โรงเรียน ปิด ๔ วัน คือวันเสาร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม ถึงวันอังคารที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ บ่ายวันอาทิตย์ที่ ๑ สิงหาคม เราปิดบ้านพาครอบครัวไปถ้ำ คราวนี้เข้าทางหัวหิน แวะดูบุญชู เผื่อเขาจะขึ้นถ้ำ จะพาไปด้วย เพราะเขาเคยบอกไว้ว่า เข้าพรรษา นี้จะมาปฏิบัติธรรมที่ถ้ำกับหลวงปู่ แต่ปรากฏว่าบุญชูไม่อยู่บ้าน เราจึงขับรถมุ่งตรงไปที่ถ้ำทันที ขึ้นไปบนถ้ำพบว่าทีมของเจ๊ป้อมนั่งอยู่เต็มศาลา ทักทายกันตามระเบียบ ทราบว่าเขาจะพักที่นี่สัก ๓ วัน ทักทายเสร็จ เราเดินเข้าถ้ำ
      
       ขณะนั้นหลวงปู่กำลังกำกับคณะกรรมการชุดเดิม (พี่ยูร พี่เดช พี่เดิม จ่าเวียงหรือจ่าดำ หลวงปู่เรียก "ไอ้สาม ด. " ฯลฯ) ให้ตกแต่งบริเวณกลางถ้ำ เทียนพรรษาเล่มใหญ่มีผู้นำมาถวาย ตั้งเรียงรายซ้ายขวาของพระพุทธรูป มีด้ายสายสิญจน์รายรอบรูปสลักหินแกรนิต "ท้าวจตุโลกบาล" ตอนนี้ทาสีลงทองเสร็จแล้ว สวยงามมาก ตั้งอยู่ด้านหน้ารวมกับพระพุทธรูป ตรงกลางเป็นเสื่อน้ำมันให้คนนั่ง ปูอยู่กับพื้นถ้ำ พี่บุญล้อมบริจาคให้อีก ๓ ผืน ฝากใส่รถเรามาด้วย ให้ทหารช่วยยกขึ้นมา ซ้ายมือก่อนจะถึงบริเวณเสื่อน้ำมันถูกจัดเป็นปะรำเล็กๆ ทำด้วยไม้รวก ขึงด้วยผ้าแดงสี่ด้าน แต่มีช่องโหว่ ข้างๆ สามารถมองเห็นคนข้างใน มี "ธงกบาต" (ไม่ทราบสะกดถูกหรือไม่) ปัก ๔ มุมบนยอดปะรำ ปะรำนี้แหละ หลวงปู่จะเอาไว้ทำพิธีกวนยาหม่อง (อยู่ถ้ำชอบกวนยาหม่อง อยู่วัดชอบกวนน้ำมันมนต์ ฉันชอบยาหม่องมากกว่า เพราะกลิ่นหอมถูกโฉลก) เราเอารูปปั้น "พระสังกัจจายน์" กับ "พระพุทธรูปปางมารวิชัย" จากบ้านมาเข้าพิธีด้วย หลวงปู่เมตตาให้นำไปตั้งรวมกับพระพุทธรูปบูชาองค์อื่นๆ ที่โต๊ะหมู่ สำหรับพระปางมารวิชัย เป็นพระเก่า ฐานชำรุด จะให้หลวงปู่ซ่อม แต่ท่านไม่ได้ซ่อมให้ ได้แต่แนะนำให้สามีไปซ่อมกับหลวงพี่ทิฟฟี่
      
       หลวงปู่เย้าว่า "ไม่ได้พาแมวหมามาด้วยเรอะ" ท่านเห็นเราพากันมาหมดทั้งบ้าน
      
       บรรดาผู้ชายทั้งหลายช่วยกันทำ "ธงกบาต" ไปปักหน้าลานหินโค้ง ตลอดจนถึงแนวบันไดใหม่ ตอนเย็นรับประทานอาหารร่วมกัน วันนี้มีคนมามาก เช่น คณะเจ๊ป้อม อาจารย์และนักเรียน จากโรงเรียนศึกษานารี กรุงเทพฯ เป็นชายหญิงวัยรุ่นร่วม ๑๐ คน หลวงปู่ยกห้องของท่านให้วัยรุ่นกลุ่มนี้นอนพัก ตัวท่านไปนอนกุฏิใน พวกเจ๊ป้อมนอนบนศาลาประชาร่วมใจ เด็กๆ นอนตรงลานหินโค้ง ส่วนเราสองตายายนอนใต้ถุนท้องศาลาตามเคย มืดแล้วพวกเรานั่งล้อมวงสนทนากับหลวงปู่ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้พับที่ลานหน้า ถ้ำ คณะเจ๊ป้อมกับหลวงปู่โต้ตอบกันไปมา เรื่องตลกทั้งนั้น หัวเราะกันลั่นป่า
      
       อาจารย์หญิงจากโรงเรียนศึกษานารี (น้องประณีต คนปักษ์ใต้) ถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่คะ เวลาสวดมนต์แล้วจิตใจไม่ตามไปด้วย จะทำอย่างไรคะ"
      
       ท่านตอบ "ก็ถีบตัวเองซิลูก" (ฮา!)
      
       "ถีบตัวเองไม่ได้ค่ะ"
      
       "ก็สะกิดเพื่อนที่นั่งข้างๆ ให้ช่วยถีบ"
      
       "ไม่มีใครอยู่ข้างๆ ค่ะ"
      
       "ก็เอาหัวทิ่มดินตายไปซะ! ขนาดตัวของตัวเองยังบังคับไม่ได้ แล้วจะไปทำอะไรได้ล่ะ"
      
       "แต่เวลามีเพื่อนมากระเซ้าเย้าแหย่ กลับมีสมาธิแน่วแน่"
      
       "เวลาสวดมนต์มึงก็ให้เพื่อนมากระเซ้าเย้าแหย่ซี นี่แสดงว่า มึงกำลังอยากจะอวดเขา"
      
       "เพื่อนๆ ไม่ค่อยอยู่หรอกค่ะ เขาไปเที่ยวกันหมด"
      
       "ไม่รู้เว้ย" หลวงปู่สรุปลงตรงนี้
      
       มีผู้หญิงคนหนึ่ง เพิ่งมากับคณะเป็นครั้งแรก พอพบหลวงปู่ ก็จำได้ว่าเคยพบท่านเมื่อหลายปีมาแล้วที่นครปฐม แต่จำไม่ได้ว่าที่วัดไหน อำเภออะไร (คงสำนักสงฆ์ธรรมอิสระนั่นแหละ) เธอบอกว่าตอนนั้นเธอท้องอยู่ หลวงปู่บอกว่าเด็กในท้องเป็นเด็กที่มีบุญมาเกิด จะคลอดยากต้องผ่าท้อง แล้วก็ผ่าจริงๆ ปัจจุบันนี้ลูกของเธอ เป็นเด็กดี แต่ไม่ชอบให้ใครดุด่าว่ากล่าว
      
       เกี่ยวกับเรื่องนี้ หลวงปู่ให้ข้อคิดว่า "คำว่าเด็กมีบุญ มีวาสนา มาเกิด หมายถึง พวกเทวดาที่หมดบุญมาเกิด"
      
       เด็กพวกนี้มีนิสัยเรียบร้อย สติปัญญาดีและไม่ต้องให้ใครสอน เขาจะดีด้วยตัวเขาเอง ยิ่งถ้าพ่อแม่เป็นคนไม่ดีพอ เขาจะมีปฏิกิริยา โต้ตอบมากถ้าไปบังคับเขา ส่วนแม่ที่เด็กมีบุญจะมาอาศัยเกิด จะต้องมีคุณลักษณะดังนี้ ใจคอเยือกเย็น มีคุณธรรม ไม่ละโมบ
      
       ขอย้อนกลับมายังวงสนทนาหน้าถ้ำต่อ หลวงปู่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการสวดมนต์ว่า ควรสวดแต่พอเบาๆ ให้ได้ยิน อย่าให้หนวกหูคนอื่น ควรสวดช้าๆ มีจังหวะจะโคน เจ๊ป้อมบอกว่า "หลวงปู่สวดมนต์ได้ไพเราะมาก เสียงเหมือนนกการเวก"
      
       หลวงปู่พูดตลกว่า "มึงเอาเสียงกูไปเปรียบเสียงสัตว์เชียวเรอะ"
      
       พวกเราเลยหัวเราะกันครื้นเครง โดยเฉพาะเสียงหัวเราะของเจ๊ป้อมสะท้านฟ้าท้าถ้ำกว่าเพื่อน เจ๊จึงเปลี่ยนใหม่ "ไพเราะเหมือนเสียงหงส์" (เสียงหงส์เพราะด้วยหรือ? ใครเคยได้ยินไหม?) หลวงปู่ย้อนอีก "ก็เสียงสัตว์อีกนั่นแหละ" หัวเราะกันอีกเป็นคำรบสอง
      
       คืนนั้นคุยกันอีกพักใหญ่ๆ เรื่องจิปาถะจนชุ่มชื่นจิต จนสบายใจแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน
      
       สนทนาปราศรัยธรรมฉ่ำชุ่มจิต
       พระมีฤทธิ์ทางเทศนาปาฏิหาริย์
       จนลุล่วงเลยเวลามาช้านาน
       สัตว์ป่าขานกู่ร้องก้องไพรวัน
       พลันกระจายย้ายเร็วรี่หาที่นอน
       เพื่อพักผ่อนหย่อนกายผายผัน
       เอนร่างลงซบหมอนเหนื่อยอ่อนครัน
       หลับแล้วฝันเห็นฟากฟ้าดาราพราว
      
       เช้าตื่นขึ้นมาหุงข้าวต้มกุ๊ยเลี้ยงแขก จัดเครื่องดื่ม ขนมปัง ผลไม้ถวายหลวงปู่และพระอีก 3 รูป (หลวงพี่สมเกียรติไปธุระยังไม่กลับ) ตอนทำอาหารเช้าเลี้ยงแขก หลวงปู่อดที่จะมาดูแลกำกับไม่ได้ ท่านห่วงปากท้องพวกนักเรียนศึกษานารีมาก ลงมือผัดผักบุ้งไฟแดงด้วยตัวท่านเอง ท่านหยิบหมูแผ่นที่เจ๊ป้อมนำมาถวายฉีก ใส่จานใบใหญ่ให้เด็กได้กิน มีคนท้วงว่ายังไม่ได้ถวายพระเลยนะ ท่านเอ็ดว่า
      
       "อีห่า! จะเก็บไว้ทำไมวะ แข็งก็แข็ง กินไม่หมดหรอก ให้มันไปเถอะ หมดก็หมดซีวะ" นี่แหละน้ำใจของหลวงปู่ ท่านไม่อยากให้ใครอด ตัวหลวงปู่เองไม่เป็นไร แต่ท่านบอกว่า ท่านไม่เคยอดหรอก
      
       มีเรื่องขำๆ จะเล่าให้ฟัง ครั้งหนึ่งสมัยอยู่วัด บรรดาแม่ครัว ดีใจจะได้ไปทัศนาจร (หลวงปู่จัดให้ แต่ท่านไม่ได้ไปด้วย) พอเตรียม อาหารเช้าก็หิ้วขึ้นรถหมด ลืมคิดถึงหลวงปู่ วันนั้นท่านอดอาหารทั้งวัน!
      
       เมื่อเด็กๆ นั่งล้อมวงรับประทานข้าวต้มหน้ากุฏิท่าน ท่านคอย เชียร์ให้กินให้หมดห้ามเหลือ สุดท้ายพอเด็กอิ่มแล้ว ท่านพูด เปรยๆ ว่า
      
       "เฮ้อ! กูเห็นพวกมึงโตขึ้นมารอความตายแท้ๆ" ท่านเอ็นดูและเมตตาเด็กๆ มาก
      
       จากนั้นท่านก็ใช้พวกเด็กๆขัดพระ ขัดแจกัน จัดดอกไม้ หลวงปู่พูดถึงการจัดดอกไม้ว่า จะต้องมีรูปแบบในการจัด มีชั้น มีเด่น เป็นวงกลมบ้าง ห้าเหลี่ยมบ้าง เป็นการจัดที่รวมพลังเพื่อตอบรับและปฏิเสธ พวกพ่อมดหมอผีชอบทำลักษณะนี้ ถ้าจัด "แปดเหลี่ยม" จะเป็นการรวมพลังที่สมบูรณ์
      
       เช้านั้น ๙.๐๐ น. มีการสวดมนต์ถวายตัวเป็นพุทธมามกะ (บ่ายทำพิธีกวนยาหม่อง เย็นย่ำค่ำเวียนเทียน วันอาสาฬหบูชาหลวงปู่เรียกอีกอย่างว่าวันอัฐมีบูชา เป็นวันที่ถวายพระเพลิงอัฐิ ของพระพุทธเจ้า) สวดมนต์เช้าเสร็จแล้วหลวงปู่ให้ธรรมะ มีใจความว่า
      
       "อยากเป็นคนรวย ต้องหมั่นทำบุญทำทาน เป็นผู้เสียสละ รู้จักให้ แล้วจะไม่รู้จักอด ชั่วชีวิตหลวงปู่เคยอดอาหารเพียงครั้งเดียว คงจะเป็นวิบากกรรมครั้งที่อยู่วัดกำแพงแสน คนเป็นร้อยหุงอาหารเสร็จ ขนขึ้นรถไปทัศนาจร ไม่มีใครจัดอาหารให้หลวงปู่สักคน คงเป็นเพราะต่างคนต่างคิดว่ามีคนทำให้
      
       อยากเป็นคนเก่งต้องหมั่นฝึกอบรมสติปัญญา ต้องสั่งสมเรื่อยมา อยากเป็นคนพูดจาไพเราะน่าฟังต้องพูดแต่สิ่งดีมีประโยชน์ ถึงจะด่าก็ด่าอย่างมีศิลปะ ด่าแล้วคนฟังไม่โกรธ อยากสวยต้องรักษาศีล อยากมีบริวารต้องรู้จักศรัทธา ฟังผู้อื่น อยากมีวาสนาต้องเป็นผู้ให้ ทำดีต้องได้ดีจะเป็นชั่วไปไม่ได้ นั่นมันตลกไปแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น... หลวงปู่มาอยู่ที่นี่ มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับตัวหลวงปู่ หลวงปู่ไม่สนใจ คิดแต่ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี่มันดี ไม่ใช่ดีกับตัวเรา แต่มันดีกับผู้ที่อยู่ในบริเวณนี้ ดีกับคนที่ขึ้นมาเที่ยว เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างดีแล้ว หลวงปู่ก็จะไป จะต้องไปทำที่อื่นให้ดีเหมือนที่นี่บ้าง ไปอย่างผู้ชนะ... "
      
       หลวงปู่พูดถึงสุนัขที่ชื่อไอ้แดง มันขึ้นมาอยู่ที่ถ้ำนี้หลายปีแล้ว ท่านบอกว่า ชาติหน้ามันจะเกิดเป็นคน เพราะมันรู้จักคลุกคลีกับคน เรียนรู้พฤติกรรมที่ดีๆ ของคน จิตที่จดจ่ออย่างนี้จะเป็นพลังผลักดันให้มันเกิดเป็นคนในชาติหน้า
      
       สรุปก็คือตอนใกล้ดับจิต ถ้าเรายึดเกาะอะไรจะไปเกิดเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอกุศลก็ไปเกิดในที่ทุกข์คติ ถ้าเป็นกุศลก็ไปเกิดในที่สุขคติ...ตอนที่เรามีชีวิตอยู่ เราควรรู้จักใฝ่หานักปราชญ์ราชบัณฑิต รู้จักเสียสละ รู้จักเป็นผู้ให้ หมั่นสร้างกุศล เมื่อชีพดับจะได้เป็นแรงผลักดันให้ไปดี
      
       ต่อไปเป็นนิทานเกี่ยวกับ "อานิสงส์ของการทำบุญ" มีพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง (หมายถึงเมื่อตรัสรู้แล้วไม่สั่งสอนใคร) นั่งเข้านิโรธสมาบัติ เผอิญฝนตก หลังคากุฏิเกิดรั่ว จึงอุ้มบาตรเหาะไปบิณฑบาตหาแผ่นกระเบื้อง ซึ่งทำจากดินผสมมูลวัว เหาะมาถึงบ้านช่างปั้นดิน ขณะนั้นช่างผัวเมียไม่อยู่ อยู่แต่ลูกสาวสวย นางกำลังอารมณ์ไม่ดี ไม่เต็มใจจะทำบุญ ให้อาหารแล้วเห็นพระรูปนั้นยังไม่ไป นางโมโหจึงคว้าแผ่นขี้วัวที่ใช้มุงหลังคา ซึ่งตกอยู่ที่พื้นโยนใส่บาตร เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ของที่ต้องประสงค์แล้วก็เหาะกลับ ด้วยบาปที่นางทำไว้ ทำให้นางตายไปแล้วต้องตกนรกหลายกัปหลายกัลป์ เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ก็มีความขี้ริ้วขี้เหร่เป็นอันมาก แต่ด้วยอานิสงส์ที่นางให้แผ่นมุงหลังคา ยังให้กิจของพระปัจเจกพุทธเจ้าสำเร็จประโยชน์ นางจึงเป็นคนมีเสน่ห์บางประการคือ ใครก็ตามที่ได้แตะตัวนางจะหลงรักนางทันที ต่อมานางได้เป็นราชินีของราชาถึง ๔ องค์ ๔ มุมเมือง
      
       ฉันตกใจว่า "หา! นางก็มีสามีถึง ๔ คนในเวลาเดียวกันซ อุ๊ย! แล้วจะยังไง? "
      
       หลวงปู่พยักหน้า "ไม่เห็นแปลกอะไร สมัยนั้นเขาคงไม่ถือ"
      
