"การที่ผมส่งพวกท่านไปธุดงค์ในครั้งนี้ นอกจากจะไปฝึก หัดดัดกาย วาจา ใจและเรียนรู้แสวงหาประสบการณ์ทางวิญญาณ จากครูที่ซึมสิงอยู่ในธรรมชาติแล้ว ผมยังมุ่งหวังเพื่อจะให้พวกท่าน ไปช่วยกันประกาศพระศาสนา โดยวิธีที่พวกท่านแต่ละคนถนัดชัดแจ้งในอรรถธรรมและพยัญชนะนั้นๆ แต่ถ้าพวกท่านไม่สามารถแสดงความรู้ ความเข้าใจ ของพวกท่านให้ ชาวบ้านเค้าได้รับรู้ได้ พวกท่านก็ต้องทำตัวเป็นผู้รักษาตระกูลของพวกเราชาวศากยบุตร ด้วยวิธีสงบสำรวมกายวาจาใจในอิริยาบถทั้งหลาย ไม่ว่า จะยืน เดิน นั่ง นอน ขี้ เยี่ยว หรือฉันเมื่อพวกท่านปฏิบัติได้ดังนี้ พวกท่านมิต้องไปประกาศคุยโวว่าเป็นศิษย์ของใคร สำนักไหน เป็นสาวกของศาสนาใด มหาชนผู้คนทั้งหลายทั้งไกลและใกล้เมื่อเห็นกิริยาอาการของพวกท่าน ก็จักพากันเลื่อมใสศรัทธา มาเข้าใกล้พูดคุย สอบถามพวกท่านเองแต่ถ้าใครคิดว่าจะออกเดินธุดงค์ไปเพื่อเที่ยวเล่น ด้วยความรู้สึกคึกคะนอง พักผ่อน หรือแสวงหาเอกลาภ แล้วละก็ จงอย่าทำ ในเมื่อพวกท่านมิได้สร้างก็อย่ามาทำลายศาสนธรรมนี้ มันเป็นความผิดบาปอย่างร้ายแรงทีเดียว"
      
       จากนั้นท่านก็ได้แจ้งต่อไปว่าหลังจากไปอนุเคราะห์ชาวบ้าน เสร็จแล้ว เราจะออกธุดงค์กัน โดยครั้งนี้เราจะไปพักปักกลดอยู่ที่ ถ้ำรังเสือ ให้เตรียมเครื่องบริขารที่จำเป็นสำหรับธุดงค์ไปให้พร้อม แล้วท่านก็สั่งให้แยกย้ายกันไปทำงานต่อ สำหรับข้าพเจ้าและเพื่อนๆ เณรรวมทั้งพระใหม่ ต่างรู้สึกตื่นเต้นกับเหตุ 2 อย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ คือการรับกิจนิมนต์ไปฉันอาหารในบ้านชาวบ้าน และการออกเดินธุดงค์ไปอยู่ถ้ำ ต้องยอมรับว่า พวกเรายังไม่เคยสัมผัสมาก่อน เหตุเพราะตั้งแต่มาอยู่กับหลวงปู่เป็นปีๆ ท่านไม่เคยรับกิจนิมนต์ที่ไหน ไม่ใช่ไม่มีใครมานิมนต์ มีคนนิมนต์แต่ท่านไม่รับ ท่านจะสอนพวกเราเสมอว่า "เราเป็นผู้ออกจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว เหตุใดๆ ที่จะทำให้ไปสู่เรือนพึงละเสีย"
      
       ประการที่สอง เรื่องออกธุดงค์ไปอยู่ถ้ำ มันเป็นความแปลก ใหม่ ที่พวกเรายังไม่เคยสัมผัส ต่างก็วาดมโนภาพกันไปต่างๆ นานา ตามสุดแต่จิตจะปรุงแต่ง พอรุ่งเช้ามีรถตู้จากราชบุรีโดยคุณสมหมายเจ้าของโรงโอ่งดินทองเป็นผู้นำมา รับหลวงปู่และพวกเราไปฉันเพลที่โรงงานของเค้า ซึ่งมีพระที่ติดตามหลวงปู่ไป 3 องค์คือ หลวงตาสนิท พระดำรง พระไพศาล พร้อม ด้วยข้าพเจ้าและเพื่อน เณรอีก 3 องค์ เมื่อไปถึงก็มีชาวบ้านมาคอยต้อนรับท่านเป็นจำนวนมาก เสร็จจากการถวายน้ำแล้วท่านก็สั่งให้เจ้าของบ้านจุดธูปเทียน บูชาพระรัตนตรัย และประเคนสายสิญจน์กับบาตรน้ำมนต์ พร้อมกับหลวงปู่ได้แจ้งให้เจ้าของบ้าน และญาติโยมได้รับรู้ว่า
      
