ความเดิมตอนที่แล้ว
มหาชนทั้งหลายพร้อมองค์ราชาพรหมทัต ได้ออกติดตามกุมารโชติปาลมาถึงริมฝั่งแม่น้ำโคธาวรี ซึ่งต่อมาโชติปาลกุมารดาบสโพธิสัตว์ ได้เหาะมาปรากฎกายอยู่บนอากาศ ณ ริมฝั่งแม่น้ำโคธาวรี แล้วแสดงโทษแห่งกามคุณและอานิสงส์ในการรักษาศีลให้กับบิดามารดา พระราชา มหาชนได้สดับ จนทุกคนบังเกิดจิตศรัทธา ยอมรับนับถือกุมารโชติปาลโพธิสัตว์เป็นอาจารย์ แล้วขอบวชเป็นดาบสปฏิบัติธรรมตามดาบสน้อย
โชติปาลกุมารดาบสจึงมอบหมาย ให้ดาบสใหม่แยกย้ายกันพักอาศัยอยู่ในบริเวณป่ามะขวิดนั้น
ข่าวการที่องค์ราชาพรหมทัตและบิดามารดา พร้อมมหาชนออกบวชอยู่ในสำนักดาบสน้อยได้แพร่ขจรขจายออกไปในทิศทั้ง ๔ ทั่วชมพูทวีป จนทำให้ราชาเมืองอื่นในชมพูทวีปต่างพากันเสด็จมายังแม่น้ำโคธาวรี พร้อมบริวาร
เพื่อจะดูว่าข่าวที่ได้ยินมานั้นจริงหรือเท็จประการใด
เมื่อหมู่ราชาพร้อมมหาชนต่างพากันมาที่แม่น้ำโคธาวรีเพื่อรอดูว่าองค์ราชาพรหมทัตพร้อมบริวารต่างพากันบวชเป็นดาบส โดยฝากตัวเป็นศิษย์ของกุมารโชติปาละจริงหรือไม่อยู่นั้น
ขณะนั้นโชติปาลกุมารดาบสโพธิสัตว์ ก็ได้เหาะมาปรากฏกายอยู่ท่ามกลางอากาศ โดยมีศิลาบัลลังก์เป็นตั่งรองนั่ง
หมู่ราชาและมหาชนทั้งหลาย ครั้นได้เห็นความมหัศจรรย์ของโชติปาลกุมารดาบสเช่นนั้น จึงได้เผลอลืมพระองค์ทรุดเข่าลงนั่งกระยองประนมมือไหว้ ด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตศรัทธา ทุกองค์ทุกคนต่างตระหนักระลึกรู้ทันทีว่า ทำไมองค์ราชาพรหมทัตผู้ทรงธรรมและบริวาร ถึงได้ยอมฝากตัวเป็นศิษย์ของดาบสน้อยผู้นี้
ต่อมาหมู่ราชาและมหาชนในชมพูทวีปที่ตามกันมาต่างพากันฝากตัวเป็นศิษย์ของดาบสน้อยและขอบวชปฏิบัติธรรมในสำนักของโชติปาลดาบสโพธิสัตว์กันหมดสิ้น
เวลานั้นมีผู้ออกบวชตามกันถึงแสนคน
โชติปาลกุมารดาบสโพธิสัตว์ ได้แสดงโทษของกามคุณและอานิสงส์ของการรักษาศีลแก่หมู่ราชาและมหาชนเหล่านั้น จนจิตเข้าถึงปฐมญาณกันทั่วทุกคน และในเวลาต่อมาไม่นานดาบสทั้งแสนได้พากันบรรลุสมาบัติทั้ง ๘ ไปทั่วหน้า
ในเวลาต่อมาโชติปาลโพธิสัตว์ เห็นว่า วงศ์วานดาบสได้เพิ่มพูนมากขึ้น จึงได้คัดสรรศิษย์ผู้ใหญ่มาช่วยปกครองวงศ์วานของดาบสทั้ง ๑ แสน ๔ หมื่นคน โดยแบ่งกันปกครองคนละ ๒ หมื่นคน แล้วให้แยกย้ายกันไปอยู่อาศัยตามป่าเขา ลำเนาไพร ชนบท ท้องถิ่นต่างๆ ทั่วชมพูทวีป
เพื่อให้การอนุเคราะห์แก่มหาชนคนตกยากทั้งปวง ฤาษีผู้ใหญ่ทั้ง ๗ อันมีนามว่า สาลิสสระดาบส, เมณฑิสสระดาบส, ปัพพตะดาบส, กาลเทวละดาบส, กีสวัจฉะดาบส, อนุลิสสะดาบส, นารทะดาบส
