ปกติผล ที่เป็นพลังแห่งธรรมชาติและจักรวาล ที่เกิดและ แสดงออกถึงพลังแห่งธรรมชาติและจักรวาลคืออะไร สัตว์ที่เรียก อริยสัจคือ ปกติผลคือปฏิบัติกิริยาของพลังแห่งธรรมชาติและ จักรวาลเหตุผลก็เพราะเราเห็นว่าสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายเกี่ยวกับอะไร กับพลังแห่งธรรมชาติและจักรวาลก็เพราะสมมุติสัตว์คือ คนและเทวดาทั้งหลายสามารถไปถึงธรรมชาติ และจักรวาลได้มั้ย แน่นอนจึงเป็นปฏิกิริยาและผลที่แสดงออกถึง ความสามารถของคนและเทวดา
      
       เทวดาตรงนี้ไม่ใช่หัวแหลมๆ ที่เหาะได้และมีชฎาใส่ แต่หมายถึงมนุษย์ที่สูงกว่าคน ไม่ใช่รูปร่างสูง แต่เป็นจิตใจสูง สองประเภทนี้ คือผลงานของธรรมชาติและจักรวาลที่เป็นผู้สืบทอดพลังคนเราสามารถทำอะไร ๆ ได้หลายๆ อย่าง เริ่มจาก ทำบ้าน ทำรถ ประกอบอาชีพ ทำเรือให้ลอยอยู่ในน้ำเหล็กที่หนักที่สุดยังลอยได้ และยังสามารถทำคนได้อีกด้วย ทำเครื่องบินลอยได้ ทำสสาร คือวัตถุต่างๆ ลอยออกนอกโลกได้เข้าไปสู่จักรวาลได้
      
       ดังนั้นผลงานของคนและเทวดานั้น หรือมนุษย์นั้นจึงสามารถสื่อความหมายของ ธรรมชาติที่เป็นพลังและจักรวาลได้ที่หลวงปู่บอกว่าคน และเทวดา คือผลงานของธรรมชาติ และจักรวาลคือ พลังของธรรมชาติและจักรวาลเพราะคนทำลายธรรมชาติได้ เช่น ทำลายไม้น้ำท่วม ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ไฟไหม้ ก็เพราะอำนาจของคน เพราะฉะนั้น คนถึงมีอำนาจอำนาจของคนมีมากมายมหาศาล เพราะคนมีอำนาจได้หรือมนุษย์มีอำนาจได้ มีมันสมอง มันไม่มีจิตวิญญาณ ความนึกคิดอยู่ในตัวคนนั้น ก็คือซากศพที่ตายแล้ว ศพที่ตายแล้วมีอะไรเหลือละ ทำไมศพจึงตาย ทำไมนำศพ นำผีไปนอนอยู่ในโลง ก็เพราะไม่มีจิตวิญญาณ ที่เรายังมีชีวิตอยู่ยืน นอน นั่ง เดินหัวเราะ และโดยเห็นได้ชัดนี่ก็เพราะเรามีจิตวิญญาณ แต่ตัวจิตวิญญาณตัวนี้แหละคือ ตัวที่แสดงออกถึงพลังอำนาจของจักรวาล มันเป็นตัวการใหญ่สำคัญที่จะทำลายธรรมชาติ เป็นตัวการใหญ่ที่จะทำให้ตัวเองเข้าถึงจักรวาล และเป็นตัวการใหญ่ที่ทำให้เกิดพลังเป็นตัวการใหญ่ที่จะทำให้เป็นคน พระพุทธเจ้าเป็นคนฉลาด และสอนให้เราฝึกปรือตัวนี้ให้ได้
      
       เพราะเมื่อเราฝึกปรือได้แล้ว เราก็จะไปถึงจักรวาลและพลัง คนที่ตายไปแล้วเหมือน กับหินกับรถที่ไม่มีเครื่อง เรือไม่มีเครื่องลอยอยู่ในน้ำไม่ได้รถไม่มีเครื่อง ก็จอดอยู่เฉย ๆ หรือเหมือนกับซากศพ ซากหมู ซากหมา ซากควาย ที่นอนตายแล้วก็รอเวลาเน่าเปื่อยไปวัน ๆ เพราะว่าที่เราเกิดเป็น คน ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมมาประชุมกัน ไอ้ดิน น้ำ ลม ไฟ นี้จิตวิญญาณควบคุม ที่จริงนั้น จิตวิญญาณควบคุมลม เมื่อลมในร่างกายไม่มี ลมเป็นผู้ควบคุมจิตวิญญาณความนึกคิดไม่มี ลมในร่างกายเราไม่มีมันก็คือความตาย เมื่อลมหาย ไฟในร่างกายที่ช่วยขับของเสีย ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นเมื่อลมหายไฟก็ดับ เมื่อไฟในร่างกายดับ ร่างกายคนก็เย็น เมื่อลมหายไฟในร่างกายดับไฟ ไฟควบคุมธาตุน้ำ เมื่อน้ำไม่มีผู้ควบคุม น้ำก็จะบวม หรือเอ่อ หรือท่วมออกมา ดังนั้นผู้ที่ตายแล้ว 3 วัน 7 วัน 15 วัน จึงมีร่างกายที่เปล่งไปด้วยน้ำ เพราะปกติ ถ้ามีไฟอยู่ ไฟก็จะเผาผลาญให้เป็นน้ำเหงื่อ น้ำเลือด น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำมูก ที่จะขับถ่าย ออกมาตามรูขุมขน เมื่อไฟมันดับไปแล้ว น้ำมันไม่มีผู้ควบคุมมันก็จะทำการละลายดับ
      
