23.10.2553    เช้า ระหว่างปฏิบัติกรรมฐาน  (ตั้งแต่ นาทีที่ 37 – นาทีที่ 97)
วันมหาปวารณาออกพรรษา วัดอ้อน้อย  โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ
(ข้อสอบขั้นที่ 1)

#37  เตรียมปฏิบัติธรรม ขั้นที่ 1
กรรมฐานทุกชนิด มันเป็นงานที่ทำให้ใจอยู่กับที่ อยู่กับงาน แต่ถ้าเมื่อบอกว่า เราฝึกกรรมฐานแต่ใจเลื่อนลอย วิ่งดิ้นถลาไปเนี่ย แสดงว่าเราไม่ได้ทำกรรมฐาน
เพราะงั้นใจต้องอยู่กับงานที่กำลังทำ หูฟังเสียง เท้าก้าวเดิน ใจรับรู้  และเมื่อใดที่ใจไม่รับรู้ แสดงว่าเรากำลังไม่ได้ทำกรรมฐาน ใจจะต้องจดจ่อ กับงานที่กำลังทำ มันเป็นงาน
ที่ฝึกให้ใจนิ่ง ฝึกให้ใจรู้ ฝึกให้ใจรับในสิ่งที่เราต้องการให้มันรับ ฝึกที่จะควบคุมใจ
แล้วเมื่อใดที่มันแว๊บแล้วแล๊บออกไป แสดงว่าใจเราคุมไม่ได้แล้ว เมื่อเราคุมใจเราเองไม่ได้ แล้วสาอะไรจะไปคุมคนอื่นคุมสิ่งอื่น งั้นต้องคุมจิตใจให้ได้อย่างต่อเนื่องตลอด
ไม่ใช่ได้เป็นบางที ทำให้ใจจดจ่อ จับจ้อง ตั้งใจ จริงจัง

แต่ละรอบ ดูว่าใจมันหลุดไปกี่ครั้ง   1 รอบก็คือ ผู้หญิงร้องครั้ง ผู้ชายยังไม่สวด ผู้หญิงจบจึงเรียกว่า 1 รอบ ดูว่าใจมันหลุดไปกี่ครั้ง แล้วรอบผู้ชายที่สวด ดูว่าใจหลุดไปอีกกี่ครั้ง ถ้ายังมีหลุดแบบนี้ แสดงว่าสอบไม่ผ่านล่ะ ถ้าจะผ่านต้องไม่ให้หลุดเลย ไม่ว่าจะเสียงผู้หญิงสวดหรือเสียงผู้ชายสวด

#56  ไม่แน่ใจ อย่าก้าวผิด สู้หยุดรอจังหวะให้ถูกแล้วจึงก้าว ฝึกนิสัยให้เป็นคนสุขุม
ทำอะไรแบบชนิดที่ใช้สติปัญญา ไม่ใช้อารมณ์ ทุกครั้งที่ก้าวมันหมายถึงความสำเร็จ ไม่ใช่ก้าวแล้วผิดพลาด .........ใจอยู่กับงานหรือเปล่า หรืออกไปไหนแล้ว
การที่เราจะเข้าห้องแห่งปราณได้ หมายถึงขยับขึ้นขั้นที่ 10 ได้ ขั้นแรกจะต้องเป็นกรรมฐานให้ได้ก่อน คำว่าเป็นกรรมฐานให้ได้ คือ ใจต้องอยู่กับกรรมฐานตลอดเวลาก่อน
กรรมฐานคือ งานของใจ เวลานี้เรากำลังจะทำใจให้มีงาน หรือใจตกงาน
ใจตกงาน คือใจที่เลื่อนลอย  ใจที่ไม่อยู่กับงานที่กำลังทำ เท้าก้าวเดิน หูฟังเสียง
ใจเลื่อนลอย อย่างนี้เค้าเรียกว่า ใจตกงาน ต้องทำใจให้มีงาน งานกับใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ลองดูซิว่า อย่าให้เคลื่อนเลย อย่าให้หลุดออกไปเลย ให้ใจกับกรรมฐานเป็นหนึ่งเดียงกันให้ได้
นี่เป็นเพียงแค่ขั้นที่ 1 มันมีทั้งหมดตั้ง 9 ขั้น วันนี้ถ้าใจยังไม่อยู่กับงาน จะยังไม่ขยับขึ้น ต้องให้เข้มขึ้น เดินแต่ละครั้งต้องไม่หลุดเลย