       หลวงปู่พูดถึงหินศิลาแลงของขอม เดิมทีเป็นดินเหลวอยู่ในหลุม มีแร่ธาตุต่างๆ ผสมอยู่ เช่น เหล็ก สังกะสี ดีบุก ฯลฯ เขาจะตัดเป็นชิ้นๆ อย่างกะขนมชั้น แล้วยกขึ้นมาผึ่งแดด มันจะแข็งตัว ใช้ทำอะไรก็ได้
      
       ๑๐.๑๕ น. หลวงปู่ให้ญาติโยมใส่บาตรซึ่งตั้งไว้ที่โต๊ะหน้าถ้ำ วันนี้พระจะฉันภัตตาหารมื้อเพลในถ้ำ มีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ แม่ครัวไม่ต้องทำอาหาร ผู้คนมากันเต็มทั้งนอกและในถ้ำ ทุกคนรีบเข้าถ้ำเพื่อจะดูพิธีกวนยาหม่องของหลวงปู่ ที่ปะรำมีอุปกรณ์ที่เป็นส่วนผสมยาหม่องพร้อมแล้ว ได้แก่ น้ำไพลคั้น น้ำหญ้าแพรก คั้น ขี้ผึ้งแท้ พิมเสน การบูร น้ำมันจันทน์ กานพลู วาสลิน ว่าน หางจระเข้สับละเอียด ฯลฯ
      
       พูดถึงยาของหลวงปู่จะเล่าอะไรให้ฟัง ใหม่ๆ ไม่รู้ซึ้งหรอกว่ายาของหลวงปู่มีคุณวิเศษเพียงไร คิดว่าเป็นยาหม่องธรรมดา มาเอะใจตอนที่เป็นเริมที่ปากซึ่งเป็นโรคประจำตัวต้องเสียค่ารักษาเป็นร้อย ตอนนั้นมาพักอยู่ที่ถ้ำหลายวัน เผอิญเป็นเริมที่ริมฝีปาก บน ไม่ทราบจะทำอย่างไร จนใจว่าอยู่ในป่า จึงคว้ายาหม่องทาที่ปาก เพราะตอนนั้นเริ่มเจ็บปาก ความจริงยาหม่องร้อนไม่ควรใช้รักษาเริม แต่มีข้อยกเว้นสำหรับยาหม่องของหลวงปู่ ทาอยู่สองวันแผลยุบแห้งไปในที่สุด ปกติต้องเป็นแผลอักเสบอยู่ ๗ วันเป็นอย่างน้อย ยังไม่ปักใจว่าหายเพราะยาหม่อง ต่อมาเป็นเริมที่เดิมอีก ทายาหม่องของหลวงปู่อีกก็หาย ตอนนี้เริ่มเชื่อแล้วว่ายาหม่องหลวงปู่ไม่ธรรมดา ใช้รักษาโรคนี้ได้จริงๆ แล้วจะให้ไม่เคารพศรัทธาในหลวงปู่ได้อย่างไร ทึ่งว่าทำไมท่านถึงรู้ทุกเรื่องและลงมือกระทำให้ดูได้ด้วย เพื่อนที่โรงเรียนเป็นเริมที่ปากเหมือนกัน ฉันเอายาหม่องหลวงปู่ให้ใช้ แต่หล่อนไม่รู้เรื่องราวของหลวงปู่ ประกอบกับเพื่อนคนอื่นพูดทำนองว่าอย่าไปเชื่อถือยาอย่างนี้นัก คนเราขาดศรัทธาตัวเดียว อะไรๆ ก็พูดยาก สุดท้ายหล่อนกลับไปรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน ปรากฏว่าใช้เวลาร่วม ๑๐ วันกว่าปากจะหายเน่า
      
       ยาหม่องของท่านยังรักษาโรคที่เกี่ยวกับผิวหนังทุกชนิดได้อีกด้วย เช่น ของมีคมบาด ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แมลงมีพิษสัตว์ กัดต่อย และเป็นลมวิงเวียน เคล็ดขัดยอก ฯลฯ
      
       หลวงปู่เห็นฉันจดสูตรยายิกๆ (คงนึกว่าขโมยสูตร)
      
       "หนอย! อีนี่มึงแอบจดสูตรยาหม่องของกูเชียวเรอะ" ว่าแล้วท่านก็สลัดเท้าใส่
      
       ฉันกระโดดหลบ รองเท้าของท่านลอยกระเด็นไปปะทะหน้าอกของซิ้ม แม่เจ๊ตุ๊เจ๊ต๊ะเจ้าของโรงงานโอ่งดินทองราชบุรี ซึ่งกำลังนั่งสนทนากับญาติพี่น้องบนเสื่อน้ำมันกลางถ้ำ ซิ้มร้อง "ไอ๊ย่า! " ตกใจว่ารองเท้าของใคร พอรู้ว่าเป็นของหลวงปู่ค่อยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
      
       ฉันพูดไปหัวเราะไป "ลูกมีบุญที่ไม่โดนรองเท้าของหลวงปู่ ...เอิงเอย"
      
       หลวงปู่หัวเราะปากกว้างแล้วถลึงตาใส่ ชี้หน้าฉัน
      
       "มึงซีไม่มีบุญที่ไม่โดนรองเท้าของกู คนโน้นเขามีบุญกว่า"
      
       หลวงปู่มีจิตวิทยาดี ท่านเดินไปเก็บรองเท้ามาสวมแล้วปลอบ โยนซิ้ม ซิ้มหัวเราะชอบใจ หลวงปู่พูดหวานๆ กับคนแก่ก็เป็นนะ
      
       ได้เวลาพวกผู้ชายช่วยกันก่อไฟในเตา ตั้งกระทะทองเหลืองในปะรำพิธี ตอนนี้หลวงปู่เตรียมพร้อมแล้ว ท่านนุ่งสบงห่มอังสะ ผ้าแดงคล้องคอ จุดธูปเทียนบูชาพระ คว้ากาน้ำเดินรดรอบๆ ปะรำ รัศมีกว้างพอสมควร ปากก็พูดว่า
      
       "ใครอย่าล้ำแดนเข้ามานะ เคราะห์ร้ายไม่รู้ด้วย"
      
       แล้วเดินเข้าปะรำ พระสงฆ์ ๔ รูปเริ่มสวดมนต์ ตอนนี้หลวงปู่มีใบหน้าที่เคร่งขรึม ท่าทางเหมือนภิกษุผู้เฒ่า แต่ใบหน้าขาวใสเป็นนวลใยเหมือนพระหนุ่ม ท่านก้มลงหยิบโน่นหยิบนี่ใส่กระทะ มือขวาคนอยู่ในกระทะ เดินวนไปรอบๆ ปากเริ่มสาธยาย มนต์
      
       สักครู่ใช้มือทั้งสองกางออกลูบไปมาบนขึ้ผึ้งเดือดๆ ไฟลุกโพลงเป็นระยะๆ กลิ่นหอมของเครื่องยาที่ท่านใส่คละคลุ้งไปทั่วถ้ำ
      
       หลวงปู่ไอแค็กๆ บรรยากาศน่าเกรงขาม เกิดมาในชีวิตก็เพิ่ง เคยสัมผัสกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้แหละ ผู้คนในถ้ำเงียบกริบ หลวงปู่ ใช้มือลูบไล้ไปมาบนขี้ผึ้งแล้วยกมือขึ้นมาพนมสลับกันไป ทำซ้ำๆ อยู่ ครู่หนึ่ง แล้วใช้นิ้วที่เปื้อนยาเขียนยันต์บนผืนผ้ารอบ ๔ ด้าน พ่นลมใส่กระทะหนึ่งครั้งดังๆ ครู่ใหญ่พิธีก็เสร็จ
      
       หลวงปู่พูดเสียงดังว่า "หาที่ตั้งกระทะ"
      
       ผู้ชายหาก้อนหินมาวาง หลวงปู่ยกกระทะออกมาจากปะรำ วางลงบนก้อนหิน นั่งบนก้อนหินที่ลูกหลานจัดถวายให้ หลวงปู่ไม่มีเหงื่อสักหยด ผู้คนกรูเข้าไปห้อมล้อม ท่านใช้มือที่เปื้อนยาหม่องป้ายศีรษะทุกคน บางคนรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของท่านมากถึงขนาดวนสองรอบจนผมเหนียวราวกับทา เยล กลิ่นหอมชื่นใจ ท่านบ่นว่าแสบหูแสบตาไปหมด ร้องบอกว่าพอแล้ว ขอตัวไปใช้มือทายาหม่องพระพุทธรูปบ้าง ฉันดึงลูกชายไปรับยาหม่องจากท่าน ท่านก็เมตตาทาให้ ไม่ดุไม่เอ็ด และแล้วหลวงปู่ก็หมดแรง เดินไปนอนที่โซฟาข้างเสื่อน้ำมัน
      
       บรรดาเด็กผู้ชายช่วยกันนวดบ้าง พัดบ้าง ผู้คนทำบุญเอาเงินใส่ถาดถวายท่าน ท่านไม่สนใจโบกมือให้ทุกคนถอยออกไปให้ห่างที่สุดเท่าที่จะห่างได้ ท่านจะรักษาตัวเองเวลาเป็นลมหมดแรง โดยการดูดเอาพลังรอบตัวเองซึ่งเป็นกลิ่นอายธรรมชาติเข้าร่าง ซึ่งเป็นวิชาลม ๗ ฐานที่ท่านจะสอนพวกเรา แต่ยังไม่มีใครเรียนได้สำเร็จเลยแม้แต่ฐานเดียว
      
       พูดถึงลม ๗ ฐาน ฉันคิดเอาเองว่าไม่ใช่พอรู้วิธีแล้วจะฝึกได้ ก่อนอื่นคนคนนั้นต้องมีพื้นฐานกายศักดิ์สิทธิ์พอสมควร ไม่คิดผิด ไม่พูดผิด ไม่ทำผิด ดูง่ายๆ แค่อยู่ที่ไหนไม่สร้างมลภาวะที่นั่น ใช้ห้องน้ำแล้วห้องน้ำไม่สกปรก เข้าครัวไม่ทำครัวรก ห้องที่นอนสะอาด ถอดรองเท้าเป็นที่ ไม่กินทิ้งกินขว้าง ไม่ทิ้งขยะส่ง ฯลฯ ขนาดนี้ฉันยังว่าคนคนนั้นยังฝึกลม ๗ ฐานไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับพวกเราที่มารวมตัวกันที่ถ้ำหรือวัด แล้วเพิ่มขยะกองเท่าภูเขา ใช้คนเก็บกวาดเกือบตาย หลวงปู่แจกอะไรแต่ละครั้ง แย่งกัน จนน่าเกลียด ขัดคอกัน ฯลฯ อย่างที่หลวงปู่พูดว่า
      
       "พวกมึงนี่นะจะฝึกวิชาของกู ดูแล้วไม่มีแววเลยว่ะ แค่หายใจลึกๆ จนเป็นนิสัยยังทำไม่ได้เลย หายใจถึงสะดือ น่ะ! "
      
       ฉะนั้น พอใครพูดเหมือนว่าฝึกลม ๗ ฐานได้ หลวงปู่จะยิ้มแสยะพร้อมทั้งทำเสียงอาเจียน!
      
       ย้อนกลับมาที่ถ้ำ ไม่ถึง ๑๐ นาที หลวงปู่ก็ลุกนั่งเป็นปกติ ใกล้เย็นแล้วขี้ผึ้งในกระทะเริ่มแข็งตัว พวกผู้หญิงช่วยกันตักใส่ตลับพลาสติกเล็กๆ ที่ลูกศิษย์คนหนึ่งในกรุงเทพฯหาซื้อมาในราคากันเอง(จากโรงงานชื่อ "ปู่กล่องพระ" ก็ศิษย์หลวงปู่อีกนั่นแหละ ที่จริงเขาจะให้ฟรีด้วยซ้ำ แต่หลวงปู่ไม่ยอมรับ) แล้วหลวงปู่ก็เรียกทุกคนมารับยาหม่อง แจกอย่างชนิดไม่เสียดาย ที่เหลือให้ชมรมฯ ไว้จำหน่าย (ตลับละ ๒๐ บาท) เพื่อเป็นทุนรอนในการทำงานต่อไปที่จริงท่านไม่อยากให้ขาย แต่คณะกรรมการบอกว่าจำเป็นต้องทำ เพื่อเป็นทุนในการจัดกิจกรรมของชมรมฯ หลายคนยังแอบเอาขวดเนสกาแฟขนาดเล็กตักยาหม่องก้นกระทะใส่เก็บไว้ใช้ เขารู้สรรพคุณ กันทั้งนั้น
      
       หลังจากนั้นอีกวันท่านก็ถามพวกเราว่า
      
       "ตอนกวนยาหม่อง มีใครเห็นไอ้สามเฒ่าบ้าง"
      
       อิ๋วซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่บอกว่า "เห็นตาแก่คนหนึ่งยืนอยู่หน้าถ้ำค่ะ"
      
       เธอหมายถึงคนที่มาดูพิธีกวนยาหม่อง หลวงปู่เอ็ดว่าคนละเรื่อง ทำเอาคนในถ้ำหัวเราะกันครืน ตกลงไม่รู้ว่าสามเฒ่าคือใคร ไม่กล้าถาม น่าจะเป็นพระศักดิ์สิทธิ์สหายของท่าน (หลวงปู่สี หลวงปู่สิงห์ หลวงปู่สอน ซึ่งพวกเราตั้งตาคอยว่าเมื่อไรจะได้เห็นองค์จริง!?)
      
       อังคารที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๖ วันเข้าพรรษา พวกผู้หญิง เข้าครัว เช้านี้ยายเพ็ญหัวหินทำก๋วยเตี๋ยวราดหน้ามังสวิรัติเลี้ยงพระ มีพระมาสมทบอีกรูป รวมทั้งหมดมีพระ ๖ รูป แล้วช่วยกันทำข้าวต้มกุ๊ยเลี้ยงแขก ง่วนอยู่ในครัว "ลูกชายของอิ๋วมาตามฉันถึงในครัว บอกว่าหลวงปู่ถามหา ให้ไปในถ้ำทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ หน่อย ฉันรีบแจวเข้าถ้ำ เห็นคนนั่งกันเต็ม มีเครื่องถวายสังฆทาน เทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝนวางเต็มไปหมด
      
       ฉันเริ่มต้นอธิบายถึงวัตถุประสงค์ของชมรมฯ ตลอดจนกิจกรรมที่ได้ทำไปแล้ว และกำลังจะทำ โฆษณายาหม่อง ขาย น้ำผึ้งด้วยขวดละ ๑๐๐ บาท ลูกศิษย์อยู่ป่ากาญจนบุรีนำมาขายให้หลวงปู่ ท่านสงสารและเห็นว่าเป็นน้ำผึ้งแท้เลยรับซื้อไว้ ท่านสอนวิธีดูน้ำผึ้งให้ด้วย แต่ฉันจำไม่ได้เพราะไม่ค่อยได้ฟัง ในวันนั้นขายได้หลายพันบาท สักครู่พระฉันเพล ฆราวาสร่วมรับประทาน อาหารกันหน้าถ้ำ บ่ายถวายเทียน ผ้าอาบน้ำฝน หลวงปู่เทศนามีใจความว่า
      
       "ที่มาของวันเข้าพรรษา พระพุทธเจ้าต้องการให้พระภิกษุรวมตัวเป็นปึกแผ่นได้สงเคราะห์ชาวบ้าน ชาวบ้านได้ทำบุญฟังธรรมจากพระ พระผู้ใหญ่ได้อบรมพระผู้น้อย มิใช่กลัวว่าพระจะไปเหยียบต้นกล้าในนาตาย หลวงปู่ว่านั่นเป็นเหตุผลที่ฟังแล้วไม่เข้าท่า อาจจะมีการบันทึกผิดเพี้ยนกันมา ส่วนที่มาของการถวายผ้าอาบน้ำฝน เมื่อพระอยู่จำพรรษากันมากๆ มีคนมาทำบุญเลี้ยงอาหารมื้อเพลเป็นประจำ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ถึงคราวนางวิสาขาจะมาทำบุญ คืนนั้นพระภิกษุสงฆ์ถอดผ้าครองออกซัก เผอิญฝนตกผ้าไม่แห้ง ภิกษุเปลือยกายอาบน้ำ นางวิสาขาเห็นแล้วอุจาดตา นางจึงทูลขออนุญาตพระพุทธเจ้าถวายผ้าอาบน้ำฝน เอาไว้ให้พระภิกษุนุ่งอาบน้ำ ส่วนประเพณีถวายเทียนพรรษาก็มีอยู่ว่า สมัยก่อนไม่มีไฟฟ้าใช้ เวลาค่ำคืนภายในอารามมืดไปหมด จึงมีการถวายเทียนให้พระใช้... "
      
       ตกเย็นพระสงฆ์และฆราวาสร่วมทำวัตรเย็น หลวงปู่จุดเทียนสว่างไสว จุดธูปบูชาพระรัตนตรัย ให้พระประกาศเขตอยู่พรรษา แสดงความในใจออกมา ที่มานี่มิได้มีใครบังคับ เต็มใจมาเอง
      
       หลวงปู่แต่งตั้งให้พระทิฟฟี่เป็นผู้ดูแลคลัง
      
       พระกิตติปัญโญ (หลวงพี่สมเกียรติ) กับพระอภินันโท (หลวงพี่โอ) เป็นพระคู่สวด
      
       พี่บุญล้อมพาเณรชื่อโฮมจากวัดอ้อน้อยมาสมทบด้วย เมื่อวานเณรสวดเสียงหวานจ๋อย วันนี้เริ่มซึมเป็นโรคโฮมซิค หลวงปู่ถามพระทีละรูปว่ามีความรู้สึกต่อท่านอย่างไร แต่ละรูปก็ตอบว่าเหมือนท่านเป็นครู เป็นพ่อ เป็นอาจารย์
      
       หลวงปู่จึงสรุปว่า "พวกท่านแต่งตั้งผมเองนะ ฉะนั้น ผมว่ากล่าวตักเตือนท่านได้"
      