       คนที่ตายไปแล้วเราจึงจะสังเกตเห็นได้ว่าบางทีบางครั้ง ในส่วนไหนของร่างกายที่มันเป็นดินดีบาง ๆ ไม่มีความหนาที่จะควบคุมน้ำได้ เช่น หน้าท้อง ริมฝีปาก ตา หู น้ำก็จะไหลออกมา น้ำเหลืองไหล ตาปลิ้น ลิ้นจุกปาก ลักษณะแบบนี้ "จิตวิญญาณคืออำนาจของพลัง" มันเป็นที่รวมแห่งพลังเป็นอำนาจที่สื่อของพลัง ต่างก็ควบคุมดิน น้ำ ลม ไฟ ในร่างกายเรา ทีนี้ถ้าหากผู้ควบคุมมีอำนาจยิ่งใหญ่
      
       ครั้งหนึ่งหลวงปู่เคยไปที่เขาประทับช้าง เจอผู้เฒ่าคนหนึ่ง ชาวบ้านเรียกกันว่าปู่สีตอนนั้นเวลาประมาณ 2 ทุ่มเศษๆ พระเณรก็นอนกันหมด แล้วหลวงปู่ก็นั่งสวดมนต์ และทำสมาธิ ก็เกิดมีเมฆก้อน หนึ่งออกเป็นสีฟ้าๆ ลอยมาที่กลดหลวงปู่ ร่วงลงมาปุ๊นิ่ง เสียงเหมือนกับดูเทวดาถ่ายรูปนิดหนึ่งๆ ฟ้าแลบแปร๊บๆ นั่นแหละ นอนดูอยู่ 2 ชั่วโมงนั่นแหละ คล้ายๆ กันล่วงหล่นลงมา แทนที่จะกลายเป็นฝน กลับกลายเป็นคน ถามว่า มากับเมฆได้ไง เขาบอกว่าเขานั่งสมาธิอยู่ในป่า แล้วก็เผอิญเห็นเมฆลอยมา แล้วเขาก็พูดว่า ถ้าเขาเป็นนกก็คงจะดี จะได้ขึ้นไปอยู่บนเมฆได้ เขาพูดแค่นั้น ผลปรากฏว่าเขาก็ลอยขึ้นไปบนเมฆ แล้ว ก็ลอยมาตกปุ๊อยู่บนกลดของหลวงปู่ และคุยกันตั้ง 2 ชั่วโมง ก็ถามว่า แล้วท่านนั่งสมาธิอยู่ที่ไหน เขานั่งอยู่ที่อุบลฯ อุบลฯ ไม่ใช่ใกล้ๆ เขานั่งสมาธิอยู่จังหวัดอุบลฯแล้วเห็นเมฆ เขาคิดถ้าเราเป็นนกก็คงจะดี จะลอยอยู่บนเมฆจะบินอยู่บนอากาศ ความคิดเช่นนั้นที่เขาได้รับการฝึกปรือจากพลังอันเยี่ยม ยอด ทำให้เขามีตัวลอยและก็ลอยอยู่บนก้อน เมฆเขาบอกว่าเขาอยู่บนก้อนเมฆมา 3-4 วันแล้ว แล้วก็ผ่านมาทางนี้ เห็นมีแสงอะไรสวยๆ งามๆ เขาก็เลยบอกว่าจะลงมาดู มีแสงอะไรสวยๆ ตรงนี้เราต้องลงมาดู พอคิดจะลงมาดูเขาก็หล่นตุ๊บลงมา ใกล้ๆ กลดหลวงปู่ แล้วก็คุยกัน ถามเขาว่า ทีตอนหล่นนะ หล่นไม่เป็นท่า ตูดจ้ำเบ้าลงมา ด้วยความคิดที่ตกลงว่า เอ๊ะแสงอะไร สีสวยๆ อยู่บน กลดหลวงปู่ลงมา ก็คุยกัน 2 ชั่วโมง ถามชื่อถามแซ่เขา เขาบอกอยู่จังหวัดอุบลฯ อยู่อย่างนี้มา 3 เดือนแล้ว โดยไม่ได้ลุกขยับเขยื้อนไป ไหน แล้วก็การที่เขามาที่นี่ได้ก็มาด้วย ความรู้สึกคิดที่เป็นจิตวิญญาณ ที่ได้รับการฝึกปรือมาดีแล้วนี่ มันสามารถจะควบคุม ดิน น้ำ ลม ไฟ ในกายคนนี่ให้เป็นปกติ
      
       แล้วเราก็นั่งคุยกันมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเอ่ยชื่อ ขอให้หลวงปู่ได้ ไปเที่ยวที่อุบลฯบ้าง แล้วไปหาเขาที่พุ ถ้าเป็นพวกเราก็คงวิ่ง อยู่ดีๆ ก็มีคนหล่นปุ๊ลงมาจากกลางอากาศ แล้วอุ๊ยเจ็บเหลือเกิน กระต๊อบหลวงปู่อยู่ริมน้ำแล้วมีน้ำไหลลงมา น้ำผุดมาจากแผ่นดิน แต่ไม่มีภูเขานะแต่เป็นลานหิน แล้วมีน้ำผุดจากกลางแผ่นดิน แล้วมัน ก็ไหลเรื่อยมา แล้วตรงกลางแผ่นดินนั้น มันมีชะง่อนผาอยู่หน่อย หนึ่ง เขาไปอยู่ใต้ชะง่อนผานั้น น้ำก็ไหลผ่านหน้าเขา มันก็เหมือนเปลือกถ้ำอะไรอย่างนั้น ก็คุยกับเขา รู้สึกจะอยู่กับเขาประมาณอาทิตย์กว่าๆ มันชอบท้าไปลองฤทธิ์ไม่ต้องเล่าหรอกนะ ว่าทำอะไรมั่ง นี่คืออำนาจของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่เป็นพลังของธรรมชาติ และจักรวาล
      
       ครั้งหนึ่งมีคนมาจากเยอรมันเขามาบอกว่า เอาสังฆทานมาถวาย เอาเงินมาถวาย แล้วมาขอบใจหลวงปู่ที่อาทิตย์ที่แล้ว ไปช่วยให้เขารอดตาย ถามว่าทำไม
      
