Print
Hits: 1165

ขึ้นเหนือคราวนี้มีภารกิจหลายอย่าง นอกจากนำข้าวสารอาหารแห้งและผ้าห่มกันหนาว ขนมของขวัญ ปัจจัยมาแจกเด็กๆ ชาวเขาแล้ว

เจ้าตั้มและคณะยังนำเอาอาหารคาวหวานมาเลี้ยงเด็กและชาวบ้านให้ได้กินกัน คนละหลายๆ รอบจนพุงกางกันเป็นแถวๆ เห็นแล้วน่าชื่นใจ ว่าสิ่งที่พวกเรานำมาให้ พวกเขาต่างรับกันอย่างเต็มใจ เพราะเป็นของจำเป็น

วันแรก พวกเราเดินทางเข้าไปในป่าบ้านขุนวิน ซึ่งเป็นหมู่บ้านของ ชนเผ่าปกากะญอซึ่งมีประชากรอยู่ ๔๘ ครัวเรือน และมีโรงเรียนขุนวินสังกัด กศน. ที่มีอาคารเรียนอยู่ ๑ หลังเป็นอาคารไม้ ๒ ชั้นสร้างมาได้ประมาณ ๒๕ ปีมีสภาพทรุดโทรมมีครูอยู่ ๓ คน เด็กนักเรียน ๒๐ กว่าคนส่วนใหญ่เป็นเยาวชนในหมู่บ้าน

หมู่บ้านขุนวินนี้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ เคยทรงเสด็จเมื่อปี ๒๕๓๔ – ๒๕๓๕ ทรงตั้งชื่อหมู่บ้านว่าโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ อีกทั้งพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้คัดเลือกชาวบ้านไปฝึกวิชาชีพเย็บปักถักร้อยในพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เพื่อนำความรู้มาประกอบอาชีพเสริม

ช่วงเวลาที่ผ่านมาชาวบ้านหลังว่างจากการทำการเกษตรแล้ว ก็ทำการทอผ้านุ่งผ้าห่มและกระเป๋าย่าม ซึ่งเป็นชุดประจำชนเผ่า ต่อมาเมื่อพระองค์มิได้เสด็จ และติดที่หมู่บ้านอยู่ในกลางป่าเดินทางเข้าสู่เมืองลำบาก ผลิตภัณฑ์ด้านศิลปาชีพหัตถกรรมของชาวบ้าน ก็ไม่มีที่จำหน่าย ชาวบ้านจึงเลิกทำเพราะทำแล้วไม่มีใครเข้าไปซื้อ ขายไม่ได้ หากจะถักทอก็เอาไว้ใช้ในครัวเรือนเท่านั้น ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก

เราก็พยายามให้ความช่วยเหลือพวกเขาลองทำถุงย่ามโดยจัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้และบอกกับพวกเขาว่า ให้ลองถักทอย่ามกระเป๋าของชนเผ่ามาดูคนละใบก่อน ว่ามีฝีมือขนาดไหนจะรับซื้อ หากฝีมือดีก็จักหาตลาดระบายสินค้าเหล่านี้ให้

เดินทางขึ้นเหนือมาครั้งนี้นอกจากจะมาติดตามดูงานฝีมือของชาวบ้านที่สั่งเอาไว้แล้ว ยังมาประชุมกับครูและชาวบ้าน เรื่องการสร้างอาคารเรียน ๓ ห้องเรียน และหนึ่งห้องสมุด ผลการประชุมออกมาว่ายังไม่เป็นที่ตกลง ด้วยเพราะชาวบ้านหลายคนยังไม่รับรู้ต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น จึงให้เวลาพวกเขาประชุม ตกลงกันเสียให้เรียบร้อยก่อน อีกทั้งยังนำต้นพริกไทย ที่จัดซื้อมาจากจันทบุรีต้นละ ๘๐ บาท มาแจกให้ชาวบ้านทดลองปลูก หากปลูกได้ผลดีจักนำมาแจกให้คนละ ๑๐๐ ต้น โดยเริ่มแรก รับสมัครแค่ ๕ รายก่อน ซึ่งจะขอดูผลงานซัก ๑ ปี หากมีผลผลิตออกมาแล้วจะรับซื้อทั้งหมด