       วันนี้ไม่ให้ศีล ไม่สวดมนต์นะจ๊ะ เพราะไม่ค่อยสบายเพิ่งจะ ฟื้นไข้ อีกอย่างทุกคนที่มานั่งกันอยู่ที่นี่ ต่างก็มีศีลกันทุกคนแล้ว อย่างน้อยก็ความละอายชั่ว กลัวบาป ถึงได้พากันมาทำบุญ
      
       หลวงปู่ท่านอธิบายว่า "ศีลมีสองชนิด คือ ศีลปริยัติ และศีลปฏิบัติ ศีลปริยัติคือศีลที่ท่องจำ เรียนรู้จากนักบวชที่เป็นผู้สอน ส่วนศีลปฏิบัติคือความละอายชั่ว กลัวบาป ซึ่งมีอยู่ในกมลสันดานและจิตวิญญาณของตน ถ้าบุคคลใดมีความละอายชั่วเค้าจะไม่กล้าแม้แต่จะคิดที่จะเบียดเบียนตนและคน อื่นให้เดือดร้อน ไม่กล้าที่จะล่วงเกินกล่าวร้ายให้บุคคลใดให้เกิดความเสียหาย สรุปรวมความก็คือผู้มีศีล คือผู้เคารพยอมรับในสิทธิ์ของกัน และกันอย่างถูกต้อง ถ่องแท้ ผู้มีความละอายชั่ว กลัวบาป คือผู้ที่ไม่คิดที่จะละเมิดในศีลข้อใดๆ ได้เลย"
      
       ต่อจากนั้นหลวงปู่ท่านก็ฉันน้ำ แล้วส่งสายสิญจน์ต่อให้พระเณร พร้อมกับบอกให้พระเณรนั่งแผ่เมตตาในใจ และทำสมาธิ เวลาล่วงเลยไปประมาณ สัก 40 กว่านาที ท่านก็ให้สัญญาณเลิก แล้วฉันเพล พอฉันเสร็จตอนจะพรมน้ำมนต์ให้ญาติโยม ซึ่งจริงๆ แล้วท่านไม่ค่อยนิยมรดน้ำมนต์ แต่เจ้าภาพขอร้องให้ท่านพรม ท่านก็เลยบอกให้เจ้าภาพเปิดฝาบาตรน้ำมนต์ ซึ่งเจ้าภาพเตรียมมา เพื่อที่จะถือเดินตามท่านไป เพราะญาติโยมมากันมาก ท่านเกรงว่าจะพรมไม่ทั่วถึง คุณสมหมายก็ถือบาตรน้ำมนต์เดินตามหลวงปู่ จนท่านพรมน้ำมนต์ทั่วแล้ว ท่านก็ขอตัวเข้าห้องน้ำ"
      