       ท่านหันมาถามพวกเราว่า คณะกรรมการชมรมฯ จะอนุญาต ให้พระจำพรรษาที่ถ้ำไหม ประธานและคณะกรรมการก็ตอบอนุญาต
      
       ท่านสำทับว่าชาวบ้านเป็นผู้ให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่อยู่อาศัย ฉะนั้น ถ้าเห็นพระรูปใดทำตนไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง ให้ว่ากล่าวตักเตือน ได้ ให้งดอาหารก็ยังได้ ถ้าไม่เชื่อฟัง แล้วให้พี่ยูรรดน้ำพระทุกรูปเป็นการอนุญาต
      
       หลวงปู่บอกว่าตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป พระจะต้องออก บิณฑบาต ฉันข้าวในบาตร จากนั้นท่านนำพวกเราทำวัตรเย็น เสร็จ แล้วให้ฆราวาสสวดชุมนุมเทวดา บูชาท้าวจตุโลกบาล
      
       หลวงปู่ใช้กุศโลบายในการปกครองพระ พิธีต่างๆ ที่ทำไปล้วนแล้วแต่เป็นพิธีโบราณดั้งเดิม เป็นการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรม นอกจากนั้นยังถือว่าได้สั่งสอนพวกเราให้รู้จักสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพื่อช่วยกันสืบสานต่อไป ส่วนที่ว่าทำไมไม่เห็นหลวงปู่บิณฑบาตตามหมู่บ้าน เพราะขั้นตอนเหล่านั้นท่านผ่านมาแล้วอย่างโชกโชน อนึ่งการที่มีคนนำอาหารมาถวายแล้วท่านรับก็เท่ากับเปิดฝาบาตร ถือว่าได้บิณฑบาตเหมือนกัน
      
       เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็แยกย้ายออกนอกถ้ำ เสียงเณรโฮมร้องไห้กระซิกๆ อยากกลับวัด หลวงปู่หัวเราะชอบใจ กระเซ้า เย้าแหย่เณรอยู่ครู่หนึ่ง ท่านก็อนุญาตให้เณรกลับวัดอ้อน้อยได้ เณรดีใจหยุดร้องไห้ทันที คว้าสัมภาระอันมีกลดและบาตร เป็นต้น เดินลงบันไดนำหน้าลิ่ว หลวงปู่ให้พี่บุญล้อมพากลับ
      
       ท่านพูดกับพวกเราว่า "กูให้เอาเณรมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อให้ทางนี้มีพระเณรครบองค์ หนอยมันดันส่งเณรตัวเท่ากำปั้นมาให้ เด็กที่ไหนมันจะมาอยู่ป่าคนเดียวได้วะ เพื่อนก็ไม่มี ที่เล่นก็ไม่มี"
      
       คืนนั้นเราสนทนากับหลวงปู่ที่ลานหินโค้ง ถึงสองทุ่มกว่าจึงลากลับ ก่อนกลับหลวงปู่สั่งว่า ช่วยโทรศัพท์ถึงคุณนพพรด้วย ว่าเรื่องที่ฝากดำเนินการไปถึงไหนแล้ว เมื่อคุยกันทางโทรศัพท์กับคุณนพพรแล้วได้ความดังนี้
      
       - จดหมายของหลวงปู่ได้จัดส่งไปยูนนานแล้ว แต่ยังไม่มีการตอบกลับ ได้จองเที่ยวบินให้หลวงปู่ แต่หลวงปู่บอกว่าไม่ไปทางเครื่องบินหรอก กลัวตกหลุมอากาศ (สงสัยจริงว่าหลวงปู่เขียนจดหมายถึงใคร? ไม่กล้าถาม ถึงถามท่านก็ไม่บอก)
      
       - เรื่องที่ทางของวัด คุณยายทองห่อเซ็นชื่อโอนให้เรียบร้อยแล้ว
      
       - ได้จัดทหาร ๑๐ นาย พร้อมด้วยรถตู้ ๑ คัน มาช่วยวัดอ้อน้อยขนต้นไม้จากเพชรบุรีเรียบร้อยแล้ว
      
       - ย้ำเรื่องการดูแลคุณยายทองห่อ ขอให้คณะกรรมการช่วยพูดกับคนในวัดให้สนใจเรื่องนี้สักเล็กน้อย เพราะคุณยายมีพระคุณ ต่อวัด กำลังจัดจ้างคนมาดูแล ถึงแม้แกจะมีอารมณ์ฉุนเฉียวก็ให้ถือเสียว่าคนแก่ และให้ช่วยย้ำหลวงพี่หมอ ช่วยประคับประคองสถานภาพของวัดให้เจริญยิ่งขึ้น เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของหลวงปู่ ที่อุตส่าห์สร้างวัดด้วยความเหนื่อยยาก
      
       - ข้อสุดท้ายนี้เห็นจะเป็นเพราะหลวงพี่หมอมีปัญหาด้านสุขภาพ ซึ่งเกี่ยวกับระบบประสาท ส่งผลให้มีความคิดและบุคลิกภาพแตกต่างไปจากคนอื่น หลวงพี่ยังมีความคิดวนเวียนเกี่ยวกับสิ่งที่เร้นลับ มองไม่เห็น เช่น การเข้าทรง เป็นต้น และ ยังคิดจะหาแสวงหาครูบาอาจารย์ไปเรื่อยๆ เพื่อหาคำตอบที่ถูกใจเพราะหลวงปู่ตัดบทเฉียบขาดไม่ตอบสนองอารมณ์ คุณนพพรรู้อยู่แก่ใจว่า หาพระอย่างหลวงปู่ในแผ่นดินนี้หายาก เมื่อพบของดีแล้ว คุณนพพรอยากให้หลวงพี่รักษาไว้
      
       วันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๖ หลวงพี่โมทย์และพระเณร ที่วัดมาเอาต้นไม้ที่เพชรบุรีอีกครั้ง สามีช่วยบรรทุกส่วนหนึ่งไปวัดอ้อน้อย
      
       วันที่ ๗ สิงหาคม หลวงปู่นัดประชุมตอนบ่าย ฉันบอกท่านว่า ใครไม่มาประชุมให้ตัดขาดจากกองมรดก (หมายถึงงดแจกพระ) ท่านก็เห็นด้วย ที่จริงเป็นเพียงเรื่องพูดกันขำๆ เท่านั้น ระหว่างรอการประชุม หลวงปู่พูดถึงเรื่องจิปาถะแต่เต็มไปด้วยสาระ
      
       ก่อนเปิดการประชุม หลวงปู่สนทนาไปพลางๆ รอคณะกรรมการให้มากันพร้อมหน้า มีคนพูดถึง "สันติอโศก" ว่าความจริงสำนักนี้ก็สอนให้คนทำดี ไม่น่าจะหาเรื่องหาราวจนถูกสั่งห้ามแต่งกายแบบพระภิกษุสงฆ์ในศาสนาพุทธ อีกคนพูดว่า สันติอโศกไม่มีรูปปั้นของพระพุทธเจ้าให้เคารพบูชา หลวงปู่นั่งเงียบหนึ่งอึดใจแล้วพูดเนิบๆว่า
      
       "หลวงปู่กำลังถอยตัวเองออกมา แล้วขึ้นมาอยู่ข้างบนเพื่อพิจารณาดูว่าคนเหล่านั้นกำลังทำอะไรอยู่ แล้วได้อะไรจากการกระทำนั้น ก็ไม่เห็นว่าเขาจะได้อะไร สรรพสิ่งมันเกิดขึ้น แล้วก็แตกสลายไป ทำไมจะต้องไปให้คุณให้โทษให้ประโยชน์กับมัน การ ที่เราจะดูสิ่งใดให้ออก เราต้องถอยตัวเองออกมาแล้วกระโดดขึ้นข้างบน เฝ้าดูถึงจะรู้ ถึงจะมองออก ถ้าเราลงไปคลุกคลีและแสดง ด้วย เราจะไม่รู้หรอก เมื่อมองออกแล้วเราจะรู้สึกเฉยๆ ใครจะดีชั่วก็เรื่องของเขา เราจะดีจะชั่วก็เรื่องของเรา ธุระอะไรจะไปใส่ใจเขา... "
      
       หลวงปู่พูดถึงนักปฏิบัติคนหนึ่ง เขาบ่นว่า เดี๋ยวนี้ไม่รู้เป็นอะไร เขาเบื่อไปหมด ไม่อยากทำอะไร หลวงปู่เตือนว่า
      
       "ระวังนะ เบื่อแบบนั้นไม่ใช่ว่าจะสำเร็จแล้วนะ เบื่อแบบมารกับเบื่อแบบพระพุทธเจ้าไม่เหมือนกัน เบื่อแบบพระพุทธเจ้า เบื่อแล้วยิ่งอยากทำประโยชน์ ทำให้หลุดพ้น เบื่อแบบมารเบื่อแล้วขี้เกียจ เป็นมายา ดูคล้ายกัน ถ้าเราไม่รู้ทัน ระวังมารจะหลอกให้หลง มารกับพระพุทธเจ้ามีฐานะเท่าเทียมกัน มีอำนาจเท่าเทียมกัน ผิดกันเพียงแต่เส้นผมบังภูเขาเท่านั้น วันวิสาขะ ปีนี้เกิดจันทรุปราคา โบราณถือว่าเป็นลางไม่ดี มารกำลังมีอำนาจ อีก ๑๐ วันต่อมา หลวงปู่เห็นดาวตก ตกทางทิศตะวันตก อันนี้ก็เป็นลางร้าย จะเกิดสงครามลัทธิ อย่าขาดสติมารจะสิง"
      
       หลวงปู่เล่าว่า หลังจากหุงยาหม่องแล้วท่านป่วย ๓ วัน ใช้พลังมากไป กลางคืนต้องใช้มือแช่น้ำร้อน มือเย็นเป็นตะคริว เพราะตอนใช้มือกวนยาหม่อง ท่านขับไอเย็นมาที่มือ
      
       ท่านพูดถึงวิญญาณ ๒ ดวงของผู้มีบุญจะต้องมาเกิดในพรรษา นี้ ท่านบอกพี่จรรยา (ที่กำลังอยากมีลูก) ว่า ไม่รู้จะช่วยได้แค่ไหน แล้วแต่วาสนาของแม่และเด็ก วิญญาณนี้จะเลือกเกิดกับแม่ที่มีคุณธรรม
      
       พูดถึงวิชาของหลวงปู่ ถ้าท่านจะถ่ายทอด ท่านอยากถ่ายทอด ให้คนที่มีคุณลักษณะดังนี้ "เดินระหง กลิ่นตัวหอม" (มาจากพรหม) แต่ท่านยังไม่พบคนลักษณะนี้ (คนที่มีลักษณะเหมือนท่านนั่นเอง) คงต้องมีภูมิธรรมสูงมาก
      
       เกี่ยวกับที่คนสงสัยว่า หลวงปู่คือพระครูเทพโลกอุดรใช่ไหม?
      
       หลวงปู่ตอบว่า "นั่นเป็นอดีตที่ลืมไปแล้ว เป็นเรื่องจริงแต่เก่า" ฟังให้ดีนะ เป็นเรื่องจริง อาจจะหมายถึงว่าเรื่องนี้มีจริง ท่านไม่ได้หมายถึงว่าตัวท่านเป็นหลวงปู่องค์นั้น ท่านฉลาดที่จะพูดให้เราคิด
      
       "เป็นพระในตำนาน ไม่มีประโยชน์ ถึงตรงนี้ขอให้ล้มเลิกตำนานเสียที เลิกถกเถียงกันได้แล้ว ให้ดูปัจจุบันดีกว่า"
      
       อ่านตรงนี้แล้วหวังว่าพวกเราคงจะหยุดพูดเรื่องนี้กันได้แล้วชั่วนิจนิรันดร
      
       "ดูว่าหลวงปู่กำลังทำอะไร เพื่ออะไร มีประโยชน์อย่างไร หลวงปู่มาอยู่ในร่างนี้ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ซึ่งกำลังป่วยหนัก ใกล้ตาย สาเหตุที่เลือกร่างนี้ เพราะต้องการให้คนอื่นเห็นว่า คนหนุ่มก็ทำอะไรๆ ได้ดีเหมือนกัน สมัยนั้นผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ค่อยมีศีลธรรมกันเลย พวกเราไม่ต้องสนใจว่าใครเป็นใคร แต่ให้สนใจว่า เรากำลังทำอะไร ให้อะไรแก่โลกแก่สังคม หลวงปู่ไม่ชอบอาศัยชื่อ อาศัยตระกูล แต่ยืนหยัดทุกวันนี้ด้วยลำแข้งตนเอง"
      
       ฉันถามหลวงปู่อย่างตรงไปตรงมาว่า ทำไมถึงไม่เลือกร่างที่หล่อๆอย่างพระอาจารย์ยันตระหรือเลือกร่างที่รวยๆ ล่ะ จะได้ลัดขั้นตอนการทำงาน ไม่ต้องลำบากขนาดนี้ เพราะหลวงปู่จะเล่าถึงชีวิตลำเค็ญตั้งแต่เด็กจนโต ต้องเก็บผักบุ้งขาย ฯลฯ
      
       พอฉันถามอย่างนี้พรรคพวกหัวเราะคิกคัก หลวงปู่ทำหน้าทะแม่งๆ หัวเราะ ค้อนควับ
      
       "หนอย! มึงหาว่ากูไม่หล่อเรอะ ถ้ากูเกิดมาแล้วสุขสบาย กูจะรู้จักทุกข์ได้อย่างไร เมื่อกูไม่รู้จักทุกข์ กูจะสอนคนอื่นให้เห็นทุกข์ได้อย่างไร"
      
       เออ! จริงซีนะ เหตุผลน่าฟัง
      
       ได้เวลา ๑๓.๐๐ น. หลวงปู่ให้พี่ยูรแถลงเรื่องชมรมฯ ให้ทุกคนรับทราบไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมที่จัดไปแล้ว ที่กำลังจัด เรื่องการ เงิน ฯลฯ อย่านึกว่าประชุมแต่ละครั้งจะมีคนมากนะ แท้จริงไม่ถึง ๒๐ คน เสร็จแล้วหลวงปู่แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ เพื่อรับ งานวันออกพรรษา (๓๑ ตุลาคม) มีสามีฉัน พี่ยูร พี่จรรยา เป็นคณะกรรมการกลาง นอกนั้นมีแผนกครัว สถานที่ จัดหาอุปกรณ์ ศาสนพิธี รับจองพระ จำหน่ายยาหม่อง น้ำผึ้ง ฯลฯ
      
       ฉันอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์เช่นเคย มีสุชาติ พี่เฉลิมชัย อาจารย์ดวงพร และร้อยเอกอีกท่านหนึ่ง (ไม่รู้จักชื่อ) ร่วมด้วย มีหน้าที่กระจายข่าววันออกพรรษาแก่พุทธศาสนิกชนทุกรูปแบบ เช่น ติดตั้งป้าย แจกใบปลิว กระจายเสียงตามสถานีวิทยุ ฯลฯ
      
       หลวงปู่ต้องการหาเงินให้ชมรมฯก่อนจากไป และต้องการให้ทุกคนได้รับรู้ผลงานของชมรมฯ ว่ามีอะไรบ้าง เพื่อขยายวงงานหาแนวร่วมรับสมาชิกมาทำงานร่วมกัน หลวงปู่คิดการณ์ไกล มีสมองเปรื่องปราดในงานมาก ตั้งคนได้ถูกต้องกับงาน ตกลงว่าจะทำส้วมและห้องน้ำสัก ๑๐ ห้อง แถวเชิงเขาใกล้บันไดใหม่ไว้รองรับผู้คน
      
       เย็นแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เหลือพี่บุญล้อม พี่ดวงพร ฉันและสามีนั่งสนทนาธรรมกับหลวงปู่ ณ ลานหินโค้ง ยากลึกซึ้งเกินกว่าจะอธิบายได้ จำได้ประโยคเดียวว่า
      
       "ทำใจให้เบา กายจะหนักดังภูผา ทำใจให้หนา กายจะเบาดังปุยนุ่น"
      
       พยายามถามหลวงปู่ว่าร่างในเป็นใครมาจากไหน พยายามจะเข้าให้ถึงธรรมะของท่าน เพราะท่านบอกว่าถ้าใครสามารถสนทนาธรรมจนดึงเอาจิตวิญญาณของท่านออกมาโลดแล่น ได้ ท่านจะเปิดประตูวิญญาณพาพวกเราไปท่องในแดนนั้น จนกระทั่ง ๒๒.๒๐ น. หลวงปู่บ่นง่วงนอน ปวดไซนัส แล้วเข้านอน อาจารย์หญิงทั้งสองลากลับ เราสองตายายค้างคืนกันต่อไป
      
       ขอเล่าเรื่องพี่ดวงพรแทรกดังนี้
      
       พี่ดวงพรมาพร้อมกับพี่บุญล้อม เป็นอาจารย์สถาบันเดียวกัน สามีของพี่ดวงพรคืออาจารย์วิเชียร ซึ่งป่วยเป็นอัมพาตรักษามาหลายปีจนเดินได้บ้างแต่ไม่เหมือนเดิม อุตส่าห์ปีนถ้ำขึ้นไปกราบหลวงปู่เสมอมา หลวงปู่ให้ความเมตตาแนะนำวิธีทำกายภาพบำบัด พี่ดวงพรพาอาจารย์หญิงอาวุโสอีกท่านมาหาหลวงปู่คือ พี่จรรยา (คนละคนกับพี่จรรยาที่เป็นครูใหญ่บ้านหนองกระทุ่ม) สรุปแล้วอาจารย์จากสถาบันราชภัฏเพชรบุรีที่มาร่วมกิจกรรมถ้ำและวัดมีหลายคน เรียงลำดับก่อนหลังดังนี้
      
