"ลูกรัก"
       น้ำที่ไหลรินกับน้ำที่ราบเรียบ นิ่งสงบ ลูกว่าน้ำชนิดไหนที่ดูมั่นคง พร้อมเสมอกับสถาน-การณ์ทุกชนิด ทั้งตั้งรับหรือตอบโต้ ไม่ว่าจะซึมซับหรือรับสัมผัส แต่สำหรับพ่อ พ่อก็ต้องเลือกน้ำที่ราบเรียบสงบนิ่ง ถ้าลูกไม่เชื่อ ลูกลองนำก้อนหินโยนลงไปในน้ำที่กำลังไหลริน แล้วคอยสังเกตถึงการตอบรับของน้ำที่ไหลดูสิ ลูกจะเห็นว่ามันได้กระจาย เป็นวงแค่วูบหนึ่งและแล้วร่องรอยของการกระจัดกระจายก็ถูกกลืนหายไป พร้อมกับการไหลรินของน้ำ แต่ถ้าลูกนำเอาก้อนหินโยนลงไปในน้ำที่ราบเรียบนิ่งสงบ ลูกก็จะเห็นว่ามันได้ตั้งรับพร้อมกับการตอบสนองการสัมผัสได้อย่างละเอียดลออ หมดจด ชัดเจน ซึ่งจะรุนแรงหรือเบาบางนั้นมันขึ้นอยู่กับวัตถุที่มากระทบ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก หนักหรือเบา ยาวหรือสั้น แล้วก็สุดท้ายคลื่นแห่งการกระจัดกระจาย ได้ค่อยๆ สงบราบเรียบลงอย่างอ่อนโยนแนบนิ่ง
      
       ถ้าจะนำเอาน้ำทั้งสองชนิดมาเปรียบกับคนล่ะ เจ้าจะเปรียบกับคนประเภทอะไร สำหรับพ่อ พ่อก็จะเปรียบกับคนที่สับสนวุ่นวายคือน้ำที่ไหลรินคนที่สงบนิ่งได้กับน้ำที่ สงบนิ่งและราบเรียบ
      
       ทีนี้ ลูกพอมองออกหรือยังว่า น้ำกับคนมันมาเกี่ยวอะไรกัน ถ้ายังมองไม่ออกพ่อจะบอกให้ ความสับสนวุ่นวายมันเกิดขึ้นมาได้เพราะความ กดดันความเครียด ความวิตกกังวล ความกลัว และความฟุ้งซ่าน ความไม่รู้ สิ่งเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นอยู่กับใครแล้ว เขาผู้นั้นก็ต้องเหมือนกับน้ำที่ไหลรินที่ไม่สามารถสงบนิ่งอยู่ได้ ซึ่งเป็นเหตุปิดกั้นความรับรู้ซึมซาบสัมผัสสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ ให้ชัดเจนดื่มด่ำ ซาบซึ้ง หรือถึงจะรับรู้รับสัมผัส ก็เป็นการรู้การสัมผัสแบบขอไปที ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์แจ้งชัดอย่างเต็มที่ และบางทีบางครั้งมันก็จะกลายเป็นความเต็มทีไปเสียด้วย
      
       ทีนี้ สำหรับน้ำที่ราบเรียบสงบนิ่ง เปรียบได้กับผู้ที่มีความสงบนิ่งภายในจนกลับกลายเป็นความราบเรียบของกาย วาจา คล้ายๆ กับผู้มีตาอัน เบิกกว้าง สามารถมอง รับรู้เห็นเหตุการณ์ได้ทั้งใกล้และไกล ทั้งภายในและภายนอกอย่างแจ้งชัด ทั้งยังสามารถสัมผัสซึมซาบถึงรสชาติของสิ่งที่ผ่านมา และผ่านไปในชีวิต ได้อย่างดื่มด่ำสาระของจิตใจภายในจะโดดเด่น เปิดเผย ออกมาอย่างแจ้งชัดหรือชัดเจน ลูกจะรับรู้และเกิดความรู้จักตนเองได้อย่างตรงไปตรงมา ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ลูกสามารถสัมผัสกับสิ่งที่มากระทบและสิ่งรอบ ๆ ตัวอย่างตรงไปตรงมาเปิดเผย เหมือนกับน้ำที่ราบเรียบสงบนิ่งพร้อมที่จะรับสัมผัสเมื่อมีอะไรมากระทบ ก็จะซึมซับถึงรสชาติ กลิ่นไอ และความโยกเยก คลอนไหวได้อย่างถูกตรง อีกทั้งยังจบลงด้วยความอ่อนโยน บริสุทธิ์
      
       ลูกรัก....
       พ่อจะบอกให้ลูกได้รู้ถึงประโยชน์ของความสงบนิ่งว่า มันสามารถจะเป็นตัวการให้เกิดการรวมตัวของพลังงานไม่ให้กระจัดกระจาย แม้ในความรู้สึก นึกคิด อีกทั้งลูกยังจะสามารถจัดระดับของความคิดของลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งลูกก็จะต้องรู้ตัวเองว่า ลูกต้องการอะไร อุปสรรคที่จะมี ลูกก็จะรู้ดีที่ จะจัดการรับกับมันด้วยความมั่นใจ โปร่งใจ แจ่มใส เคลื่อนไปข้างหน้าได้ อย่างราบรื่น กลมกลืน สอดคล้องกับการสัมผัสงานและชีวิตงานและชีวิตมัน จะเป็นการสัมพันธ์อย่างกลมกลืนกับพลังที่ลูกได้รับจากความรู้จักตัวเอง และถ้างานปรากฏอุปสรรคเงื่อนไข แทนที่ลูกจะปฏิเสธ ลูกกลับจะเต็มใจทำสิ่งที่ควรทำ การสัมผัสและการรับรู้ที่ซื่อตรงจะเป็นรากฐานของงานได้อย่างแกร่ง แกร่งกล้า และก็เข้มแข็ง สามารถเมื่อผลของงานออกมา มันจะเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพ ของความสงบนิ่งเยือกเย็นที่ลูกใช้เป็นรากฐานของการทำงาน ลูกจะสามารถ สัมผัสถึงรสชาติ ความดื่มด่ำอย่างแท้จริงที่ได้จากการทำงาน อย่างไรก็ตาม พ่อก็ต้องเตือนเจ้าให้รู้ตัวเอาไว้ว่า เจ้าจะกลายเป็นน้ำใสแต่ไหลรินโดยไม่รู้สึกตัวเสียก่อน ซึ่งอาจจะเกิดจากความกดดัน ความเครียดในชีวิตประจำวัน มักจะทำให้เป็นเรื่องยากแก่การดูแลรักษาความราบเรียบสงบนิ่งของชีวิตจิตใจ เพราะความกดดันของโลกคือการเปลี่ยนแปลงเพราะความกดดันของ อารมณ์และสังคม สิ่งแวดล้อมมักจะทำให้ลูกเกิดความวิตกกังวลหวาดกลัว ขลาดเขลา ตึงเครียด และหนักใจการรับรู้รับสัมผัสต่างๆ จะขุ่นมัวไม่ชัดเจน ลูกจะไม่รู้ว่า ลูกต้องการอะไรต้องทำอะไร ความรู้สึกนึกคิดของลูกจะกระจัดกระจาย พลังงานก็จะขาด ๆ เกิน ๆ ฟุ้งซ่าน ขาดประสิทธิภาพ ซึ่งจะ ทำให้ลูกต้องเหนื่อยมากขึ้น เบื่อมากขึ้นเครียดมากขึ้น วิตกกังวลมากขึ้น
      