#65  เดินในขั้นที่ 1 เริ่ม  ก้าวนึงก็ไปสวรรค์นะ  หนึ่งก้าวก็คือ หนึ่งขั้นกะไดสวรรค์
ถ้าก้าวถูกพร้อมใจ แต่ถ้าก้าวผิดก็คือ นรก  เพราะทุกวันทุกคนตกนรกอยู่แล้ว
นรกที่เกิดจาก ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส นรกที่มีราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
เพราะงั้นทุกครั้งที่เราเดินด้วยใจกรรมฐานก็คือ การก้าวขึ้นกะไดสวรรค์ แต่ทุกครั้งที่เราเดินด้วยใจอกุศล คือ สับสน วุ่นวาย ฟุ้งซ่าน หงุดหงิด รำคาญ นั่นคือเดินลงนรก 
หนึ่งก้าวของจิตกรรมฐาน มันจะทำหน้าที่เก็บข้อมูลเอาไว้ เช่นเดียวกัน หนึ่งก้าวของจิตที่ไร้กรรมฐาน มันก็จะเก็บข้อมูลเอาไว้
หนึ่งก้าวของจิตกรรมฐาน คือ หนึ่งก้าวสวรรค์
หนึ่งก้าวของจิตที่ไม่มีกรรมฐาน คือ หนึ่งก้าวนรก มันก็จะเก็บข้อมูลเอาไว้
เพราะหน้าที่ของจิตมัน รับ จำ คิด รู้ ที่นี้ก็อย่าไปบอกคนอื่น อย่าไปร้องขอความช่วยเหลือคนอื่น เพราะตัวเราเองเป็นผู้ทำร้ายตัวเราเอง สาปแช่งตัวเอง หรือให้พรตัวเอง
ให้จิตอยู่กับงาน ให้งานกับจิตรวมกันเป็นหนึ่ง แม้ไม่ต้องตาย สวรรค์ก็มีอยู่ภายใน
มีชีวิตอยู่ก็ขึ้นสวรรค์ได้

#75  เดินในจังหวะที่ 2  รุ่นพี่อย่าใจจืดนะ เห็นผู้ที่มาใหม่เดินไม่ได้ ช่วยสงเคราะห์หน่อย ไม่ใช่เดินผ่านแล้วไม่สนใจ เห็นเค้าเดินผิดก็ช่วยเตือน อย่าคิดว่า เค้าจะโกรธเมื่อเราเตือน ถ้าคิดแบบนั้น ก็ไม่มีใครเตือนกัน แล้วมันจะตรงกับวันมหาปวารณาได้อย่างไร เพราะเรากำลังจะแนะนำ ชี้ประโยชน์ให้เค้า ต้องคิดเสมอว่า นี่คือ การชี้ขุมทรัพย์ ผู้รับคำเตือนก็ต้องมีความรู้สึกว่า นั่นคือผู้ให้ประโยชน์ ผู้มีคุณแก่เรา เป็นกัลยาณมิตร กัลยาณธรรม กัลยา แปลว่า งดงาม เพื่อนที่งดงาม เพื่อนที่ดีงาม ผู้หวังความเจริญ อย่ารู้สึกอายเมื่อมีคนมาบอกว่า เราทำผิด ต้องกล้าที่จะรับความจริง แล้วแก้ไข นั่นจึงเรียกว่า ผู้เจริญ ถ้าความอายมันจะเกิดขึ้น มันต้องเกิดก่อนที่จะทำผิด อย่างนั้นเค้าเรียกว่า มีหิริ ความละอายชั่ว แต่ถ้าผิดแล้วมาอายหลังจากมีคนมาบอกมาชี้ แสดงว่า ไม่มี หิริ ความละอาย