       เขาบอกว่า เขาได้ฝันไป ฝันว่าเห็นหลวงปู่อยู่บนหลังคา แล้วบอกว่าวันนี้เอ็งอย่าไปไหนนะ เดี๋ยวรถเอ็งจะคว่ำ แล้วก็เป็นเรื่องจริงอย่างนั้น เช้าวันนั้นรถเมล์ของต่างชาตินั้นมารับ ผ่านหน้าบ้าน เขาไม่ได้ขึ้นรถ พอวิ่งผ่านไป 2 กิโลเมตร รถก็ไปคว่ำตายตกเหว ทั้งคัน ทำให้เขารีบจับเครื่องบินมาหา มาถวายสังฆทาน และอีกครั้งหนึ่ง เขาเป็นเพื่อนกับหมอพินิจที่จริง นั้นหลวงปู่ไม่รู้จักเขา เขามาหาเอารูปที่วาดโดยพู่กัน เมื่อปี 2527 เขามาเอารูปที่วาดโดยภู่กันเที่ยว ถามพระในประเทศว่ามีพระรูปหน้าอย่างนี้มั้ย สุดท้ายเขาก็หมดอาลัยตายอยากเพราะไม่เห็นหลวงปู่ก็เลยไปพักอยู่บ้านญาติ บ้านญาติตรงนั้นเป็นซอยแสนสุข ที่เราไปพักเป็นโรงเจที่ไปสาดน้ำกัน นะ หลวงปู่ไปบิณฑบาตตอนนั้นไปพักอยู่ที่นั่น ยังไม่ใช่วันสง-กรานต์ก็ไปบิณฑบาต เพราะไปพักอยู่ที่นั่น 2-3 อาทิตย์ พอไปเดินบิณฑบาต เขาก็ออกไปใส่บาตร เป็นคนจีนฮ่องกงเขามีเมียเป็น คนไทย เมียเขาออกมาใส่บาตร เขาก็เห็นเข้าเขาก็ร้องว่าใช่แล้วๆ เขาเรียกหลวงปู่ว่า ไต้ซือ ไต้ซือ ตัวนี้แปลว่าพระผู้เฒ่า พระที่อยู่ประเทศฮ่องกงเขาได้วาด เขาเล่าให้หลวงปู่ฟังว่าเขาไปหาหมอดู 8 คน ด้วยกันทุกคนบอกว่า เขาต้องตายภายในอายุ 41 เขาเป็นช่างทาสีเขารับจ้างทาสีที่สูงๆ เขามีลูก 2 คน คนโตเพิ่งจะ 2 ขวบ คนเล็ก ยังไม่อดนมเลยยังนอนแบเบาะมี แม่อายุ 80 ปี เมียก็ประสาทไม่ดีเท่าไหร่ ก็ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ทีนี้หมอดูทั้ง 8 คน อยู่คนละแห่งคนละที่ คนละหัวเมืองคนละตำบล ทุกคนทายเขาว่าเขาจะต้อง ตายภายในอายุ 41 ตอนที่เขามาหาหลวงปู่ หรือมาประเทศไทยนั้น เขาอายุจะย่างเข้า 40 มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาทาสีอยู่บนที่นั่งร้านทาสีก็พังลงมาจริงๆ และ 2-3 ครั้งแล้ว ที่เกิดอุบัติเหตุภายในเดือนที่ผ่าน มา เขาก็เลยกลัวและไม่กล้าที่จะทำอาชีพทาสีอีกต่อไป ก็เลยมาหา มีไต้ซือคนหนึ่งบอกว่ามีพระองค์หนึ่งที่อยู่ในประเทศไทยรูปร่างอย่างนี้แล้ว ไต้ซือองค์นั้นก็วาดรูปให้ดูวาดรูปด้วยพู่กันหลวงปู่ก็ดูหน้าเหมือนกับแกะ ออกมาเลย หล่อกว่าหลวงปู่นิดนึง เราก็เอามาดู เขาบอกว่าพระองค์นี้จะช่วยชีวิตเขาได้ เราก็มานั่งนึกว่า เอเราจะช่วย เขาได้ยังไง มันเป็นความแปลมหัศจรรย์ว่าก่อนนั้น 3 เดือน หลวง ปู่ได้ไปเที่ยว ไปเที่ยวฮ่องกงกับเขาเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าไปที่ไหน แต่รู้ว่าไปที่วัดหนึ่ง ได้ไปคุยกับไต้หยินหรือไต้ซือที่เป็นนักมวยของจีน ก็ไปคุยกับเขา เรื่องอะไรต่อมิอะไรร้อยแปดพันเก้า
      
       เมื่อตื่นขึ้นมาพักนึกไอ้ห่าเมื่อคืนนี้กูได้ไปเที่ยวไกลโว้ยได้ไป เที่ยวถึฮ่องกง ได้ไปไหว้พระใหญ่ มีพระกวนอิม พระโพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวร มีพระยูไล พระโพธิสัตว์เจ้า 3 เดือน แล้วที่ฝัน แล้วก็ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังอะไร ไม่ใส่ใจแล้วก็ถามว่าวัดที่มึงไปหาไต้ซือและวาดภาพมานี่ชื่อวัดอะไร เขาบอกว่า ชื่อกามา กวางตุ้ง วัดนี้นั้นมีพระพุทธรูปพันมือยืนอยู่กลางวัดมีลานหิน มีเจดีย์จีน 8 ชั้น ใช่รึเปล่า เขาก็บอกว่าใช่ มันเป็นเรื่องแปลกที่จิตวิญญาณที่เราคิดๆ กันนี่ มันไปไหนได้ไกลๆ อย่างที่เราคิดไม่ถึง เช่น ประเทศสหรัฐฯ
      
