างง่ายๆ เอาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นี่ ถ้ามาก่อน มึงจะเข้าแถวขนาดไหน กูต้องอยู่ข้างหน้า เนี่ยประมาณนี้ ของเค้าไม่ใช่นะ จะเป็น สส. สว. ถ้ามาที่หลัง มึงต้องต่อท้ายนู่น มึงจะมาอยู่ข้างหน้าเค้าไม่ได้ อ้ายนี่ ไม่ใช่ ชั้นไปขึ้นเครื่องบิน ในเมืองไทยเรานี่แหละ เราก็นั่งเบียดกับคนและข้างๆ มันก็ผู้หญิง ถามว่า อ้ายโต๊ะหน้าน่ะของใคร โต๊ะหน้าของสส., แล้วไหนล่ะ สส., สส. ไม่มี, อ้าว ไม่มีแล้วมีกระบวนการเขียนด้วยหรือเปล่า, ไม่ได้เขียน, เมื่อไม่ได้เขียน แล้วทำไมต้องไปเว้นไว้เพราะอะไร เมื่อโต๊ะมันว่าง แล้วสุดท้ายเค้าก็ อ้ายการบินไทย เค้าเลยบอก นั่งไปเถอะค่ะ ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่า มันไม่ได้มีเขียนแล้วก็ไม่มีข้อห้าม แต่ก็พวกอภิสิทธิ์ชน มันมีเยอะในเมืองไทย ของคนที่พัฒนาแล้ว หรือ ประเทศที่พัฒนาแล้ว เค้าไม่มีคำว่า อภิสิทธิ์ชน ทุกคนมีหน้าที่อันเสมอกันที่จะทำ แล้วก็รักษาระเบียบวินัยของตนไว้ด้วย จบ ปุจฉา        จิตใจ กับ จิตวิญญาณ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร วิสัชนา      อืม ที่จริงมันเป็นคำสมาสนะ คำควบกล้ำ คำที่มันพูดรวมๆ กันแบบเข้าใจกันโดยภาษาไทย โดยภาษาชาวบ้าน โดยศัพท์ชาวบ้านๆ ว่า จิตใจ จิตวิญญาณ แล้วในความรู้สึกของชาวบ้านก็คือ หมายอย่างเดียวกัน หมายถึงเรื่องเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงของวิถีทางแห่งพุทธิปัญญา มันคนละเรื่องกัน วิญญาณ คือ การรับรู้, จิต คือ สภาวะธรรม นี่มันก็แบ่งออกไปอีกละ แล้ววิญญาณ มันรับรู้อะไร ก็รับรู้ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ อะไรอย่างนี้ แต่สภาวะจิต นี่มันเป็น สภาวะธรรม ซึ่งมันมีคุณลักษณะอยู่ 4 อย่าง คือ รับ จำ คิด รู้ มันก็คนละเรื่องกันละ กระบวนการทำงานก็คนละอย่างกัน แต่ทีนี้ ถ้าพูดรวมกันแบบภาชาวบ้าน มันก็คือ ตัวเดียวกันด้วยความเห็นว่า มันไม่มีคำอื่น คำนิยามอื่น จะมาอธิบายรูปร่างของมัน ก็เลยใช้คำว่า จิตใจ หรือ จิตวิญญาณไป แต่โดยการทำงานแล้ว มันแยกกัน วิญญาณ คือ การรับรู้ จิต ก็คือ สภาวะธรรม และสภาวะธรรม มีลักษณะอย่างไร มี 4 ลักษณะ ก็คือ รับ จำ คิด รู้ เท่านั้นเอง จบ ปุจฉา      คำว่า ไม่มีตัวตนในสภาวะธรรมว่าง ขณะนั่งและยืน ที่หลวงปู่สอน แสดงว่า จะต้องไม่รับรู้ที่ร่างกายสัมผัสพื้น เพราะไม่มีตัวตน ใช่หรือไม่ อย่างไร วิสัชนา        ไม่มีตัวตนในสภาวะธรรม มันเป็นความไม่มีตัวตนขั้นสูงสุดนะ เพราะมันต้องผ่านการใคร่ครวญ ไตร่ตรอง ใช้ นิสัยมะ กะละมัง ใสโย ใช้สติปัญญาขั้นสูงในการพิจารณาว่า ขันธ์ทั้ง 5 มันไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร มันเป็นอนัตตาเช่นไร จนกระทั่งมันไม่มีอะไรให้คิด อย่างนี้ เค้าเรียกว่า เรื่องที่คิด ถ้าเจ้าคิด เมื่อคิดแล้วจะไม่มีเรื่องอะไรให้คิด คือ ว่างไปหมด ส่วนไม่มีตัวตนในสภาพ เรียกว่า เป็นอารมณ์ ก็คือ เพียงแค่ทำอารมณ์ให้ว่าง หรือว่า ทำจิตให้ว่าง หรือว่า ทำสภาพความยึดถือให้มันว่าง คือ ปลดเปลื้องความยึดถือและความปรุงแต่งทางสภาวะจิต ซึ่งไม่ใช่เกี่ยวกับสภาวะธรรม เรียกว่า เป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น ความว่าง มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ สภาวะธรรมสูงสุด ว่างอย่างสูงสุด และอารมณ์ว่าง อันนั้น เป็นเรื่องของการไม่ปรุงแต่ง การไม่ยึดถือ ไม่มีอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 ด้วยการเพิกเฉยเสีย เหมือนกับเรามอง ถามว่า เรามองหลวงปู่นี่ เราเห็นพระพุทธรูปไม๊ เห็นไม๊ เห็นแต่ไม่สนใจ เพราะไม่ปรุงแต่งไง ไม่สนใจ ไม่ปรุงแต่ง ไม่ยึดถือ เพราะงั้น อารมณ์แห่งความว่าง มันจะมีสภาพอย่างนี้ คือ ไม่สนใจ ไม่ปรุงแต่ง และไม่ยึดถือ มันก็จะเป็นอารมณ์ว่าง เห็นหลวงปู่ไม๊ เห็น แต่สนใจ ปรุงแต่ง ยึดถอื มันก็เลยไม่ว่าง เพราะมีหลวงปู่เข้าไปในใจ ในอารมณ์ ถูกต้องไม๊ เพราะฉะนั้น ความว่าง ที่เป็นอารมณ์ว่าง กับ ความว่างที่เป็นสภาวะธรรมว่าง สูงสุด ก็คือ ความว่างที่เป็นสภาวะธรรมว่าง ส่วนอารมณ์ว่าง เป็นสิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง ไม่ยึดถือ มันทำได้กันทุกคน ส่วนสภาวะธรรม ทำได้ทุกคนไม๊ ก็ได้ทุกคนถ้าฝึก ถ้าศึกษา ถ้าสั่งสม