       คุณสมหมายรับกำหญ้าคาที่พรมน้ำมนต์มาเก็บพร้อมบาตรน้ำมนต์ แล้วก็พูดขึ้นว่า "แปลกนิ พวกเรามาดูซิ พร้อมกับส่งบาตรน้ำมนต์ให้ชาวบ้านดู แล้วกล่าวว่า ตอนผมเตรียมบาตรน้ำมนต์ผมได้ล้างอย่างดีแล้วจึงใส่น้ำปิดฝายกมาประเคนท่าน ซึ่งในบาตรไม่ได้มีหยดเทียนอยู่เลย และเมื่อครู่หลวงปู่ท่านก็ไม่ได้จุดเทียน แต่ทำไมกลับมีน้ำตาเทียนอยู่เต็มไปหมดในบาตรน้ำมนต์" และคุณสมหมายก็ขนลุกพร้อมกับชาวบ้านต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันเป็นที่อัศจรรย์ เวลาต่อมาคุณสมหมายได้มาส่งพวกเรา เพื่อจะไปธุดงค์ต่อ ในขณะที่เดินทางเมื่อพวกเราเดินทางผ่าน ณ ที่ใดหลวงปู่ท่านก็จะทำหน้าที่แนะนำและบอกสถานที่ให้พวกเราได้รู้ พวกเราเดินทางผ่านเขางู ผ่านค่ายทหารช่างเขากรวด ซึ่งตอนนั้นลูกศิษย์ของหลวงปู่ที่เป็นเจ้ากรมทหารช่างได้ นิมนต์ให้แวะพักฉันน้ำ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ค่าย ท่านเจ้ากรมนิมนต์ท่านให้เข้าไปยังตึกกองบัญชาการ หลวงปู่บอกว่า ไปพักที่ถ้ำจปร. ดีกว่าจะได้ไม่วุ่นวาย ที่ถ้ำนี้สมเด็จพระปิยมหาราช พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้า ท่านได้เคยเสด็จประพาสมาแวะพัก และได้ลงลายพระหัตถ์ไว้ในถ้ำเป็นที่ระลึก พวกเราได้พักชั่วครู่ ก็มีเหล่านายทหารและครอบครัวมากราบนมัสการหลวงปู่มากมาย ท่านเมตตาสนทนาด้วย พร้อมทั้งแสดงธรรม โปรดครอบครัวทหารนั้นเป็นเวลาพอสมควร แล้วก็เดินทางต่อ เที่ยวนี้ท่านเจ้ากรมทหารช่างขออนุญาตหลวงปู่และคุณสมหมาย ขอให้มีโอกาสได้บุญบ้าง โดยท่านจะขับรถตู้ของท่านไปส่งพระเณรทั้งหมดเอง คุณสมหมายกล่าวแก่ท่านเจ้ากรมว่าไม่ขัดข้อง และขออนุโมทนาด้วย ส่วนหลวงปู่ท่านเฉยๆ ท่านเจ้ากรมก็สั่งให้ทหารช่วยกันขนของย้ายจากรถคุณสมหมายมาไว้รถท่านเจ้ากรม แล้วพวกเราก็เดินทางต่อ จากค่ายทหารไปสู่เขากรวด มาถึงเทือกเขาประทับช้าง และถ้ำเขาบินซึ่งถ้ำกับเขาลูกนั้นอยู่ตรงกันข้ามกัน โดยมีถนนเป็นแนวกั้นกลาง พอถึงตรงนี้หลวงตาสนิทได้ชี้ให้ข้าพเจ้าและเพื่อนเณรได้ดูขุนเขาประทับช้าง และก็ บอกว่าหลวงปู่เคยพาท่านและพระใหม่อีก 60 องค์ มาธุดงค์อยู่ที่นี่ ซึ่งท่านได้เล่าว่า ท่านและเพื่อนพระใหม่ทั้ง 60 รูป หลวงปู่เป็นผู้บวชให้ โดยมีจุดมุ่งหมายบวชเพื่ออุทิศถวายเป็นพระ ราชกุศล แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ห้าธันวามหาราช หลังจากบวชแล้ว หลวงปู่ก็พามาปักกลดธุดงค์อยู่ที่ถ้ำสิงโตทองเพื่ออบรมสั่งสอนอยู่ประมาณ 1 เดือน แล้วหลวงปู่ก็พาพระใหม่พร้อมหลวงตาสนิท เดินธุดงค์มายังเทือกเขาประทับช้าง ขณะที่ปักกลดพักอยู่ที่นี่ หลวงปู่ท่านจะพร่ำสอนอยู่เสมอว่า "ขอให้รักษาจริยาของสมถะ ซึ่งแปลว่าผู้สงบ โดยเพียรพยายามรักษาจิตของตน ให้พ้นจากเครื่องเศร้าหมอง" แต่พระเณรก็ไม่ค่อยเชื่อฟังท่าน เวลาว่างก็มักจะเอาแต่จับกลุ่มนั่งคุยกันมีแต่เรื่องไร้สาระ
      
       มีอยู่เช้าวันหนึ่ง พอได้เวลาเดินบิณฑบาต หลวงปู่ท่านพูดขึ้นว่า "เรามาดูกันว่าพวกที่จิตไม่สงบ ชอบทำแต่สิ่งไร้สาระ จะได้ข้าวฉันไหม" แล้วท่านก็จัดให้พวกชอบคุย ไปรวมกันอยู่ต่างหาก พร้อมกับแบ่งสายเดินบิณฑบาต ออกเป็น 6 สาย สายละ 10 รูป หลวงปู่ท่านเดินบิณฑบาตของท่านองค์เดียว โดยท่านลัดเลาะเดินออกไปทางหลังเขา พอได้เวลาหลวงตาสนิท พร้อมพระใหม่ที่ออกไปบิณฑบาตโดยแบ่งออกเป็น 6 สาย ก็เดินทางกลับปรากฏว่าพวกที่ไม่เชื่อฟังหลวงปู่ชอบคุยแต่เรื่องไร้สาระกลับ มาพร้อมกับบาตรเปล่า ไม่มีใครใส่ข้าวให้ฉันเลย ส่วนพวกที่ยอมรับคำสอนและเชื่อฟัง มีข้าวเต็มบาตรพร้อมอาหารคาวหวาน สำหรับหลวงปู่นั้น ท่านเดินทางกลับมาพร้อมกับมีข้าวและอาหารคาวหวานเต็มบาตรเมื่อมาถึงที่พัก พร้อมแล้วหลวงปู่ท่านสั่งให้เณรให้สัญญาณ เรียกประชุมเพื่อมาฉันข้าวพร้อมกัน ณ ลานโคนไผ่รวก แล้วท่านก็ถามว่าเป็นยังไงบ้าง ได้อาหารกันครบหมดทุกองค์ไหม หลวงตาสนิทตอบว่าได้ไม่ครบ มีอยู่ 2 สาย คือ สายพวกชอบคุยไม่ได้อาหารเลย หลวงปู่ท่านก็ไม่ว่าอะไร ท่านสั่งให้เณรช่วยกันแบ่งอาหารจากองค์ที่ได้มา เฉลี่ยให้กับผู้ที่ไม่ได้ พร้อมทั้งมาแบ่งจากของท่าน ไปด้วย แล้วพระเณรทุกองค์ก็พิจารณาอาหารพร้อมกับฉัน
      