       ครั้งหนึ่งฤาษีลิงดำ เขาเคยพูดกับชาวบ้านว่า ครั้งหนึ่งหลวงปู่เคยได้ไปช่วยคนที่ถูกผีอำครั้งหนึ่งที่เขานอนอยู่รัฐ ฟลอริดา ประเทศ สหรัฐฯซึ่งขณะนั้น หลวงปู่จำได้ว่าหลวงปู่อยู่ในถ้ำสิงโตทอง เขาก็เขียนหนังสือบอกว่า พระวิเศษ มาช่วยเขา ทำให้รอดพ้นจากผีฝรั่งอำ เพราะฉะนั้น เราจะเห็นว่าอำนาจ วิญญาณ พลัง มันก็คล้ายๆ กับครั้งหนึ่งที่หลวงปู่ฝันว่าเด็กตายอะไรอย่างนั้น
      
       เขาเข้าถึงอำนาจของมัน มันจะควบคุม ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้คงสถานะและคงรูปเดิม ในชนบทนั้นผู้เฒ่าที่ตายกลายเป็นหินทันทีที่เสียชีวิตโดยเหตุผลแล้วในร่าง กายคนนี้มีเลือดมีเนื้อมีของเหลวที่ อยู่ในร่างกายต้องเน่าต้องเปื่อย มันตายแล้วต้องมีการบุบสลาย และ ผลปรากฏว่าผู้เฒ่าเหล่านั้นตาย วิทยาศาสตร์อาจจะพิสูจน์ได้ออกมา ว่าเขาอยู่ในภูเขาน้ำแข็ง มีความเยือกเย็น สามารถรักษาอุณหภูมิ ให้คงที่ร่างกายจึงมีการเปลี่ยนแปลงน้อยๆ และการเปลี่ยนแปลงร่างกายก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น จะทำให้น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองมันค่อยๆ แห้งไปเอง ไม่ใช่พิสูจน์อย่างนั้นไม่ได้
      
       เหตุผลก็เพราะว่า พอเขาสิ้นลมหายใจปุ๊บ ร่างกายเขาจะแข็งเป็กขึ้นมาทันที ไม่ใช่แข็งตัว แข็งเป็กขึ้นมาทันที กลายเป็นหินทันที ในพระสุทธิธรรมยังมีบ่งบอกเอาไว้ว่า พระพุทธเจ้าสอนพรหมณ์เอา ไว้ว่า อาณาปาณสติ นั้นถ้าใครทำถึงขั้นจะอธิษฐาน ให้ร่างกายของตนเป็นพระธาตุ กระดูกเป็นพระธาตุ หรือว่าร่างกายกลายเป็นหินก็ได้ สามารถทำได้เพราะฉะนั้นหลวงปู่จึงบอกว่า พลังแห่งธรรมชาติและจักรวาลมันเกิดขึ้นจากจิตวิญญาณ และเป็นผลของพลังธรรมชาติและจักรวาลที่จะเข้าถึงมัน แต่การเรียนรู้เพื่อ จะเข้าถึงจิตวิญญาณ มันก็ต้องรู้ว่าจิตวิญญาณนั้น ทำหน้าที่ควบคุมธาตุลม ธาตุลมควบคุมธาตุไฟ ธาตุไฟควบคุมธาตุน้ำ ธาตุน้ำ ควบคุมธาตุดิน ธาตุดินไม่ควบคุมสรรพธาตุ ไม่มีการควบคุมแต่เป็นที่อยู่สรรพธาตุทั้งหลายขณะ นี้เราอยู่บนพื้นดิน ดังนั้น ดิน จึงเป็นพื้นฐานของสรรพธาตุ การที่จะเข้าถึงพลังแห่งจิตวิญญาณ ก็ต้องเข้าใจพื้นฐานของ ลม ไฟ น้ำ ดิน เราต้องรู้ว่า ลมมีคุณสมบัติ อย่างไรในลัทธิเต๋า ที่เขามีการสอบเต๋ากง เต๋าขับไล่ผี ปราบ ปีศาจต่างๆ ความจริงเขาไม่ได้เรียนรู้พลังแห่งจิตวิญญาณ แต่เรียนรู้แค่พลัง ของดิน ไฟ น้ำ ลม การเข้าถึงพลังธาตุทั้ง 4 นี้ อันเกิดจากดิน เต๋าจึงถือว่า ทรงเป็นความวิเศษ ความประเสริฐ ผู้ใดเข้าถึงธาตุทองได้ เซียนที่เป็นเซียน ทางอากาศถือว่าเป็นเซียนชั้นสูงการทำพลังแห่งชีวิตให้เข้าถึงธรรมชาติของ เต๋า คือการเรียนรู้ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วก็เอาพลังดิน น้ำ ลม ไฟ มาบวกเข้ากับลมปราน คือผนึกกำลังกับกายใช้ในการปลุกเสกเขียนยันต์เขียนฮู้ รู้ทำสิ่งต่างๆ ผู้ที่เป็นศาสดา ของเต๋าคือ ลีเล่ากุล เป็นจอมเซียนผู้ยิ่งใหญ่ใน 3 ภพ ซึ่งเซียนกับเต๋าก็คือ พวกพราหมณ์ ลีเล่ากุล เป็นผู้คงแก่เรียนวิชาความรู้ ความสามารถมีบ่อยาวิเศษ ทำให้ผู้เป็นเซียนมีอายุยืนหมื่นปี หลายร้อย หลายพันปี เหตุผลก็เพราะลีเล่ากุล นั้นมีพลังเข้าถึงดิน น้ำ ลม ไฟ และก็เข้า ได้ ควบคุมกันได้ แต่พระพุทธศาสนาบอกว่าไอ้ดิน ไอ้น้ำ ไอ้ลม ไอ้ไฟ นี่เป็นพลังแค่เปลือกกระพี้ ส่วนตัวที่ควบคุมดิน น้ำ ลม ไฟ อยู่ได้คือตัวนี้ พระองค์ไม่ได้สอนให้เราเข้าถึงธาตุทั้งสี่ แต่พระองค์สอนให้เราเข้าถึงตัวนี้ คือ จิตวิญญาณ ผู้ที่เข้าถึงจิตวิญญาณของตน ก็สามารถเข้าถึงควบคุมจิตวิญญาณของสรรพโลก สรรพโลกที่มีอยู่มากมายด้วยสรรพร่าง และสรรพ ทุกข์ทั้งหลายได้ การควบคุมสรรพจิตวิญญาณของเราทั้งหลายได้นั้น ก็สามารถจะเข้าถึงพลังแห่งธรรมชาติครั้งหนึ่งหลวงปู่เคยเจอกัสปะมุนี หลวงปู่เจอที่ภูกระดึง ครั้งนั้นยังเป็นหลวงตาแก่ๆ ซึ่งไม่มีความรู้อะไร หลวงปู่อยู่ ในภูกระดึงหน้าหนาวตอนนั้นเป็นปี พ.ศ. 2523 ที่ภูกระดึง ก็หนาวจัด ก็มีหลวง ตาแก่แบกกลดถือไม้เท้าขึ้นมาบนภูกระดึง ที่นั่นมีที่พักเป็นที่อยู่ของวัด แต่ไม่ใช่วัดนี้นะ เขาหนาว และอากาศตอนนั้นก็หนาวเอามากๆ แย่จริงๆ หลวงปู่ฝึกให้เขาจำศีลเรียกว่าทำให้ร่างกายอบอุ่นตอนนั้นหลวงปู่ไม่รู้ชื่อ อะไรตอนหลังมันยิ่งใหญ่ เดินทางไปอินเดีย และได้ไปท้าประลองฤทธิ์ กับโยคีฤาษีเขาว่าคนในหนังสือฝรั่งเขียนเอาไว้ว่า มีพระไทยรูปหนึ่ง ไปท้ากับโยคี โยคีทำให้ไฟไหม้กลับมา เขาทำให้ไฟดับ เป็นกูก็ไม่ยากเอารถดับเพลิงมารอไว้ เวลามันจุดกูก็ฉีด เขาว่ากันว่ามันไปที่กลางเกาะแห่งแม่น้ำคงคา ซึ่งมีเกาะเป็นที่ตื้นๆ เตี้ยๆ ต่างคนต่างก็ไปรอ กัสปะมุนีก็ไปโยคีฤาษีก็ไป ปถึงแล้วโยคีก็ทำให้ไฟลุกมาจากแผ่นดิน กัสปะมุนีก็เอามือลูบกั้นไปบนอากาศ แล้วก็ทำให้ไฟดับลง นี่คือวิธีการ
      