ถ้าอบรม จบ ปุจฉา     ตามรู้จิต อยู่เป็นประจำ พบว่า การรู้จิตมีหลายลักษณะ คือ 1. การรู้ความเคลื่อนไหวของจิต การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ รู้ความคิดที่เกิดขึ้น และก็รู้อารมณ์ที่ดับไป 2. การรู้ลงที่จิตปัจจุบัน รู้ลงที่กาย เมื่อรู้แล้ว อารมณ์ดับ ความคิดดับ เหลือแต่การรู้อยู่ที่กายกับจิตปัจจุบัน 3. การแยก ผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ออกจากกัน อยากทราบว่า การรู้จิตทั้ง 3 แบบ แตกต่างกันอย่างไร และเราควรจะเลือกให้เหมาะสมอย่างไร วิสัชนา      ไม่ได้เสียหายอะไร แล้วก็ ความแตกต่างก็อย่างที่อธิบายมา ก็คือ เราจะรับรู้ในสภาวะของผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ หรือ เราจะรู้เรื่องอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิต แล้วการดับของอารมณ์นั้นๆ ในจิต ซึ่งทั้งหมดนี่ มันเป็นการทำงานของมหาสติ ไม่ได้มีข้อแตกต่างอะไร ถ้าเราจะทำให้มันรู้มากขึ้นไปกว่านี้ พัฒนาตัวรู้ให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นไปกว่านี้ ก็คือ รู้แม้กระทั่ง ที่ตั้งแห่งจิต จิตที่เกิดดับแต่ละดวง อันนั้นมันเป็นการจำแนก เรียกว่า รู้พื้นๆ ก็คือ รู้ว่า โต๊ะนี้ประกอบไปด้วยคาน ด้วยขา ด้วยพื้น ด้วยองค์ประกอบต่างๆ แต่ถ้ารู้ให้ลึกลงไปกว่านี้ว่า วิธีทำ วิธีประกอบ รู้ลึกลงไปอีกว่า เออ อ้าย คาน ขา ไม้ พื้น นี่มันเกิดขึ้นจากอะไร รู้ลึกลงไปกว่านี้อีกว่า ไม้ตัวนี้ มันเกิดขึ้นในสถานที่ใด ในภูมิประเทศแห่งใด และมันแตกต่างกันระหว่างภูมิประเทศลุ่ม กับภูมิประเทศดอน ไม้ชนิดเดียวกัน มีผลแตกต่าง รู้ลึกจนกระทั่งว่า อ้ายพันธุ์ไม้นี้ มันเกิดขึ้นจากเมล็ดชนิดใด แล้วที่สุดของพันธุ์ไม้ มันดับไปอย่างไร แล้วมันสูญพันธุ์ หรือ ดำรงค์ชีวิตอยู่แบบไหน เค้าเรียกว่า แยกนิวตรอน โปรตอน แยกให้มันกลายเป็นอะตอม เป็นนิวเคลียส จนกระทั่งไม่มีอะไรให้แยก เหลือแต่ความว่างล้วนๆ อย่างนี้เป็นต้น ถ้ารู้อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ความรู้สูงสุด มันก็เป็นสภาวะธรรมละ มันก็เข้าถึงสภาวะธรรม ที่จริง เราชอบพูดกันว่า สภาวะธรรม สภาวะธรรม นี่มันมีขั้นโลกุตตระและสภาวะธรรมขั้นโลกียะ สภาวะธรรมขั้นปรมัตถะ โลกุตตระ โลกียะ แล้วก็ ปรมัตถะ ในขั้นสภาวะธรรมที่เป็นโลกียะ เค้าก็ไม่ค่อยนิยมใช้คำว่า สภาวะธรรม ด้วยเหตุผลว่า มันเป็นธรรมชาติที่ต้องผ่านกระบวนการปรุงแต่ง แต่สภาวะธรรมที่เป็นโลกุตตระ หรือว่า ปรมัตถะ มันเป็นสภาวะธรรมที่ไม่ต้องผ่านกระบวนการปรุงแต่ง แต่มันเป็นเช่นนั้นเอง ที่ท่านพุทธทาสที่สวนโมกข์ ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านจะบอกว่า ตถตา คือ ความเป็นเช่นนั้นของมันเอง โดยไม่ต้องปรุงแต่งอะไร งั้น เวลาเราใช้คำว่าสภาวะธรรม เราก็มักจะเอามาปนกัน เหมือนกับคำว่า จิต วิญญาณ ปนกันมั่วไปหมด หัวใจ จิต วิญญาณ การับรู้ ซึ่งถ้าแยกออกมาแล้ว มันทำงานกันคนละส่วน งั้น อยากบอกว่า ถ้าเราจะเรียนรู้เรื่อง จิต สิ่งที่รู้เป็นเรื่องถูก ทำต่อไป แต่ไม่ใช่รู้แค่ย้ำอยู่กับที่ ต้องรู้ไม่ถึงการเกิด การตั้งอยู่ แล้วก็การดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นการรู้ ลักษณะให้ตรงกับหลักไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง แล้วก็ อนัตตา จึงจะถือว่า รู้ ใช้ได้ จบ ปุจฉา     เวลาเตรียมทำกับข้าวใส่บาตรตอนเช้า ทำไปก็มักจะชอบท่อง ยถา วาริวหา ไป ตอนหลังกังวลว่า เพราะว่า เราท่องเพราะมันไพเราะดี ไม่ใช่เรียกผีมากินตอนนั้น อยากทราบว่า เราท่องอย่างนี้ ผีจะรู้หรือเปล่าว่า อาหารนั้นยังไม่เสร็จ และยังไม่พร้อมที่จะอุทิศส่วนกุศล ผมขออนุญาตเดาคำตอบหลวงปู่ว่า ก็ไปถามผีสิ ชั้นไม่ใช่ผี วิสัชนา     ไม่ จะถามว่า ไปใส่บาตรวัดไหน อย่มาวัดนี้ก็แล้วกัน วัดนี้ไม่เอา มันยังไม่ทันถึงพระเลย เลี้ยงผีก่อนละ วัดนี้ไม่เอา ไม่ได้เรื่องเลย คนละเรื่อง ไม่มีใครเค้าทำกัน ยถา วาริวหา ปูรา ปริปูเรนติ ห้วงน้ำที่ยังสมุทรสาครให้เต็มได้ฉันใด ทานที่ท่านให้ จงสำเร็จประโยชน์ต่อญาติท่านได้ฉันนั้น อย่างนี้เป็นต้น เป็นคำอนุโมทนา ถ้าเราบอกว่า เรากำลังจะทำทาน ก็ยังไม่ทันทำ แล้วมันจะสำเร็จประโยชน์ต่อญาติได้อย่างไร ยังผัดอยู่ในกะทะอยู่เลย น้ำลายยังฟุ้งอยู่เลย