       สิ่งเหล่านี้แหละ มันจะเข้ามาแทนที่ความรู้แจ้งชัด ความสงบ ความเยือกเย็น และการจัดระดับความคิด เหล่านี้แหละคือตัวอุปสรรคตัวปัญหา ที่จะทำให้เจ้าใช้พลังเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ ผลที่ได้ คือความกลัดกลุ้ม หมกมุ่น กังวล มันจะทำให้ลูกล่าช้าต่อการกระทำ ความกลัดกลุ้มหมกมุ่นวิตกกังวลและความเครียดจะเป็นตัว เผาผลาญพลังงานและกาลเวลา ของลูกให้หมดไปอย่างมากมายไร้ประโยชน์ จนทำให้ลูกไม่สามารถมีเวลาและพลังที่จะทำกิจกรรมอื่น ๆ ให้สำเร็จต่อไปได้ จิตใจของลูกจะกักขังร่างกายให้อยู่ในความตึงเครียด ซึ่งเป็นการยากที่ลูกจะทำงานได้อย่างเต็มที่และมีสุข
      
       ลูกรัก....
       พ่อต้องบอกให้เจ้าได้รู้ไว้ว่า ถ้าขืนปล่อยให้ความกลัดกลุ้ม หมกมุ่น วิตกกังวลและความตึงเครียด เข้ามาเผาผลาญกาลเวลาและพลังของเจ้าให้มันหมดไปวัน ๆ เช่นนี้แล้วล่ะก็ ชีวิตของลูกก็จะมีแต่เวลาและพลังที่เหลือน้อยเต็มที คงไม่เพียงพอเป็นแน่ที่จะสามารถบรรจุความโปร่งใส เสรี สดชื่น เบาสบาย สงบสันติและประโยชน์ให้แก่คนอื่นและตนเองได้เป็นแน่อย่างไรก็ตาม พ่อก็ยังมีวิธีที่จะบรรเทาความเครียดอันหนักอึ้งของร่างกายและจิตใจเหล่านี้ ได้
      
       ทีนี้ ลูกจะรู้ได้อย่างไรว่าตนและคนอื่นมีความเครียดหนัก ก็รู้ได้ด้วยการ สังเกตดูร่างกายเป็นอันดับแรกไงล่ะ ซึ่งก็ไม่เสมอไปนักสำหรับทุกคนแต่ส่วนใหญ่มักมีอาการเช่นนี้ คือ เลือดลมและพลังโคจรไม่เป็นปกติ กล้ามเนื้อหน้าตึง ปวดหัวบ่อย ๆ อ่อนเพลียได้ง่ายโดยหาสาเหตุไม่พบ และยังมีอาการอื่น ๆ เข้ามาแทรกซ้อนอีกมาก อาการเหล่านี้ก็จัดว่าเป็นความเครียดหนักเสีย เป็นส่วนใหญ่ มิใช่จะมีความผิดปกติของร่างกายแค่นี้หรอกน่ะ
      
       ยัง...มันยังจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การทำงานและต่อสังคมอีกด้วย ซึ่งผลกระทบเหล่านั้นจัดเป็นผลกระทบในทางเชิงลบทั้งสิ้นตัวอย่างเช่น บุคคลใดที่มีความเครียด ร่างกายก็จะเผาผลาญพลังงานมากกว่าคนอื่นที่ไม่เครียด เป็นเหตุใด้เกิดความร้อนขึ้นปกติ เพราะอวัยวะและต่อมไตต่าง ๆ จะทำงานหนักขึ้น จะทำให้ขับของเสียมากขึ้น เหงื่อออกมากขึ้น กลิ่นตัวมากขึ้นความร้อนในร่างกายเพิ่มมากขึ้น แล้วทีนี้ ลูกลองนึกดูซิว่า เมื่อคน ๆ นี้ได้เข้าไปสู่สังคม หรือกำลังจะอยู่ในสังคม จะมีผลกระทบต่อสังคมเช่นไร
      
       นอกเหนือจากนี้ ถ้าสังคมเหล่านั้นมีคนที่เครียดหนักมากกว่าหนึ่งคน อะไรจะเกิดขึ้น และความเครียดนี้ผลที่ตามมาก็คือของเสีย อารมณ์ และการระบาย ซึ่งการระบายของเสียที่เป็นอารมณ์นั้น ถ้าไม่เกิดการยอมรับคงต้องมีปัญหาเป็นแน่ ถ้ามีปัญหาและเผอิญมีปัญหาขึ้นมาจริง ๆ อย่างว่า มันก็จะเป็นอุปสรรคต่อการเข้าสู่สังคม เป็นผลกระทบต่อการงาน ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมด้วย ตัวอย่างเช่น คนที่มีปัญหามักจะหมกมุ่น กลัดกลุ้ม วิตกกังวลทำให้ไม่มีพลังและเวลาพอที่จะทำงานให้สำเร็จได้ นี่เป็นปัญหาโดยตรงหรือถ้าทำสำเร็จผลของงานคงจะไม่สมบูรณ์ และถ้าจะให้มีการยอมรับของสังคม ผู้ที่อยู่ในสังคมคงจะไม่มีใจเป็นธรรมพอที่จะยอมรับผลของงานและของคนที่มี ปัญหา นี่เป็นผลกระทบโดยอ้อม เห็นไหม ลูกเห็นไหมว่าความหมกมุ่น กลัดกลุ้ม วิตกกังวลและตึงเครียด เมื่อเกิดขึ้นแล้วมันไม่เป็นผลดีกับใครเลย
      