       อาจารย์บุญล้อม อาจารย์ดวงพร (พร้อมสามี) อาจารย์ มณีรัตน์(ติ๋ม-เป็นสาวโสด) อาจารย์จรรยา (อายุมากแล้วเป็นโสดเช่นกัน) สุดท้ายอาจารย์โฉมยงพร้อมสามี (คุณวุฒิวงศ์) ต่อมาอาจารย์บุญล้อม อาจารย์ดวงพร อาจารย์จรรยาเริ่มหายไปเพราะติดธุระ เหลือพี่โฉมยงและน้องมณีรัตน์ที่ยังมั่นคงเหนียวแน่น
      
       เช้าวันอาทิตย์ที่ ๘ สิงหาคม ทำข้าวต้มทรงเครื่องถวายพระ บ่ายให้หลวงพี่ทิฟฟี่ตำว่าน มีว่านนางคุ้ม สาวหลง เพชรหลีก เพชรกลับ เสน่ห์จันทน์เขียว (ขาว, แดง) ฯลฯ คั้นน้ำมาชุบพระผง ของหลวงปู่เพื่อจะนำพระเก็บเข้ากรุต่อไป ที่ทำเช่นนี้เพื่อป้องกัน มิให้พระผุพัง
      
       ระหว่างนั้นบุญชูโบกปูนกลางถ้ำ ทำเป็นฐานตั้งท้าวจตุโลกบาล ต้องใช้เข็มทิศช่วยตั้งฐาน จะต้องหันทิศให้ถูกต้อง จะทำพิธีตั้งวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ สิงหาคม (วันเฉลิมพระชนมพรรษา)
      
       วันนี้มีการปลูกต้นไม้ถวายเป็นราชสักการะแด่พระราชินีด้วย คุณพงศักดิ์พาครอบครัวของคนรู้จักกันมากราบหลวงปู่ มากันเป็นสิบคน ท่านสนทนาด้วยหลายเรื่อง
      
       เช่นเรื่องคดีที่คุณพงศักดิ์กำลังเผชิญอยู่เกี่ยวกับถูกโกงที่ดิน แพ้มา ๒ ศาลแล้ว เขาจึงมาปรึกษาหลวงปู่ ท่านเห็นว่าคุณพงศักดิ์ เป็นคนดี มีความกตัญญู ซ้ำยังรับใช้หลวงปู่มาตลอด จึงเมตตาให้คำแนะนำ ก่อนอื่นสั่งเปลี่ยนทนายความ แล้วพาทนายคนใหม่มาชี้แนะหาช่องโหว่ของฝ่ายตรงข้าม ภรรยาของทนายความ ซึ่งเป็นผู้พิพากษาถึงกับถามว่า "หลวงปู่จบนิติศาสตร์มาจากไหน"
      
       ท่านตอบว่า "กูจบป.๔"
      
       เธอถามเพราะทึ่งในความรู้ด้านกฎหมายของหลวงปู่ ขนาดสามีเธอยังหาข้อโต้แย้งอะไรไม่ได้ แต่หลวงปู่สามารถชี้ยกออกมาเป็นข้อๆ จากเอกสารที่ให้ท่านอ่านเป็นปึกๆ นับถือๆ...
      
       ลูกชายคนหนึ่งของครอบครัวที่มากับคุณพงศักดิ์เป็นเด็กมีปัญหา ท่าทางเป็นฮิปปี้ ผมยาวเฟื้อย นุ่งกางเกงขาก๊วย หน้าตาท่าทางไม่ใคร่ปกตินัก เรียนอะไรก็ไม่จบ งานการไม่ยอมทำ วันทั้งวันขลุกแต่ในห้อง ใครว่ากล่าวตักเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง หลวงปู่กวักมือเรียกเข้าไปคุย ท่านสัมภาษณ์อย่างมีอารมณ์ขันแต่ฟังให้ดีมีสาระ เจ้าหนุ่มฮิปปี้ยอมฟัง ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ
      
       หลวงปู่พูดเหน็บแนมหยิกแกมหยอกตลอดเวลา เช่น
      
       "กูเห็นใครๆ เขามีการเจริญเติบโต มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเหมือนดอกไม้ แต่มึงนี่ยังไงก็ยังงั้น ไม่โตแล้วก็ไม่ตาย เหมือนดอกไม้พลาสติก... "
      
       พอครอบครัวนี้ลากลับ ก็มาใหม่อีกครอบครัว แรกๆ ไม่รู้ว่าเป็นใคร มารู้เอาตอนเย็นว่าเป็นพี่ชายพี่สาวของหลวงปู่ พี่ชายเป็นคนผิวคล้ำร่างล่ำ หน้าเข้มแบบคนตะวันตก คนละเรื่องกับหลวงปู่
      
       หลวงปู่พูดตลกว่า "กูหน้าลาวใช่มั้ย" ส่วนพี่สาวยังมีเค้าหลวงปู่ บ้างเล็กน้อย เธอคล่องแคล่ว เข้าครัวช่วยพวกเราทำกับข้าว กล้าพูด มิน่าล่ะเห็นเธอพูดคุยกับหลวงปู่อย่างค่อนข้างกันเอง และหลวงปู่จะไม่ว่าไม่เอ็ดเหมือนพวกเรา ส่วนพี่ชายไม่ค่อยกล้าพูดอะไร นั่งยิ้มเงียบอย่างเดียว หลวงปู่ไม่บอกสักคำว่าพวกเขาเป็นใคร
      
       ท่านพูดแต่ว่า "กูบวชถือว่าออกจากเรือนแล้ว จะมีญาติได้อย่างไร"
      
       พี่สาวหลวงปู่พูดว่า "ฉันไม่เคยคิดว่าเขามีคุณวิเศษอะไร ฉันคิดแต่ว่าเขาเป็นน้องชายของฉัน ฉันรักและเป็นห่วงเขามาก พวกคุณมานิยมอะไรในตัวเขาหรือ"
      
       ฉันตอบว่า "คุณไม่รู้หรือว่าหลวงปู่มีดีอะไร"
      
       ก่อนกลับวันนั้นหลวงปู่ให้พี่สาวช่วยจัดหาพวงมาลัยมะลิให้โยม แม่ในวันแม่แทนหลวงปู่ด้วย นอกจากนั้นยังเอาเงินที่มีคนปวารณา ไว้ใส่ซองให้โยมแม่ ลึกๆ แล้วความผูกพันของพี่น้องยังมีอยู่ พี่สาวบ่นว่าเมื่อไรหลวงปู่จะเลิกทรมานตัวเองเสียที อยู่กับวัดให้เป็นที่เป็นทางจะได้ไปเยี่ยมสะดวก มาอยู่ถ้ำอยู่ป่าลำบากจะแย่ เธอยังกำชับหลวงปู่ว่าอย่าดื่มนมเปรี้ยวมากนักเกรงจะกัดกระเพาะ กัดลำไส้ หันมาสั่งพวกเราเป็นการย้ำ "ฝากพวกคุณดูแลท่านด้วย อย่าถวายยาคูลท์มากนะ กระเพาะลำไส้ไม่ค่อยดี"
      
       หลวงปู่พยักหน้ายิ้มอย่างขันๆ กับพวกเรา ใครจะไปดูแลหรือยุ่งอะไรกับท่านได้ เธอหารู้ไม่ว่าหลวงปู่มีศักยภาพสูงเพียงใด มีแต่พวกเราจะมาพึ่งพาท่านต่างหาก
      
       เล่าข้ามไปเรื่องหนึ่ง คือ น้องชายของหลวงปู่แยกทางกับภรรยา ทิ้งลูกเล็กๆ ชายหญิงไว้ ๒ คน หลวงปู่เอาคนที่ชื่อเจ้าปื๊ด มาเลี้ยงที่วัด คนน้องเป็นผู้หญิงก็ให้พี่สาวซี่งมีศักดิ์เป็นป้าของเด็กเลี้ยงไว้ในฐานะลูก เที่ยวนี้พี่สาวพามาเที่ยวถ้ำด้วยซนน่าดู หน้าตาเหมือนเจ้าปื๊ด หลวงปู่สอนวิชาดูโหงวเฮ้งให้ด้วย ท่านให้ดูจมูกของเด็กผู้หญิงคนนี้ว่าจมูกเหมือนมอญ ฉันถามว่าจมูกมอญเป็นอย่างไร ท่านบอกว่าก็คล้ายชมพู่ สันตรงกลางบริเวณปลายจมูกจะยกเป็นแนวขึ้นมาเห็นเด่นชัด จมูกมอญคือพวกฉลาดแกมโกง เจ้าเล่ห์ ส่วนเจ้าปื๊ดมีช่วงล่างคือขาค่อนข้างสั้นไม่รับกับท่อนบน ถือ ว่าอาภัพ (อาภัพอยู่แล้วแหละ ต้องอยู่วัดแบบขมุกขมอม) หลวงปู่บอกว่า "มึงไม่รู้อะไร เลี้ยงแบบนี้แหละเด็กจะแกร่ง"
      
       ต่อมาพี่จรรยา (ครูใหญ่) รับเป็นลูก ค่อยดูสะอาดตาขึ้น ถ้า ไม่มีใครรับเลี้ยง หลวงปู่กะจะให้บวชอยู่แล้ว ดูๆ ไปเหมือนท่านไม่ รักไม่สนใจหลาน แท้จริงท่านจับตาดูตลอด แต่ท่านไม่นิยมโอ๋เด็ก
      
       วันพุธที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๖ ฉันบึ่งขึ้นถ้ำพบหลวงพี่ สมเกียรติ หลวงพี่ทิฟฟี่และบุญชู กำลังเตรียมพื้นทำส้วมและห้องน้ำข้างบันไดใหม่หลบเข้าไปในพุ่มไม้ บุญชูบอกว่าหลวงปู่ป่วยมากนอนพักอยู่ข้างบน ถึงกระนั้นก็ยังมีคนไปมาหาสู่ ท่านนอนรับแขกที่ศาลา เราขึ้นข้างบนพบหลวงปู่นอนหลับอยู่บนเก้าอี้พับที่ศาลา เข้าไปกราบเงียบๆ แล้วถอยออกมา เจ๊ป้อม เจ๊บ๊วยมาก่อนหน้าเล็กน้อย พวกเราออกมาเดินเตร่หน้าศาลา สักครู่ท่านลืมตา พวกเราก็เข้าไปนั่งสนทนากับท่าน
      
       หลายคนอาจสงสัยว่าในเมื่อหลวงปู่มีความรู้ทางการรักษาโรค ทำไมถึงปล่อยให้ตัวท่านอาพาธขนาดนั้น ท่านตอบว่า
      
       "บางครั้งคนเราก็หนีกรรมไม่พ้น ต้องใช้กรรม กูเคยฆ่าคนมาเยอะ" ท่านคงเคยเป็นทหารกระมัง?
      
       คุยไปคุยมาวกออกไปที่เรื่องมารยาทของผู้หญิง (คงมีใครทำหน้าทีบกพร่องจนท่านท้วงติง) สามีถามว่าคนอ่อนหวานควรจะเป็นเช่นไร
      
       ท่านตอบว่า "มารยาทนิ่มนวล ไม่ใส่จริต ไร้มายา อ่อนหวาน จากภายใน มันจะดูดีในทีของมัน พูดคำจริง และรู้จักจังหวะของ การพูด"
      
       สักครู่คณะวัดอ้อน้อยประกอบด้วยหลวงพี่โมทย์และเณร ๒ รูป คนขับรถ ๑ คน เดินขึ้นมาเอาต้นไม้จากวัดมาให้หลวงปู่ ท่านซักถามถึงเรื่องการก่อสร้างพระเณรในวัด เด็กวัด ต้นไม้ คุณยายทองห่อ ฯลฯ ท่านตักเตือนเรื่องการระวังรักษาข้าวของในวัด เช่น ถ้าไม่มีต้องหา หามาแล้วต้องรักษา เมื่อชำรุดค่อยแก้ไขให้คงสภาพ... ฯลฯ
      
       คนขับรถฟ้องว่าคุณยายทองห่อเจ้าอารมณ์มากใครก็เข้าหน้าไม่ค่อยติด เอาใจไม่ถูก ตอนนี้จ้างยายชดแม่ครัวสาว นิสัยอารี อารอบ ใจเย็น ดูแลอยู่ หลวงปู่เงียบไม่พูดอะไร
      
       คนวัดอ้อน้อยลากลับ หลวงปู่ให้เอาน้ำผึ้ง ๔ แกลลอนไปด้วย บรรจุใส่ขวดแล้วให้ญาติโยมทำบุญตามแต่ศรัทธา จากนั้นมีหัวหน้า ศูนย์พัฒนาฯ มาสนทนากับท่าน ท่านเมตตาให้ธรรมะทั้งๆ ที่สภาพร่างกายจากที่เห็นกะปลกกะเปลี้ยเต็มที ท่านแนะนำให้หัวหน้าทำแผนที่สังเขปแสดงเขตอุทยาน เพื่อสะดวกในการกำหนดพื้นที่ที่จะปลูกและที่ปลูกไปแล้ว เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับหลายๆ ฝ่าย จะได้ทราบรายละเอียด
      
       ท่านบอกว่า "ปัญญาชนระดับผู้นำทำงานบนโต๊ะกันทั้งนั้น ข้อมูลพรักพร้อมและเต็มไปด้วยคุณภาพ"
      
       มีข้อความที่พอจะจำได้ในการสนทนาคราวนี้ คือ
      
       ชั่วชีวิตของหลวงปู่ไม่เคยกลัวอะไร แต่ก็ไม่ใช่นักเลง ไม่เคยกล้าบ้าบิ่น ยืนหยัดอยู่บนความถูกต้อง มีชีวิตอย่างไม่ถูกต้ม
      
       ทำได้ ใครๆ ก็ทำได้
      
       ทำดี ทุกคนก็ว่าของตัวดี แต่ดีของแต่ละคนไม่เท่ากันไม่เหมือนกัน
      
       ทำเป็นนี่ซิ หาคนทำได้ยาก
      
       ในที่สุดท่านก็ขอตัวพักผ่อน พอมืดสักหน่อยบรรดาแม่ครัวมาถึงถ้ำเตรียมอาหารไว้เลี้ยงคนที่มาช่วยปลูกป่า วันพรุ่งนี้กับทหารจากค่ายธนรัชต์ ๓๐ นาย ค้างคืนกัน หลวงปู่ซึ่งนอนป่วยอยู่ในกุฏิ อุตส่าห์ลุกขึ้นมาบอกแม่ครัวว่า คืนนี้ให้นอนในกุฏิท่าน ท่านจะไปนอนที่กุฏิใน ท่านคงอยากให้แม่ครัวมีที่นอนสะดวกสบายเพราะ เห็นว่าเหน็ดเหนื่อยกับการทำครัวแล้ว
      
       เช้าวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๖ บรรดาผู้หญิงเข้าครัว เตรียมอาหารเช้าให้พระ และผู้คนที่มาปลูกป่า
      
       ๙.๐๐ น. หลวงปู่กำหนดให้ทำพิธีอัญเชิญท้าวจตุโลกบาลขึ้นแท่นเพื่อทำพิธีบวงสรวงสขณะ นี้ท่านยังนอนป่วยอยู่บนเก้าอี้พับ ผมเผ้าหนวดเครายาวดำรุงรัง ท่านให้ลูกศิษย์เขียนป้ายติดหน้าลูกกรงศาลามีข้อความว่าท่านป่วยเป็นโรคร้าย แรงห้ามเข้าใกล้ ท่านให้เขียนด้วยข้อความน่ากลัวแต่อ่านแล้วจะรู้ว่าตลก คนนอกเดินผ่านไปมาไม่รู้ซึ้งจะทำหน้าเลิ่กลั่ก พวกเรายิ่งหัวเราะด้วยความขบขัน สักครู่ท่านหายเข้าไปยังกุฏิใน กลับออกมาอีกครั้งพร้อมทำพิธี ท่านโกนผมหนวดเคราเรียบร้อย ใบหน้าสดใสเปล่งปลั่งไม่มีเค้าของความเจ็บป่วยหลงเหลืออยู่เลย เข้าใจว่าท่านรักษาตัวท่านด้วย ลม ๗ ฐาน ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง สุชาติมาเรียนให้ทราบว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว ท่านเดินเข้าถ้ำ เตรียมเข็มทิศหาทิศเหนือเพื่อหันหน้าท่านท้าวเวสสุวรรณไปทางนั้น องค์อื่นๆ จะถูกต้องไปด้วย ท่านใช้สีแดงเขียนยันต์ วัน เดือน ปี บนแท่นปูน โรยผงอะไรก็ไม่ทราบลงในช่องของแท่น พวกเราเอาเงินใส่ลงไป
      
       ทุกคนช่วยกันเอาด้ายสายสิญจน์พันท่านท้าว แล้วจับชายที่เหลือเป็นแถวยาว ส่วนชายฉกรรจ์หลายคนช่วยกันยกท่านท้าวซึ่งหนักมาก
      
       ๙.๕๙ น. ยกท้าวจตุโลกบาลสวมแท่นทันที หลวงปู่ใช้พวงมาลัยทำจากดอกดาวเรือง ๔ พวงใหญ่ๆ คล้องไปรอบๆ สั่งให้พวกเรายกเครื่องบวงสรวงมีดอกไม้ ขนม นม เนย ผลไม้ ธูป เทียน บูชา ๔ ด้าน เป็นอันเสร็จพิธี เลี้ยงอาหารเพล
      
       หลวงปู่ลงข้างล่างนำพวกเราไปปลูกป่า หยุดพักรับประทานอาหารมื้อเที่ยงแล้วปลูกต่อจน ๑๔.๐๐ น. ก็ขึ้นถ้ำ บ้างก็แยกย้ายกลับบ้าน ทหารกลับค่าย หลวงปู่นอนพักบนศาลาต่อไป ฝนตกมาหลายวันแล้ว วันนี้ก็ปรอยๆ ทั้งวัน
      
       ขณะปลูกต้นไม้หลวงปู่มีอาการปกติ หลังจากเสร็จงานท่านก็ป่วยต่อ ท่านมีกำลังใจเข้มแข็งมากขณะท่านนอนพักบนศาลาพวกเรานั่งล้อมวง ท่านทักว่า
      