แล้วก็จะไปบอกว่า ทานที่ชั้นให้ จงสำเร็จประโยชน์เหมือนดั่งห้วงน้ำ นี่ไม่ถูก มันต้องให้เสียก่อน ให้ซะให้จบก่อน แล้วจึงจะมาอุทิศส่วนกุศล จบ คุณสืบสกุล      เป็นเรื่องเล่า วันนี้ ไม่รู้จะถามอะไร หลวงปู่   ก็ดีแล้ว คุณสืบสกุล      แต่มีเรื่องเล่าว่า วันนี้ไปซื้อแชมพู 6 ขวด x 70 ก็เป็น 420 บาท สามีรับแบงค์พันไปให้คนขาย กลับทอนมาแค่ 80 บาท ไปบอกคนขายว่า ให้ แบงค์พัน แต่คนขายบอกว่า แบงค์ 500 อยากเรียนองค์หลวงปู่ เพราะคนนั้นทำหน้าที่การเงิน แต่ทำไมผิดพลาดเรื่องเงิน ไม่ได้ติดใจในตัวเงิน แต่ติดใจในการทำหน้าที่ของฝ่ายการเงิน จะทำอย่างไรดีต่อ หลวงปู่         ก็เขียนหนังสือไปให้มันอ่านสิ คุณสืบสกุล    ว่า หลวงปู่    ก็ตามนี้แหละ คุณสืบสกุล      แทนที่จะมาเขียนให้หลวงปู่ หลวงปู่       เออ ชั้นเองก็ไม่รู้จะไปทำยังไง เพราะชั้นก็ไม่ได้อยู่กับที่ เราก็ไม่ได้มองว่า มันเป็นแบงค์อะไรแน่ แต่ที่แน่ๆ ถ้ามันเป็นแบงค์พันทั้งคู่ คือ ทั้ง 2 คน 4 ตา กับอีกคนเดียวแค่ 2 ตา เราสามารถยืนยันได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเอาของคืน แล้วเราจำแบงค์เราได้ไม๊ล่ะ ให้ไปน่ะ คนมันก็ไม่ใช่เยอะมากขนาดนั้นหรือเปล่าล่ะ หรือว่า คนมันรุมกันเยอะแยะ แล้วเวลาให้แบงค์ไปแล้วมันทำไม่รู้ไม่ชี้ หรือว่า ทำหยิบแล้วก็ไปวางส่ง มันสดๆ ร้อนๆ ไม่ใช่อยู่ในตลาด เอ้า เข้าเก๊ะ ก็เปิดดูสิ เนี่ย แบงค์ชั้น ชั้นจำได้ ในหลวงใส่แว่นเนี่ย ไปยากอะไร เออ ไปทวงเอากับเค้า ไม่รู้เรื่องหรอก เพราะอ้ายเรื่องคนขายที่มาทำหน้าที่ บางทีเราก็ต้องยอมรับว่า เราก็ไปตรวจดูได้ไม่ทั่วถึง แล้วบางที เราก็ไม่รู้ว่า คนขายนั้น อาสาสมัครมา หรือว่า จ้างวานมา เพราะว่า บางครั้ง มันก็มาเปลี่ยนเวรกันไปเรื่อย สลับสับเปลี่ยนกันไป ถ้าอยู่ประจำ คนๆ เดียว เค้าก็น่าจะรู้ว่า เค้ารับแบงค์อะไรมา ก็ลองไปทวงถามเค้ากันดู ก็ส่งเสียงนี้ไปยังคนขาย ใครที่รับแบงค์เค้า แล้วไม่ได้มอง ไม่ได้วิเคราะห์ ที่จริงแล้ว ถ้ามีคนมาทวงถาม ต้องคืนนะ ด้วยความถูกต้อง ก็ต้องคืน คุณเอาของคืนมา เอาตังค์คุณคืนไป เราก็ไม่รู้ว่า เค้าจะคืนตังค์ตรงกับที่เค้าให้ไปหรือเปล่า ไม่ได้เรื่อง นานาจิตตัง ถือว่า ทำบุญไปแล้วกัน จบ ปุจฉา       เป็นพนักงานขายฉลาก ที่นำไปติดขวดสุรา ถือว่า มีส่วนร่วมในการทำบาปด้วยหรือไม่ หลวงปู่    ขายอะไรนะ คุณสืบสกุล      ขายฉลาก ไม่ได้ขายเหล้าโดยตรง ขายฉลากที่นำไปติดขวดเหล้า ถือว่า มีส่วนร่วมในการทำบาปหรือไม่ หลวงปู่       สรรพากรเหรอ คุณสืบสกุล      ไม่ใช่ฮะ อาจจะเป็นโรงงานพิมพ์ อาจจะพิมพ์ฉลากแล้วไปติดขวดสุรา หลวงปู่    แล้วเมาไม๊ คุณสืบสกุล    เค้าไม่ได้บอกมาฮะ หลวงปู่     เหรอ เออ ถ้าไม่เมาก็ไม่มีส่วนร่วม แต่ถ้าติดไปด้วย เมาไปด้วย ก็มีส่วนร่วม จบ ปุจฉา      คุณแม่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมาหลายปี ตอนนี้ต้องฉีดอินซูลินทุกวัน มือชา เท้าชา กลางคืนนอนไม่ค่อยหลับ ปวดเส้นบริเวณก้นกบ จะทานยาสมุนไพรของหลวงปู่อันไหนดี วิสัชนา       ก็ยาเบาหวาน กับน้ำยาปรับธาตุ คู้กัน แล้วก็พยายามคุมอาหาร เบาหวาน บางทีต้องยอมรับว่า มันเป็นพันธุกรรมนะ พ่อเป็น แม่เป็น ลูกเป็น บางทีอายุ 7 ขวบยังเป็นแล้วเลย งั้น ต้องดูแลรักษาสุขภาพโดยการคุมอาหาร ออกกำลังกายให้มันเหมาะสม พยายามให้ร่างกายมันเผาผลาญอาหารให้หมด เดินไวๆ ให้เหงื่อซึม เช้าๆ ทุกวันๆ น่ะดีที่สุด แล้วกินอาหาร ก็พยายามคุมอาหาร อย่ากินแป้ง อย่ากินน้ำตาล อย่ากินไขมันเยอะเกินไปนัก อาหารกินได้ทั้งวัน แต่กินน้อยๆ คนเป็นโรคเบาหวาน อย่ากินมื้อเดียวให้อิ่มเลย กินทั้งวัน กินจุบกินจิบ แต่กินน้อยๆ แต่เป็นอาหารที่เราคัดกรองแล้วว่า มันไม่ได้ไปสร้างน้ำตาล ไม่ได้ไปสะสม อย่างนั้นน่ะ มันจะยืดอายุขัยได้ แล้วก็ถ้านั่งนานปวด ยืนนานปวด หรือไม่ บางทีนอนนานปวด ก็เป็นธรรมดา โรคเบาหวานเนี่ย อ้ายน้ำตาลมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือด ไขมันไปเกาะบ้าง น้ำตาลมันไปทำให้ผนังหลอดเลือดเปราะ สุดท้าย กลายเป็นเส้นเลือดอุดตัน เลือดไม่ไปเลี้ยงปลายประสาท ก็เป็นไปได้ พยายามปรับสมดุลย์ ว่ายน้ำน่ะ ดีที่สุดเลยสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน ออกกำลังกายทุกวัน ว่ายน้ำทุกวัน ดีที่สุด ยาที่ให้ นอกจากคุมอาหาร ออกกำลังกาย แล้วก็ต้องกินยาอย่างว่า มี น้ำยาปรับธาตุกับยาลดน้ำตาลในเลือด แล้วถ้าเป็นไปได้ ก็กินยาฟอกเลือดเสียหน่อย ถ้ามันเยอะมากไป เบาหาวนมากไป ก็กินยาฟอกเลือด จบ คุณสืบสกุล    มีพระสงฆ์รูปหนึ่ง เป็นเบาหวาน มีโรคหอบหืดด้วย เวลาอากาศเปลี่ยน จะเหนื่อย หอบ นอกจากยาเบาหวาน แล้วเรื่องของหอบหืดด้วย จะทานยาอะไรควบคู่ หลวงปู่        พระสงฆ์เนี่ย โรคที่เป็น ส่วนใหญ่ โรคถุงลมโป่งพอง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ เคยไปแสดงธรรมที่โรงพยาบาลสงฆ์ ถามหมอ หมอบอกว่า พระส่วนใหญ่มาที่โรงพยาบาล เป็นโรคพวกนี้ ก็เลี้ยงดีเกินไปไง ชาวบ้านเลี้ยงดีเกินไป เจี้ยะ อุ๊ก, เจี้ยะ อุ๊ก กินๆ นอนๆ ไม่ได้ทำอะรโรคเบาหวาน นี่เป็นโรคของคนรวยนะ คนมีอันจะกิน คนยากจนอดอยาก ไม่เป็นหรอก ไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ งั้น ถามว่า จะทำยังไง ก็กินยา หายาฉัน โรคหืดหอบ ก็หายาขยายหลอดลม สูบบุหรี่ ทุกอย่างของฟรีนี่ สวดผีครั้งหนึ่ง ก็ถวายหมากพลู ถวายบุหรี่ ถวายเครื่องดื่มบำรุงกำลังบ้าง ก็ว่าไป ก็เล่นของฟรีตลอด พอของฟรี มันเยอะๆ เข้า ก็เข้าไปสะสม ของฟรีมันเป็นพิษ จบ อยากจะสมน้ำหน้า ปุจฉา        ป่วยด้วยโรคไวรัสตับอักเสบ บีและซี มีไขมันพอกตับด้วย แต่ว่าตับยังไม่แข็ง หมอรักษาตามอาการ กราบเรียนถามว่า จะทานยาสมุนไพรของหลวงปู่ชนิดใดดี วิสัชนา      มีคนไข้ที่เป็นไขมันเกาะตับแล้วก็โรคตับ ลองกินน้ำยาปรับธาตุ แต่เค้าใช้เวลากินนานนะ 6 เดือนกว่า ไปตรวจอีกที ไขมันเกาะตับดีขึ้น ผลของตับก็ดี ไตก็ดี ลองดูก็ได้ ทานวันละ 2 ขวด เช้าขวด เย็นขวด จบ เดี๋ยวนี้ ชั้นไม่ค่อยกล้าฉันนะ น้ำยาปรับธาตุ เค้ามาวางให้ฉัน ไม่ค่อยกล้าฉัน เพราะฉันแล้วมันคึก คุณสืบสกุล      ยังไงครับ หลวงปู่     ก็มันไม่อยากนอนไง มันขยันไง ฉันแล้วมันทำงาน บางทีตี 1 ตี 2 ยังไม่อยากหลับเลย คุณสืบสกุล      ถ้าคนทั่วไปจะดื่มได้ไม๊ฮะ หลวงปู่      ได้ เมื่อก่อนนี้ เราฉัน แต่พักหลังนี่ พอเราไม่ได้คุมต้ม ให้พระเค้าทำหน้าที่ต้มกันเอง ส่วนผสมบางส่วนอาจจะเกินเลย แต่ว่ามันไม่ได้มีผลเสีย แต่อ้ายกระบวนการกระตุ้น แต่มันไม่มีคาเฟอินนะ อาจจะเป็นเพราะว่า โสมมันเยอะไปหน่อย กินแล้วมันเลยคึก ยังมานึก เอ๊อ กูมาสกัดให้เป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลังจะดีกว่า นี่กำลังจะคิดอยู่เหมือนกันนะ คุณสืบสกุล     เมื่อไหร่ออกมาฮะ ท่าน ผมช่วยทำมาหากิน หลวงปู่      อยาก อยากคึกเหรอ ยังคึกไม่พออีกเหรอนี่ คุณสืบสกุล    เรื่องของสรรพคุณอื่นๆ ถ้าท่านผู้ชมอยากจะทราบครับ องค์หลวงปู่ฮะ หลวงปู่      น้ำยาปรับธาตุ จริงๆ แล้วมันทำให้เกิดสมดุลย์ ทำให้ร่างกายเราไม่เปลี้ย ไม่เพลีย แล้วก็ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง แต่มันไม่มีผลเสียอะไรนะ ถ้ามันหมดฤทธิ์ยา คือ ปัสสาวะออกไป มันก็นอนหลับสบาย แล้วไม่ทำให้ท้องผูก ขับถ่ายดี กระบวนการไต ตับดี ร่างกายมันคล้ายๆ มันสะอาดดี ไม่มีผลเสียต่อไตและตับ ไม่มีฤทธิ์พิษตกค้างในร่างกาย เพราะมันทำจากสมุนไพร ที่ส่วนใหญ่เราก็จะปลูกเองซึ่งไม่ผ่านกระบวนการฉีดยา ฆ่ายา ฆ่าหญ้า อะไรพวกนี้ ส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่เราปลูกเอง คัดเลือกอย่างถูกวิธี แล้วก็เหมาะสม ผ่านกระบวนการความร้อนถึง 120 องศา หม้อต้มแรงดันสูง เพื่อจะจะดึงเอาตัวยาที่เป็นประโยชน์ ผ่านกระบวนการกรอง เดี๋ยวประมาณปลายๆ ปี หรือ กลางๆ ปี เค้าจะทำเป็นกระป๋อง มันสามารถเก็บได้เป็นปี อยู่ในกระป๋องจะไม่มีวัสดุกันเสีย กำลังรอคิวโรงงานที่เค้าทำกระป๋องอยู่ ใช้ระบบสุญญากาศ พลาสเจอไร กะว่าจะส่งไปยุโรป อเมริกา รอคุณเป็น presenter คุณสืบสกุล      ได้ครับ เดี๋ยว ผมดื่มทุกวัน จะได้คึกทุกวัน มาหาหลวงปู่ทุกวัน หลวงปู่    เอางั้นเลยเหรอ คุณสืบสกุล     ทานได้ทุกเพศทุกวัยไม๊ฮะ หลวงปู่     ได้ เด็กๆ ก็ ชั้นเคยให้คนไข้เด็กๆ ที่เค้าเป็นโรคกล้ามเนื้อเสื่อม กล้ามเนื้อตาย อายุน้อยๆ กินแล้วก็รู้สึกดีขึ้น เด็กกินวันละขวด เช้าครึ่งขวด เย็นครึ่งขวด จบ ปุจฉา     เป็นโรคมา 7 โรค ต้องฟอกเลือดสัปดาห์ละ 3 วัน คือ ร่างกายมันอ่อนแออยู่แล้ว ตอนนี้เหมือนขาดที่พึ่งทางใจ ตอนนี้ทุกข์ทั้งกายและใจ อยากให้มีความสงบเกิดขึ้นในใจ จะมีวิธีอย่างไร วิสัชนา       อืม คนทุกคนน่ะ ลูก ถ้าไม่ยืนด้วยลำแข้งตัวเอง แล้วไม่เข้าใจวิถีคิด วิถีชีวิตตัวเอง มันต้องมีที่พึ่งตลอด ชีวิตหลวงปู่ ไม่รู้คนอื่นเป็นยังไง ชีวิตหลวงปู่ไม่เคยคิดจะพึ่งคนอื่น ไม่เคย ให้เป็นให้ตายยังไง ก็ไม่เคยคิดจะพึ่งคนอื่น เพราะเชื่อในคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อัตตา หิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ถ้าเราเชื่อตามนี้ เราก็จะรู้ว่า วิธีทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งของตัวเองได้ เป็นสุดยอดของที่พึ่ง เพราะเราจะพึ่งได้ 24 ชั่วโมง ส่วนเราจะจ้องรอที่จะพึ่งคนอื่น เราจะพึ่งเฉพาะเห็นหน้า อ้าว ได้เห็นก็ได้พึ่ง ได้มาก็ได้พึ่ง เจอตัวก็ได้พึ่ง แล้วเราจะเห็นหน้า ได้มา เจอตัว กับคนที่เราอยากจะพึ่งนั้นสักกี่เวลา ในชั่วชีวิตหนึ่ง จะเจอได้สักกี่เดือน กี่ครั้ง กี่ปี กี่นาที กี่วัน กี่ชั่วโมง งั้น มันจะกลายเป็นความสูญเสียอย่างยิ่งกับการที่คนคิดที่จะหวังจะพึ่งคนอื่น, 2 ขาก็มีเหมือนเค้า, 2 มือก็มีเหมือนเรา, 1 หัวก็เท่ากับเรา, 1 ตัวก็ไม่ได้สูงใหญ่มากกว่ากัน ทำไมเราต้องไปหวังพึ่งกันและกัน ทำไมไม่คิดจะพึ่งตัวเองบ้าง อย่าทำตนเป็นไม้พันหลัก ให้เป็นไม้ยืนต้นเสียบ้าง ให้แข็งแรงด้วยกายและจิตใจบ้าง ไม่เห็นจำเป็นอะไร คนที่เค้าขาด 2 มือ 2 เท้า เค้ายังมีชีวิตขวนขวายอยู่ได้ อ้ายเรานี่ มีมือมีตีนครบสมบูรณ์ หัวก็ยังสมบูรณ์แบบ ยังตั้งอยู่บนบ่า ไม่ได้อยู่ที่ฝ่าตีน แล้วทำไมจะพึ่งตัวเองไม่ได้ น่าสงสาร น่าสมเพชมากกว่า ไม่ใช่น่าสงสาร คนละแน่นอน ปุถุชนมันย่อมขาดกำลังใจไปบ้าง แต่ถ้าคิดว่า เราจะได้กำลังใจจากคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แล้วคนอื่นเค้าจะได้กำลังใจจากใคร เพราะทุกคนก็อยากได้ไปหมด แล้วใครจะเติมกำลังใจให้เค้าล่ะ ถ้างั้น หลวงปู่อยากจะมีกำลังใจ ก็มองการงานของตัวเอง การงาน มองว่า เออ เรา บางทีป่วยๆนะ  ชั้นป่วยๆ นะ เออ อ้ายนั่น ก็ยังไม่เสร็จนี่หว่า เฮอะ ต้นไม้ยังไม่ได้แต่ง เออ นาก็ยังไม่เสร็จ เอ้า ลุกขึ้นไปดู หายป่วยเลย กำลังใจอยู่ที่การงาน เรามีการงานทำ ก็ถือว่า มีโชคละ คุณรู้ไม๊ว่า สวรรค์ประทานโชคให้เราที่การงาน เมื่อใดที่คุณไม่มีการงานทำ คุณก็หมดโชคละ เพราะงั้น งานมันมี 2 อย่าง งานภายนอก กับงานภายใน เราไม่มีงานภายนอกทำ ก็ทำงานภายใน แล้วงานภายในก็คือ กำจัดอาสวะทั้งปวง อุปกิเลสทั้งหลายในความขัดข้องหม่นหมองจิตใจ กำจัดให้มันหมดไป ก็เป็นงานชนิดหนึ่ง แม้ที่สุด งานภายนอก กวาดพื้น รดน้ำต้นไม้ ดูแลผู้ป่วย สงเคราะห์คนยากจน อนาถา ทำกิจกรรมอะไรที่มันเป็นเรื่องที่พ้นตัวให้มาก อย่าไปคิดเอาตัวเองเป็นใหญ่ แล้วก็ทำอะไรก็อาศัยตัวเองเป็นใหญ่ตลอดเวลา คือ ทำเพื่อกู มันจะไม่มีที่พึ่งตัวเอง แต่ถ้าเพื่อใครๆๆๆ เนี่ย โอ๊ โลกเราจะกว้างมาก โลกของเรา ส่วนตัวเรา จะยิ่งใหญ่มาก แต่ถ้าทำเพื่อตัวกู โลกเรามันจะแคบลงๆๆๆ จนเหลือเราตัวคนเดียว แล้วทีนี้เราก็อยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ด้วย ก็มาโวยวายละ ขาดที่พึ่ง งั้น อยากบอกว่า หันมาหาวิธีคิดเสียใหม่ เชื่อพระพุทธเจ้า อัตตา หิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน จบ คุณสืบสกุล    คำถามเมื่อกี้ หลวงปู่ก็สะท้อนชีวิตของผมเหมือนกัน ตรงที่พี่สาวผมนะครับ เป็นโรคหัวใจ ไปตรวจพบโรค อายุมากกว่าผมปีเดียวเอง คือยังไม่ 40 แต่ว่าครอบครัวผมมีคนเป็นโรคหัวใจแล้วเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 31 นี้ครับ ทีนี้ พี่สาวเค้าไม่ท้อ แต่เค้าจะบอกกับคนรอบข้างเสมอ บอกกับผมเสมอว่า ถ้าชั้นตายไป ฝากดูพ่อแม่ด้วย เค้าจะพูดเสมอ จนบางทีเราก็ไม่สบายใจ แต่ทีนี้จะบอกกับเค้ายังไง หรือว่า การที่เค้ารู้สึกปลงอย่างนั้น ถือว่า เป็นการดีครับ หลวงปู่       ถ้าเป็นชั้น ก็จะถามว่า มีสมบัติไม๊ คุณสืบสกุล      ขอหน่อย หลวงปู่        ไม่  เตรียมไว้ก่อน ก่อนตาย ถ้าไม่มี ก็หาซะ เออ อยู่ดีๆ แกจะมาใช้ชั้นเลี้ยงพ่อแม่คนเดียวไม่ได้ เพราะแกก็กินนมเหมือนกับชั้นกิน เอ๊อ แกจะมาเอาเปรียบชั้น มึงจะตาย แล้วมึงจะทิ้งภาระให้กูคนเดียว ถ้ามึงรู้ตัวว่า จะตาย มึงต้องหาสมบัติเยอะๆ เออ แล้วมึงตาย กูจะได้เอาสมบัติมึงมาช่วยมึงเลี้ยง