ตอนที่แล้วจบลงตรงที่เจ้าลัทธิอลัชชีบอกว่าพระพุทธเจ้ายังต้องสะดุ้งแก่มาร ขณะที่ทรงประทับอยู่ ณ ต้นอชปาลนิโครธ

และอ้างว่าหลวงพ่อสดได้เล่าเรื่องพระพุทธเจ้าสะดุ้งมารให้กับมันฟัง ทั้งที่หลวงพ่อสดท่านมรณภาพก่อนที่มันจะบวชเสียอีก

วันนี้จะนำเอาคำพูดของอลัชชีตอนหนึ่งที่มันย่ำยีพระธรรมวินัย ย่ำยีพระพุทธเจ้า มาให้ท่านได้พิจารณาต่อไป

-----------------------------------

ธัมมชโย :

มารที่มานี่เป็นแค่ทูตนะ ทูตส่งตัวแทนมาถาม มารมันมีจำนวนมาก เขาเรียกว่าหมู่มาร ไม่มีพันธะอะไร เป็นทีมของเขา ยังงี้จะเยอะแยะ และจะมีภพภูมิเขาอยู่นะ ภพของเขาอยู่แยกต่างหากเลย

ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านเรียกธรรม ๓ ประการนี่ไง

ธรรมเป็นกุศล เขาเรียกกุศลาธรรมา หรือธรรมขาว เรียกสุขธรรม ใช่ไหมลูก สีขาวนี่นะก็จะมีภูมิอยู่ต่างหากแยกกัน

และก็ธรรมที่เป็นอกุศลาธรรมา หรือธรรมดำ ที่เรียกธรรมดำเพราะมันสีดำ ก็จะมีภพภูมิอีกอันหนึ่งนี่นะ

ถ้าอัพยากตาธรรมนี่ไม่ขาวไม่ดำ คือดำกับขาวผสมกันนี่ก็จะเทา ก็จะมีภพภูมิอยู่

อัธยาศัยจะไม่เหมือนกัน คนละอย่างกัน ก็จะแยกกันอยู่ แต่ก็เห็นกันได้ มองเห็นกันได้ แต่ก็แยกกัน ต่างก็มีปริมาณพอๆ กันนะ กำลังก็พอๆ กัน
ขึ้นอยู่กับใครชิงช่วงช่วงชิงก่อนกัน พอเห็นพระแล้วจึงเห็นมาร
-----------------------------------


ทีนี้มาดูของจริงว่า อภิธรรม ๗ คัมภีร์ ในบทพระสังคิณี ท่านว่าเอาไว้อย่างไร เหมือนกับที่อลัชชีอ้างไหม
-----------------------------------

พระสังคิณี
กุสะลา ธัมมา,
พระธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล, ให้ผลเป็นความสุข
อะกุสะลา ธัมมา,
ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศล, ให้ผลเป็นความทุกข์,
อัพ๎ยากะตา ธัมมา,
ธรรมทั้งหลายที่เป็นอัพยากฤต, เป็นจิตกลาง ๆ อยู่,
กะตะเม ธัมมา กุสะลา,
ธรรมเหล่าใดเป็นกุศล
ยัส๎ะมิง สะมะเย,
ในสมัยใด,
กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง อุปปันนัง โหติโสมะนัสสะสะหะคะตัง ญาณะสัมปะยุตตัง,
กามาวจรกุศลจิตที่ร่วมด้วยโสมนัส, คือความยินดี, ประกอบด้วยญาน คือ ปัญญาเกิดขึ้น ปรารภอารมณ์ใด ๆ,
รูปารัมมะนัง วา, จะเป็นรูปารมณ์,
คือยินดีในรูปเป็นอารมณ์ก็ดี,
สัททารัมมะนัง วา, จะเป็นสัททารมณ์,
คือยินดีในเสียงเป็นอารมณ์ก็ดี,
คันธารัมมะนัง วา, จะเป็นคันธารมณ์,
คือยินดีในกลิ่นเป็นอารมณ์ก็ดี,
ระสารัมมะนัง วา, จะเป็นรสารมณ์,
คือยินดีในรสเป็นอารมณ์ก็ดี,
โผฏฐัพพารัมมะนัง วา, จะเป็นโผฏฐัพพารมณ์,
คือยินดีในสิ่งที่กระทบถูกต้องกายเป็นอารมณ์ก็ดี,
ธัมมารัมมะนัง วา ยัง ยัง วา ปะนารัพภะ,
จะเป็นธรรมารมณ์, คือยินดีในธรรมเป็นอารมณ์ก็ดี,
ตัส๎ะมิง สะมะเย ผัสโส โหติ, อะวิกเขโป โหติ, เย วา ปะนะ ตัส๎ะมิง สะมะเย, อัญเญปิ อัตถิ ปะฏิจจะสะมุปปันนา อะรูปิโน ธัมมา,
ในสมัยนั้นผัสสะและความไม่ฟุ้งซ่านย่อมมี, อีกอย่างหนึ่ง ในสมัยนั้น ธรรมเหล่าใด, แม้อื่นมีอยู่เป็นธรรมที่ไม่มีรูป, อาศัยกันและกันเกิดขึ้น,
อิเม ธัมมา กุสะลา,
ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล, ให้ผลเป็นความสุข
-----------------------------------


พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ บทพระสังคิณีนี้ องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนให้เห็นถึงอาการของจิตที่มีเจตสิกเครื่อง ปรุงจิต ทั้งอารมณ์ที่เป็นกุศล และอารมณ์ที่เป็นอกุศล หรืออารมณ์ที่เป็นกลาง
เป็นสภาวะจิต สภาวธรรมล้วนๆ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนเราเขา หรือภพภูมิเข้ามาเกี่ยวข้องเลย

แต่อลัชชีตัวพ่อมันก็กล่าวอ้างแหกตาสาวกให้เห็นผิดบิดเบือน หลงผิด เข้าใจผิด ว่าอภิธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้ายังมีสัตว์บุคคล ตัวตน เราเขา ภพภูมิ อยู่อีก

ทีนี้มาดูการโกหกแหกตาของมันต่อ
-----------------------------------

ธัมมชโย :

แต่ทีนี้เมื่อท่านบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ๆ นี่ท่านยัง ก็แค่บรรลุอ่ะนะ พ้นทุกข์นะ แต่ยังไม่รู้จักมาร
-----------------------------------

มาดูกันว่า พระพุทธเจ้าเป็นอย่างที่อลัชชีมันจาบจ้วงหรือไม่
-----------------------------------

คืนวันตรัสรู้พระองค์ทรงบรรลุ วิชชา ๓
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑
มหาวิภังค์ ภาค ๑

๑.บุพเพนิวาสานุสสติญาณ

เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ

เรานั้นย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก

คือระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง

ว่าในภพโน้นเราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น

แม้ในภพโน้นนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

ครั้นจุติจากภพโน้นนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้

เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอุเทส พร้อมทั้งอาการ ด้วยประการฉะนี้

พราหมณ์ วิชชาที่หนึ่งนี่แล เราได้บรรลุแล้วในปฐมยามแห่งราตรี

อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว

แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว

เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น

ความชำแรกออกครั้งที่หนึ่งของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ฉะนั้น.

๒.จุตูปปาตญาณ

เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควร
แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว

ได้น้อมจิตไปเพื่อญาณเครื่องรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย

เรานั้นย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์

ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า

หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ

ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ

หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป

เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หรือว่าหมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ

ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ

หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์

ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมด้วยประการดังนี้

พราหมณ์ วิชชาที่สองนี้แล เราได้บรรลุแล้วในมัชฌิมยามแห่งราตรี

อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว
วิชชาเกิดแก่เราแล้ว
ความมืดเรากำจัดได้แล้ว
แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว

เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น

ความชำแรกออกครั้งที่สองของเรานี้แล

ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น

๓.อาสวักขยญาณ

เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว

ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เรานั้นได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์

ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับทุกข์
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า เหล่านี้อาสวะ
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดอาสวะ
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับอาสวะ
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ

เมื่อเรานั้นรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้
จิตได้หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ
ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ
ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ
เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ได้มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว
ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว

กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
พราหมณ์วิชชาที่สามนี้แล
เราได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี

อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว
วิชชาเกิดแก่เราแล้ว
ความมืดเรากำจัดได้แล้ว
แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว

เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลสส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น

ความชำแรกออกครั้งที่สามของเรานี้แล

ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น
------------------------------------

พระญาณทั้ง ๓ ขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้า ล้วนพ้นแล้วซึ่งความขุ่นข้องมัวหมอง มีความบริสุทธิ์บริบูรณ์ตั้งมั่น อยู่ทุกขณะทุกลมหายใจ

ไม่จำเป็นต้องมานั่งตั้งท่าเข้าฌานออกฌานดังที่เจ้าลัทธิอลัชชีปัญญาอ่อนมันสอนสาวกดอก

องค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีคุณที่มนุษย์ เทวดา มาร พรหม และสัตว์ ยอมรับยกย่องว่า

องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

ทั้งยังมี

พระปัญญาคุณ พระคุณคือพระปัญญา
พระวิสุทธิคุณ พระคุณคือความบริสุทธิ์
พระมหากรุณาคุณ พระคุณคือพระมหากรุณา

แม้แต่ยักษ์ มาร เทวดา พรหม ยังสรรเสริญบูชาในพระสัพพัญญุตญาณ

ญาณคือความเป็นพระสัพพัญญู พระปรีชาญาณหยั่งรู้สิ่งทั้งปวง ทั้งที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

ทรงมีพุทธานุภาพครอบงำทั้งมนุษย์ เทวดา มาร พรหม และหมู่สัตว์

แม้แต่สาตาคิรียักษ์ ผู้ปกครองสาตาคิรีนครในหิมวันต์ตะประเทศ

ยังเปล่งคำยกย่องบูชาองค์สมเด็จพระบรมสุคตเจ้าด้วยคาถาว่า

“นะโม” ซึ่งแปลว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นใหญ่กว่ามนุษย์ เทพยดา พรหม มาร ยักษ์ และสรรพสัตว์ทั้งปวง

อสุรินทราหู ผู้มากไปด้วยฤทธิ์ยังต้องแสดงความนอบน้อมสรรเสริญองค์พระบรมสุคตเจ้าว่า

“ตัสสะ” แปลว่า ขอบูชา ขอนอบน้อม ขอนมัสการ ท้าวจาตุมหาราชิกา ผู้ดูแลประตูสวรรค์ในทิศทั้ง ๔ ยังเลื่อมใสศรัทธา เปล่งคาถาบูชาว่า

“ภะคะวะโต” แปลว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมอันยิ่ง อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
ต่อมาท้าวสักกะเทวราช เจ้าสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ผู้มีวิมารอยู่ในชั้นดาวดึงส์เทวโลก

เมื่อได้รับการตอบปัญหาของพระผู้มีพระภาคเจ้าจนได้ความกระจ่างสว่างชัด และบรรลุพระโสดาปัตติผล จึงเปล่งคำบูชาองค์พระบรมศาสดาว่า

“อะระหะโต” แปลว่า อรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลส ไกลจากเครื่องข้องทั้งปวง

กาลต่อมาพระสุคตเจ้าทรงแสดงธรรมให้ท้าวมหาพรหมได้สดับจนมีดวงตาเห็นธรรม
บังเกิดจิตศรัทธาโสมนัสยินดี จึงเปล่งคำบูชาแด่องค์พระสุคตเจ้าว่า

“สัมมาสัมพุทธัสสะ” แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยพระองค์เอง ทรงรู้ดี รู้จริง รู้ยิ่ง กว่าผู้รู้อื่นใด
รวมบทคาถาบูชาทั้ง ๕ บท เป็นคำนมัสการพระพุทธเจ้าที่คนพุทธทั่วโลกเจริญภาวนาสาธยายกันมาถึงวันนี้ว่า

“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ”

แปลโดยรวมว่า “ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น”

พระคุณของพระพุทธเจ้าเห็นปานนี้แล้ว แค่มาร พระพุทธเจ้าจักไม่รู้จักเชียวหรือ

และจริงหรือที่พระพุทธองค์จะตอบปัญหามารไม่ได้ จนถึงขนาดต้องไปถามผู้อื่น


พุทธะอิสระ

[ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต]
=========================

ที่มา: https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/10154116043643446