       หลังจากฉันแล้วหลวงปู่ก็ได้สั่งว่า "ระวังพรุ่งนี้จะอดข้าวอีก นะ ผมเตือนพวกท่านด้วยความหวังให้พวกท่านเจริญในพระธรรมวินัยนี้ มิใช่เตือนเพราะอยากบ่นอยากว่า และมิใช่เตือนเพราะต้องการให้พวกท่านเกลียดผม แต่ถ้าพวกท่านจะเกลียดผม เพราะผมปรารถนาดีต่อท่านก็สุดแท้แต่ท่านเถิด ให้กลับไปคิดดูให้ดี"
      
       หลวงตาสนิทเล่าต่อว่า หลังจากนั้นพระ เณรทุกรูปก็แยกย้ายไปยังที่พักของตน มีพระใหม่บางรูปยังจับกลุ่มพูดคุย และนินทาหลวงปู่ว่า"โถ ที่วันนี้พวกเราไม่ได้ข้าวเพราะไม่ได้ไปสายที่มีคนใส่บาตร ถ้าเราเดินไปในทางที่มีคนใส่บาตร ทำไมจะไม่ได้ข้าว"
      
       หลังจากเวลาฉันผ่านไปแล้วไม่นานนัก หลวงปู่ก็สั่งให้เณรให้สัญญาณ ในการเข้าสู่ความสงบ คือทุกคนต้องไม่พูดไม่คุย ไม่ทำให้เกิดเสียงดัง ให้นั่งสบายๆ แบบผ่อนคลายพร้อมกับพยายามซึบซับ ซึมซาบ กลิ่นอายและ สรรพสำเนียง เสียงของธรรมชาติพร้อมกับเพียรพยายาม เข้าไปสู่ความสงบสันติของจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติให้ได้ แล้วหลวงปู่ท่านก็จะเดินสำรวจตรวจดูพระเณรทุกรูป พร้อมทั้งคอยให้คำแนะนำถึงวิธีการที่ถูกต้อง ก็มีบางรูปที่นั่งหลับสัปหงก เมื่อท่านเดินไปเจอ ท่านก็จะเข้าไปเตือนให้รู้ตัว แต่ถ้ายังไม่หายง่วง ท่านก็จะตรงเข้าไปจับให้นอนราบไปกับพื้น แล้วก็บอกว่าอย่ามานั่งทรมานอยู่เลย นอนลงเถิด หลวงตาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าช่วง เวลาแห่งการบิณฑบาตของวันใหม่ได้มาถึงอีกครั้ง

       เช้าวันนี้ หลวงปู่ท่านพูดว่า "เมื่อวานนี้ผมให้พวกท่านแบ่งเป็น 6 สาย แล้วจัดให้พวกชอบคุยไปรวมกัน แยกเดินไปสองทาง แต่กลับไม่ได้อาหารมา แทนที่จะรู้สึกตัวแต่กลับมาพูดว่า ผมให้เดินไปในที่ที่ไม่มีคนใส่บาตรก็เลยไม่ได้ข้าว วันนี้ลองเปลี่ยนใหม่ ให้พวกชอบคุยเดินไปในสายที่พวกท่านเห็นว่าจะได้ข้าว แล้วให้พวกที่เดินสายที่ได้ข้าวเก่า ย้ายมาอยู่สายของพวกชอบคุย ลองมาดูซิว่า ผู้ที่ไม่ใช่สมณะที่ดีจะมีใครศรัทธาให้ข้าวกิน"
      
       หลวงตาเล่าว่า ตอนที่หลวงปู่พูดดังนี้ ท่านเสียวสันหลังวูบนึกในใจว่า หลวงปู่รู้ได้ยังไงว่าพระพวกนี้พูดอะไรกัน ทั้งๆ ที่ในเวลาที่พระใหม่พูด ท่านก็มิได้อยู่ในที่นั้นด้วย แต่ทำไมท่านถึงได้รู้ได้ หลังจากนั้นทุกรูปก็แยกย้ายกันออกเดินบิณฑบาต ส่วนหลวงปู่ท่านได้เดินไปในทิศเดิม เวลาผ่านไปพระเณรทุกรูปได้เดินทางกลับ ณ ที่พัก แล้วก็ปรากฏว่า ภิกษุช่างพูด 2 กลุ่ม ก็มิได้อาหารมาเลย ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนสายบิณฑบาตแล้วก็ตาม ตรง กันข้ามกับพระเณรที่เดินบิณฑบาตไปในสายของภิกษุช่างพูด ปรากฏว่าได้รับอาหารบิณฑบาตมาอย่างพอเพียงสำหรับตน แต่ไม่พอที่จะแบ่งให้กับผู้อื่น
      