       ลูกรัก....
       ความรู้จักตนเองอย่างชัดแจ้งย่อมทำให้ลูกเป็นผู้สงบ ผู้สงบย่อมค้นพบความผ่อนคลาย โปร่งเบาสบาย อีกทั้งความสงบยังจะกระตุ้นให้เกิดปัญญา และเพิ่มพลังให้แก่ร่างกาย ลูกจะรับรู้ รับสัม-ผัสต่อสิ่งต่างๆ ได้อย่าง คมชัดและสามารถโต้ตอบได้อย่างรวดเร็ว แจ่มแจ้ง ชัดเจนปฏิภาณไหวพริบของลูกจะ ฉับไว ทั้งยังจะทำให้ลูกมีความคิดที่สอดคล้องกลมกลืนผสม ผสานกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและสังคม ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ลูก จะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นได้แสวงหาความสงบ และผ่อน คลายความตึงเครียดตามที่ลูกได้ทำตัวอย่างให้เขาได้ดูด้วย ซึ่งจะ ทำให้ลูกและสังคมได้มองเห็นคุณประโยชน์ในการมีชีวิตเพิ่มมาก ขึ้นทีเดียวแหละ งานและการมีชีวิตจะเป็นคุณค่าอันยิ่งใหญ่ ที่จะ ทำให้ลูกภาคภูมิใจต่อการที่ได้ลงมือทำมัน
      
       ลูกรัก....
       พ่อมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นปัญหาที่คนอื่นตั้งขึ้นมาถามพ่อปัญหาอันนั้นก็คือ ความอยู่รอดและความเป็นไปได้ของอาราม ธรรมะอิสระที่พ่อสร้างมันขึ้นมาด้วยลำแข้ง ชีวิตจิตใจและวิญญาณ ของพ่อเองมีคนตั้งปัญหาถามพ่อว่า การที่พ่อละเลยหรือละทิ้ง ไม่ ได้สนใจดูแลบริหารหรือว่าไม่ได้อยู่ควบคุมดูแลในอารามธรรมะอิสระนี้ มันจะไม่ทำให้อารามธรรมะอิสระตกต่ำลงไปหรือ เพราะผู้คนทั้งหลายเขาศรัทธาในตัวพ่ออยู่ และถ้าคนที่ศรัทธาไม่อยู่ใคร ก็ไม่อยากจะเข้าวัด พ่อก็เลยต้องตอบกับเขาว่า พ่อไม่ได้ปรารถนา ที่จะให้ใครมาศรัทธาในตัวพ่อ แล้วพ่อก็ไม่ได้ปรารถนาที่จะทำตัว เองให้เป็นที่น่าศรัทธาของคนอื่น แต่.....แต่พ่อปรารถนาที่จะทำตัวเองให้เป็นที่น่าศรัทธาของตัวเอง ให้เป็นที่ควรต่อการเคารพของตัวเองมากกว่า และพ่อก็ไม่ได้ปรารถนาให้ใครเขามาแสวงหาความสุข ความเสรีภาพ ความสบายใจ ความชื้นใจที่เกิดจากตัวพ่อ แต่พ่อปรารถนาจะให้คนทุกคนสร้างความสุขเสรีภาพ สบายใจ ชื่นใจให้เกิดขึ้นในตัวของเขาโดยที่ไม่ต้องมาอาศัยพ่อและพ่อก็ไม่ได้ปรารถนา จะทำตัวเองให้เป็นที่น่าศรัทธาสำหรับที่จะ ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาสู่วัด สิ่งที่พ่อปรารถนาก็คือพ่ออยากจะให้วัดที่พ่อสร้างขึ้นนั้น เป็นที่ยังให้เกิดความศรัทธาด้วยส่วนประกอบ และองค์ประกอบของวัดเองไม่ใช่ศรัทธาในบุคคลอย่างเดียวเพราะ ถ้าขืนมาศรัทธาในบุคคล คนมันมีอายุไม่ถึงร้อยปี เดี๋ยวก็ตาย
      
       แต่ถ้าวัดรักษาดี ๆ มันมีอายุเกินกว่าร้อยปีได้เป็นแน่ ผู้คน ที่มาเคารพ ศรัทธาในตัวบุคคลหรือวัตถุอย่างเดียว มันก็อาจจะไม่สมบูรณ์นักประโยชน์ จะได้นิดหน่อยเกินไป เหตุผลก็เพราะว่า เหตุผลที่พ่อต้องการจะให้คนทั้งหลายมาเคารพศรัทธาต่อองค์ประกอบแล้วก็ตัว อาวาสหรือตัววัดแล้วก็ส่วน ประกอบทั้งหลายของ วัด ก็เพราะว่ามันจะตรงถูกต้องตามเจตนารมณ์แล้ว ก็ปฏิภาณของ องค์สมเด็จะพระศาสดามากกว่า ที่พระองค์ทรงปฏิภาณ อยากจะให้คนทั้งหลายเคารพศรัทธาในศาสนาในการปฏิบัติ มิใช่เพียงแค่ ในบุคคล แล้วพ่อก็มุ่งหวังแต่เพียงว่า ลูกหลานทั้งหลายที่อยู่ในวัดจะเป็น องค์ประกอบส่วนใหญ่ ที่จะทำให้คนทั้งหลายเข้ามาเคารพศรัทธาในวัด
      
       สรุปรวมความก็คือ พ่อต้องการจะให้ลูกหลานทุกคนที่อยู่ในอาวาสนี้ทำตัวเองให้เป็นที่น่าศรัทธา ของตนก่อน เมื่อตัวเองสามารถจะสร้างความศรัทธา ความเชื่อ ต่อการกระทำของตนขึ้นมาได้แล้ว ไอ้ความศรัทธานั้นก็ต่างคนต่างสร้าง ต่างคนต่างเพิ่ม ต่างคนต่างพอกพูนขึ้น มันก็ล้นหลามและไหลบ่าไปจนถึงบ้านช่อง บ้านเรือน และตัวบุคคลและหัวใจคนอื่น สรรพสัตว์อื่น เขาก็รับทราบถึงรสชาติและกลิ่นอายของความน่าศรัทธานี้ ทุกคนก็จะพากันเข้ามาเองโดยมิต้องมาตั้งหน้าตั้งตาแจกซองฎีกาเรี่ยไรหรือ กวักมือเรียกให้เขาเข้ามา
      
       เพราะฉะนั้น นี่คือประเด็นหนึ่งที่พ่อได้ตอบกับเขาว่า อยากให้ทุกคนศรัทธาในวัด ศรัทธาในคณะสงฆ์มาก กว่าตัวบุคคล ซึ่งทุกคน ในคณะสงฆ์นั้นก็มีสิทธิ์ที่จะทำตัวเองให้เป็นที่น่าศรัทธาของตนเองก่อน แล้วจึงจะทำ ให้คนอื่นเขาศรัทธาตาม มา ส่วนในปัญหาข้อที่สอง ที่ได้ถามพ่อว่า พ่อทำไมไม่ตั้งบุคคลที่รับผิดชอบโดยตรง ซึ่งไม่จำเป็นต้องตั้งบุคคลที่รับผิดชอบโดยเป็นผู้รักษาการ ทำไมไม่ตั้งให้มันถาวรขึ้นมาเลย พ่อได้ตอบกับเขาว่า พ่อไม่มีสิทธิ์ ไม่มีอำนาจ ที่จะไปบ่งบอกว่า ผู้ใด ใครกันแน่ที่สามารถจะเป็นผู้นำทางวิญญาณของโลกสังคมและสรรพสัตว์ได้ พ่อพูดอย่างนี้ลูก เข้าใจไหมว่า พ่อไม่สามารถที่จะตั้งให้ใครเป็นผู้นำทางวิญญาณของโลกและสังคมได้ เหตุผลก็เพราะว่าไอ้การที่จะเป็นผู้นำทางวิญญาณของคนนั้นไม่ใช่อยู่ที่การ แต่งตั้งแต่มันอยู่ที่การยอมรับต่างหากล่ะลูก การยอมรับที่ทุกคนมีให้แก่คนๆ นั้นการเคารพ เทิดทูนบูชา แล้วก็รับฟังเหตุและผลของคนๆ นั้นที่คนๆ นั้นมีด้วยการกระทำของตนเองไม่ใช่ด้วยการเรียนรู้ และท่องจำอย่างเดียว
      