# 81:50  เพราะงั้น ขั้นที่ 2  ก็อย่าให้ใจเลื่อนลอย ให้ใจมีงาน งานกับใจอยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน ถึงมันจะจดจ่ออย่างไม่จริงจัง แต่มันก็ยังมีงาน เพราะขั้นนี้เป็นขั้นที่ผ่อนคลาย ผ่อนคลายอารมณ์ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ผ่อนคลายความรู้สึก ผ่อนคลายระบบประสาท ผ่อนคลายจิตวิญญาณ แต่มันก็มีงาน เป็นงานที่ผ่อนคลาย ดีที่สุด ไม่ใช่ล่องลอยออกไปข้างนอก มันคืองานที่ดูความเป็นไปภายในกาย เรียกว่า กายานุสติปัฏฐาน จิตตานุสติปัฏฐาน เวทนานุสติปัฏฐาน ดูกาย ดูจิต ดูความรู้สึก ดูอารมณ์ ตรงไหนมันขุ่นเคือง มันฝืด มันอึดอัด มันทรมาน มันไม่ผ่อนคลาย ก็เข้าไปจัดการบริหารมันซะ ทำให้มันผ่อนคลาย

แต่ถ้าเราบอกว่า เราต้องการผ่อนคลาย แล้วเราออกไปข้างนอก ไปดูรูป ไปดูรส ไปดูกลิ่น ไปดูเสียง มันยิ่งเพิ่มงานมากขึ้น ภาระกรรมของจิตจะต้องรู้เยอะขึ้น มันจะผ่อนคลายที่ไหน ถึงจะเป็นความผ่อนคลาย ก็เป็นความผ่อนคลายแบบมีอามิส  เพราะเราต้องลงทุน ต้องแลกมา แต่ผ่อนคลายที่ไม่มีอามิส ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องแลกมา คือเครื่องมือในความผ่อนคลายภายใน มีสติอยู่กับกาย เราบอกว่า ไปดูหนัง ไปฟังเพลง มันผ่อนคลาย นั่นก็เป็นผ่อนคลาย ต้องลงทุน ต้องแลกเสียแลกได้ แล้วก็เป็นความผ่อนคลายที่ไม่ยั่งยืน
พอ .. หยุดอยู่กับที่ หลับตา สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม หายใจออก เบา ยาว หมด
หายใจเข้าใหม่ กว้าง ลึก เต็ม  ออกก็ เบา ยาว หมด
สูดลมหายใจเข้า ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข หายใจออกภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์..............สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม ยกมือไหว้พระกรรมฐาน หายใจออก  เข้าที่

# 86  สังเกตดูบ่อยครั้งมากที่ลูกหลานทั้งหลายปฏิบัติธรรมแล้ว หลงลืมภาระกรรมและหน้าที่ที่ชัดเจนของตน ก็คือ ลืมไปว่า เรากำลังจะทำกรรมฐานที่จิต เราคิดว่า เดินก็น่าจะได้แล้ว เราก็เลยไม่ทำให้จิตมันจดจ่อกับสิ่งที่เรากำลังทำ กำลังเดิน