       เช้าวันนี้ดูอากัปกิริยาของภิกษุช่างพูด สงบเสงี่ยมขึ้น คงจะเริ่มรู้สึกตัว สำหรับหลวงปู่นั้น หลังจากท่านกลับมาจากบิณฑบาต และเห็นว่าพระเณรทุกรูปได้กลับมาหมดแล้ว ท่านก็สั่งให้เณรแบ่งอาหารของท่านไปไว้ส่วนกลางและสั่งว่า อย่าพึ่งแจกอาหารให้แก่ พระเณร เพราะอีกสักครู่ใหญ่จะมีชาวบ้านญาติโยมในค่ายทหารเขากรวด จะมาถวายอาหาร พวกเรานั่งคุยกันก่อน ครู่ต่อมาก็มีรถแล่นเข้ามาจอดชายป่าแล้วกดแตร หลวงปู่ได้สั่งให้เณรออกไปรับญาติโยมคณะครอบครัวทหารมาพร้อมกับอาหาร เมื่อต่างหาที่นั่งเป็นที่เรียบร้อยหัวหน้าก็ร้องบอกให้พากันกราบนมัสการ หลวงปู่ และพระสงฆ์ทั้งปวง หลวง ปู่ท่านสั่งว่า "อย่าเพิ่งถวายอาหารเลย ให้นำอาหารพร้อมกับสิ่งที่จะถวายมาวางรวมๆ กันก่อน แล้วพร้อมใจกันกล่าวถวาย เป็นสังฆทาน เป็นทานที่ไม่เจาะจงบุคคลเป็นผู้รับ ญาติโยมจะได้อานิสงส์มาก มีผลมาก ถวายแล้วประเดี๋ยวจะมีเณรจัดแบ่งแจกจ่ายกันในหมู่เอง แต่ถ้าต่างคนต่างถวาย เกิดไปถวายกับนักบวชบางรูปที่ไม่ค่อยจะดี ญาติโยมก็จะได้ผลบุญน้อย ดูจะไม่คุ้ม"
      
       หลวงปู่ท่านกล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อจะเตือนสติให้กับนักบวชที่ช่าง คุย ไม่สำรวม ไม่ใส่ใจต่อการศึกษาฝึกหัดได้รู้สึกตัวว่า อาหารที่ได้มานี้ ชาวบ้านเค้าจัดหามาอย่างยากลำบาก เป็นเพราะความศรัทธาในพระศาสนาและคณะสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จึงยอมสละแบ่งปันบริจาคในส่วนที่ดีเลิศมาถวาย เพื่อความอยู่รอดเจริญในพรหมจรรย์ของคณะสงฆ์ โดยมุ่งหวังว่าจะได้รับคุณงามความดี และผลบุญจากพระสงฆ์ เป็นเครื่องตอบแทน แต่ ถ้าพระสงฆ์สามเณรมิได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ การบริจาคเหล่านั้น ก็ถือได้ว่า เป็นการบริจาคที่สูญเปล่า ไม่ได้ผลตอบแทนอะไรนัก
      
       หลวงปู่ท่านพร่ำสอนเสมอว่า ถ้าเป็นนักบวช แล้วไม่ทำหน้า ที่ของนักบวช อยู่ไปก็จะได้ชื่อว่าเป็นกบฎทรยศต่ออุดมการณ์ของพระพุทธเจ้า พระศาสนาและตัวเอง แล้วถ้านักบวชรูปใดกระทำตัวเลวร้ายเช่นนี้ ก็ไม่ควรที่จะเอาเปรียบชาวบ้าน โดยมือตีนยังดี ร่างกายยังแข็งแรง แต่มานั่งคุยนอนคุย ให้ชาวบ้านเขาเลี้ยง มันจะเป็นบาปนัก ท่านเคยสอนว่านักบวชที่ไม่ดีพวกนี้ เขาเรียกว่านักบวชโรคเรื้อน ขณะที่มีชีวิตอยู่ก็จะหาความสงบสุขมิได้ ครั้นเมื่อตายไปแล้วก็จะตกนรกหมกไหม้ เมื่อฟื้นจากนรกขุมนั้นแล้ว ก็จะเกิดเป็นเปรต มีเครื่องนุ่งห่มเป็นเพลิงกรดที่ร้อนแรง เปรตนั้นจะโดนเผาไหม้อยู่เป็นนิจ จนกว่าจะหมดกรรมอันหนัก ครั้นหมดจากอัตภาพกรรมหนักนั้นแล้ว ก็จะมาเกิดเป็นควายไถนาใช้หนี้ชาวบ้านเค้า จนกว่าจะตายไป แล้วถ้ามีบุญติดตัวอยู่บ้างก็จะมีโอกาสเกิดเป็นคน แต่อยู่ในสภาพเข็ญใจ อดยากคับแค้น ขาดปัญญา โดนผู้อื่นล่อลวงหลอกใช้จนตาย ข้าพเจ้าจำได้ว่าหลวงปู่ท่านมักจะสอนเช่นนี้แก่พวกเราพระเณรอยู่เสมอ จนทำให้พวกเราระมัดระวังตัวเองมากขึ้น ไม่กล้าทำอะไรให้ตัวเองต้องรับผลเดือดร้อน หลวงปู่ท่านจะสอนว่า "อย่าอยู่เพื่อจะทำตัวให้ชาวบ้านไหว้ แต่จงอยู่เพื่อจะไหว้ตนเองอย่างสนิทใจ" หลังจากฉันอาหารและหลวงปู่ท่านได้กล่าวสัมโมชนียคาถาพร้อมทั้งให้พรเป็นที่ เรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ท่านสั่งให้พระไปพัก ทำภารกิจส่วนตัว ยังมีญาติโยมนั่งอยู่เพื่อจะสนทนาธรรมกับท่าน แต่ท่านขอตัวไปทำภาระส่วนตัวสักครู่หนึ่ง เพื่อจะเปิดโอกาสให้คุณโยมทั้งหลายได้ทานอาหารที่เตรียมมา ครั้นหลวงปู่ท่านลุกจากที่แล้วหลวงตาสนิทท่านเล่าว่า ท่านได้เดินเข้าไปสนทนากับคุณโยมทั้งหลายพร้อมกับได้สอบถามว่า "โยมมาจากไหน ทำไมถึงได้รู้ว่า มีพระธุดงค์มาพักปักกลดอยู่ที่นี่"
      