       "พวกมึงมาล้อมกูทำไม จะบังสุกุลกูหรือ" พวกเราหัวเราะ กิ๊กกั๊ก
      
       คืนนี้มีหัวข้อสนทนาหลายข้อ ได้แก่
      
       - ราชสีห์มี ๒ จำพวก พวกแรกมีบริวารห้อมล้อมมากมายดูแลคุ้มครองบริวาร อาศัยบารมีบริวารทำให้ตนโดดเด่น พวกหลังชอบอยู่ตัวเดียว โดดเดี่ยว เมื่อมีราชสีห์ตัวอื่นเข้าใกล้มันจะขบกัด ถ้าทนมันได้มันถึงจะยอมรับยอมสั่งสอน หลวงปู่ขอเป็นราชสีห์ประเภทหลัง
      
       - เรื่องการนั่งทำสมาธิดูกรรมเก่าของตนของบางสำนัก บ้างแสดงเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ หลวงปู่บอกว่าพวกนั้นเป็นคนที่อยากจะบ้าอยู่แล้ว เมื่อได้จังหวะหรือสบโอกาสก็แสดงออกมาเพื่อให้เหมือนเพื่อนเขาบ้าง คนอื่นแสดงได้ตนก็แสดงได้ การนั่งทำสมาธิพอจิตตกภวังค์ช่วงนั้นจะขาดสติ ใครเอาอะไรมาใส่จะรับหมด การสวดภาณยักษ์ก็เหมือนกัน อาศัยอำนาจของคลื่นเสียงสามารถทำให้คนแสดงปฏิกิริยาต่างๆ
      
       - การที่มีคนมาติดตามหลวงปู่ ท่านอธิบายว่าเป็นเพราะเขาเที่ยวเอาจิตมาผูกกับหลวงปู่ ทำไมไม่เอาจิตผูกไว้กับตนจะดีกว่า
      
       เสาร์ที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๖ ขึ้นถ้ำเอาน้ำดื่มที่ทิ้งไว้ ข้างล่าง ๖ แกลลอน ให้ทหารยกขึ้นไปข้างบน สามีตัดดอกก้ามกุ้ง (ธรรมรักษา) ไปให้หลวงปู่ดูแล้วนำไปปักแจกันบูชาพระในถ้ำ เขาเอาว่านที่คิดว่าเป็นว่านเสน่ห์จันทน์หอมให้หลวงปู่ดู ท่านบอกว่าไม่ใช่ ที่จริงคือว่านพระ เรานำไปปลูกหน้าถ้ำ เอารูปถ่ายวันอัญเชิญท้าวจตุโลกบาล ขึ้นแท่นให้หลวงปู่ดู ทุกคนขอดูด้วย หน้าตาของหลวงปู่ผ่องใสมาก ทั้งๆ ที่กำลังป่วยหนัก พลน้องชายพี่จรรยามาจากกรุงเทพฯ แวะวัดอ้อน้อย ทางวัดให้กล้วยน้ำว้ามาฝากหลวงปู่หลายเครือ กล้วยลูกค่อนข้างเล็กยังไม่แก่จัด
      
       หลวงปู่เปรยว่า จะดูสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของญาติที่อยู่ไกลให้ดูจากของที่เขาเอามาฝาก ถ้าเป็นของไม่ดีแสดงว่าชีวิตของเขากำลังมีปัญหา กล้วยนี่ลูกเล็กแกร็น แสดงว่าที่วัดแห้งแล้งแถมเป็นกล้วยไม่แก่ ยังอ่อน เหลี่ยมกล้วยไม่ลบเลย แสดงว่าที่วัดมีแต่เด็กๆ คนตัดกล้วยเป็นเด็ก
      
       ตอนบ่าย คณะที่จะเอารถแบคโฮมาขุดดินซ่อมเขื่อนขึ้นมา กราบหลวงปู่ มีนายทหารระดับผู้หมวด ๑ นายเจ้าของรถแบคโฮ ซึ่งตอนแรกนึกว่าใคร ที่แท้เธอก็คือพี่ไสวจากหมู่บ้านหนองควง ตรงข้ามโรงเรียนที่ฉันสอนอยู่ เธอมีท่าทางอมทุกข์เพราะรับงานขุดดินให้รีสอร์ทแห่งหนึ่งแล้วไม่ได้เงิน ผู้จ้างเป็นหนี้เธอถึง ๓ ล้านบาท การหมุนเงินของเธอหยุดชะงัก รถก็จะถูกยึด เธอเป็นคนโผงผาง ใจร้อน พูดอะไรตรงๆ คณะที่มาพากันลงไปข้างล่างเพื่อดูเขื่อน พี่ไสวอยู่ปรึกษาปัญหากับหลวงปู่ ฉันเป็นคนกระซิบให้เธอทำอย่างนั้น เพราะสงสาร เห็นเธอมีความทุกข์กังวล ตลอดเวลาที่เธอพูดท่าทาง ของเธอร้อนรน แต่หลวงปู่กลับนั่งสงบเยือกเย็น
      
       หลวงปู่กำลังใช้ความสงบสยบความร้อนรุ่มในตัวเธอซึ่งก็ได้ผล หลังจากเธอได้ระบายความทุกข์ที่สุมอยู่ในอกดูเธอดีขึ้น หลวงปู่ให้กำลังใจว่า คราวนี้ไปทวงเงินคงได้บ้างแหละ แต่จะให้หมดคงไม่ได้เพราะทางโน้นแย่พอๆ กัน พี่ไสวบอกว่าทางโน้นนัดจ่ายเงินให้เธอวันที่ ๒๒ นี้ ขอให้หลวงปู่ช่วยดลจิตดลใจให้เขาจ่ายเงินด้วย อย่าได้บิดพริ้วอีก เธอคิดว่าหลวงปู่เป็นพระแบบพระทั่วไปที่เธอเห็นมา คือมีอิทธิฤทธิ์เสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก ให้หวย ทำนายโชคชะตา ฯลฯ
      
       หลวงปู่ไม่พูดอะไรมากเพราะเห็นว่าเธอกำลังทุกข์หนัก ท่านค่อยๆ พูดเลี่ยงให้พี่ไสวคิดได้ว่าเศรษฐกิจเดี๋ยวนี้มันย่ำแย่ทั่วโลก ต้องปลง และยังเตือนสติว่า
      
       "ไม่มีใครใช้เราทำอย่างนี้ เราเป็นผู้ก่อปัญหาเองทั้งสิ้น เราไม่รู้จักคำว่าพอ จึงเกิดทุกข์อย่างนี้แหละ เมื่อเกิดปัญหาแล้วต้องใช้ความสุขุมรอบคอบคิดแก้ปัญหา ตราบใดยังมีชีวิตคงไม่ถึงกับสิ้นไร้ไม้ตอกหรอก คนที่แย่กว่าเรายังมีอีกมาก ทุกข์ของเศรษฐีต่างกับ ทุกข์องคนจน คนจนทุกข์ว่าหาไม่พอกิน เศรษฐีทุกข์ว่าหากินไม่รู้จักพอ"
      
       ฝนเริ่มตกปรอยๆ เสียงคนข้างล่างเรียกพี่ไสวให้ลงไป พี่ไสว กราบลาหลวงปู่ ก่อนไปเธอแจ้งให้หลวงปู่ทราบว่าการขุดดินคราวนี้ ไม่คิดค่าบริการใดๆ ทั้งสิ้น หลวงปู่ไม่ยอม ท่านพูดว่า
      
       "มึงกำลังจน กูไม่เอาเปรียบมึงหรอก จะไปรีดเลือดกับปูได้อย่างไร รายการนี้ผู้กำกับเขาบอกกูว่า เขาเป็นคนจ่าย"
      
       พี่ไสวตอบว่าผู้กำกับเป็นคนดี ซ้ำยังมีอุปการคุณต่อเธอมาก เธออยากช่วยผู้กำกับทำบุญ
      
       ฝนหยุดแล้ว พี่จรรยาเข้ามาในศาลาเรียนหลวงปู่ว่า มีพระผู้ใหญ่พร้อมด้วยพระติดตามทั้งหมด ๗ รูป กำลังขึ้นมา
      
       เท่านั้นแหละหลวงปู่ลุกขึ้นแล้วพูดว่า "มึงหาพระเป็นหลวงปู่แทนกูที"
      
       ว่าแล้วท่านก็เดินออกจากศาลาเข้ากุฏิในบนหลังคาถ้ำ พวกเราต้องต้อนรับพระคณะนี้ไปตามหน้าที่ ท่านเดินชมในถ้ำ ดูป้ายนิทรรศการที่จัดแสดงไว้ ซักถามข้อมูลจากสุชาติและพี่ยูร คาดว่าท่านคงได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับหลวงปู่จึงเดินทางมาดูว่ามาทำอะไรกันที่ ถ้ำมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือเปล่า
      
       พวกเรานิมนต์หลวงตาสมบูรณ์ นั่งโซฟาทำหน้าที่แทนหลวงปู่ เลขาเจ้าคณะอำเภอถามสุชาติว่าหลวงปู่อยู่ที่ไหน สุชาติบอกว่าลงข้างล่างไปดูเขื่อน พอไปศาลา เลขาฯ ถามพี่ยูรว่าหลวงปู่อยู่ไหน... พี่ยูรตอบอ้อมแอ้มว่าหลวงปู่ป่วยพักผ่อนอยู่ในกุฏิ ไม่ได้เตี๊ยมกันไว้เลยตอบไม่ตรงกัน ท่านถามต่อว่าหลวงปู่มาอยู่ที่นี่ทำอะไรบ้าง พี่ยูรรายงานตามความเป็นจริงว่า อนุรักษ์ธรรมชาติ ปลูกป่า ฯลฯ งานเพียบ ท่านอนุโมทนาแล้วกลับ
      
       หลวงปู่ออกมานั่งที่ศาลาอีกครั้ง ฟังพวกเรารายงาน หัวเราะ กันยกใหญ่เรื่องสุชาติหน้าแตก ถามว่าทำไมหลวงปู่ต้องหลบด้วย
      
       ท่านตอบ "เรื่องอะไรกูจะไปคุยด้วย วัดของมันยังสกปรกอยู่จะมาเที่ยวดูคนอื่น ยังสูบเฮโรอีน ฝิ่น กัญชา นึกว่ากูไม่รู้เรอะ กูไม่มาเป็นหมูให้มันเฉือนบนเขียงหรอกเว้ย"
      
       เย็นนั้นหลวงปู่ขอให้ทุกคนสวดมนต์ทำวัตรเย็น หลังจากทำกายศักดิ์สิทธิ์ โดยการทำงานมาช้านาน ท่านเริ่มให้เราหัดสวดมนต์ ขั้นต่อไป เพื่อชำระกายให้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นอันจะนำไปสู่จิตศักดิ์สิทธิ์ วิธีสอนธรรมะของหลวงปู่มีขั้นตอนให้เรายอมรับโดยดุษฎีเต็มใจ ท่านเป็นครูผู้วิเศษประเสริฐ มีใจอารีสุดๆ มีวิธีการสอนที่แยบยลยากจะหาใครเสมอเหมือน ฉะนั้นใครหาว่าหลวงปู่ไม่สอนทำสมาธิเลย ทำแต่งานๆๆ แสดงว่ากำลังเข้าใจผิด
      
       เสียงหลวงปู่ไพเราะจับใจประสานกับเสียงห่านร้องเป็ดร้องของพวกเราฟังแล้วขำดี ยิ่งตอนท้ายเหมือนวงคอรัสเสียงสูงๆ ต่ำๆ
      
       ฉันหันหน้าไปทางน้องจี๊ดหัวเราะกันคิกคัก ที่ร้ายไปยิ่งกว่านั้น รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนมากๆ จนเผลอฟุบหลับไป
      
       ถ้าหลวงปู่หันมาเห็นท่านคงเอาอะไรปาแน่ๆ สวดเสร็จแล้วหลวงปู่กวักมือเรียกพวกเราเข้าไปใกล้ๆ ท่านมีเรื่องจะพูดด้วย คือ
      
       การจะสวดมนต์ให้ได้ผลดีเราต้องเตรียมตัว ดังนี้
      
       หนึ่ง กายสะอาด หมายถึง การวางภาระต่างๆ ทางโลกลงเสีย ฝึกระเบียบทางกาย เรียกว่า มีกายศักดิ์สิทธิ์
      
       สอง วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ (บางครั้งเรียกจิตศักดิ์สิทธิ์) คือ การฝึกใจให้สะอาดบริสุทธิ์ สงบ ปราศจากความโลภ โกรธ หลง เรียกว่า มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
      
       เมื่อมีสองศักดิ์สิทธิ์
      
       สาม คือ ธรรมก็จะศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย การสาธยายมนต์จะดีไปโดยปริยาย การที่เราจะทำตนให้เป็นที่รักของคนอื่นเราจะต้องเป็นคนที่มีความจริงใจ จริงจัง จดจ่อ จับจ้องในทุกงานที่กระทำ ทุกคำที่พูด สูตรที่คิด สิ่งที่ประดิษฐ์ ไร้มายาการ เปิดเผย ซื่อตรง เต็มไปด้วยความเอื้ออาทร
      
       อีกเรื่องท่านปรารภที่ศาลาเมื่อตอนบ่ายว่า เมื่อท่านจากไปแล้วขอให้คณะกรรมการของชมรมฯ ช่วยสร้างเจดีย์สูง ๙ ศอกให้ด้วย ประดิษฐานที่หลืบในด้านขวาของถ้ำ (ขวาในที่นี้หมายถึงเราหันหน้าเข้าหาถ้ำ) บนเนินที่ตรงกับปล่องถ้ำที่มีรากไทรย้อยลงมา ตรงนั้นมีศาลเพียงตาอยู่ให้ยกออกเป็นอนุสติเจดีย์ ภายในบรรจุอัฐบริขารและเส้นผมของหลวงปู่พร้อมด้วยพระเครื่องซึ่งท่านสร้าง เอง ขอให้วางพระเครื่องไว้สูงกว่าสิ่งของต่างๆ ฟังแล้วรู้สึกใจหายอ้างว้าง วันเวลาแห่งการลาจากใกล้เข้ามาแล้ว
      
       ตอนนี้หลังจากสวดมนต์เสร็จแล้วหลวงปู่ยังพูดย้ำเรื่องนี้อีก แต่เปลี่ยนเป็นว่าให้ทำขณะท่านยังอยู่ คงรู้ว่าถ้าท่านไม่อยู่พวกเราไม่มีปัญญาสร้างหรอก ท่านให้คณะกรรมการหาช่างเขียนแปลนเจดีย์ก่อน ท่านพูดเสร็จแล้วทุกคนเงียบไม่มีใครรับสมอ้าง เพราะยังงงๆ อยู่ ตามกฎของสงฆ์ เมื่อท่านต้องประสงค์สิ่งใดท่านจะประกาศให้ญาติโยมรับทราบเพื่อหาคนรับสม อ้าง พระสงฆ์จะจัดหาเองไม่ได้ มิฉะนั้นถือว่าอาบัติ ต้องสังฆาทิเสส เปรียบกับคนธรรมดา คือ ติดคุกนั่นเอง
      
       เรื่องเจดีย์เช่นกัน หลวงปู่ปรารภถึงสองครั้งสองคราเพื่อหาคนรับสมอ้างนั่นเอง แต่พวกเราไม่ใช่คนวัดมาก่อน ไม่เข้าใจ จึงเงียบกันไปหมด เพิ่งมารู้ตอนหลังเมื่อหลวงปู่อธิบายให้ฟัง ท่านบอกงบประมาณในการสร้างเจดีย์นี้ตกราวๆ ๘๐,๐๐๐ บาท
      
       เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่เรากำลังหุงข้าวต้มในครัว มีหนุ่มจีนร่างอ้วนอายุประมาณ ๔๐ ปี โผล่หน้าขึ้นมาที่บันไดกุฏิ (ติดกับครัว) ยกมือไหว้ทักทาย "ผมขอแนะนำตัวครับ" เขาพูดจาฉะฉานดี สนทนาปราศรัยกับเขา จึงรู้ว่ามาจากกรุงเทพฯ กับเพื่อนรุ่นน้อง ๓ คนมาถึงถ้ำตอนตี ๓ ระหว่างทางก่อนถึงถ้ำพบคนก็ถามทางมาเรื่อย ฟังแล้วงง ตี ๒ ตี ๓ จะมีคนให้ถามอีกหรือ? หรือว่ามี... ดลใจให้มาถึงนี่? เขาพบหลวงพี่ทิฟฟี่นอนอยู่ข้างล่างตีนบันได ก็แปลกดีนะ ธรรมดาหลวงพี่นอนในถ้ำ คืนนั้นตอนใกล้สว่างท่านนอนไม่หลับเลยเปลี่ยนที่นอนไปอยู่ตีนบันได เหมือนใครใช้ให้ไปนอนตรงนั้นเพื่อรับอาคันตุกะชุดนี้? ยังไม่จบ ขณะนอนอยู่มีงูเลื้อยมาพอดี คณะนี้มาปลุกหลวงพี่ให้ลุกก่อนงูจะถึงตัว พวกเขาซักถามหลวงพี่เกี่ยวกับหลวงปู่จนแน่ใจว่ามาไม่ผิดที่ จึงพากันขึ้นข้างบนแล้วนอนพักในถ้ำ เราเชิญพวกเขารับประทานข้าวต้ม
      
       เขาไปสนทนาธรรมกับหลวงปู่ถึงเรื่องจิต สติ ช่างซักถามจนหลวงปู่เอ็ดว่า
      
       "มึงฉลาดถามนี่หว่า นี่มึงกะจะดึงกูเข้ารกแล้วชกใช่ไหม กูไม่มีวันหลงกลพวกมึงหรอก หนอยมาหลอกถามเรื่องที่กูสอนไปแล้ว"
      