       เพราะฉะนั้นอำนาจจิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมมีอำนาจเหนือสรรพสิ่งรู้จักภัยของสรรพสัตว์ได้ด้วย ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า "อาตีตังสญาณ" คือรู้อดีต "อานาคะตังญาณ" คือผู้รู้อนาคต " ปัจจุบันนังสญาน" คือ รู้ในปัจจุบัน และ "ยถากรรมมุตญาณ" การรู้การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของสัตว์ ก็สัตว์ตน นี้เกิดจากอะไร ไปถึงไหน เป็นอะไร อันนี้คือการรู้ญาณทั้ง 4 จะปรากฏผู้ใดสามารถฝึกปรือ อาตวิญญาณของตน ให้มีอำนาจและมีพลัง เราก็สามารถจะเลือกเกิดและเลือกตายได้อีกด้วย พลังอันนี้สามารถขังและชำระล้าง ผลักดัน ดันพลังที่มีอำนาจอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า พลังกรรมพระพุทธเจ้ากล่าวว่าพลังในโลกใดๆ จะมีพลังเหนือกรรมไม่มี แม้แต่พระพุทธเจ้าก็จะ ต้องมีกรรมเหมือนกันเพราะฉะนั้นพลังตัวนี้ ที่เรียกว่าจิตวิญญาณที่พระ พุทธเจ้าจึงพยายามอบรมสั่งสอนให้เราฝึกปรือได้อย่างดียิ่งและยอดนิยม เราก็จะกำหนดวันเกิดและวันตายของเราได้ ใครอยากรู้มั้ยว่าทำไมหลวงปู่ จึงกล้ากำหนดวันตายของตัวเอง จะไปยากอะไรก็"กินไปก่อน" ซิไอ้โง่
      
       จริงๆ แล้วสำหรับหลวงปู่แล้ว ความไม่ตายจากโลก เป็นความไม่ตายจากวิญญาณ อมตะ ผู้ที่เข้าถึงประตูวิญญาณของตน จะสามารถบังคับระงับความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เพราะวิญญาณนั้นเป็นผลของธรรมชาติและจักรวาล เมื่อ 2 สิ่งรวมกัน มันก็คล้ายหยิน และหยางพองและอิ่ม มีอำนาจเหนือสรรพสิ่งจึงคงความเป็นอมตะของพลังอำนาจไว้ได้ สามารถ รักษาสิ่งต่างๆ ของกายเนื้อที่ประกอบไปด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ พลังธรรมชาติ และพลังของจักรวาลอยู่ที่จิตวิญญาณของเราทั้งหลาย จิตวิญญาณควบคุม ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ให้ทำงานผสมผสานสอดคล้องกลมกลืนกัน แล้วก็การที่จะเข้าถึงพลังธรรมชาติจักรวาล ต้องสามารถคค้นหาจิตวิญญาณของตนให้ได้ แล้วการค้นหาจิตวิญญาณก็ต้องชำระล้างสิ่งปฏิกูลให้หลุดลอดออกไปให้เหลือไว้ แต่ความสะอาด เมื่อเราถึงความสะอาด หมดจด คือการทำกรรมดีต่างๆ ไม่ว่าจะวิธีใดก็ แล้วแต่เป็นวิธีการชำระล้าง จิตวิญญาณ และเมื่อจิตวิญญาณของตนสะอาดก็ต้องหาที่อยู่หามันให้เจอว่ามันอยู่ที่ไหนใน กาย เราจะรวบรัดตัดตอนลงมาว่าค้นหาจิตวิญญาณให้เจอหรือไม่ก็เปิดประตูวิญญาณให้ เข้าหาตัวเรารู้จักตัวเราว่าตัวเราอยู่ตรงไหน ตอนนั้นหลวงปู่ไปอยู่อำเภอฝาง
      