เพราะงั้นหลายคนปล่อยให้จิตเลื่อนลอย แม้จะบอกว่าเดินถูกจังหวะ แต่ใจไม่อยู่กับกาย ไม่อยู่กับจังหวะ มันก็ไม่ได้ชื่อว่า เดินกรรมฐาน เมื่อจิตไม่เป็นกรรมฐาน ให้เดินให้ตายก็ไม่ได้อารมณ์กรรมฐาน เพราะขั้นที่ 1 สำคัญที่สุด ต้องได้อารมณ์กรรมฐาน ต้องเป็นเจ้าของกรรมฐาน เวลามาสอบก็ต้องอย่างนี้ ถ้าเดินแล้วไม่สามารถจะชี้แจง และบอกได้ว่า อารมณ์กรรมฐานเป็นอย่างไร  ถือว่าสอบตกในขั้นที่ 1 ไม่มีสิทธิ์จะสอบในขั้นต่อไป ให้รู้ไว้นี่คือข้อสอบ บอกข้อสอบไว้ก่อนเลย แล้วคนนึง วันนึงไม่ใช่สอบได้ 9 ขั้น ไม่ใช่ ถ้าขั้นแรกไม่ผ่าน ก็ไม่มีสิทธิ์สอบขั้นต่อๆไป
แม้ขั้นที่ 2 บอกว่าผ่อนคลายก็ต้องตอบให้ได้ว่า อะไรคือความผ่อนคลาย อะไรเรียกว่า ความผ่อนคลาย กายผ่อนคลาย หรือใจผ่อนคลาย หรือทั้งกายและใจผ่อนคลาย ถ้ากายใจผ่อนคลาย ตรงไหนบ้างที่มันไม่ผ่อนคลาย ต้องตอบให้ได้
เพราะงั้น การสอบกับหลวงปู่ ต้องเตรียมตัวมาดี  ถ้าใครคิดว่า มั่นใจแล้ว ไปเตรียมลงชื่อพร้อมสอบ แล้วจะเรียกทีละคน เข้ามาสอบทีละขั้น ไม่ใช่สอบเพื่อเอาพระ แต่สอบเพื่อเอากรรมฐาน อย่าเข้าใจว่าสอบเพื่อให้ได้พระ เพราะขนาดไม่สอบ มันก็มีการไปเซ็งลี้พระกันแล้ว ไอ้พวกที่มาทุกวันๆ ทุกเที่ยวๆ มีการไปถามซื้อกัน ถามขายกันแล้ว
องค์ละ 50000 แล้ว........รับไม่ได้ มึงรับไม่ได้ คนอื่นเค้ารับได้ เค้ารอรับอยู่
เพราะงั้น กูจะให้เฉพาะคนที่ได้วิชชา ไม่ใช่ให้ส่งเดช

เดี๋ยวตอนบ่ายมาพร้อมกันใหม่ จำไว้ว่า ขั้นแรกต้องได้อะไร อารมณ์กรรมฐาน
อารมณ์กรรมฐาน คืออะไร จิตต้องอยู่กับงาน นั่นแหละคือ อารมณ์กรรมฐาน
แว็บก็ไม่ได้  ถ้าแว็บไปนิดนึง ก็ถือว่าเราทิ้งงานแล้ว ตลอดระยะเวลาที่เราเดิน
ต้องไม่แว็บเลย มีมั่งไม๊ ไม่แว็บเลย
กูไม่กลัวพวกมึงได้พระหรอก กูกลัวว่า กูตายแล้วจะไม่ได้แจกพระ กูไม่กลัวหรอก
คนเค้าบอกว่า กูใจดีมากเลย แจกพระปิดตา เออ กูใจดี หรือ กูโหด กูก็ไม่รู้
กูรู้ว่า สิ่งที่กูให้ กูทำ มีค่า และสิ่งที่มีค่ามากกว่าสิ่งที่ให้ ก็คือ วิชาความรู้