       เขาหัวเราะชอบใจที่หลวงปู่รู้ทัน แต่ก็กล้าที่จะถามหัวข้อธรรมะต่างๆ ซึ่งที่จริงหลวงปู่ก็พอใจไม่น้อยที่มีคนถามธรรมะ เพราะตั้งแต่หลวงปู่มาอยู่ถ้ำ ลูกหลานที่นี่ไม่เคยสนทนาธรรมะกับท่านเลย เห็นจะเป็นเพราะว่าไม่มีพื้นฐานทางนี้ ซ้ำยังทำงานหนักอีก ไม่มีเวลาจะสงสัยอะไรหรอก หัวถึงหมอนก็ครอกฟี๊แล้วจ้ะ
      
       หลวงปู่เมตตาอธิบายเรื่องจิตกับสติ จิตเปรียบเหมือนแม่ สติเปรียบเหมือนลูก สติเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจิต เป็นอาการทางจิต เป็นอารมณ์ของจิต จัดว่าเป็นอารมณ์ฝ่ายกุศล ถามไปถามมาเขายิงคำถามสุดยอด
      
       "ทำอย่างไรจึงจะมีสติควบคุมอารมณ์และการกระทำ"
      
       หลวงปู่หันข้างใส่ทันที
      
       "มึงจะไขกุญแจประตูลับของกูเรอะ กูไม่บอก"
      
       เขาอ้อนวอน "รับผมเป็นลูกศิษย์ด้วยคนเถอะครับ"
      
       "ไม่เอา ไม่รับ เต็มแล้ว เล่นตัวเว้ย... มึงอายุเท่าไหร่วะ"
      
       "๔๐ ครับ"
      
       "มึง ๔๐ บวกกับอายุกู ๗๐๐...๘๐๐ ถึง ๘๔๐ ... ปีนี้ปี ๓๖... "
      
       เขาหัวเราะในความรอบจัดของหลวงปู่ ท่านตัดบท
      
       "ปวดท้องเยี่ยว ไปดีกว่า"
      
       ลุกไปดื้อๆ ตามแบบฉบับของหลวงปู่ ท่านยังสำทับอีกว่า "กูจะไปทำพระ อย่าตามกูมานะ"
      
       เขาหันมาหัวเราะกับเราซึ่งนั่งลุ้นอยู่ใกล้ๆ ทราบชื่อเขาในเวลาต่อมาว่า "สมเกียรติ" ลูกน้องที่ติดตามเรียกเขาว่า "อาจารย์" คุณสมเกียรติเป็นอาจารย์สอนกรรมฐานพวกเขานั่นเอง เขามีกิจการโรงงานทำผ้าขนหนู
      
       คณะที่เป็นนักปฏิบัติธรรมและชอบเสาะแสวงหาอาจารย์ดีๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขากำลังติดตามหาหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร เอาอีกแล้ว! คุณสมเกียรติเล่าว่าเมื่อ ๒-๓ ปีก่อนเขาเคยพบหลวงปู่ ที่วัดอ้อน้อย ตอนนั้นท่านป่วยหนักแต่ยังเมตตาให้เขาเข้าพบ พอหลวงปู่เห็นหน้าเขาท่านก็ยื่นมือออกมาให้เขาจับแล้วพูดว่า "พบกัน อีกแล้วนะลูก"
      
       ฟังแล้วไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหลวงปู่ถึงพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรเขา ท่านยังพูดอีกประโยคว่า
      
       "เรือลำนี้มันรั่วเสียแล้ว ต้องทิ้ง อีก ๕ ปี พบกันใหม่"
      
       คุณสมเกียรติยังได้เส้นเกศาของหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดรจากพระธุดงค์ รูปหนึ่ง (เขาเล่าให้ฟังนะ ฉันเล่าต่ออีกที ฟังเฉยๆ ไม่ได้บอกให้เชื่อ) เขาเคยไปถ้ำวัวแดง จ.ชัยภูมิ ที่ที่ใครๆ คิดว่า "หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร" เคยพำนักมาก่อน ภาพวาดพระครูฯ ที่นั่งห้อยเท้าวางมือบนเข่าในถ้ำ เป็นภาพที่คนของคุณสมเกียรติวาด ฉันเพิ่งรู้จากเขาในวันนี้เอง แต่ต่อมามีบทความในวารสารฉบับหนึ่งตีแผ่ว่าภาพนี้เป็นภาพของภิกษุสงฆ์รูป หนึ่ง (ฉายาอะไร วัดอะไร จำไม่ได้) ในยุคเราๆ นี่ เพิ่งมรณภาพ เฮ้อ! น่าเวียนหัว ไม่ทราบเกิดผิดพลาดกันอย่างไรจึงกลายมาเป็นภาพพระครูฯ ได้
      
       รู้สึกว่าทุกคนที่มาที่นี่จะคิดว่าหลวงปู่ของเราคือ "หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร" หลวงปู่ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ คงปล่อยให้เป็นปริศนาในหัวใจของลูกหลานทุกคน
      
       ท่านพูดเสมอว่า ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะไปพูดถึงอดีตหรือสิ่งที่ผ่านมาแล้ว มันแก้ไขอะไรไม่ได้
      
       เราและคุณสมเกียรติกับพรรคพวกยกขบวนไปนั่งคุยหน้าถ้ำ ไม่ทราบอะไรเป็นเหตุดลใจให้ฉันโพล่งออกมาว่าหลวงปู่จะสร้างเจดีย์ก่อนจากที่ นี่ไป เป็นเจดีย์หินอ่อนสูง ๙ ศอก พูดถึงตรงนี้คุณสมเกียรติมีท่าทางตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาถามว่า "จริงหรือ"
      
       เขาเล่าว่าก่อนหน้านี้ไม่นานนัก เขาฝันเห็น "หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร" มาบอกเขาว่าจะสร้างเจดีย์แก้ว ๙ ชั้น เขาถามว่าจะให้เขาเป็นผู้ดำเนินการเรื่องนี้ใช่ไหม หลวงปู่พยักหน้ายิ้มๆ จากนั้นเขาเที่ยวหาที่ที่จะมีการสร้างเจดีย์อย่างที่ฝันเห็น แต่ก็หาไม่พบ เพิ่งได้ยินวันนี้แหละ เขารีบรับปากทันทีว่าเขายินดีจะเป็นผู้ดำเนินการ เรื่องนี้ ฉันบอกเขาว่าหลวงปู่ต้องการหาช่างเขียนแบบก่อน เขารับปากจะรีบหาช่างโดยด่วน โล่งอกที่มีคนรับผิดชอบงานนี้ ลำพังชาวถ้ำไม่มีความสามารถหรอกเพราะต้องใช้เงินมากมาย เราพากันไปดูที่ที่จะสร้างเจดีย์ในถ้ำ ดูเสร็จแล้วออกมาจะแจ้งหลวงปู่ ท่านไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ท่านลุกไปนั่งที่ศาลาอีก เราตามไปศาลา คุณสมเกียรติ แสดงเจตจำนงเรื่องสร้างเจดีย์
      
       หลวงปู่ฟังเฉยสงวนทีท่าไว้ก่อน ท่านอธิบายภายหลังว่าที่ท่าน ไม่ยินดียินร้ายเพราะถือว่างานนี้เป็นเรื่องของทางชมรมฯ ที่ควรจะรับผิดชอบ ไม่ควรให้คนอื่นมาข้ามหน้าข้ามตา แต่ในเมื่อทางชมรมฯ ยังเพิกเฉย ท่านจำเป็นต้องยกบุญส่วนนี้ให้คนอื่น ลูกหลานที่นี่จะมาว่าท่านตอนหลังไม่ได้ ท่านทำอะไรรอบคอบและมีเหตุผลเสมอ ดูๆ ไปอะไรช่างบังเอิญเหมาะเจาะไปหมด อยู่ๆ ก็มีคนมารับสมอ้าง คิดว่าท่านคงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าแล้วว่าจะลงเอยอย่างไร
      
       คุณสมเกียรติจึงเผยแผนงานให้ฟังว่าในเมื่อหลวงปู่ต้องการให้บุญตรง นี้กระจายไปให้ทั่วถึง เขาจะจัดผ้าป่ามากองหนึ่งในวันทอดกฐิน สามีแนะนำว่าไม่ควรจัดผ้าป่าในวันนั้น ควรจัดก่อนหน้า นั้นจะดีกว่า เขาตกลงตามนั้น เขาบอกอีกว่าจะจ่ายทดลองไปก่อน แล้วค่อยหักจากผ้าป่า เงินที่เหลือยกให้ทางถ้ำ
      
       คณะนี้อยู่รับประทานอาหารกลางวันแล้วจึงลากลับ ก่อนไปยังซื้อน้ำผึ้ง ยาหม่อง สั่งจองพระหลายชุด
      
       ตกบ่ายอาจารย์บุญล้อมนำเงินจากวัดอ้อน้อยมามอบให้หลวงปู่ เป็นค่าน้ำผึ้ง ๑๒,๐๐๐ บาท แต่สามีเรียนหลวงปู่ว่าทางวัดมีอุปการ- คุณกับพี่น้องทางถ้ำมาก ไม่ควรคิดเงินค่าน้ำผึ้งเต็มที่อย่างนี้ ตกลง ทางเราคิดเพียง ๘,๐๐๐ บาท คืนไป ๔,๐๐๐ บาท
      
       พูดถึงอาจารย์โรงเรียนศึกษานารี "อาจารย์ประณีต" ร่างเตี้ยป้อม ผมหยักโศกยาวผูกรวบไว้ข้างหลังเรียบร้อย ใจเย็น ไม่ช่างพูด ทำงานแข็งขัน มาถ้ำครั้งใดจะต้องล้างจาน ขัดถูหม้อชาม รามไห ซึ่งเป็นงานที่ใครๆ ก็เบื่อ เธอเป็นกรรมการคนหนึ่งของวัดอ้อน้อย มาถ้ำแต่ละครั้งแสนจะลำบากต้องอาศัยคนอื่นมา บางครั้ง ต้องนั่งรถเมล์มาเอง หลวงปู่มักจะทักว่า
      
       "มาทำไม มันลำบาก ดูซิอุตส่าห์ตะกายมา"
      
       เธอเป็นสาวโสดไม่มีภาระอะไร บ้านเกิดเมืองนอนอยู่นครศรีธรรมราชแห่งเดียวกับพี่จรรยา ครั้งหนึ่งหลวงปู่เห็นเธอล้างจานทั้งวัน ท่านทักว่า
      
       "กูเห็นมึงล้างจานทั้งวันเลยนะ ล้างจนมือเน่าแหละมึงเอ๋ย กูว่าใช้ตีนเขี่ยๆ ไอ้พวกจานนี่ทิ้งลงข้างล่างเสียมั่งเหอะ"
      
       ท่านพูดติดตลก นั่นแหละคือการให้กำลังใจคือคำชม ท่านไม่ชมใครต่อหน้าไม่ชมใครตรงๆ
      
       คุณวีรชัย ศิษย์ใกล้ชิดอีกคนหนึ่งพาครอบครัวมากราบหลวงปู่ ปรึกษาปัญหาครอบครัว หลวงปู่ทำหน้าที่เป็นศิราณีได้ดี ไม่ว่าจะเป็นปัญหาแบบไหน ท่านสามารถให้คำแนะนำได้หมด ก่อนกลับเขาแจ้งกรรมการถ้ำว่า จะบริจาคเก้าอี้หินวางไว้ใกล้ทางขึ้นบันไดใหม่สัก ๓ ตัว ให้เขียนชื่อบุตรสาวของเขาลงไปด้วย และจองน้ำผึ้ง ๒๐ ขวด
      
       คุณแม่ของคุณวีรชัยเป็นเศรษฐีนี ร่างอ้วน ขาพิการ ๑ ข้าง เดินไปไหนต้องมีไม้เท้าช่วยยัน เธอก็อุตส่าห์ถ่อขึ้นถ้ำจนได้ มาทีไร มีอาหารดีๆ มาถวาย แต่แหม! เธอก็มีปัญหามาถามจนเกินคุ้มค่าอาหารทีเดียว บ่อยครั้งที่หลวงปู่เพิ่งตักอาหารเข้าปากคำแรก เธอยิง คำถามแรกตามติดๆ ชนิดไม่ให้ตั้งตัวจนหลวงปู่ชะงักช้อนลงในจาน "ฮะ! นี่กูยังไม่ได้กินข้าวเลยนะ ให้กูกินอิ่มก่อนได้มั้ย" เธอหัวเราะแหะๆ ขยับตัวออก
      
       แต่หลวงปู่ไม่ได้โกรธเกลียดอะไร ยังเมตตาตอบให้เสมอ ท่านแกล้งดุไปอย่างนั้นเอง
      
       อาจารย์โฉมยงกับสามี (วุฒิวงศ์-แป๊ะ) ขึ้นถ้ำมากราบหลวงปู่ พี่บุญล้อมเป็นคนพาอาจารย์โฉมยงมาหาหลวงปู่ เธอมีปัญหาเรื่องคุณพ่อซึ่งมีอายุมากแล้วและกำลังป่วย ข้าวปลาอาหารไม่ยอมรับประทาน แรกๆ หลวงปู่ไม่ต้อนรับแถมยังเอ็ดอาจารย์บุญล้อมว่า เที่ยวพาใครต่อใครมารบกวนท่าน อาจารย์หญิงทั้งสองร้องไห้สะอึกสะอื้นจนหลวงปู่ใจอ่อนเห็นว่าเธอมีความทุกข์ จริงๆ จึงให้คำแนะนำไปว่า คุณพ่ออายุมากแล้วต้องการการยอมรับจากลูกเมียมากกว่านี้ เมื่อไม่ได้ดังใจจึงเกิดอาการป่วยทางใจ เรียกว่า "เกิด การล้มเหลวทางอารมณ์"
      
       วิธีรักษาท่านจึงควรสร้างความอบอุ่นทางใจให้ท่านมากๆ ดีกว่าเยียวยาเป็นไหนๆ แล้วจะดีขึ้นเอง จากนั้นมาพี่โฉมยงเทียวมาร่วมกิจกรรมทางถ้ำ และเป็นกำลังสำคัญคนหนึ่ง เป็นประชาสัมพันธ์เสียงหวานของชมรมฯ ส่วนพี่แป๊วสามีก็เป็นเพื่อนเรียนรุ่นเดียวกับพี่ยูร เดี๋ยวนี้โฆษกประจำถ้ำกับวัดมีฉัน พี่โฉมยง มณีรัตน์ (ติ๋ม) หลวงปู่สั่งเตรียมงานทอดกฐิน เช่น อาหารเลี้ยงแขก แต่งตั้ง แม่ครัวรับผิดชอบ ส่วนถ้วยจานชาม กลด เครื่ององค์กฐิน ยืมวัดอ้อน้อยหมด หลวงปู่ค่อนขอดว่า
      
       "เข้าใจหากินนะ ไม่ยอมลงทุนอะไรเลย ยืมเขาหมด"
      
       พูดถึงห้องน้ำห้องส้วม หลวงปู่ไม่อยากให้คนมาประดังใช้บนถ้ำเพราะไม่สะดวก จึงคิดสร้างไว้ข้างล่างหลบมุมใกล้ๆ ทางขึ้นบันไดใหม่ เสร็จจากงานนี้ก็ยกให้คนที่มาเที่ยวถ้ำได้ใช้ หรือถ้ามีการนำเยาวชนมาเข้าค่าย ห้องน้ำนี้จะมีประโยชน์ต่อพวกเขา เงินที่สร้างส้วมมีคนใจบุญบริจาคให้สุขาสวยงาม ๖ ห้อง
      
       ตกเย็นท่านถามว่าจะสวดมนต์หรือสนทนาธรรม ทุกคนบอกว่าสนทนาธรรม หลวงปู่ปลีกตัวไปกวาดลานหินโค้ง นี่คือหลวงปู่ของเรา เป็นได้ทุกอย่างทุกเรื่อง กวาดเสร็จท่านนั่งบนขอบปูน พวกเรานั่งพื้นล่าง ท่านเอ่ยว่า
      
       "เอ้า! วันนี้กูเปิดโอกาสให้พวกมึงซักถามปัญหาธรรมะ เร็วนะ ช้ากูลุกนะเว้ย"
      
       พี่โฉมยงถามเป็นคนแรกว่าในเมื่อเรายังต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องทางโลก อยู่ ทำอย่างไรที่เราจะไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ หลวงปู่ตอบว่า
      
       "อารมณ์ทั้งหลายเป็นเพียงอาการของจิต มันเป็นมายาของจิต เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โดยธรรมชาติแล้วจิตของคนเราจะไม่มีว่าง ถ้าจะว่างก็เป็นเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น อารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นเปรียบเสมือนแขกที่มาเยือนเราเป็นครั้งคราว เราเป็นเจ้าของบ้าน เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกต้อนรับแขก คนเราย่อมเกลียดทุกข์รักสุขด้วยกันทั้งนั้น เรื่องอะไรเราจะไปตกเป็นทาสของอารมณ์ที่เกิดขึ้น ในเมื่อเรารู้อยู่ว่า ถ้าเราออกไปรับอารมณ์ภายนอกก็เท่ากับเราไปยืนอยู่นอกบ้าน รับพายุฝนทั้งเปียกทั้งหนาว เราจะเอาไหม เราก็ไม่เอา เราต้องสลัดทิ้ง แล้วอะไรล่ะที่จะเป็นตัวควบคุมให้เกิดการรู้เท่าทันอารมณ์ ก็สติอย่างไรล่ะ สติเป็นส่วนหนึ่งของจิต แต่เป็นฝ่ายกุศล"
      
       ถามว่าถ้าเราอยากจะถึงนิพพานต้องมีสติขนาดไหน
      
       "เต็มตัวทั่วพร้อมจิตเลยเชียวแหละ"
      
       ท่านสาธยายต่อไปว่า "เจตสิก คือสภาวะอาการของจิต รูปคืออาการปรุงแต่ง ตัดตัวเจตสิกรูปทิ้งก็ถึงนิพพาน"
      