       คุณโยมได้ตอบว่า "พวกเค้ามาจากค่ายทหารช่างที่เขากรวด ซึ่งอยู่ติดๆ กับเขางู ที่มาที่นี่ได้ถูกก็เพราะหลวงปู่ท่านเดินไปบิณฑบาตที่ค่ายทุกเช้า พวกเราก็เลยเรียนถามท่านว่าท่านพักอยู่ที่ไหน มาได้ยังไง หลวงปู่ท่านตอบว่าท่านมาพักปักกลดธุดงค์พร้อมกับพระและเณรจำนวน 60 กว่ารูป อยู่ที่เขาประทับช้าง ตรงข้ามเขาบิน พวกเราก็ได้เรียนถามย้ำท่านต่ออีกว่า แล้วพระคุณเจ้ามาบิณฑบาตถึงค่ายทหารที่นี่ได้ยังไง ท่านตอบว่าก็เดินมาซิโยมที่พวกผมถามท่านเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าระยะทางจากเขากรวดมาถึงเขาประทับช้างมันห่างกันตั้งร่วม 50 กิโล แต่ทำไมท่านเดินไปบิณฑบาตได้ทุกวัน แล้วเราก็สงสัยว่าท่านจะเดินมาถึงที่พักได้ทันฉันเพลหรือ เพราะตอนไปบิณฑบาตนั่นก็ร่วม 8 โมงเช้า"
      
       แล้วคุณโยมก็หันมาถามหลวงตาว่า "หลวงปู่ท่านออกเดินบิณฑบาต ตอนกี่โมง"หลวงตาสนิทตอบว่า "ท่านก็ออกพร้อมๆ กับพระเณรทั้งหมด ตอนอรุณขึ้นสว่างแล้ว ดูจะราวๆ 6 โมงเช้า" เพราะเลยไปจากที่พักนี้สักกิโลจะมีบ้านชาวบ้าน หลวงตาไปบิณฑบาตจะได้ยินเสียงชาวบ้านเปิดวิทยุฟังรายการข่าว 6 โมงเช้ายังไม่จบ แสดงว่ายังไม่ถึง 7 โมงเช้า เมื่อหลวงตาสนิท ตอบเช่นนั้น คุณโยมทั้งหลายก็หันมามองหน้ากันและกันแล้วก็หันมาคุยกับหลวงตาต่อว่า "พวกผมเห็นแปลก และสงสัยว่าหลวงปู่ท่านไปบิณฑบาตถึงเขากรวดได้ ยังไง และจะมาดูว่า ท่านมาถึงที่พักตอนกี่โมง จะทันฉันอาหารหรือไม่ วันนี้วันหยุดพวกผมก็เลยนัดกันมาพิสูจน์พร้อมกับนำอาหารมาทำบุญด้วย" หลวงตาก็ถามว่า "อ้าว คุณโยมมิได้บอกท่านหรือว่าจะมา" โยมตอบว่า "เปล่าครับ พวกเราไม่ได้บอกท่านว่าจะมา" หลวงตาพูดว่า "เอ แต่ทำไม ท่านถึงได้สั่งให้พวกพระเณรนั่งรอโยมก่อน อย่าเพิ่งฉัน แถมยังสั่งเณรให้ไปคอยรับโยมอีก แปลกดีนะ" พอดีการสนทนาต้องยุติลงเพราะหลวงปู่ท่านเดินกลับเข้ามาพอดีพวกโยมทั้งหลาย ได้หันไปกราบหลวงปู่อย่างพร้อมเพรียง แล้วท่านก็ได้ ถามขึ้นว่า "ทานอิ่มกันแล้วหรือ มัวแต่คุยกับหลวงตา เลยไม่ได้กินข้าวเลยซิท่า"
      