เพราะงั้นต้องฝึกให้ได้ ต้องพยายามรักษาอารมณ์ให้อยู่กับงานให้ได้ มันเป็นการฝึก
ทั้งคดีโลกและคดีธรรม เวลาไปปฏิบัติธรรมก็ได้ประโยชน์ เวลาไปอยู่กับโลกข้างนอก
ก็ได้มหาศาล เมื่อทำงานมีจิตจดจ่อ จับจ้อง จริงใจ ตั้งใจ มันไม่มีอะไรผิดพลาด
ฝึกให้ได้ในกรรมฐานเหล่านี้ เวลาไปทำการงาน เราจะรู้สึกตัวเอง ผลของงานจะสำเร็จประโยชน์ได้มากที่สุด ใช้เวลาน้อยที่สุด คุ้มค่าที่สุด เรียกว่า ประโยชน์สูง ประหยัดสุด
อ้ายคนที่ทำผิดๆ พลาดๆ ไม่ถูกต้องอยู่เนืองๆ ก็เพราะมันทำด้วยซาก ไม่มีจิตวิญญาณในการทำ ทำโดยไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ เรียกว่า ทำด้วยวิธีไม่เลิศ ผลที่ประเสริฐอยากได้

เพราะงั้นต้องฝึกตัวเองให้ได้ พยายามปรับ แม้จะเห็นว่าเป็นเรื่องง่ายๆ เดินตามจังหวะ
ใจลอยไปลอยมา มันไม่ง่าย ถ้าเดินเล่นล่ะได้ แต่เดินเพื่อให้ได้ประโยชน์  จำไว้ว่า
ทุกครั้งที่ก้าวด้วยใจกรรมฐาน นั่นคือก้าวขึ้นสวรรค์ และทุกครั้งที่จิตไร้กรรมฐาน
นั่นคือก้าวลงนรก เพราะจิตที่ไม่มีกรรมฐาน คือจิตที่เป็นอกุศล ถูกไม๊  มีราคะจิต
มีโทสะจิต มีโมหะจิต มีตัณหาจิต มีอวิชชาจิต มีฟุ้งซ่านจิต มีง่วงหงาวหาวนอนจิต เหล่านี้ เป็นกุศลหรืออกุศล เมื่ออกุศลเกิดขึ้น ที่ไหนจะมีสวรรค์ มันก็ตกนรก

เพราะงั้นทุกครั้งที่เราก้าวด้วยจิตที่เป็นกรรมฐาน คือการก้าวขึ้นสวรรค์ ทุกครั้งที่เราก้าวด้วยจิตที่ไม่มีกรรมฐาน นั่นคือ การก้าวลงนรก แล้วไม่รู้ว่าจะตายในก้าวไหน ก็ตกนรกในก้าวนั้น เพราะงั้นทุกครั้งที่เราก้าวไปข้างหน้า แม้ตายในก้าวนั้น แต่จิตเต็มเปี่ยมไปด้วยกรรมฐาน กรรมฐาน คืออะไร คือ การงานที่ควบคุมจิต และจิตกับงานรวมกันเป็นหนึ่ง แล้วเป็นงานที่เป็นกุศล คือ จิตสงบ ในขณะที่เราก้าวด้วยจิตกรรมฐาน เราสงบไม๊ เรามีตัวรู้ไม๊ มีสติไม๊ มีสัมปชัญญะไม๊ เออ เมื่อมันมีองค์ประกอบครงเครื่องเรื่องของกุศล มีหรือจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์ เพราะงั้น เห็นเดินลงนรกกันทั้งศาลา บางทีแว็บลงไปตั้งลึก แล้วตะกายขึ้นมาใหม่ เฮือกๆ พอด่าที บ่นที ก็ตะกายขึ้นมา พอไม่ด่า ไม่บ่นก็วูบ จมบุ๋ม หายไปเลย เดินเรื่อยเปื่อย ลอยชายอะไรก็ไม่รู้

#94:22  ทำไมกูเหนื่อยอย่างนี้ว่ะ เวลากูสอนพวกมึง มึงไปอยู่สำนักอื่น เค้าเหนื่อยอย่างนี้ไม๊ว่ะเนี่ย เค้าจ้ำจี้จ้ำไชแบบนี้ไม๊ ไป หิวข้าวแล้ว ไปหาข้าวกิน ลูก แล้วจะได้มาตอนบ่ายโมง มารวมกันปฏิบัติธรรม