       ถามว่าแล้วทำอย่างไรจะฝึกอย่างไร ถึงจะมีสติเต็มตัวทั่วพร้อม
      
       "ไม่บอก ยังไม่มีอารมณ์ ไม่บอก"
      
       ก็เรายังไม่ลงมือทำอะไรเลย จะไปถามเรื่องที่สูงกว่านั้น ท่านจะไม่ตอบ ภาวะไม่เหมาะ ไม่สอน นี่คือแบบฉบับของหลวงปู่ ถามว่าที่หลวงปู่ให้ฝึกลม ๗ ฐาน เป็นการฝึกสติได้ไหม
      
       "เออ! นั่นแหละ เป็นตัวฝึกสติอย่างดีเลยมึงเอ๋ย"
      
       หลวงปู่ระบายความในใจว่า ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่สมองท่านฝ่อไปมาก โง่ไปเยอะ (ความจริงท่านกำลังด่าสั่งสอนพวกเรา) มาอยู่กับคนถ้ำชุดนี้เป็นพวกปัญญาอ่อน โง่ทั้งนั้น ทำแต่เรื่องงี่เง่า คุยแต่เรื่องไร้สาระ บ้าขายของ ไม่มีใครคุยธรรมะกับท่านบ้างเลย สู้คุณสมเกียรติที่มาเมื่อเช้าก็ไม่ได้ หลวงปู่ต่อว่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรง เพื่อกระเทาะสนิมในตัวเราให้หลุดออก ท่านปล่อยให้ลูกหลานวิ่งเล่นนอกบ้านมานานแล้ว ถึงเวลาที่จะเข้าห้องเรียนศึกษาวิชาธรรมะ เรื่องจิตวิญญาณเสียที
      
       พี่บุญล้อมเรียนถามว่า ทำอย่างไรจึงจะเอาชนะความง่วงเหงา หาวนอนได้ มันเป็นกิเลสตัวร้ายที่เธอต้องต่อสู้กับมันมาช้านาน โดยเฉพาะตอนเช้าๆ แทบไม่อยากลุกจากที่นอนเลย หลวงปู่ไขข้อข้องใจดังนี้
      
       "มันก็ไอ้ประเภทกายพลิก กระดิกเท้า กระดกตูด หัวตูดติดหมอน พวกเณรที่วัดกูเป็นกันเยอะเลย การลุกจากที่นอนมันมีวิธีอยู่ว่า ต้องตื่นทั้งกายและใจ ส่วนใหญ่มันตื่นแต่กาย ใจไม่ตื่น ลุกขึ้นมาแล้วยังเมาขี้ตา ไม่ได้เรื่อง อยู่ที่ใจลูกเอ๊ย อะไรจะมาใหญ่ กว่าใจเป็นไม่มี"
      
       สรุป หลวงปู่ย้ำสติมาก ท่านสรรเสริญสติเหนือสิ่งอื่นใด เมื่อมีสติ เราจะไม่มีการคิดผิด พูดผิด ทำผิด เมื่อเราทำอะไรไม่ผิดนั่นคือ สมาธิ ปัญญา ไม่ต้องพูดถึงอีกแล้ว มันเป็นสูตรสำเร็จอยู่ในตัว โยนตำราทิ้งได้เลย การสนทนาธรรมในคืนนี้ก็จบแค่นี้
      
       เย็นวันศุกร์ที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ขึ้นถ้ำกับเปี๊ยก ลูกชายคนกลาง ถึงถ้ำมืดแล้ว หลงปู่นั่งที่ลานหินโค้งเงียบๆ แต่ผู้เดียว ผู้คนเพิ่งกลับบ้าน เอาภาพศิลป์ยันต์สวัสดิกะที่เปี๊ยกทำมาให้ดูโดยเห็นยันต์ของหลวงปู่เวียนขวา ลูกชายเผลอทำเวียนซ้ายซึ่งหลวงปู่บอกว่าเวียนซ้ายก็มีถือว่าประทานพร เวียนขวาปราบมาร ท่านใช้ให้เอาไปไว้ในถ้ำหน้าโต๊ะหมู่บูชา
      
       สนทนากับหลวงปู่หลายเรื่อง ลูกศิษย์ลูกหาหลายคนที่ขึ้นมาหาหลวงปู่มีหลายประเภท บางคนตั้งใจมา บางคนตามคนอื่นมา บางคนศรัทธาจริงใจ บางคนหวังผลประโยชน์มากบ้างน้อยบ้าง พอไม่ได้ดังใจก็หายหน้าไป แต่ท่านไม่ยินดียินร้ายอะไร ใครจะไป ใครจะมาก็ช่างเถิด บางคนเรียนสูงและมีมานะมาก ท่านอธิบายว่า พวกนี้เหมือนแมวหมากลัวขนร่วง คนเรียนสูงทำไมจะโง่กว่าเด็กเลี้ยงควายไม่ได้ คนเรายิ่งสูงยิ่งต้องทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตน พวกมีทิฐิมาก พอตักเตือนเข้าก็โกรธ
      
       ท่านลงท้ายว่า "มีพ่อแม่ที่ไหนบ้างที่ด่าลูกด้วยความเกลียด"
      
       ฉันขอคำปรึกษา (เป็นครั้งแรก) จากหลวงปู่เรื่องพี่สาวคนโตอายุประมาณ ๖๐ กว่า เธอป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง รักษามา ๙ ปีเต็มๆ อาการไม่ดีขึ้นเลย ตอนนี้เป็นก้อนคล้ายๆ เนื้องอกขึ้นตามตัว หลวงปู่ออกความเห็นว่า
      
       "ระวังนะ หมอสมัยนี้บางทีอย่าไปเชื่อมันนัก มันเคยวินิจฉัยผิดๆ เหมือนกัน ไม่รู้เป็นยังไง เอะอะก็เป็นมะเร็ง คนไข้ตกใจเลยตายห่าไปทั้งๆ ที่ไม่ใช่ อย่างของพี่สาวมึงไปหาหมอที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ตรวจดูอีกทีให้แน่ใจ มันมีอีกอย่างที่คล้ายๆ กัน คือ บางทีร่างกายได้รับเชื้อไวรัสมันจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้าน เกิดเป็นก้อนตามตัว ดูไม่ดีนึกว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เอาอย่างนี้ซิ มึงถามพี่มึงดูว่ามีอาการอย่างไรบ้าง เช่น ตอนเย็นๆ มีไข้ขึ้นหรือเปล่า เบื่ออาหารมั้ย ถ้ามีอาการอย่างที่ว่า นั่นแหละค่อยเชื่อว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง"
      
       เวลาผ่านไปจนใกล้ ๓ ทุ่มกว่า สองคนแม่ลูกพักที่นั่น เช้ามืด ตื่นขึ้นมาจึงทราบว่า เมื่อคืนพี่จรรยากับสุชาตินอนค้างที่นี่เช่นกัน หลวงปู่นอนกุฏิในโดยสละห้องของท่านที่กุฎิ บอกให้พวกแม่ครัวนอน แต่ไม่มีใครนอน ทุกคนเจียมเนื้อเจียมตัว ช่วยกันทำครัว จัดอาหารรับอรุณถวายหลวงปู่และพระภิกษุสงฆ์
      
       สักครู่เมื่อหลวงปู่ออกมา ฉันเข้าไปกราบลา ท่านทำตาโต
      
       "หา! ทำไมจะกลับแล้ว อีห่า"
      
       ฉันชี้แจงว่าต้องเอารถยนต์เข้าศูนย์ตรวจสภาพตามกำหนด พรุ่งนี้วันอาทิตย์ต้องไปถางหญ้าในไร่ซึ่งพ่อสามีเพิ่งออกปากยกให้ (หลวงปู่ได้สอนวิธีรักษาหน้าดินโดยการปล่อยให้หญ้าคลุมบ้าง อย่าถางจนหมด รวมทั้งเรื่องการดูแลสวนด้วย)
      
       ท่านพยักหน้า "เออๆ! ไปเหอะ ธรรมะรักษา" นี่คือคำอวยพร ก่อนลาจากซึ่งหลวงปู่ใช้กับทุกคนจนติดปาก เราถือว่านั่นคือวาจาสิทธิ์จากใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วของพระจริงๆ ถ้าหลวงปู่ทักท้วงไม่ให้ กลับ จงเชื่อ! พวกเรารู้ดีข้อนี้ ประสบพบเหตุกันมาแล้ว ทักแล้วไม่เชื่อ ออกไปเจออุบัติเหตุทุกราย!
      
       เที่ยงวันจันทร์ที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ฉันพาน้องชายและ น้องสะใภ้ของสามีขึ้นถ้ำ หลังจากร่ำๆ มาหลายครั้งแล้ว สองคนนี้ป่วยหนัก น้องชายป่วยเป็นมะเร็งที่คอ น้องสะใภ้เป็นโรคผอมแห้ง จากน้ำหนัก ๖๐ กิโลกรัม เหลือ ๓๐ กิโลกรัม เหมือนผีตายซาก เพราะเธอคิดลดน้ำหนักโดยการกินยา อันตรายมาก ผลจึงออกมาเช่นนี้ ถึงหยุดยาแต่ผลข้างเคียงตามมามากมาย ตอนไปถึงหลวงปู่กำลังนอนพักผ่อนที่เตียงพับในศาลา (ท่านก็ป่วย) ไซนัสกำเริบ ฝนตกอากาศชื้นทีไรหลวงปู่จะมีอาการทันที เราเข้าไปกราบท่าน ท่านถาม
      
       "มาทำไม มีธุระอะไรหรือ"
      
       เรียนท่านว่าพาคนเจ็บมาให้ช่วยดู (หมู่นี้ไม่รู้เป็นอย่างไร มาขอคำปรึกษาแต่เรื่องคนเจ็บ) หลวงปู่วินิจฉัยว่า ฝ่ายหญิงน่าจะเป็นโรคลงแดง (โบราณเขาเรียกอย่างนั้น)
      
       ส่วนฝ่ายชายท่านแนะนำว่ารักษาหมอคนไหนก็ให้รักษาไปอย่าเพิ่งตีตนไป ก่อนไข้ เขาจะฉายแสงหรือฉีดยาก็แล้วแต่ ควรทำให้ครบคอร์ส (หลวงปู่มีความรู้เรื่องการรักษาโรคแบบสมัยใหม่ พอๆ กับแบบโบราณ) ถ้าไม่หายหรือไม่ดีขึ้นก็ค่อยมาว่ากันใหม่ ท่านบอกว่าถึงท่านไม่ได้เป็นหมอแต่ก็พอจะรู้จรรยาบรรณของหมอบ้าง ท่านขอไม่รับรักษาซ้อนกับหมอหรอก สนทนาสักครู่หลวงปู่ให้ไปหยิบน้ำผึ้งในถ้ำมา ๓ ขวดให้น้องสะใภ้ ท่านบอกว่าให้กินดังนี้
      
       ใน ๑ มื้อ ให้กินกล้วยน้ำว้าสุก ๒ ลูก ไข่ต้ม ๑ ฟอง น้ำผึ้ง ๑ ช้อนโต๊ะ กินอย่างนี้วันละ ๓ มื้อ เธอทำหน้าผะอืดผะอมเพราะเกลียดกล้วย หลวงปู่ยื่นคำขาดว่า
      
       "ถ้ามึงยอมกิน กูจะรับรักษาผัวมึง ถ้ากินไม่ได้อย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก หนอย... ถ้ามึงรักผัวมึงจริงต้องกินได้ซีวะ"
      
       เธอรีบรับปาก แต่คิดว่าปฏิบัติตามคงยาก เพราะเธอเป็นคนกินอะไรยากแล้วดื้อด้วย
      
       ฉันถามตรงๆ ว่า น้องชายแฟนจะตายไหม หลวงปู่เอียงคอ มองหน้าเอามือหนึ่งลูบคางของท่านเอง สักครู่ตอบว่า "กูดูๆแล้วไม่เห็นประตูวิญญาณของมันเปิด คิดว่าคงยังไม่ตายหรอก"
      
       ไม่ทราบว่าอันนี้เป็นจิตวิทยาของท่านหรือเปล่าที่ใช้ปลอบประโลมคนไข้ ให้มีกำลังใจต่อสู้กับโรคร้าย อย่างน้อยเขาก็ยิ้มด้วยความสดชื่น ไม่พูดอะไรเลยเพราะพูดไม่ค่อยได้ น้องสะใภ้ถามบ้าง (ด้วยคำถามแบบเดียวกัน) หลวงปู่พูดสะบัดๆ ใส่
      
       "อ๋อ! อย่างมึงนี่ยมบาลลืมเอาไป"
      
       ที่จริงหลวงปู่ไม่รับรักษาใครง่ายๆ หรอก ยิ่งเป็นคนแปลกหน้าด้วย นับเป็นวาสนาของสามีภรรยาคู่นี้ เสียดายเขาไม่ค่อยจะกระตือรือร้นใฝ่หา มีชีวิตลอยชายไปวันๆ โดยเฉพาะน้องชายมองดูเขาไม่สนใจจะมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไป ปล่อยตัวเรื่อยเปื่อย เราก็ไม่คะยั้นคะยอให้เขามาอีก เพราะดูเขาไม่มีเรี่ยวแรงจะปีนถ้ำประมาณ ๑ ปี (ถ้าจำไม่ผิด) เขาก็เสียชีวิตอย่างสงบ ส่วนภรรยายังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ อาการป่วยหายเป็นปกติ อยู่กับลูกสาวคนเดียว แต่เธอไม่สนใจเรื่องวัดๆ เราก็ช่วยได้แค่นั้น
      
       ต่อมาฉันพาพี่สาวซึ่งป่วยเป็นมะเร็งไปหาหลวงปู่ถึงถ้ำ ลูกๆ ของพี่สาวมีความกตัญญูดีมาก แบกแม่ขึ้นบันไดเป็นร้อยๆ ขั้น หลวงปู่แนะนำให้กินเห็ดทุกชนิด ทุกมื้อ ทุกวัน เป็นการล้างพิษ อีกประการอย่าเครียด มิฉะนั้นโรคจะกำเริบ ข้อแรกรับได้ แต่ข้อ สองคงยาก เพราะพี่สาวยังห่วงลูกชายคนเล็ก (อายุ ๑๐ กว่าขวบ) ซึ่งเป็นเด็กไม่เอาถ่าน สร้างปัญหากับพี่ๆ ทุกคน มีพฤติกรรมเหมือนเด็กที่หลวงปู่เรียกว่าเป็นดอกไม้พลาสติก แต่นี่เป็นเพราะ พี่สาวตามใจจนเกินไป ใครๆ แตะต้องไม่ได้ เลยเสียเด็ก
      
       หลวงปู่แนะนำให้พี่สาวปล่อยมือบ้าง อย่าโอ๋ลูกนัก ถ้าเขายังไม่ดีขึ้น ให้ทุกคนในบ้านเลิกบ่น เลิกด่า เลิกสนใจเขา ทำเหมือนไม่มีเขาในบ้าน ถ้าเขาเข้าบ้านตามเวลา กินข้าวตามเวลา ก็ให้เขาร่วมวงได้ ถ้าผิดเวลาก็อย่าเหลืออะไรไว้ให้ หัดให้รู้จักตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบ ถ้าไม่ปรับปรุงตัวก็ปล่อยให้อด ดัดนิสัย เมื่อกลับไปรู้สึกไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะเข้าตำราพูดง่ายทำยาก เข้าข้อเข้ากระดูกเสียแล้ว พี่สาวเป็นคนประเภทชอบแบก ปลงไม่ได้ ชั่วชีวิตของเธอมีแต่ทำมาหากิน หาเงินงกๆ เรื่องอื่นไม่สนใจ ถ้าจะสนใจเข้าวัดก็เป็นประเภทบนบานศาลกล่าว
      
       ๑ ปีต่อมาเธอก็เสียชีวิตอย่างสงบ ก่อนเสียชีวิตทุกครั้งที่เธอทุกข์ทรมานกับอาการปวดท้องอย่างรุนแรง เธอจะดื่มน้ำมนต์ของหลวงปู่อาการปวดจะหายไป บางครั้งเรียกหา "หลวงปู่ๆ" พอมาเล่าให้หลวงปู่ฟัง ท่านบอกว่า "มันฉลาด ยังรู้จักเรียกหากู"
      
       รายสุดท้ายเป็นน้องสาวของสามี (บ้านนี้มีแต่คนขี้โรค ยกเว้นสามีซึ่งแข็งแรงอ้วนท้วนดี) เราพาไปให้หลวงปู่รักษา เผอิญวันนี้ท่านป่วย มีคนไข้จากแดนไกลมาให้ท่านรักษาหลายคน สุดท้าย ท่านก็หมดแรง เราไม่กล้ารบกวนท่านอีก เป็นอันว่าไม่ได้รักษา แต่เธอและครอบครัวก็ยังคงทำบุญร่วมกับกิจกรรมของถ้ำและวัดเสมอมา ถึงไม่บ่อยเหมือนเราสองตายาย แต่นับว่าเธอมีส่วนในกิจกรรมของหลวงปู่มากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ แปลกที่เธออยู่สุขสบายดีตามอัตภาพ ทั้งที่เธอต้องต่อสู้กับโรคที่รุมเร้า กินยาวันเป็นกำๆ จนกระดูกเอย กระเพาะเอยได้รับผลกระทบอย่างมาก ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นโรคอะไร เหนื่อยก็บวม เครียดก็บวม แต่เป็นเพราะเธอใฝ่ธรรมะ เธอจึงชนะโรคร้ายด้วยกำลังใจ คนทั่วไปจะไม่รู้ว่าเธอป่วย ไม่มียาอะไรจะเยียวยาได้ดีกว่าธรรมะอีกแล้ว
      
       จะเห็นว่าผู้ป่วย ๓ รายนี้ มีตอนจบไม่เหมือนกัน สองรายแรกจบชีวิตลงก่อนวัยอันควร เพราะเขาไม่ใฝ่กุศล ไม่ฉลาดในการดำเนินชีวิต แต่รายสุดท้ายดำเนินชีวิตอย่างผู้มีธรรมะในหัวใจ โรคร้ายก็ทำอะไรเธอไม่ได้
      