       คุณโยมก็หัวเราะ แล้วตอบท่านด้วยความนอบน้อมว่า "กระผมทานกาแฟมาก่อนที่จะมาทีนี้แล้วละครับ"
      
       ท่านก็เลยเตือนว่า "มันไม่ดีรู้ไหมคุณ อาหารมื้อเช้า เป็นมื้อสำคัญยิ่ง เพราะร่างกายต้องการพลังงานจากอาหารมื้อแรกของวันใหม่อย่างมาก เมื่อคุณไม่กินอาหาร แต่ดันไปกินสารที่เป็นพิษเข้าไปสะสมนานๆ เข้า จะเป็นโทษแก่ร่างกาย อาจจะทำให้เป็นโรคกระเพาะ โรคลำไส้ โรคมะเร็ง โรค หัวใจ โรคความดัน พร้อมโรคอ่อนเพลียเพราะขาดอาหารได้ อาจจะทำให้สมองเสื่อม ความจำเสื่อม หลงลืมง่าย และจะยังอีกหลายโรคตามมา"
      
       มัวแต่คุยกับหลวงตาเพลิน รถได้มาถึงถ้ำสิงโตตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พอรถจอดพวกพระเณรลงจากรถแล้ว หลวงปู่ท่านบอกว่า พวกเราจะพักอยู่ที่ ถ้ำสิงโตทอง นี่สักพักหนึ่งก่อน แล้วค่อยเดินไปที่ถ้ำรังเสือ ท่านบอกให้พวกเราเอาของลง แล้วก็หันไปพูดกับท่านเจ้ากรมและผู้ติดตามว่า "ขอบใจมากนะที่มาส่งผู้ให้ความสะดวกและทางแก่ผู้เจริญ ย่อมได้ความสะดวก และทางที่เจริญด้วย" ท่านเจ้ากรมทหารราชบุรรีพร้อมกับผู้ติดตามได้รับสาธุ แล้วนั่งคุกเข่ากราบเท้าท่าน ท่านจึงใช้มือลูบหัวด้วยความเอ็นดู
      
       หลังจากที่พวกเราพักอยู่ที่ถ้ำสิงโตทองได้ 5 วัน หลวงปู่ได้ สั่งให้พระเณรเตรียมเก็บกลดเพื่อจะเดินทางไปพักอยู่ที่ถ้ำรังเสือ พวกเราเดินทางมาถึงถ้ำรังเสือก็บ่ายแก่ๆแล้ว หลวงปู่ท่านชี้ตำแหน่งให้พระเณรแยกย้ายกันไปปักกลด ส่วนหลวงปู่ท่านแยกไปปักกลดอยู่หน้าปากถ้ำ แล้วสั่งว่า เมื่อปักกลดจัดทำที่อยู่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ไปหาน้ำสรง ซึ่งมีบ่อน้ำอยู่ข้างเขาท่านก็ไปสรงน้ำด้วย หลังจากสรงน้ำเสร็จแล้ว ทุกรูปก็มาพร้อมกัน ที่หน้าถ้ำ แล้วหลวงปู่ท่านก็นำสวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา แล้วท่านได้เล่าถึงประวัติของถ้ำรังเสือให้พวกเราฟังว่า
      
       สมัยก่อนแถวนี้ยังเป็นป่าทึบ และยังมีบ้านเรือนชาวบ้าน ซึ่ง ปลูกกันอยู่ห่างๆ มีเสือแม่ลูกอ่อนมาอาศัยอยู่ ณ ถ้ำนี้ และมันชอบเข้าไปในบ้านคนเพื่อจะไปคาบเอาสัตว์เลี้ยงของชาวบ้าน มาให้ลูกมันกินอยู่เสมอ จนชาวบ้านต่างก็เกรงกลัวเสือแม่ลูกอ่อนตัวนี้ตามๆ กันและเป็นที่โจษจันกันว่าเขาลูกนี้คงจะมีถ้ำ ที่เสือสามารถอยู่ได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามาในเขตเขาลูกนี้ จนมีผู้คนอพยพมาหาที่ทำกินเพิ่มมากขึ้น แม่เสือและลูก จึงได้ทิ้งรังแล้วหนีไปอาศัยอยู่ในป่าลึก นอกจากนั้นถ้ำแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของพวกมอญที่อพยพหนีสงคราม สมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะภายในถ้ำ ยังมีเศษภาชนะดินเผา พร้อมเครื่องใช้อยู่กระจัดกระจายทั่วไป และยังมีโครงกระดูกมนุษย์ อยู่ปะปนกับขี้ค้างคาว หลวงปู่ยังเมตตาเล่าให้พวกเราฟังว่าถ้ำแห่งนี้ ยังมีความสำคัญที่เกี่ยวกับศาสนา คือพระมหาโพธิ์สัตว์ 5 พระองค์ได้ใช้ถ้ำแห่งนี้เป็นที่บำเพ็ญบารมี จนสำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วท่านก็สั่งว่าก่อนจะนอนให้ทำสมาธิและแผ่เมตตาให้แก่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งอุทิศให้แก่ เจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าทุ่ง เจ้าที่ เจ้าท่า แล้วในขณะที่นอน ถ้ามีเสียงเรียกก็ห้ามออกจากกลด ถึงแม้เสียงนั้นจะเป็นเสียงของหลวงปู่ก็ตาม พร้อมทั้งท่านสั่ง ให้พระเณรนำทรายที่ใต้ที่นั่งของท่านไปโปรยล้อมกลดทุกองค์
      