เพราะกูทำหน้าที่แทนมึง ถูกไม๊ เออ แล้วมึงเอาเปรียบกูทำไม มัน ไม่ตายหรอก อ้าว เรื่องจริ๊ง ชัดเจน มึงก็กินนม กูก็กินนม ถึงคนละข้าง มันก็นมแม่ คุณสืบสกุล      กินก่อนผมอีก หลวงปู่        เออ นั่นสิ มึงกินก่อนกู แล้วมึงจะมาเอาเปรียบกู แล้วมึงจะตายหนี แล้วทิ้งภาระให้กู หาสมบัติให้เยอะๆ มึงตายในขณะที่มึงหาสมบัติ กูจะภูมิใจมาก กับการที่มึงตายแล้วไม่มีสมบัติ แล้วมึงทิ้งงานให้กูเนี่ย กูจะรังเกียจมึงมากเลย บอกเค้าไป คุณสืบสกุล    ผมคงไม่บอกเองฮะ เดี๋ยว ผมเปิดช่องนี้ให้ดูเลย พอถึงวันออกอากาศ เปิดให้ฟังหลวงปู่เลย หลวงปู่      ซวยกูอีกละ คุณสืบสกุล      วันหลัง ผมพามาเลยดีกว่า หลวงปู่      เจอวัดนี้ อ้าว จริงๆ บอกไปเฮอะ ใครจะมาบอกตาย เอ้า ตาย มีสมบัติไม๊, มี, เออ ตายไป, ถ้าไม่มีสมบัติ ไปหาซะก่อน ให้มีซะก่อน แล้วค่อยตาย จะได้ภูมิใจว่า เออ อย่างน้อย กูก็ไม่ทิ้งภาระอะไรไปให้คนข้างหลัง จบ คุณสืบสกุล       องค์หลวงปู่ครับ ช่วงท้ายนี้ วันนี้ที่เราออกอากาศคือ วันที่ 11 มกราคม พรุ่งนี้ วันเด็ก องค์หลวงปู่ อยากจะฝากอะไรถึงเด็กๆ แล้วก็เยาวชนไทย เรื่องของการมีหลักธรรมะ แล้วก็การใช้สติในการดำรงค์ชีวิตครับ หลวงปู่     ไม่รู้จะฝากอะไร เพราะว่า เด็กก็มีมากกว่าหลวงปู่อีก เด็กมีแทบเล็ต มีไอโฟน มีอะไรต่ออะไรเยอะมาก หลวงปู่น่ะ ต้องขอจากเด็กๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ หลวงปู่ไม่มีเลย หลวงปู่ไม่มีเครื่องทรง ไม่มีแฟชั่น ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ หลวงปู่ เป็นคนไม่มีอะไร ไม่เหลืออะไร เพราะงั้น เด็กๆ มีอะไรมากเยอะหน่อย ก็แบ่งให้หลวงปู่ด้วยก็แล้วกัน แต่สิ่งที่อยากจะให้จริงๆ ก็คือ ให้หัวใจ ให้จิตวิญญาณ ให้สติปัญญา ให้ความรู้ ความคิดที่เป็นวิถีคิดของวิถีพุทธ น้องหนูจะทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร ก็ต้องนึกถึงคนที่รักหนู คนที่เค้าเมตตาหนู คนที่เค้ามีพระคุณต่อหนู คนที่เค้าเลี้ยงดูหนู แล้วหนูก็จะรู้ว่า สิ่งที่หนูทำนั้น มันจะทำให้คนรัก คนเมตตา คนที่เลี้ยงดู คนที่มีพระคุณ เค้าเสียใจไม๊ ถ้าทำแล้ว ทำให้เค้าเสียใจ หนูก็อย่าทำ เพราะนั่นมันเป็นบาป แล้วเมื่อบาปที่เกิดจากการทำให้ผู้มีคุณ คนที่รัก เมตตา และเค้าไว้วางใจเรา บาปอันนี้ มันจะยิ่งใหญ่มาก มันจะมีผลเป็นร้อยเท่าพันทวี ไม่ควรกระทำ ถ้าคิดจะทำความดี ชดเชย ชดใช้ ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่ทำหน้าที่ หนูมีหน้าที่อะไร ก็ทำหน้าที่ของหนูให้ดี ให้สมบูรณ์ที่สุด ก็ถือว่า หนูได้ทำดี ทำหน้าที่ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ผู้มีพระคุณ ผู้อุปการะคุณ ผู้ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลน้องหนู เพราะทุกคนที่เค้าให้สิ่งต่างๆ แก่หนูเนี่ย ต้องการเห็นหนูเป็นคนที่ถูกต้อง รับผิดชอบหน้าที่ แล้วก็ดูแลสิ่งที่ตัวเองมีอย่างซื่อตรงและซื่อสัตย์ สมบัติทั้งหลาย ที่เรามีมาได้ถึงวันนี้ เพราะท่านผู้มีคุณทั้งหลายเหล่านั้น เราควรจะตอบแทนท่านด้วยกรรมวิธี ทำหน้าที่อย่างซื่อตรง เจริญธรรม (สาธุ) คุณสืบสกุล     วันนี้ กราบขอบพระคุณ องค์หลวงปู่พุทธะอิสระนะครับ.......12  พรุ่งนี้ วันเด็ก....19 มกราคม เจริญพุทธมนต์ที่ศิริราช......8 -17 กุมภาพันธ์ งานปีใหม่ชาวจีน ตรุษจีน ...วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ ยกเศียรพระนาคปรก.... 13 กุมภาพันธ์ สวดนพเคราะห์....23 กุมภาพันธ์ เจริญพุทธมนต์ที่ศิริราช...วันนี้ ต้องขอกราบขอบพระคุณ องค์หลวงปู่พุทธะอิสระและญาติ...........และคุณผู้ชมรายการปุจฉา วิสัชนา เจอกันทุกวันศุกร์เวลา 14.00 -15.00 น. หลวงปู่      ให้ทุกท่านที่รับชมรายการปุจฉา วิสัชนา จงมี 2 ขาที่แข็งแรง, 2  มือ ที่เข้มแข็ง, 1 ตัวที่ตั้งมั่น, 1 หัวที่คิดออก แล้วชั้นเชื่อว่า เรื่องอะไรที่คุณจะบอกและทำไม่ได้ เป็นไม่มี เจริญธรรม (สาธุ) ไปพัก ลูก เดี่ยวปฏิบัติธรรม เข้าห้องน้ำห้องท่า (กราบ) เดี๋ยว มาปฏิบัติธรรม ต้อนรับความเสื่อมกันหน่อย ไป เข้าห้องน้ำห้องท่า อ้อ เดี๋ยวเอาวีดีทัศน์ ที่เค้าทำโฆษณาโรงเจ ตัดเข้ารายการ รู้สึกจะประมาณ 5 หรือ 6 นาที เพราะงั้น ไปหาวิธีตัดทอนช่วงรายการนี้ลง ที่เค้าส่งมาให้ อ้ายพงษ์มาให้ ตัดให้ออกไปให้เต็มเลย