       ตอนนั้นเขามีการเข้าทรงหมอผี พวกผีตองเหลือง และมีการทรงผีฟ้าคนที่เข้าทรงผีฟ้าเป็นผู้ชายอายุ 40-50 ปี เป็นหมอผีที่มีอำนาจมากในหมู่บ้าน ในถิ่นนั้น เป็นพวกจีนฮ่อผสมกะเหรี่ยง ถึงปีชาวบ้านจะต้องเอาลูกสาวที่เป็นพรหมจารีย์คืออายุ 10 กว่าขวบขึ้นไปไปเซ่นสังเวยผีฟ้า ต้องเอาหมู วัว ควาย อะไรสักอย่างหนึ่ง สัตว์สี่เท้า พร้อมเหล้ายาปลาปิ้งอาหารสมบูรณ์มาสังเวยผีฟ้า เผอิญตอนนั้นหลวงปู่อยู่ที่นั่นก็มีผู้เฒ่า 2 คน เดินร้องไห้มาพูดว่าในปีนี้จะต้องส่งลูกสาวสุดที่รัก ซึ่งมีอยู่กับเขาคนเดียว ไปสังเวยผีฟ้า แล้วเพราะถึงคิวแล้ว ปีนี้น้ำและปลาของเราก็อุดมสมบูรณ์แล้ว ปีนี้ไม่อยากนึกได้ข้าวแล้วนึกอยากได้ลูก แต่จำเป็นต้องให้ไปเพราะถึงคิวเรา คนอื่นเขาก็ยังไปได้หลวงปู่อยู่ใกล้ๆ ก็เรียกมาถาม เขาก็เล่าให้ฟังเราก็ใช้วิธีแบบเก่า วิธีเก่าของหลวงปู่ก็คือ เอาเลือดในกายของตนออกมา แล้วก็ผูกหุ่น ให้อีหนูนั้นเอาพู่กันดินสอเขียนไปที่หุ่นเขียนชื่อของอีหนูมัน ถึงเวลาก็ให้พ่อแม่ 2 คน มารับผู้หญิงคือรับหุ่นไป หลวงปู่ไม่ได้บอกว่ามารับหุ่นไป เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเอาลูกสาวไว้ที่นี่ เอาผู้ชายมาอยู่ด้วยสัก 2-3 คน แล้วพอถึงเวลามึงก็มาเอาลูกสาวไป ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่คิดว่าสิ่งที่เอาไปนั้นมันไม่ใช่ลูกสาว ผีฟ้าก็รับเอาหุ่นไปเป็นเครื่องเซ่นสังเวย พอถึงเวลาทำพิธีตอน 2 ยามกว่า เขาก็มีการเข้าทรงผีฟ้า ผีฟ้าก็เข้า ก็มีรายการเอามีดเชือดลิ้นกรีด หน้าอะไรอย่างนี้เรียกร้องความสนใจเลือดโทรมกาย ยิ่งทำให้เกิดความเชื่อความศรัทธาต่อพวกกะเหรี่ยง แล้วก็เชื่อนายจีนฮ่อเหล่านั้นอย่างยิ่งใหญ่
      
       หลวงปู่ใช้วิธีการพลางตาเอาเลือดของตัวเองที่เอามาจากกายกรีดเลือด แล้วก็ใส่วิญญาณ เปิดประตูวิญญาณของเด็กหญิงให้สิงอยู่ในหุ่น แล้วก็ปล่อยให้หุ่นทำงานทำหน้าที่แทนเมื่อหุ่นเข้าไปอยู่ในบ้านของพวกผีฟ้า ประตูวิญญาณนั้นก็จะปิด นั้นหมายถึงว่า หุ่นอันนั้นก็จะมีชีวิตมีวิญญาณได้ชั่วครู่ชั่วคราว พอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถือว่ามีการเซ่นสังเวยแล้ว
      
       เรื่องมันไม่ได้จบลงตรงแค่นั้น มันมีความโกรธแค้นระหว่างหมอผีนายคนนี้ที่เข้าทรงหุ่นผีฟ้าหรือปอบผีฟ้านี่ มีการทำของโดยเขียนอักขระบนหน้าซ้ำตัดหนังสัตว์เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมคล้ายๆ อาสนะแล้วก็เอามาซ่อนไว้ใต้กลดหลวงปู่ พอหลวงปู่ไปนั่งก็เริ่มรู้สึก เอ! ทำไมกลดเรามันย่น อาสนะที่รองนั่ง มันหดลง หดลง หดลง ลักษณะอย่างนี้ พอไปดูเข้ามันเป็นหนังควายมีอักขระภาษามอญ ภาษากะเหรี่ยงเต็มไปหมด พอมันหดลงนิดเดียว แล้ว มันก็จะเข้าไปในทวาร แล้วก็ไขยายใหญ่ในท้องและต้องตายในที่สุด ก็ด้วย วิธีที่เรารู้จักประตูวิญญาณ เราต้องปิดประตูวิญญาณให้เป็น และเข้าใจถึงพลังอำนาจของวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์
      