       เพราะฉะนั้นพ่อก็เลยบอกกับเขาว่า พ่อไม่สามารถที่จะแต่ง ตั้งตำแหน่งหน้าที่ตายตัว ซึ่งคนๆ นั้นจะทำหน้าที่เป็นผู้นำทางวิญญาณของสรรพสัตว์ โลกและสังคมได้ นอกเสียจากคนๆ นั้นจะทำตัวเองให้เป็นคนที่ควรแก่การยอมรับของโลกและสังคมสรรพสัตว์ขึ้นมา เอง ถ้าเขาทำได้เช่นนี้ ก็ถือว่าเขาได้รับมอบหมาย ตำแหน่งหน้าที่ให้เป็นผู้นำทางวิญญาณ
      
       ในการที่พ่อสร้างวัดนี้ขึ้นมาก็มิได้มุ่งหวังว่าจะให้ใครมารับ ตำแหน่งด้วยการแต่งตั้ง แต่พ่อมุ่งหวังว่า ให้ทุกคนเข้ามาทำหน้าที่ ทำหน้าที่ให้เป็นผู้นำทางวิญญาณของตนเอง ถูกต้องตามหน้าที่ของตนเองตามหน้าที่ของ ผู้นำทางวิญญาณอย่างสมบูรณ์ แล้วทุกคน สรรพสัตว์ โลกและสังคมจักรวาลก็จะพากันแต่งตั้งคนที่มีความรู้ ความสามารถ การกระทำที่ถูกต้อง ตรงแนวบริสุทธิ์ยุติธรรมตามหน้าที่ของผู้นำทางวิญญาณนั้นขึ้นมาเองโดยที่มิ ใช่พ่อเป็นผู้แต่งตั้ง มิใช่คนใดคนหนึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง
      
       เพราะฉะนั้น คำถามในประเด็นที่ว่า ทำไมพ่อไม่แต่งตั้งบุคคล ที่รับผิดชอบโดยตรงขึ้นมาให้มันถาวร พ่อก็ตอบกับเขาไปตามที่พ่อพูดออกมาแล้วว่า พ่อไม่สามารถหรือไม่มีความสามารถพอที่จะไปแต่งตั้งคนใดคนหนึ่งให้มาเป็นผู้ นำทางวิญญาณได้ ถ้าคน ๆ นั้นไม่สามารถจะปฏิบัติตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของโลกและสังคม มันก็ดูจะเป็นการยัดเยียดมากเกินไป พ่อจึงตั้งแต่เพียงผู้รักษาการในตำแหน่งต่างๆ ขึ้นมาเท่านั้น เพื่อให้ได้ทำหน้าที่ในขณะที่ยังไม่สามารถจะมีใครเป็นผู้นำทางวิญญาณขึ้นมา ได้ และการตั้งตำแหน่งผูรักษาการก็มิใช่ตำแหน่งเด็ดขาด
      
       ลูกรัก....
       พ่ออยากจะเล่าอะไรให้ลูกได้ฟังสักนิดว่า กว่าพ่อจะเป็นตัวของพ่อเองขึ้นมาทุกวันนี้ หรือกว่าจะเป็นหลวงปู่ของโลกและสังคมจักรวาลเป็นที่ยอมรับของสังคมขึ้นมาได้ ทุกวันนี้ พ่อไม่ได้นั่งแป้นชูคอแล้วก็ประกาศศักดา พ่อไม่ได้แสดงออกมาซึ่งเปรียญ ธรรมความรู้ หรือว่าปริญญาพ่วงท้าย พ่อมิได้มีใครมาสนับสนุน ประกาศ โฆษณาให้คนทั้งหลายมายอมรับในเกียรติภูมิและพ่อก็ไม่ได้มีทุนรอนอะไรที่จะไป แจกจ่ายให้คนทั้งหลาย ให้เข้ามายอมรับซื้อสิทธิ ซื้อเสียง อย่างที่เขากำลังจะเป็นกันในปัจจุบัน พ่อมิได้มีผลงาน คือไม่ได้โฆษณาชวนเชื่อให้ยอมรับในผลงานของตน
      
       แต่ลูกรู้ไหมว่า พ่อสร้างตัวเองขึ้นมาถึงทุกวันนี้ได้ด้วยอะไร ก็ด้วย ชีวิตวิญญาณ ความรู้ สึกนึกคิด ทุ่มเทให้กับการกระทำ การกระทำหน้าที่โดยไม่ได้มุ่งหวังสิ่งตอบแทน แม้แต่ชื่อเสียง เกียรติยศ เกียรติ-ภูมิ หรือการยอมรับใดๆ ของใครเลย แต่พ่อทำทุกอย่างด้วยเอาชีวิตเข้า แลก ด้วยเอาความรู้สึกนึกคิดทั้งปวงเข้าทุ่มเท ด้วยวิญญาณด้วย สายเลือดของตนนั้น ก็เพราะเพียง เพื่อจะให้ตัวเองยอมรับตัวเอง เท่านั้น รวมความก็คือ พ่อต้องการที่จะทำทุกอย่าง เพื่อให้ตัวเอง ยอมรับตัวเอง เคารพในตัวเอง และก็บูชาตัวเองได้เท่านั้นเอง แล้ว ผลของการกระทำอันนั้น พ่อก็มุ่งหวังว่าคนอื่นได้ ประโยชน์จากพ่อ มากแค่ไหน แต่พ่อก็ไม่เคยถามตัวเองว่าพ่อได้ให้ประโยชน์กับตัว เองอย่างไรหรือจากการกระทำนั้นอย่างไร
      