       วันพุธที่ ๒๕ สิงหาคม สามีไปนิเทศนักศึกษาฝึกงานที่ชะอำเสร็จแล้วถือโอกาสเลยไปถ้ำ เพื่อจะเอาหนังสือแบบเจดีย์ที่คุณ สมเกียรติฝากคุณถาวร (ลูกน้อง) มาทิ้งไว้ที่บ้านเพื่อให้หลวงปู่ดู คราวนี้เขาไปทางหัวหินและสนทนากับคุณไก่และคุณวันเพ็ญ พบคุณสมจิตที่นั่นด้วย สามีชักชวนให้พวกเขาไปหาหลวงปู่บ้าง หลังจากหายหน้าไปนาน คุณไก่มีธุรกิจมาก คุณสมจิตปวดหัวเข่าซึ่งตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้ว พวกเขาตกลงกันว่าจะหาเวลาไปเย็นนี้ สามีไถลที่หัวหินเป็นชั่วโมง จึงบึ่งขึ้นถ้ำ ระหว่างทางแวะคุยกับพี่ยูรที่โรงเรียนหนองซอ ทราบว่าดินซึ่งหัวหน้าศูนย์พัฒนาที่ดินขอจากชลประทาน เพื่อจะเอามาอัดพื้นเขื่อนที่ถ้ำไม่ให้น้ำซึมนั้น ไม่ได้เสียแล้ว ต้องไปขอนุญาตจากผู้อำนวยการเขตที่จังหวัดกาญจนบุรี เรื่องมันยุ่งอย่างนี้พี่ยูรเลยล้มเลิก พี่ยูรบ่นว่าระบบราชการก็เป็นอย่างนี้แหละ ทั้งๆ ที่เราทำประโยชน์ให้ด้วยซ้ำยังมายึกยักอีก น่าโมโห ช่างเถิดนะพี่ยูร หลวงปู่สอนอยู่เสมอว่า
      
       "อุปสรรคและปัญหาทำให้เราฉลาดและรอบรู้มากขึ้น รวมทั้งมีพลังมากขึ้น ถ้าเราสู้ปัญหา ไม่หนีปัญหา ชีวิตคือการต่อสู้ ปัญหาคือการเรียนรู้ ศัตรูคือครูของเรา"
      
       มาถึงเชิงเขาถ้ำไก่หล่นทราบว่าห้องน้ำที่กำลังสร้างมีปัญหาเล็กน้อย คือช่างทิ้งงานไปดื้อๆ เพราะได้งานที่ดีกว่า หลวงปู่ไม่แสดง ความหงุดหงิดอะไร
      
       "มันทำถูกแล้ว เป็นกูก็ต้องเอาทางโน้น มึงคิดดูซิ ได้งานใหญ่กว่า เงินดีกว่า แถมยังใกล้บ้านอีก ไม่ต้องตะกายมาถึงนี่"
      
       คุณแป๊ะ (วุฒิวงศ์ สามีพี่โฉมยง) มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง เพิ่งมาสัมผัสหลวงปู่เมื่อเร็วๆ นี้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับพี่ยูรด้วย รับอาสาพาช่างของเขามาทำจนเสร็จในที่สุด
      
       สามีขึ้นถ้ำกราบหลวงปู่ สนทนาธรรม มีอยู่ตอนหนึ่งท่านสอนว่า "การฆ่าสิ่งใดๆ ไม่ว่าจะเป็นสิงสาราสัตว์หรือแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า ไม่ร้ายเท่ากับการฆ่าเวลา"
      
       สามีเล่าว่าไปแวะหาคุณไก่มา บางทีเย็นนี้เขาอาจจะมากราบหลวงปู่ ท่านเอ็ดว่าไปยุ่งกับเขาทำไม เขาไม่มีเวลาก็ช่างเขาไปเซ้าซี้ อยู่ได้ เดี๋ยวเขาจะเข้าใจผิดคิดว่าหลวงปู่อยากได้อะไรจากเขา
      
       เมื่อพูดถึงเขื่อน หลวงปู่เล่าว่า "กูอั้นฝนไว้หลายวันเพื่อรอดินเหนียวมาลง ตกลงดินก็ไม่ได้ กูจะทำกูเอง ไม่ต้องรอดินเหนียว ฝนก็จะเลิกสกัดกั้นแล้ว"
      
       สามีเอาภาพเจดีย์ให้หลวงปู่เพื่อเลือกรูปแบบ เขาเล่าว่าดูกันอยู่สองคนบนศาลา คุยกันกระหนุงกระหนิงท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ มีแต่เสียงกระดิ่งกังสดาล (ฉันหามาติดสี่มุมหลังคาของศาลา) ดังกรุ๊งกริ๊งยามลมโชยมา เป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากที่สุด ภิกษุหนุ่มกับชายวัยกลางคน เป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดเจือปน ในระหว่างที่กำลังพิจารณาแบบอยู่นั้น ความคิดมโนทัศน์ของหลวงปู่ช่างมีมากมายเหลือคณานับ เพียงเห็นภาพยอดเจดีย์หลวงปู่ก็อธิบายว่า ภาพนี้เป็นภาพที่กินใจ สามารถแสดงพลังได้หลายอย่าง แสดงถึงความมีอำนาจ ความเป็นสง่าราศี ความเฉียบแหลม ความมั่นคงถาวร ความเป็นหนึ่งเดียว ฯลฯ
      
       จากนั้นท่านเลือกรูปแบบเจดีย์ตามสไตล์ของท่าน ใช้ศิลปะร่วมสมัย ฐานกว้าง ๕ ศอก สูง ๙ ศอก ส่วนฐานเป็นแบบรัตนโกสินทร์ กลางเจดีย์เป็นทรงระฆังคว่ำ ปลายเป็นสมัยเชียงแสน มี ๒ แบบ คือ ยอดแหลมกับยอดบัวตูม หลวงปู่ให้ไปเขียนมาก่อนแล้วค่อยเลือกอีกครั้ง
      
       หลวงปู่เคยปรารภไว้เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ท่านฝันเห็นพระพุทธรูปร้องไห้ ทำให้ท่านคิดว่าต้องมีเหตุเพทภัยเกิดขึ้นในแผ่นดินแน่ๆ ขนาดพระพุทธรูปยังร้องไห้ จำต้องทำการมงคลใหญ่สักครั้ง อีกประการหนึ่ง หลวงปู่มีงานที่จะต้องทำอยู่ชิ้นหนึ่ง คือ
      
       หาผู้ที่สืบทอดจิตวิญญาณทางพระธรรม ๑๐ องค์ (หาดวงอาทิตย์ ๑๐ ดวง ท่านว่าอย่างนั้น) แต่หาทั้งแผ่นดินแล้วยังไม่พบเลย หลวงปู่จึงคิดสร้างพระ ๑๐ องค์แทน สร้างมาแล้ว ๙ รุ่น รุ่นที่ ๑๐ จะเป็นรุ่นสุดท้าย ต่อไปจะไม่มีการสร้างอีก ไม่มีการแจกหรือจำหน่าย ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่วัด อีกส่วนเก็บที่เจดีย์ พระที่จะสร้างทั้งหมดมีจำนวน ๙๑๙ องค์ เป็นพระหน้าตัก ๙ นิ้ว ปางประทานพร (พระคันธารราช) กับพระสังกัจจายน์ อย่างละ ๑๕๐ องค์ หน้าตัก ๕ นิ้ว อย่างละ ๑๕๐ องค์ พระกริ่งอวโลกิเตศวร ๓๑๙ องค์
      
       หลังจากดูภาพเจดีย์ในหนังสือเสร็จแล้ว หลวงปู่ให้สามีไปหยิบปฏิทินมาดูว่าเดือนตุลาคมนี้มีวันไหนเป็นวันดีบ้าง เดิมจะเอาวันที่ ๒๔ ธันวาคม แต่ดูแล้วไม่มีฤกษ์การหล่อพระ สามีบอกว่ามีคนเขาอยากจะออกทองคำทำพระองค์ที่สิบ หลวงปู่ตอบว่าคงอนุญาตไม่ได้ เพราะไม่ต้องการให้เป็นเรื่องส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่ง อีกอย่างคุณนพพรรับเป็นผู้ดำเนินงานเรื่องนี้มานานแล้วอีก ๓-๔ วันต่อมาหลวงปู่ปรารภเรื่องแผ่นเงิน แผ่นทอง แผ่นนาค (ของแท้) อย่างละ ๒๓ แผ่น ในการหล่อพระกริ่ง ว่าใคร จะเป็นผู้หามา สามีรับสมอ้างทันที หลวงปู่จึงเอ่ยปากว่าถ้าเช่นนั้นในการหล่อพระกริ่ง ๓๑๙ องค์ จะตัดเศษ ๑๙ องค์ ยกให้เขาเป็นการตอบแทน
      
       ย้อนกลับมาเรื่องเดิม ตอนทำวัตรเย็นฝนตกลงมาห่าใหญ่ พอสวดเสร็จฝนหยุดตก คุณไก่ คุณวันเพ็ญและคุณสมจิต มา กราบหลวงปู่ หลวงปู่ทักว่า "นั่นตัวอะไรมาวะ" จากนั้นท่านก็สนทนา ด้วยความเอื้ออาทร ไม่มีทีท่าจะไม่พอใจที่พวกเขาหายหน้าไปนาน แรกๆ พวกเขาก็ทำท่ากระดากเหมือนกัน พอเห็นหลวงปู่ไม่ว่าอะไร ความคุ้นเคยค่อยกลับคืนมา
      
       หลวงปู่สนทนาธรรมซึ่งสามีถ่ายทอดให้ฟังเท่าที่จำได้
      
       "การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือแม้แต่การฆ่าพระสงฆ์องค์เจ้า ยังไม่ร้ายเท่ากับการฆ่าเวลา คือ ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ มิได้ทำอะไรให้เป็นแก่นสาร เป็นคุณประโยชน์แก่ชีวิตส่วนรวมและผืนแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่ แต่ยังไงก็ตามทีเถอะที่ร้ายยิ่งกว่านี้ คือ การเรียนรู้ด้วยการจำแล้วนำไปสอนทั้งๆ ที่ตนเองยังไม่ได้ทำหรือทำไม่ได้ รู้นิดรู้หน่อยแล้วฝอยเป็นเข่ง พูดถูกพูดผิด พาพวกไปติดร่างแห นี่ซิยิ่งร้ายกว่ามาก เป็นการทำลายธรรมะ เรียกว่า ฆ่าพระธรรม"
      
       คืนนั้นในถ้ำมีสามี พี่ยูร พี่แป๊ะ คุยกันจนดึกดื่น ท่ามกลาง แสงตะเกียงและเปลวไฟจากเทียนริบหรี่ๆ เห็นจะไม่พ้นเรื่องปาฏิหาริย์ และบารมีของหลวงปู่ สามีไม่ได้เตรียมตัวค้างแต่เห็นว่าดึกแล้ว ฝนก็ตก จึงตัดสินใจนอนในถ้ำ พี่แป๊ะให้ที่นอนแบบที่ฝรั่งใช้เวลาอยู่แคมป์เป็นถุงสอดตัวเข้าไป เรื่องค้างถ้ำของ ๓ คนมีวีรกรรมที่หลวงปู่เล่าล้อเลียนมาจนทุกวันนี้ นอนกรน! เจ้าประคุณเอ๋ย ครอก...ฟี้! ครืด! เป็นจังหวะ ๓ ช่า ถ้าได้พี่เฉลิมชัยมาสมทบอีกคนจังหวะจะลงตัวกว่านี้ รายนั้นกัดฟัน ครอก! ฟี้! ครืด! กรอด!
      
       ครั้งหนึ่งหลวงปู่ป่วยหนัก บรรดาลูกศิษย์นักกรนและกัดฟันทั้งหลายอาสามานอนหน้ากุฏิเพื่อดูแลรับใช้ ปรากฏว่าหลวงปู่ไม่ได้หลับเลยทั้งคืน ท่านต้องลุกขึ้นมาฟังลูกศิษย์ก้นกุฏิทั้งหลายกรน กัดฟันประสานเสียงแข่งกัน ท่ามกลางขุนเขาในไพรกว้าง
      
       ท่านยกมือทาบศีรษะปลงอนิจจังว่า "นี่พวกมึงจะมาเฝ้ากูหรือให้กูเฝ้าพวกมึงกันแน่วะ"
      
       ตื่นเช้าขึ้นมาคนไข้แย่ แต่คนเฝ้าสดชื่น แถมทำไม่รู้ไม่ชี้อีกต่างหากว่าได้สร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้ หลวงปู่ประชดว่า
      
       "เฮ้ย! พวกมึงช่วยดูเสากุฏิหน่อยซิวะ ว่ามันขาดหรือยัง ขาดไปกี่ต้น ไอ้ชิบหาย! ทั้งเคี้ยวฟันทั้งกรน โยนข้ามกันไปมา ถ้าเป็นดาบก็เฉี่ยวเสากุฏิกูขาดเป็นแถบแน่ๆ นี่แหละน้าคนหลับแล้วไม่มีสติ"
      
       นอกจากเรื่องกรนจนเป็นที่เอือมระอาของหลวงปู่แล้ว อีกเรื่องที่ท่านท้วงบ่อยๆ คือ "การตด! " โดยเฉพาะผู้ที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องนี้ คือ หลวงพี่ทิฟฟี่ หลวงพี่ถือธรรมเนียมฝรั่ง คือ เปิดเผย ถือว่าตดเป็นเรื่องของธรรมชาติ บ่อยครั้งที่หลวงปู่กำลังสนทนากับญาติโยมในศาลาจะมีเสียงประหลาดๆ ดังแทรกขึ้นมาเสมอ มีทั้งเสียงแหลม เสียงทุ้ม เสียงยาว เสียงสั้นสหลวงปู่จะเอะอะจนฉันทักว่าสเรื่องตดแค่นี้ทำไมหลวงปู่ต้องใส่ใจไป ได้ เป็นเรื่องธรรมด๊า ธรรมดา
      
       ท่านตอบทันทีว่า "ก็กูไม่เห็นตดเลยนี่"
      
       "อ๊าว! หลวงปู่ใช่คนธรรมดาที่ไหนเล่า"
      
       "หา! แล้วมึงว่ากูเป็นอะไรถ้าไม่ใช่คน" พวกที่นั่งฟังจะหัวเราะ จนงอหาย (โปรดทราบ... ฝึกลม ๗ ฐาน สำเร็จจะไม่ผายลมจ้า!)
      
       คุณวิเศษของลม ๗ ฐาน ยังมีอีกมากมาย เช่น ล่วงรู้เรื่องราว ของผู้อื่น เรียกว่า หูทิพย์ ตาทิพย์ เช่น
      
       มีคนมาตามหาอีแหมบที่ตีนบันไดถ้ำ บอกว่าเป็นญาติ ฉันช่วยตามให้ พออีแหมบลงไป หลวงปู่บอกฉันว่า "ญาติที่ไหนกัน เจ้ามือหวยมาทวงหนี้ อีห่า! แทงหวยแล้วค้างเงินเขา ให้เขาต้องมาตามทวงถึงถ้ำ"
      
       ฉันฟังแล้วงงๆ พออีแหมบขึ้นมาหลวงปู่ก็ทักประโยคเดิม อีแหมบหาว่าฉันบอกหลวงปู่ ฉันบอกว่าไม่รู้เรื่องจริงๆ หลวงปู่พูดเอง ท่านคาดคั้นอีแหมบ อีแหมบแก้ตัวว่าเขามาทวงค่าข้าวสาร (เธอเปิดร้านของชำ) หลวงปู่เข่นเขี้ยว "ยังมีหน้ามาโกหก" หล่อนเลยต้องรับสารภาพเสียงอ่อยว่าจริง พร้อมกับทำหน้าทึ่งที่หลวงปู่รู้เรื่อง นี้โดยไม่มีใครบอก ตอนนั้นเรายังไม่รู้ฤทธิ์เดชของท่าน
      
       เรื่องต่อไป สามีลงไปข้างล่างตั้งแต่เช้ามืดเพื่อจะไปขยับ รถยนต์เข้าที่ร่ม แล้วหายเงียบไปเลย พอหลวงปู่ออกมาจากุฏิใน ฉันเรียนท่านด้วยความกังวลว่า ป่านนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับเขา ข้าวก็ยังไม่ได้กิน ท่านบอกว่า "ไม่ต้องเป็นห่วง มันไปหาไอ้ยูร ข้าวปลา อาหารมันก็กินบ้านไอ้ยูรนั่นแหละ เดี๋ยวก็มา" ฉันเข้าใจว่าท่านปลอบ แต่ก็นั่งรอเขาด้วยความกระวนกระวาย ปากก็ถามท่านต่อไป อีกว่า "หลวงปู่รู้ได้อย่างไรคะ เขาบอกหลวงปู่เหรอ"
      
       ท่านส่ายหน้า "เอาเถอะ เดี๋ยวมันมามึงก็ลองถามมันดูซีว่าจริงมั้ย" ว่าแล้วท่านก็ฉันข้าวเฉย สักครู่สามีกลับมาพร้อมพี่ยูร ฉันรี่เข้าไปถามทันที "ไปไหนมา"
      
       "อือ! ไปขยับรถ คิดๆ อีกทีไปตลาดดีกว่า เลยไปหาครูยูร"
      
       "กินข้าวมาแล้วยัง"
      
       "เรียบร้อยแล้ว กินที่บ้านครูยูรนั่นแหละ"
      
       "พี่บอกหลวงปู่เหรอก่อนไปน่ะ"
      
       "เปล่า ตอนนั้นยังเช้าอยู่ไม่เจอใครเลย ทีแรกคิดจะไปหัวหิน ด้วยซ้ำ นึกๆ อีกทีแวะบ้านครูยูรดีกว่า" ประหลาดไหมที่หลวงปู่รู้รายละเอียดและถูกต้องทุกประการ