       คืนแรกที่นอนในกลด ตอนกลางคืนมืดและเย็นมาก เป็นช่วงเดือนธันวา หน้าหนาวพอดี ดูช่างเป็นคืนที่ทรมานมาก เพราะหนาวนอนไม่ค่อยหลับ บวกกับความหวาดกลัวที่ได้ยินเสียงสัตว์บางชนิดร้องด้วย จนรุ่งเช้าหลวงปู่ท่านนำพวกเราออกเดินบิณฑบาต ตอนแรกขณะที่เดินผ่านหน้าบ้านชาวบ้านพวกเค้ายังมิได้เตรียมอาหารเอาไว้ใส่ บาตร พอพวกเค้าเห็นพระเณร เดินบิณฑบาตมากันเป็นแถว ก็พากันร้องบอกแก่กันและกันให้รู้แล้วก็ออกมาบอกพวก เราว่า "เดี๋ยวนิมนต์เดินมาโปรดตอนขากลับด้วยนะครับ พวกชาวบ้านจะได้เตรียมอาหารได้ทัน" หลังจากชาวบ้านญาติโยมตามบ้านต่างๆ พากันออกมานิมนต์ให้พระแวะมาโปรดตอนขากลับ หลวงปู่ท่านได้นำพวกเราเดินออกมาจากถ้ำได้ระยะทางประมาณ 2 ถึง 3 กิโลเมตร ตอนแรกๆที่ออกบิณฑบาต ก็มีความวิตกอยู่ในใจว่า วันนี้จะได้อาหารไหมหนอ เพราะเดินออกมาจากถ้ำตั้งนานแล้วยังไม่เจอบ้านคนเลย แต่อีกใจหนึ่งคิดว่า ไม่เป็นไรน่ามากับหลวงปู่คงจะไม่อด เพราะทราบว่าท่านเป็นเครื่องหมายของความอุดมสมบูรณ์ ด้วยเหตุที่ว่า ทุกครั้งที่เห็นหลวงปู่ท่านบำเพ็ญบุญท่านจะอธิษฐานว่า " ไม่ว่าข้าจะเกิดในชาติใด อยู่ในที่ไหน จงอย่าประสบพบกับคำว่าไม่มี" ด้วยเหตุนี้ก็เลยทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้ และก็จริง เพราะหลังจากหลวงปู่ท่านพาเดินกลับก็มีญาติโยม ชาวบ้านต่างพากันออกมารอเพื่อจะใส่บาตรเป็นจำนวนมาก ดูอากัปกิริยาของพวกเค้าตื่นเต้นดีใจ และก็พากันสอบถามว่า พระคุณเจ้ามาพักอยู่ที่ไหน หลวงปู่ท่านตอบว่า "มาพักอยู่ในถ้ำรังเสือจ้ะ" ชาวบ้านต่างพากันนิมนต์ว่า "นิมนต์ให้พระคุณเจ้าพักอยู่นานๆ นะครับ พวกผมจะได้มีโอกาสทำบุญ"
      
       หลวงปู่ท่านได้ตอบว่า "คงจะอยู่จนถึงปีใหม่ละจ้ะ" ชาวบ้าน กล่าวว่า "ดีครับนินต์มาโปรดทางนี้ทุกวันนะครับ" หลวงปู่ท่านยิ้มรับด้วยกิริยาสำรวม เฉยๆ เมื่อคณะพระเณรเดินทางกลับมาที่พัก หลวงปู่ท่านได้สั่งให้พระเณรดื่มน้ำแล้วนำอาหารมารวมกันที่หน้าถ้ำ ท่านมอบหมายให้ข้าพเจ้าและเพื่อนเณรอีกรูปหนึ่งเป็นผู้จัดแบ่งอาหาร ส่วนพระเณรที่เหลือท่านให้ไปทำความสะอาดและพักผ่อน เพื่อจะรอฉันอาหารในเวลา 10 โมงเช้า