6 ม. ค 2556   16.15 น.   หลังปฏิบัติธรรม โดยองค์หลวงปู่พุทธะ

อิสระ
(กราบ)
ฝึกให้เป็นนิสัย ลูก ให้เป็นความชำนาญ
ทำจนถึงขนาด เค้าจับเราโยนลงหน้าผา เราก็ยังว่างได้ นั่นแหละ วิเศษล่ะ แต่กว่าจะได้ถึง

ขั้นนั้น เราต้องทำอย่างยิ่ง เพียรอย่างยิ่ง พยายามอย่างยิ่ง พัฒนาอย่างยิ่ง
ทำจนถึงขั้น ขนาดจับเราโยนลงสู่เหล็กหลาวแหลม เราก็ยังว่างได้ แล้วเราจะไม่มีคำว่า สะดุ้ง

ผวา ไม่มีคำว่า หวาดกลัว ไม่มีวิตกจริต ไม่มีหวาดระแวง
จิตเราจะสงบเย็น เพราะเราอยู่กับความว่าง ไม่มีอันตราย
อย่างเลวที่สุด ก็ไปสู่ชั้นพรหม เมื่อกระทบถึงพื้น
ดีสูงสุด ถึงคำว่า ดับแล้วเย็น นั่นแสดงว่า เราทำให้สภาวะธรรม มันว่างทั้งหมด
งั้น ต้องฝึกเป็นนิสัย ฝึกให้ได้ทุกลมหายใจ ก็ยิ่งดี ความทุกข์ที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเรา มันจะได้

ไม่เข้ามากล้ำกรายในชีวิต แรงบีบคั้นและเครื่องพันธนาการทั้งหลาย จะได้ไม่เกาะเกี่ยว

และผูกพันชีวิตเรา เราจะได้ไม่ต้องโดนครอบงำ
ทุกวันนี้ ก็แย่แล้ว เราโดนจนกลายเป็นนิสัยและเป็นสันดาน จนเป็นความคุ้นเคยที่เราจะคบ

หาสมาคมกับการครอบงำ
ลองฝึก ที่จะปลดเปลื้อง ทำลายพันธนาการเหล่านั้นด้วยตัวเราเอง ด้วยความขยัน
เช้าๆ ตื่นขึ้นมา ลูก ก่อนจะทำกิจกรรมใดๆ ก็มองในทิศทั้ง 4 ด้วยใจว่างๆ
ทิศไหนไม่ว่าง ก็แสดงว่า ทิศนั้น ไม่เป็นมงคลสำหรับเราแล้วล่ะ ต้องทำให้มันว่างให้ได้
มันดี เสียกว่าการเจริญมนต์อีก ดีกว่าคาถาบทใดๆ อีก
วิเศษและสำเร็จประโยชน์ มากยิ่งกว่า คุณพระ หรือ พระเครื่อง หรือว่า พระบูชาใดๆ

ด้วยซ้ำ เพราะมันติดตามตัวเรา ข้ามภพข้ามชาติ
เป็นมงคลสำหรับชีวิตทุกขณะจิตที่ว่าง
หลวงปู่ จึงเดินในป่าได้ยามค่ำคืน โดยไม่หวาดผวาและไม่สะดุ้งกลัว เพราะเมื่อเราอยู่กับ

ความว่าง ไม่มีเพท ไม่มีภัย ไม่มีภยันอันตราย
งั้น ฝึกบ่อยๆ อย่าเอาแต่ว่า เดือนหนึ่ง มาวัด 2 ที ว่างซะ 2 ที ที่เหลือนอกนั้น แย่ทุกที
แล้วจงจำไว้ว่า ความว่าง มีพลัง มีอานุภาพ มันทำให้เราทำชีวิตได้เหมือนปรกติ เหมือนกับ

คนที่ไม่ว่าง แล้วดีกว่าคนที่ไม่ว่าง เพราะเราไม่ต้องโดนพันธนาการจาก ราคะ โทสะ โมหะ

อวิชชา ตัณหา และ อุปาทาน
แรงขับเคลื่อนของสิ่งเหล่านั้น เมื่อมันพันธนาการเราแล้ว รางวัลที่มันจะให้กับเรา ก็คือ

ความเสื่อม ความทรุดโทรม และความเศร้าโศก เสียใจ ความทุกข์ทรมานที่บีบคั้นทุกขณะ
แต่ถ้าใช้ความว่าง เป็นกระบวนการขับเคลื่อน แม้นมันเสื่อม เราก็มีจิตที่อยู่เหนือความเสื่อม

ไม่โดนความเสื่อมครอบงำ เรียกว่า เป็นผู้มีจิตสูง จิตประเสริฐ แล้วเราจะรู้เท่าทันความเสื่อม

ความทุกข์ว่า มันจะมาด้วยไม้ไหน มาด้วยรูปร่างหน้าตาอย่างไร มีเกม กล กาม กุสโลบาย

หรือ อุบาย มีวิธีอย่างไรที่จะครอบงำเรา เราจะเข้าใจและรู้เท่าทันมันหมด จนถึงคำเรียก

ขานได้ว่า ท่านผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน
นั่นคือ วิถีชีวิตของพระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ ได้เกิดและเติบโตขึ้นในวิญญาณ สันดานเราแล้ว

แต่กว่าจะถึงขั้นนี้ ต้องฝึกให้หนัก ต้องสั่งสม อบรมให้เยอะ อย่าสันหลังยาว อย่าขี้คร้าน
ไหนๆ เราเข้ามาสู่ความเสื่อมแห่งปี ก็ตั้งปณิธานว่า ตลอดปีนี้ เราจะไม่เสื่อมโดยไร้

ประโยชน์ เราจะไม่เสื่อมแบบชนิดขาดทุน ต้องเสื่อมแล้วให้ได้กำไรกลับมา กำไรทั้งภาย

นอก และกำไรทั้งภายใน
ภายนอก ก็คือ ทำการงาน ภาระกรรม และหน้าที่ของลูก ของผัว ของครอบครัว ของญาติ

ของประชาชน ของไพร่ในแผ่นดิน หรือของทาสในแผ่นดิน หรือ ของคนงาน ของบริษัท

ห้างร้าน ก็ทำไปตามเหตุตามปัจจัย
ในมุมกลับกัน เราก็ไม่ปล่อยให้มันครอบงำเรา ทำทุกเรื่องเหมือนอย่างที่หลวงปู่ทำ ทำ

ทุกอย่างที่เราต้องการทำ ด้วยความจำเป็นต้องทำ แต่ไม่ใช่ปล่อยให้แรงขับเคลื่อนของตัณหา

อวิชชา อุปาทานมาครอบงำในขณะที่ทำ
งั้น เราก็ต้องรักษาความว่างให้คงอยู่ สั่งสมความว่างให้เป็นเนืองนิจ ทำให้ความว่าง กลาย

เป็นพลังงานอันวิเศษในการขับเคลื่อนเรา ชีวิตเรา และความคิดของเรา
ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็ถือว่า เราสามารถทำให้ความว่างภายนอก ทำให้การงานสำเร็จประโยชน์

มันจะส่งผลไปถึงการงานภายใน เพราะชีวิตภายในเรา จะกลายเป็นชีวิตที่ไม่ยึดติดในสิ่งใดๆ

ไม่อยู่ในอำนาจของสมมุติ เหมือนเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วที่หลวงปู่เขียนบทโศลกเอาไว้ว่า
ลูกรัก จงรู้จักสมมุติ ใช้สมมุติ ให้ประโยชน์กับสมมุติ ได้ประโยชน์จากสมมุติ ท้ายที่สุด

อย่ายึดติดในสิ่งที่เป็นสมมุติ
มันจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเราจะรู้เรื่องพวกนี้โดยไม่เข้าใจความว่าง
มันจะถึงเรื่องพวกนี้ รู้จักพวกนี้ได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องผ่านกระบวนการความว่างมาแล้ว จน

กระทั่งรู้ว่า สรรพสิ่งทั้งโลก สรรพสิ่งทั้งหลาย สรรพชีวิตทั้งปวง เป็นเพียงแค่สมมุติ
เมื่อ 30 กว่าปี พยายามสอนเรื่องนี้ ทุกคนก็ว่า บ้าบอ เหมือนๆ กับที่ท่านพุทธทาส