       ที่เล่าเรื่องนี้มาก็เพื่อจะให้เรารู้เรื่องนี่เราต้องรู้จักวิญญาณ ของตนสามารถจะทำเรื่องที่คนอื่นเขาทำไม่ได้ ตัวอย่างครั้งหนึ่ง พ.ศ.2533 ถ้าจำไม่ผิดนะ ที่กรุงเทพฯ หลวงปู่ฝันไปว่าเจอลูกศิษย์คนหนึ่งเขาทำโฆษณาอยู่ บริษัท โบริโอ ฝันว่า มีผู้ชายแต่งตัวคล้ายๆ พวกกะเหรี่ยงโพกผ้าแดง สพายย่ามแดง ใส่ม่อฮ่อม ผ่านมาหน้าบ้าน แล้วก็โยนอะไรสักอย่างหนึ่ง เข้า มาในบ้าน พอถึงเวลาก็สักพักหนึ่ง ลูกมันก็ร้องไห้แล้วก็มีศพใส่โลงตั้งสวดอยู่ 2 โลงคู่กัน ถึงเช้าหลวงปู่ก็ให้คนเขาไปเตือนเขาก็บอกว่า เมื่อวานนี้พึ่งจะไปศาลคดีที่หลวงปู่แนะนำให้ต่อสู้ เขาชนะคนที่แพ้คดีก็อาฆาตเพราะเป็นคนทางเหนือ เป็นเชื้อสายพม่า คือ ซื้อที่แล้วที่ได้มีการหักหลัง คนขายจะขายต่อไม่ยอมโอนที่ให้คนเก่า คือไม่ยอมโอนให้ มอริโอ หลวงปู่เห็นไม่ยุติธรรมก็ เลยช่วยที่นี่มันไม่ยอมแพ้คดีมันจะเอาชีวิต 2 คนผัวเมีย ก็เลยไปลงทุนจ้างกะเหรี่ยงโดยที่วันนั้นมันประกาศลั่นต่อหน้าศาล คดีแพ้คนไม่แพ้โวย มึงกับกูอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว
      
       หลวงปู่ก็มานอนฝันในอีกวันหนึ่ง วันนั้นก็เป็นวันมาฆบูชา ก็ทำงานเพลียเหนื่อย เราก็เลยบอกว่า เดี๋ยววันนี้จะนอนค้างที่บ้านมันเพราะมีความรู้สึกว่ามันจะเกิดอะไรไม่ดี ไม่ดีขึ้นเยอะแยะ ก็ด้วยวิธีเก่านั้นแหละ หลวงปู่ก็เอาผ้าแดงมาเขียนให้หมอพินิจเอาไปสูบเลือดเรานั่งอยู่นี่ต้องการ แค่ 40 ซีซี. เท่านั้น มันจะเอาซักถ้วย หนึ่งมันสูบแล้วเลือดมันไม่ไหล ทิ่มไปซัก 4-5 ที มัน ไม่ออก ก็นอนสักพัก กินน้ำสักขัน ให้มันมีเลือดออกมาถ้วยหนึ่ง ได้ถ้วยน้ำพริก หลวงปู่ก็รีบเอาเลือดมาเขียนเขียนภูมิ เขียนสวัสดิการผูกหุ่น เขียนชื่อของมันเองในหุ่นแล้วก็เอาไปไว้ในห้องนอน ให้เขาไปนอนในห้องพระ เอาสวัสติกะเขียนด้วยเลือดเขียนไว้หน้าผาก
      
       ผลปรากฏว่า พอตี 1 กว่า ๆ ลมพายุก็กระหน่ำเข้ามา หลวงปู่สั่งให้เปิดหน้าต่างไว้ ถ้าไม่อยากเสียหน้าต่าง ผล ปรากฏว่าลมพัดผ้าม่านปลิวว่อนไปหมด ข้าวของในห้องที่เป็นของเบา ๆ ก็ปลิวแล้วก็ได้ยินเสียงคนร้องในห้องนอนของเขาร้องให้คนเปิดไฟแล้วเข้าไปดู ไอ้หุ่นที่เขียนผ้าแดงนี้มันดิ้นดุ๊บดิ๊บ ๆ เราลองทายซิว่ามันมีอะไรอยู่ในหุ่น มันเป็นปูเลือด 2 ตัว ปูเลือดที่เลี้ยงด้วยเวทมนตร์คาถา เข้าไปอยู่ในหุ่น ก้ามมันก็ใหญ่ ๆ เท่ากับหัวแม่โป้งตีนเรา เข้าใจว่าปูชนิดนี้เขาเลี้ยงกัน ในหมู่พวกหมอกะเหรี่ยง ทางเชียงใหม่ พม่า เขาใช้ปูชนิดนี้ เสกเข้าไปในท้องของคน แล้วมันก็จะไปตะกุย ในลำไส้ในกระเพาะอาหารจนกระทั่งเลือดตกในตายไปเองแล้วคนไข้ก็ร้องโอดโอย ทรมาน หาสาเหตุไม่พบไปโรงพยาบาลก็ไม่เจออะไร ไอ้หุ่นนั่น มันร้องโอดโอยเป็นเสียงคนแล้วสักพักก็กลายเป็นปู 2 ตัว อยู่ในหุ่น
      
       ในบ้านมีหมอพินิจ หมอปัญญาไอ้ประธานมอริโอ ทุกคนหวาดกลัว ในบรรยายสยองขวัญ ขนลุกไปตามๆ กัน หลวงปู่ก็จับปูใส่บาตรแล้วเอาไปปล่อยวัดนี่แหละปู 2 ตัว แล้วมันก็ตาย เวลา มันตายเปิดบาตรดูกลิ่นยังกะศพมันไม่ใช่ปูธรรมดา แต่เขาเลี้ยงด้วยยาพิษด้วยศพอะไรต่ออะไร ยังมีอีกเยอะแยะที่เรามองไม่เห็น ไม่รู้ด้วยตาของเรา มีอีกเยอะที่เราไม่ได้เรียนรู้กัน ดังนั้นการฝึกปรือให้วิญญาณของตนเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เราสามารถจะอยู่ในโลกได้อย่างยืนยง และ มีประสิทธิภาพ มีความเฉลียวฉลาด และสามารถในการดำรงชีวิตให้ถูกต้องวิธีการก็คล้าย ๆ กับ การเริ่มต้นสอนพวกเรา เริ่มต้นจากการที่จะค้นหาตัวเราเอง จากวิญญาณของเราให้ได้ก่อน แล้ว รู้กันรึยังว่าวิญญาณคืออะไร
      