       เพราะฉะนั้น การที่พ่อได้เป็นผู้นำทางวิญญาณหรือเป็นหลวง ปู่หลวงพ่อเป็นครูบาอาจารย์ของโลกสังคมจักรวาลและสรรพสัตว์ ได้ทุกวันนี้ ไม่ใช่ด้วยการแต่งตัว ไม่ใช่ด้วยการที่จะบังคับให้เขายอมรับไม่ใช่ด้วยการยัดเยียดหรือไม่ใช่ด้วย การเทิดทูนประกาศ โฆษณาชวนเชื่อหรือว่าทำดีต่อหน้า แต่พ่อได้มันมาจากการที่พ่อเพียรพยายามทำทุกอย่างทุกวิถีทาง เพื่อจะให้ใช้ ความหมายของคำว่า ให้ด้วยความจริงใจ เสียสละ พ่อก็เลยไม่จำเป็นต้องมีความ อดทน อดกลั้นต่อการกระทำ แต่พ่อจะทำมันด้วยความสมัครใจ เต็มใจ และก็พอใจที่จะทำสุขใจเมื่อได้ทำมัน
      
       เพราะฉะนั้น การที่พ่อได้เป็นผู้นำทางวิญญาณ ลูกจะเห็นว่าไม่มีใครมาแต่งตั้งพ่อ ไม่มีใครมายอมรับพ่อโดยตรง แต่พ่อยอม รับตัวพ่อเอง พ่อแต่งตั้งตัวพ่อเอง โดยการที่พ่อได้ทำหน้าที่ของตนให้สมกับคุณค่าและสรรพชีวิตคุณภาพของการมี ชีวิตให้สมกับ คุณภาพของการมีชีวิตทุกๆ ย่างก้าว ทุกๆ อิริยาบถ ทุกๆ ลมหาย ใจ และ เมื่อสิ่งเหล่านี้ พ่อทำเพิ่มพูนมากขึ้น มากขึ้น มากข้น มัน ก็คงจะเหมือนกับน้ำที่อยู่ในตุ่มแล้วมันก็ไหลออกไปนอกตุ่ม เพราะว่าเติมทุกวัน เติมบ่อยๆ เติมเรื่อยๆ จนมันเต็มตุ่มแล้วก็เมื่อมันเต็มแล้วมันก็ล้นออกไป เมื่อมันล้นออกไป มันก็ไหลนอง เจิ่งออกไปตามพื้นดินเป็นประโยชน์ต่อพืชพรรณธัญญาหาร เมล็ดหญ้าที่จะงอกงามเจริญเติบโตต่อไป เมล็ดหญ้าพืชพรรณธัญญาหารเหล่านั้นก็จะชื้นปกคลุมโอ่งน้ำแล้วน้ำในโอ่ง หรือตุ่มน้ำ ในถังตุ่มนั้นเอาไว้ มันก็คล้ายๆ กับความดีที่เจ้าทำ หรือลูก หรือ พ่อทำ ทำเรื่อยๆ ทำบ่อย ๆ ให้เรื่อยๆ ให้จนกลับกลายเป็นว่าสังคมเหล่านั้นเข้ามาโอบอุ้มเราเอง โดยที่เราไม่ต้องกวักมือเรียกร้อง หรือว่าเรียกหาชักจูงหรือเชิญชวนเข้ามา
      
       นี่คือชีวิตและวิญญาณของพ่อที่ผ่านมา นี้คือเหตุผลที่พ่อไม่ ปรารถนา หรือว่า ไม่สามารถจะไปตั้งผู้นำทางวิญญาณอย่างตรงและจริงๆ ขึ้นมาได้ พ่อทิ้งเวลาจะให้ทุกคนได้พิสูจน์ตัวเอง ตลอด เวลาที่พ่อไม่ได้อยู่ในอาวาสนี้ พ่อก็ไม่ได้มุ่งหวังว่า จะละทิ้ง เพิกเฉยหรือละเลย ไม่รับผิดชอบ แต่พ่อกำลังจะให้บทเรียนที่วิเศษสุด ซึ่งไม่มีในโรงเรียนใดไม่มีในตำราเล่มใดเขาสอนลูก นอกเสีย จากว่า มันมีอยู่ในศาสนธรรมและบทหรือตำราของธรรมชาติโรงเรียนแห่งธรรมชาตินี้เท่า นั้น แล้วโรงเรียนแห่งธรรมชาตินี้พ่อได้คิดค้นสร้างมันขึ้นมาเองหรือเปล่า...แต่ มันเป็นบทเรียนของธรรม ชาติที่มันมีอยู่เดิมแล้ว แต่พ่อรู้จักนำมันเอามาใช้กับเจ้า แล้วก็สอน คนอื่นและตัวเองเท่า นั้น และอะไรคือบทเรียนของธรรมชาติที่พ่อ กำลังจะสอนพวกเจ้าล่ะ เอ้า... ก็สิ่งที่พวกเจ้ากำลังทำ อยู่นี่ไงล่ะ
      
       ก็บอกแล้วว่า ผู้นำทางวิญญาณน่ะ มันไม่ได้มาจากการแต่งตั้ง แต่มันได้มาจากการทำตัวเอง ทำ ทำ ทำ ทำด้วยความที่ใจไม่ระยำน่ะแต่ทำมันด้วยความเต็มใจ ตั้งใจ จริงใจ แล้วก็จริงจัง ทำจนกระทั่งเรายอมรับตัวเองด้วย การให้ประโยชน์ต่อโลกและสังคมสรรพสัตว์ ด้วยความไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน นี่เรียกว่าการกระทำ เมื่อเรายอมรับตัวเองได้อย่างบริสุทธิ์ คนอื่นก็ยอมรับตัวเราอย่างบริสุทธิ์ นั่นแหละคือ ผู้นำทางวิญญาณที่บริสุทธิ์ เกิดขึ้นแล้ว
      
       เพราะฉะนั้น ไม่ว่าปัญหาใด ๆ มันจะเกิดขึ้นบีบคั้นตัวเจ้า ไม่ว่าใครจะเป็นผู้สร้างปัญหา หรือใครคือตัวปัญหา สำหรับพ่อแล้ว นั่นคือบทเรียนอันมีค่าที่ไม่สามารถจะเรียนได้จากโรงเรียนใดได้ และไม่สามารถจะเรียนรู้ได้จากตำราเล่มใด เพราะบทเรียนที่มีค่าที่สุดมันเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ทางวิญญาณที่ผ่าน เข้ามา แล้วก็ผ่านเลยไป มันขึ้นกับว่า เจ้าจะรับซึมซาบ สัมผัสเรียนรู้ และแยกแยะ ดีชั่ว เข้าใจเหตุผล สิ่งเหล่านี้ที่ผ่านมาและผ่านไปได้อย่างแจ่มแจ้งแดงชัด ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้น พ่อจึงอยากจะบอกกับลูกให้ได้รู้ว่า พ่อไม่ใช่ละทิ้ง หรือเพิกเฉย แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนที่ละเลยต่อการที่จะมอบหมายหน้าที่ แต่พ่อกำลังจะทำให้พวกเจ้ายอมรับ หน้าที่หรือว่าจะให้พวกเจ้าแสดงออก ซึ่งความรู้ ความสามารถ การ ยอมรับหน้าที่นั้น ๆ เอง โดยวิญญาณสายเลือดและธรรมชาติ ไม่มีใครมาแต่งตั้งพ่อให้เป็นอย่างนี้ ไม่มีใครจะยกให้เป็นหลวงปู่ ไม่มีใคร จะมาทำให้พ่อเป็นอาจารย์เป็นครู แต่พ่อได้เป็นหลวงปู่ เป็นครู เป็น อาจารย์ตัวของพ่อเอง คนทั้งหลายก็เลยมายอมรับพ่อด้วยการกระทำ
      
       เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่ามันจะไม่ผิดเลย ๆ ถ้าหากว่าพวกเจ้าเรียนมันไม่สำเร็จ แล้วก็ต่างคนต่างเปิดกันไป หรือว่าต่างคนต่าง ละทิ้งหน้าที่ของบทเรียนนั้น ๆ หรือโรงเรียนนี้ไป ไม่ผิด มันไม่ผิด แล้วถ้าถามพ่อว่าถูกไหมมันก็ไม่ได้ถูกอะไร เพราะมันไม่ได้มีคุณค่า อะไรกับการมีชีวิตจะเรียกว่าถูกได้อย่างไร ชีวิตที่เกิดมามีลมหายใจเข้า ๆ ออก ๆ ใช้ทรัพยากรของโลก ถ้าไม่ปรากฏแล้วไม่ให้ประโยชน์ ต่อสังคม ไม่สร้างคุณค่าในการมีชีวิตและลมหายใจของตนขึ้นมา ไม่ใช่พลังงานให้ถูกต้องสมบูรณ์ และมีประโยชน์มากที่สุดแล้วล่ะก็มันจะมีประโยชน์ มันจะมีความถูกต้องได้อย่างไร พ่อก็ยอมรับไม่ได้ว่ามันถูก แล้วก็จะปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่ามันจะไม่ผิด แล้วจะไปว่ามิได้อีกเหมือนกันว่ามันผิด
      
       เพราะฉะนั้น มันขึ้นอยู่กับว่า เจ้าเกิดมา มีชีวิตขึ้นมาเพื่ออะไร มันก็ขึ้นกับว่า พวกเจ้าจะถามตัวเองเท่านั้น ถ้าเจ้าตอบตัวเองได้ ก็ถือว่ามันเป็นบทเฉลยว่าเจ้าถูก เจ้าผิดเหมือนกัน ฉะนั้น พ่อก็เลยอยากจะบอกกับเจ้าให้ได้รู้ว่า ปัญหาข้อที่สองที่พ่อ มีคนมาถามพ่อว่าทำไมไม่แต่งตั้งผู้บริหารให้มันถูกต้อง หรือว่าตายตัวไป พ่อก็บอกกับเขาว่า พ่อไม่สามารถจะแต่งตั้งได้เพราะว่าการบริหารไม่ใช่เพียงแค่บริหารวัตถุสถาน ที่เท่านั้น มันรวมไปถึง บริหารใจ บริหารอารมณ์ บริหารชีวิต วิญญาณ แล้วก็การอยู่ในโลกด้วย มันก็ควรจะได้มาจากการยอมรับจากสังคม โลกสรรพสัตว์จักรวาลด้วย ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่า พวกเจ้าจะพิสูจน์ตัวเองให้เกิดความยอมรับได้มากแค่ไหน แต่เป็นการยอมรับที่ซื่อตรงน่ะ อย่าลืมว่า พ่อบอกว่าเป็นการยอมรับที่ซื่อตรง ไม่ใช่เป็นการยอมรับที่สั่ว ๆ หรือเป็นการยอมรับที่เคลือบแคลงระแวงสงสัย หรือว่าเป็นการยอมรับที่เหลวไหลอะไรอย่างนั้น เป็นการยอมรับที่ซื่อตรงบริสุทธิ์ยุติธรรมและในประเด็นที่ถามพ่ออีกว่า หลังจากพ่อไม่อยู่ในวัดแล้วผู้คนทั้งหลายก็ไม่เคารพศรัทธาหรือว่าไม่เข้ามา วัดเลย พ่อหัวเราะและก็บอกกับเขาว่า นั่นแหละคือสิ่งที่สุดยอดปรารถนาของพ่อ
      
       เพราะอะไร ก็เพราะพ่อสร้างวัด ไม่ได้สร้างวิก และชั่วชีวิตของ พ่อไม่ได้มุ่งหวังปรารถนาให้ใครมาติดตามยอมรับ เทิดทูน บูชา หรือ ว่าเอาอะไรๆ มาถวาย ไป ๆ มา ๆ บ่อย ๆ อะไรอย่างนี้ พ่อไม่เคยมุ่งหวังเลยลูกจะเห็นว่า ชั่วชีวิตของพ่อ พ่อพยายามจะหนีโลกหนีสังคมหนีการมีชีวิตอย่างสับสนวุ่นวายหรือว่าอย่าง เคลือบแคลง ระแวง สงสัยต่อการมีชีวิตผูกพันอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ต้องบอกว่าหนีการมีชีวิตอย่างผูกพัน พ่อมีชีวิตหรือชอบมีชีวิตอย่างเสรีภาพ มีอิสระของตัวเอง เป็นตัวของตัวเอง ไม่ชอบให้ใครมามีอำนาจหรือไม่ชอบให้ใครมาบีบบังคับ คือ ไม่ชอบให้ใครมามีผลหรือว่ามีอิทธิพลเหนือชีวิตตัวเองที่ ถูกต้อง บริสุทธิ์ ยุติธรรม ของตัวเองดีแล้ว อย่าลืมว่าพ่อพูดว่าที่ถูกต้อง บริสุทธิ์ ยุติธรรม ของตัวเองต่อโลกและสังคมอย่างดีแล้ว
      
       เพราะฉะนั้น พ่อเลยไม่รู้สึกยี่หระกับการที่ไม่มีคนเข้าวัดเลยพ่อบอกกับเขาว่า นั่นแสดงว่า ผู้ที่อยู่ในวัด บุคคลที่อยู่ในวัด บุคลากรของวัดและองค์กร และส่วนประกอบของวัดมันยังไม่ได้เป็นวัด และมันก็ยังไม่เย็นชื่นสนิทใจพอเย็นชื่นใจ โปร่งใส เบาสบาย แก่คนที่เข้ามาในวัดมากพอ เขาจึงไม่อยากเข้าวัดก็ได้แล้วก็วัดไม่ได้เป็นที่นำมาซึ่งความสงบสะอาด สว่าง อย่างจริงจังจริงใจก็ได้ คนที่อยู่ในวัดยังมากมายไปด้วยปัญหาต่าง ๆ ก็ได้ สิ่งเหล่านี้แหละ เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้คนไม่อยากเข้าวัด และเมื่อเข้ามาแล้วก็ไม่ได้ความสะอาด สว่าง สงบ พบพุทธะกลับไปก็ได้
      