พยายามจะบอกว่า ทำงานด้วยใจว่าง คนทั้งหลายก็ว่าท่านว่า บ้าบอ เพราะคนทั้งหลายไม่

ว่างไง จึงบอกว่า คนว่างบ้าบอ ทั้งๆ ที่อ้ายคนบ้าตัวจริง ก็คือ คนที่ไม่รู้จักว่าง มันเป็นบ้า

หอบฟางที่แบกทุกอย่างไปข้ามภพข้ามชาติ
นั่นแหละ คือ คนบ้าคนบอ เค้าจึงเรียกว่า บ้าหอบฟาง
คนที่ไม่บ้า ก็คือ คนที่ไม่ต้องแบกอะไร ไปตัวเบาๆ แล้วไปได้ไกลกว่าคนบ้า แต่ก็โดนประ

นาม ด่าว่า ว่าคือ คนบ้าบอ แต่สำหรับคนที่ว่างแล้ว เค้าไม่รู้สึกอะไรกับความเหยียดหยาม

ประนามดูถูก เพราะ นั่นเป็นเพียงแค่ลมปาก ไม่ได้เกาะเกี่ยวอะไรกับความว่าง ไม่

สามารถชำแรก แทรกซึมเข้าไปในความว่างได้เลย
งั้น ทำให้เป็นนิสัย ฝึกให้เป็นอาจินต์ จนกลายเป็นสันดาน เป็นความคุ้นเคย ถึงขั้นว่า เค้าจับ

เราโยนลงเหว เราก็ยังว่างสนิท ไม่ได้วิตกกังวล ไม่สะดุ้งผวา ไม่หวาดกลัว
เหมือนกับสมัยที่หลวงปู่ไปอยู่ที่หลี่ผี ที่ประเทศลาว แล้วโดนงูจงอางกัด มันกัดความว่าง ก็

มองมันกัดด้วยความว่าง จนสามารถชนะพิษของงูได้ด้วยความว่าง ไม่ได้ตกใจ ไม่ได้วิตก

กังวล ไม่ได้ทุรนทุราย ไม่ได้สะดุ้งหวาดกลัว
งั้น ต้องฝึกให้ได้อย่างนั้น งูไวขนาดไหน ความว่างต้องไวกว่างู พิษของงูแล่นเร็วขนาดไหน

ความว่างต้องควบคุมมันให้ได้ ให้เร็วยิ่งกว่าพิษของงู
งั้น จึงสอนให้เรียนรู้ จับชีพจรที่ตัวเองเต้น ชีพจรของตัวเองที่เต้น เราต้องว่างและไวยิ่งกว่า

ชีพจรที่เต้นภายใน มันจึงกลายเป็นโอสถทิพย์ได้ ที่สอนเรื่องปราณโอสถ ถ้าทิ้งความว่าง

จะไม่สำเร็จประโยชน์เลย นี่สอนถึงขั้นปราณทิพย์แล้ว แต่ต้องอาศัยความว่างเป็นบรรทัด

ฐาน
งั้น ต้องฝึก อย่าใช้เวลาเพียงแค่เดือนหนึ่ง มาเจอหน้ากันที อาทิตย์หนึ่ง ว่าง ซะหน่อยหนึ่ง

แล้วกลับไปก็มึนตึ๊บ ไม่ว่างอีกแล้วกู ถ้าอย่างนี้ มันก็เหมือนกับส้วมที่ไม่เคยล้างเลยมาเป็น

เดือน แล้วมาล้างทีหนึ่งก็หนักล่ะ มีทั้งกลิ่น มีทั้งภาระ แล้วก็รังเกียจละ ทีนี้ ขี้เกียจจะล้างละ

ทุบทั้งก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นส้วมของเรา
เอ้า พอ ถวายทาน
ว่า นะโม 3 จบ
..............
รู้ไม๊ ทำไมหลวงปู่จึงบอกให้ฝากไปบอกนายปลิวฯ อ้าย ช.การช่าง มันจำเป็น อาชีพมัน

เกี่ยวกับน้ำ เออ เพราะงั้น พญานาค ถ้าอยากรวยเพราะว่า ทำเขื่อนสร้างไฟฟ้า ก็ ที่จริง มัน

ก็รวยอยู่แล้ว อยากไม่มีปัญหา ก็ต้องมาจัดการ มาทำซะ
เอ้า ตั้งใจรับพร ลูก
..............
จำเริญ ลูก ให้แข็งแรง รุ่งเรือง มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืน เดินทางโดยสวัสดิภาพปลอดภัย

ให้มีปัญญาตั้งมั่น ลูก
เห็นเมื่อเช้า มีคนไปถามว่า ปีงู มันชง ปีงู หรือเปล่า, งูมันกินงูนะ ลูก เออ งูใหญ่กินงูเล็ก

งั้น ปีที่เค้าชงๆ กัน ตามวิถีโลกก็ อ้ายที่เค้าติดป้ายน่ะ โกหก ไม่ใช่ของจริง เพราะงู นี่มันกิน

อะไรล่ะ กินหนู กินกระต่าย กัดหมู แล้วก็กินงูตัวเอง กินไก่
งูมันไม่กินลิง ไม่กินม้า มีแต่งูโดนม้าเหยียบ เออ งูมันก็ไม่กินแพะ มันไม่แพ้พิษ
งั้น ปีที่ชง สำหรับปีนี้ซึ่งยังไม่สิ้นสุด เพราะว่า เทวดาจะเปลี่ยนตำแหน่งกันวันที่ 13 เดือน

3 ขึ้น 3 ค่ำ (ตรงกับวันพุธทื่ 13 กุมภาพันธ์ 2556) ก็ยังไม่สิ้นสุด แต่ก็แจ้งให้

ทราบ เห็นชอบทำปีชงกันเยอะแยะ ก็บอกให้รู้เป็นเกล็ดความรู้ว่า จริงๆ แล้ว เค้าเอาปี

นักษัตรเป็นตัวตั้ง และอาหารของปีนักษัตร คืออะไร จะได้ไม่ต้องไปถามใคร
เสือ นี่มันกินทุกอย่าง เออ แต่เสือจะไม่กินงู เพราะ เสือกับงู มันแพ้พิษกัน
กระต่าย เสือกินไม๊, เออ หมา เสือกินไม๊, แต่หมากับเสือ มันก็ชอบ หมามันข่มเสือ

เพราะ หมามันอาศัยปากไง เห่าอย่างเดียว ขู่อย่างเดียวไง แต่ถ้าเสือเอาจริงๆ หมาก็เป็น

เหยื่อมัน เค้าก็เลยถือว่า เสือกับหมา ไม่ค่อยจะถูกกัน เพราะว่า หมามันชนะด้วยเสียง เสือ

มันชนะด้วยเขี้ยว
มันเรื่องง่ายๆ ธรรมชาติของสัตว์ เวลาคิดปีชง อย่าไปคิดอะไรเยอะ
เอ้า กราบลาพระ อะระหัง สัมมา
...........
(กราบ)
เสาร์หน้า อย่าลืมนะโว้ย เอาอาหารมาเลี้ยงเด็ก เด็กมาเป็นหมื่นคน เดี๋ยวนะ มึง ดูดลม กิน

แกลบล่ะมึง มาช่วยกันดูแล เอาใจใส่กันหน่อย เค้ามีการเล่น มีอะไรต่ออะไร ลองมาดูเค้า

หน่อย พาลูกพาหลานมาก็ได้ มานั่งกินข้าวเย็นๆ
(กราบ)