       เราลองมาค้นหาวิญญาณของเราว่าอยู่ที่ไหนซิ เราจะทำยังไงก็คือการสร้างความรู้สึกตัว มัน ไม่ใช่ความว่าง เพราะถ้าว่างมันก็จะไม่มีวิญญาณ แต่มันเป็นความรู้สึกตัวที่อยู่บนความว่าง มันกำลังรู้สึกว่า เราทำอะไรนั้น คือการค้นหาวิญญาณของเราเอง เราจะรู้สึกว่าเปลี่ยนวิญญาณเป็นโครงกระดูกจริงๆ แล้วมันจะมีเส้นรางๆ ที่มองไม่เห็นคือกล้ามเนื้อโครงกระดูก เริ่มต้นฝึกใหม่ๆ เริ่มจากการเริ่มต้นจับโครงกระดูกซะก่อน เข้าไปหาจุดศูนย์กลางตัวเอง เหตุเกิดอะไรกับเหตุการณ์ อะไร นึกถึงกระดูกสันหลังของตัวเองก่อนหลวงปู่เวลาจะเจ็บป่วยจะไม่สบาย มีเหตุอะไรที่จะต้องบีบคั้นให้ทุรนทุรายทุกข์ทรมานก็จะกลับเข้าไปสู่ภายใน ของตัวเราเอง แล้วก็ไล่ออกมาทีละขั้นทีละเรื่องทีละตอน ทีละข้อ ทีละเส้น นี่แหละคือหาวิญญาณของตัวเอง
      
       และเมื่อไล่ออกมาแล้วก็จะทำลายกระดูกทีละชิ้นทีละชิ้นจนกระทั่งไม่มี อะไร การหาวิญญาณ ของตัวเองคือการกลับเข้าไปภายในด้วยการรู้สึกตัวถึงจะมีการตบกันตีกันปลุก กันเพื่อให้เกิดความรู้สึกตัว วิธีการที่จะทำให้รู้สึกตัวนั่นแหละเป็นวิญญาณ ถามว่าทุกวันนี้ไม่ได้รู้สึกเหรอเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเร็วและผ่านไป เร็ว โดยที่เราดูมันไม่ทั่วถึงและไม่เท่ากัน ไม่ทันอารมณ์ที่ปรากฏ แต่ถ้าเราเข้าทันอารมณ์ที่ปรากฏ เราก็เป็นสุดยอดได้ เพราะจิตที่พระพุทธเจ้าบอกว่ามันจะเกิดๆ ดับๆ เป็นพันดวงแล้วพันๆ ดวงที่มันเกิดอารมณ์ขึ้นกับจิตนี่ ซึ่งเราไม่สามารถจะกำหนดมันได้ ทุกเรื่องทุกราว ทุกอิริยาบถทุกอารมณ์ แต่ถ้าเรากำหนดมันได้เราก็จะเป็นผู้ทำผิดน้อยที่สุด ทำถูกได้มากที่สุด เพราะจิตดับที่เกิดโดยไม่รู้ตัวอาจจะไปคิด ไปติด ไปพูด ไปแสดงกิริยาในสิ่งที่ชั่ว และเลวทรามได้ อยู่ในคอนโทรลของเรา อยู่ในควบคุมของเรา มันจะทำในสิ่งที่เราสั่งเท่านั้น ปกติ นี่ไฟมันมีแสงอยู่เป็นปกติของมันไฟนีออนนี่นะ แต่ที่เราเห็นมันสว่างจ้าอยู่ เพราะมันมีระบบดับคือ ความสืบเนื่อง ถ้าเราจะมีกระดาษเล็กๆ บางๆ ไปคั่นกลางระหว่างแสงสว่างที่จะเกิดและดับนั้น เราจะเห็นความมืดปรากฏทันที จิตของคนเราก็เหมือนกับสภาพกะพริบ เกิดๆ ดับๆ อย่างนี้เป็นปกติเป็นนิจศีล เราทำให้มันเกิดโดยสะอาดดับไปก็โดยสะอาด สิ่งที่ตกค้างเป็นที่ว่างว่าง ว่างว่าง จนกระทั่งกลายเป็นโปรตรอน นิวตรอน อิเล็กตรอน แล้วก็นิวเคลียร์ แต่ถ้ามันเกิดดับแล้วก็มากไปด้วยขยะ ขยะแทนที่มันจะหมดมันกลับกลายเป็นขยะกองใหญ่ที่ใช้อะไรไม่ได้เราต้องการความ ว่างของจิต ถามว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับวิญญาณนั่นแหละคือตัวการของวิญญาณที่เรารู้เนื้อ รู้ตัว
      
       วิญญาณตัวนี้ คือจุดเริ่มต้น ความรู้เนื้อรู้ตัวนี่คือ จุดเริ่มต้นของพลังของความยิ่งใหญ่ อารมณ์ที่เกิดกับจิตเมื่อจิตดับไปแล้ว อารมณ์มันไม่ได้ดับตามนาทีหนึ่งมันเกิดจิตเกิดดับได้เป็นร้อย เป็นพันดวง พอเกิดขึ้นหลายร้อยหลายพันนี่ ต้องมีระบบสัญญาณก็บันทึกข้อมูลเท่านั้น บางทีบางครั้งมันล้นออกมา ปรากฏการณ์ทางกิริยาอาการ ที่ปรากฏว่าคนละเมอ คนโกรธง่าย คนฉุนเฉียว อารมณ์หงุดหงิด เป็นปรากฏการณ์ของจิตที่เกิดดับโดยที่มีขยะตกค้าง