       เพราะฉะนั้น พ่อก็เลยบอกว่า เฉย ๆ และถ้ามันจะไม่มีใครเข้าเลย มันก็เท่ากับเป็นการประกาศ ประกาศว่า คนที่อยู่ในวัด หรือตัววัด หรือสิ่งแวดล้อมของวัดและสภาพของวัดมันยังไม่เป็นวัด ประเด็นที่หนึ่ง
      
       ส่วนประเด็นที่สอง ถ้ามันเป็นวัดแล้ว ถ้ายังไม่มีใครเข้ามา พ่อก็จะมีความรู้สึกสบายใจ ภูมิใจและดีใจ ปลื้มใจที่ว่า วัดเราเป็นวัดอย่างสมบูรณ์ เหมือนกัน สมบูรณ์ของวัตร คือการควรจะนำมาซึ่งสถานที่ปฏิบัติ สะอาด สว่างสงบ ไม่ใช่วิกที่วุ่นวาย สับสน เจี๊ยวจ๊าว ทำให้เกิดความระคายเคืองรำคาญต่ออารมณ์ ความสงบ เพราะฉะนั้นในสองประเด็นนี้ มันก็ถูกทั้งสองอย่าง แต่ถูกที่สุดคืออะไร ถูกที่สุดคืออยู่ในใจของพวกเจ้า ในใจของพวกเจ้าว่า เจ้าจะยอมรับอะไร แต่สำหรับพ่อแล้ว พ่อยอมรับทั้งสองอย่าง ต้องบอกว่า ยอมรับทั้งสองอย่าง เพราะฉะนั้นพ่อก็เลยไม่วิตกกังวล กระโตกกระเตกเดือดร้อน ระแวงเคลือบแคลงสงสัยกับอะไรเลย ว่าคนจะมาหรือไม่มา วัดจะเจริญหรือไม่เจริญ พ่อไม่ได้มุ่งหวังว่าจะทำให้วัดเจริญ แต่พ่อมุ่งหวังว่าคนที่อยู่ในวัดเจริญแค่ไหน แล้วก็สรรพสัตว์ทั้งหลาย โลกและจักรวาลเจริญมากน้อยอย่างไรในจิตใจของตน การสร้างวัดของพ่อก็ไม่ได้มุ่งหวังว่าจะให้มันยิ่งใหญ่โดดเด่น โด่งดัง แล้วก็ไม่มีดี แต่คอยจะดับอะไรอย่างนี้ แต่พ่อสร้างวัดขึ้นมาเพื่อจะให้คนทั้งหลาย หรือว่าสรรพสัตว์รวมทั้งโลกจักรวาลสังคม รับผลกระทบที่ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ ยุติธรรมต่อวัดที่พ่อสร้างอย่างตรงไปตรงมาถูกต้องแล้วก็คนที่เข้ามาอยู่ใน วัดและลูกหลานที่เข้ามาอยู่นั้นก็ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ ยุติธรรม ถูกต้องตามหน้าที่ของวัตรปฏิบัติ
      
       ในประเด็นที่สี่ ในคำถามที่ถามว่า สำหรับความเป็นผู้นำของวิญญาณ มันควร จะมีลักษณะเช่นไร พ่ออธิบายไม่ได้เพราะ มันเป็นเอกลักษณ์ของ ตัวเอง ผู้นำทางวิญ-ญาณแต่ละองค์ที่ผ่าน มา เท่าที่พ่อได้สัมผัสและได้รู้จัก ได้วิเคราะห์ ได้ใคร่ครวญ ได้พิจารณา ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า พระอริยะเจ้า พระเถระต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตที่พ่อได้เข้า ใจ ท่านก็มีอุปนิสัยแล้วก็สันดานเดิมหรือความคิดเดิมการกระทำของท่านเดิมๆ นั้นก็แตกต่างกันไป พ่อก็เลยไม่กล้าหรือไม่สามารถจะบอกได้ว่าผู้นำทางวิญญาณที่ถูกต้องควรมี ลักษณะเช่นไรแต่ที่แน่ๆ ก็คือ มีการกระทำ คำพูดและความคิดตรงกันแล้วก็เต็มพร้อมไปด้วยประโยชน์และความประหยัด นี่คือลักษณะที่จะมองสังเกตผู้นำทางวิญญาณ
      
       เพราะฉะนั้น สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ ปัญหาที่มีอยู่ การกระทำ ที่มีอยู่ และการเกิดขึ้นที่มีอยู่นี้ พ่อถือว่ามันไม่มีอะไรในกอไผ่ เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ ฑีฆนขะ อัคคิเวสนโคตร และพราหมณ์ทั้งหลายว่ามันไม่มีอะไรในอากาศ มันไม่มีอะไรในอากาศ ไม่รู้น่ะคนอื่นจะคิดยังไงพ่อไม่รู้ แต่พ่อคิดของพ่อเองว่าพ่อไม่เห็นมีอะไรในอากาศไม่ปรากฏรอย อะไรในอากาศได้เลย เพราะฉะนั้น ชีวิตของพ่อจึงเป็นชีวิตของพ่อ พ่อมีสิทธิ์ที่จะกำหนดตัวพ่อเองได้ตลอด เวลา เพราะมันเป็นชีวิตที่พ่อได้ใช้มัน พ่อไม่เคยให้ชีวิตมา ใช้พ่อ แล้วพวกเจ้าล่ะ พวกเจ้าได้ใช้ชีวิตของเจ้าแล้วหรือยัง
      
       ในอีกเรื่องหนึ่งก็คือปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหา เล็ก ปัญหาใหญ่ปัญหาน้อย การแสดงออกซึ่งความรู้ ความสามารถ ความเบียดบังเหยียบย่ำกันในความคิดอ่าน มึงรู้น้อย กูรู้มาก มึงทำไอ้นั่นได้น้อย ทำไอ้นี่ได้มากอะไรอย่างนี้ เรื่องของเรื่องมัน เกิดขึ้นจากความไม่รู้จักตัวเอง อะไรคือความไม่รู้จักตัวเอง ก็คือ ถ้าหากว่าพวกเจ้าจะถามตัวเองสักนิดว่า ตั้งแต่วันแรกที่บวชเจ้ามาจนถึงวันนี้ เจ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำคำพูด ความคิด ก่อนที่เจ้าจะบวชกับหลังจากที่เจ้าบวชเจ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงในหนทางดีขึ้นมา บ้าง ก่อนที่เจ้ามีชีวิตกับหลังที่เจ้ามีชีวิต ก่อนที่จะรู้เดียงสากับหลังรู้เดียงสา ก่อนที่จะโตกับหลังที่จะโตหลังจากโตแล้วเจ้ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ถ้ามันยังไม่ได้เปลี่ยนไปเลยก็แสดงว่าเจ้าไม่พัฒนา ชีวิตที่ไม่ได้พัฒนาคือชีวิตที่ย่ำอยู่กับที่ คนที่ย่ำอยู่กับที่แล้วมันจะเจริญได้อย่างไร พ่อก็ต้องบอกว่ามันเป็นมนุษย์ไส้กลวง ไส้กลวง ที่จะเอาไส้ออกอวด แต่ข้างในนั้นมันไม่ต้นมันกลวง ถ้าจะเปรียบกับต้น ไม้ ก็เป็นต้นไม้ประเภท ต้นมะละกอ ที่ไส้กลวง เป็นต้นกล้วยที่ไม่มีแก่น เป็นหญ้าปล้อง หญ้าขนอะไรประเภทนั้นไป มันไม่มีแก่นสารสาระ หรือหาประโยชน์ได้น้อย มีประโยชน์แต่มีประโยชน์ได้น้อย
      