วันแรกที่ลงพื้นที่กว่าจะเสร็จสิ้นก็ปาเข้าไปบ่ายแก่ๆ

วันที่สองออกเดินทางจากที่พักพร้อมคณะตอน ๙ โมงเช้าเพื่อเดินทางไปหมู่บ้านผาหม่น ซึ่งได้ทราบมาจากผู้จัดการเมฆว่า หมู่บ้านนี้ขาดแคลนเป็นอย่างมาก ทั้งน้ำและไฟ เพราะเป็นหมู่บ้านตั้งอยู่บนยอดดอยกลางป่าสงวน

พวกเราใช้เวลาเดินทางจากถนนใหญ่เข้าตัวหมู่บ้านประมาณชั่วโมงเศษ ครู กศน. ที่ดูสีหน้าเธอแล้วคล้ายกับจะเป็นโรคตับ ไต และดีซ่านเพราะตัวเธอเหลืองดังทาขมิ้น มาคอยต้อนรับ

ครูชี้ให้ดูโรงเรียนที่ทุกคนในคณะมองไม่รู้ว่าเป็นโรงเรียนเพราะมีสภาพทรุดโทรมมาก โรงเรียนนี้สังกัด กศน. เช่นกันมีครู ๑ คน มีเด็ก ๘ คน และมีผู้ใหญ่ในหมู่บ้านเข้ามาร่วมเรียนด้วยตอนช่วงเวลาเย็น

หลังจากเดินดูสภาพหมู่บ้านของชนเผ่าปกากะญอแล้วได้เวลาเลี้ยงอาหารชาวบ้านและเด็กๆ วันนี้เจ้าตั้มและบรรดาแม่ครัวชาวเต็นท์หมายเลข ๙ ทำเมนูเส้นมาม่าผัดเค็มมาเลี้ยงเช่นเคย เห็นทุกคนเข้าแถวมารับอาหารไปกินกันคนละหลายๆ รอบจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็เรียกประชุมชาวบ้าน พร้อมแจงวัตถุประสงค์ของการมาว่า ครูของโรงเรียนร้องขอให้มาช่วย ทำน้ำประปาให้โรงเรียนและหมู่บ้าน เพราะชาวบ้านขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ในฤดูแล้ง อีกทั้งอาคารโรงทำอาหารเลี้ยงให้แก่เด็กนักเรียนก็ไม่มี รวมทั้งห้องส้วมของเด็กๆ ด้วย

ฉันจึงถามชาวบ้านว่า พวกเขามีความเดือดร้อนเรื่องน้ำกันมากน้อยแค่ไหน

ผลปรากฏว่า ชาวบ้านเขายากได้น้ำจริง เมื่อเห็นว่าทุกคนต้องการทำจริงๆ จึงแจ้งแก่พวกเขาว่า เราจะจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ ทำแท็งก์น้ำให้ทุกชนิด พร้อมทั้งเครื่องสูบน้ำจากตีนเขาถึงสู่ยอดเขา โดยต้องติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ ซึ่งทั้งหมดนี้เราจักเป็นผู้จัดหาให้ แต่มีข้อแม้ว่า ชาวบ้านต้องลงแรงช่วยกันทำ เราจักไม่จ้าง ชาวบ้านจะยินยอมหรือไม่

ทุกคนตกปากรับคำว่า พวกเขาจักช่วยกันทำเอง

จึงตั้งกระทู้ถามต่อไปว่า ครูเขาร้องขอว่าโรงเรียนยังไม่มีห้องส้วมและห้องประกอบอาหารให้เด็ก ชาวบ้านมีความเห็นว่า ต้องสร้างหรือไม่

ทุกคนยกมือบอกว่า อาคารพักครูมันผุไม่สามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้ หากจะแปรสภาพมาเป็นโรงอาหารและห้องน้ำก็จะดี

เมื่อเห็นว่าทุกคนมีความต้องการและพร้อมที่จะร่วมมือกันสร้าง เราจึงบอกว่า หากจะสร้างชาวบ้านก็ต้องช่วยกัน เราจักจัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้

สรุปความว่า หมู่บ้านผาหม่นซึ่งเป็นของชนเผ่าปกากะญอ หมู่บ้านนี้มีชาวบ้านอยู่ประมาณ ๑๘ ครัวเรือน ยังขาดแคลนไฟและน้ำ

เอ้าใครมีใจเมตตา ต้องการจะสงเคราะห์เพื่อนร่วมชาติ จะช่วยอะไรได้ก็ช่วยกันมาที่มูลนิธิธรรมอิสระนะจ๊ะ

พุทธะอิสระ