       เพราะฉะนั้น พ่อจึงอยากจะบอกว่าชีวิตที่อยู่อย่างไม่มีประโยชน์หรือมีประโยชน์ได้น้อย พ่อก็รู้สึกว่ามัน ถ้าเป็นพ่อแล้วล่ะก็อยู่ไม่ได้ พ่ออยู่ไม่ได้ พ่ออาจจะต้องยอมที่จะทำอะไรสักอย่าง เพื่อจะทำให้เป็นการหยุดความไม่มีประโยชน์ของตนเสีย แล้วก็การที่เจ้ามาแสดง ออกถึงความรู้ความสามารถน่ะ ว่าคนนั้นอาวุโสน้อย คนนี้อาวุโสมาก คนนี้อาวุโสใหญ่ คนนั้นอาวุโสเยอะ คนนั้นอายุน้อย คนนี้อายุมาก ไอ้การ อาวุโสน้อย อาวุโสมาก อายุเยอะ อายุใหญ่นั่นน่ะ มันอยู่ กันที่ไหน ศาสนานี้เขาสอนกันว่า คนแก่ แก่ประเภทใด เจ้า ลืมกลอนที่ท่องบ่อยๆ แล้วหรือว่า
      
       "คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน
       คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน
       คนจะรวย รวยศีลรวยทาน ใช่บ้านโต"
      
       อย่าลืมว่า ประโยคที่สองที่พูดว่าคนจะแก่นั้นเขาแก่ ความรู้ใช่อยู่นาน ไอ้ความรู้ตัวนี้ไม่ใช่ผู้ที่เกิดจากการท่อง จำน่ะ แต่มันจะ รู้ที่เกิดจากการกระทำ เขาจึงเรียกว่าเป็น คนแก่ ใครก็ได้ที่ตัวเองทำได้ อะไรก็ได้ สิ่งใดที่เราทำไม่ได้คนอื่นเขาทำได้ เราก็ต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนแก่ คือรู้มากกว่าเรา เราก็ต้องเคารพเขาใน ฐานะที่เป็นผู้รู้มากกว่าเรา และอะไรที่เราทำได้ เขาทำไม่ได้เขา ก็ต้อง ยอมรับว่า เราแก่กว่าเขา เรารู้มากกว่าเขา การอยู่ กันด้วย ความเอื้ออาทรอย่างนี้ การยอมรับกันอย่างนี้ เขาเป็นสังคมของคนมีธรรมะน่ะลูก
      
       แต่ถ้าหากว่าจะมานั่งเคารพกัน วิตกวิจารณ์กันเพียง แค่มึงอายุน้อยพรรษาน้อย ความรู้น้อย กูอายุมาก พรรษา มาก ความรู้ มากคนแก่ที่สุดชั่วไม่ได้หรือ คนอายุมากพรรษามาก ความรู้มาก ไม่เป็นคนเลวเลยหรือ ในขณะเดียวกัน คนอายุน้อยพรรษาน้อยความรู้น้อย ทำดีไม่เป็นบ้างเหรอ แล้วไม่มีโอกาสจะดีเลยหรือ แล้ว ในมุมกลับคนอายุน้อยพรรษาน้อยชั่วไม่เป็นหรือไง คนอายุมาก พรรษามากความรู้มาก ดีมั่งไม่เป็นหรือไง
      
       เพราะฉะนั้น พ่อจึงอยากจะถามพวกเจ้าว่า เจ้ากำลังจะเล่น อะไรกัน หรือกำลังจะทำอะไรกันหรือ รู้ไหม ว่าเจ้ายิ่งเล่นยิ่งทำน่ะ คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือใคร พ่อกำลังจะบอกว่าคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดนั้นไม่มี มี แต่คนที่เสียประโยชน์มากที่สุด นอกจากศัตรูของเจ้าแล้ว ก็ถ้าเจ้าจะเกลียดนาย ก. แล้วเจ้าก็พยายามจะแสดงอะไร ต่ออะไรเพื่อเบียดบังนาย ก. และถ้าเผอิญนาย ก. เขาเป็นคนมีธรรมะ เป็นคนที่รู้จักเรียนรู้ เป็นคนที่รู้จักหาประสบการณ์ทางวิญญาณ เขาจะได้ประโยชน์จากเจ้ามากที่สุด
      
       พ่ออยาก จะเตือนด้วยความหวังดี ด้วยความเอื้อ อาทรอย่างสูงสุดแล้วน่ะ ปกติแล้วพ่อไม่ควรจะเตือนให้ เจ้าได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ เพราะคนชั่วสันดานชั่วก็คือการทำ ชั่ว ชาวโลกเขามักจะยอมรับกันว่ามันแก้ไขไม่ได้
      
       แต่สำหรับพ่อแล้ว พ่อถือว่าแก้ได้ คนชั่วที่สุดมี โอกาสจะเป็นคนดีที่สุดได้ มหาโจรห้าร้อยยังเป็นอรหันต์ ได้เลย คนที่ฆ่าเขามาชั่วชีวิตก็ยังเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะ ฉะนั้นพ่อก็เลยให้โอกาสกับ พวกเจ้าว่า ที่พ่อเคยพูดเป็น ประจำว่า ถ้าพ่อเลือกอยู่ระหว่างมิตรกับศัตรู พ่อจะเลือก อยู่กับศัตรูมากกว่ามิตร เพราะว่าศัตรูมันมีบทสอนให้พ่อ ได้รู้ได้เรียน ได้เข้าใจ ได้มีประสบการณ์มากกว่าอยู่กับ มิตร มีบทเรียนที่มีค่ามากกว่ามิตร เพราะฉะนั้น พ่อก็เลยอยากจะบอกกับพวกเจ้าว่า เจ้ากำลังจะตั้งใจเรียนกัน หรืออย่างไร ถึงได้พยายามสร้างศัตรู....