วันคืนล่วงเลยผ่านไปได้ ๑๐๐ ปีเศษ กรุงพาราณสีมีราชาพระนามว่า องค์ราชาทัณฑกีราช ขณะนั้นได้ถอดตำแหน่งหญิงนครโสเภณีคนหนึ่งออกจากตำแหน่งหญิงนครโสเภณี
ด้วยข้อหา ไม่ซื่อสัตย์ต่อลูกค้าของตน จนถูกนำเรื่องไปฟ้องร้องต่อองค์ราชา เมื่อทรงสอบสวนได้ความจริงประจักษ์ จึงทรงมีพระบัญชาลงโทษให้พ้นจากตำแหน่ง หญิงนครโสเภณี
เมื่อนางหญิงนั้นไม่มีอาชีพ ชีวิตความเป็นอยู่ก็ได้รับความตกยากลำบาก อดอยากแร้นแค้นจึงเดินเร่รอน โซซัดโซเซ เที่ยวเก็บเศษอาหารตามบ้านเรือน ตามตลาดกินประทังชีวิต
อยู่มาวันหนึ่ง นางหญิงโสเภณีนั้นได้เดินเร่รอนมาจนถึง สระน้ำในอุทยานของราชาทัณฑกีราช จึงได้พบกีสวัจฉดาบสศิษย์คนที่ ๔ ของโชติปาลโพธิสัตว์ กำลังนั่งเสวยความสงบสุขจากการเข้าญาณ
นางหญิงนั้นจึงคิดว่า ชายผมเผ้า หนวดเครายาวรุงรัง นุ่งห่มผ้าเนื้อหยาบดุจดังสีเหลืองผู้นี้ คงจะเป็นตัวกาลกิณี
ดีหละเราจักกำจัดตัวกาลกิณีที่เกิดขึ้นแก่เราให้สิ้นไปเสียแต่วันนี้ แล้วจึงลงอาบน้ำในสระ
นางคิดดังนั้นแล้ว จึงถ่มน้ำลายใส่หน้าและศีรษะของกีสวัจฉดาบส หลังจากที่นางอาบน้ำเสร็จแล้วแปรงฟัน ยังได้โยนไม้สีฟันลงบนชฎาของดาบส แล้วถ่มน้ำลายใส่อีกครั้งหนึ่งพร้อมจากไป
วันต่อมา องค์ราชาทรงระลึกได้ว่า เคยสั่งถอดนางหญิงนครโสเภณีคนหนึ่งออกจากตำแหน่ง บัดนี้ก็เป็นเวลาอันสมควรแล้วที่จะคืนตำแหน่งให้แก่นาง
องค์ราชาจึงมีบรมราชโอการประทานตำแหน่งนครโสเภณีคืนแก่นาง
ข้างนางหญิงนครโสเภณีนั้น พอได้รับตำแหน่งคืน จึงระลึกทึกทักเอาเองว่า นี่คงจะเป็นเพราะเราได้สำรอกถ่มน้ำลายใส่ลงบนตัวกาลกิณีเป็นแน่
วันต่อมานางจึงพาหญิงบริวารไปรุมถ่มน้ำลายใส่กีสวัจฉดาบส ด้วยคิดว่านี่คือวิธีบูชาคุณ
จนเวลาล่วงเลยมาวันหนึ่งปุโรหิตพราหมณ์ประจำสำนักพาราณสี ของราชาทัณฑกีราช ได้ส้รางความขุ่นเคืองพระทัยให้แก่องค์ราชา จึงทรงมีคำสั่งให้ปลดพราหมณ์ปุโรหิตนั้นออกจากตำแหน่ง แล้วริบเบี้ยหวัดเงินเดือนเขาเสีย
พราหมณ์ปุโรหิตนั้นหลังจากถูกถอดออกจากตำแหน่งแล้ว ก็ตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน ต่างพากันซุบซิบนินทา ว่าเป็นคนไร้ประโยชน์ โมฆะบุคคล สารพัดจะนินทา สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่พราหมณ์ปุโรหิตและครอบครัวเป็นอันมาก
วันหนึ่งภรรยาของพราหมณ์ปุโรหิตจึงบอกแก่สามีว่า ท่านลองไปถามหญิงนครโสเภณีดูซิว่านางทำอย่างไร ที่ทำให้องค์ราชาคืนตำแหน่งให้แก่นาง
พราหมณ์ปุโรหิตพอได้ฟังคำแนะนำจากภรรยาเช่นนั้น ก็นึกขึ้นมาได้แล้วกล่าวว่า เออ..จริงซินะ
กล่าวเช่นนั้นแล้ว พราหมณ์ปุโรหิตนั้นจึงรีบไปหานางหญิงนครโสเภณีเพื่อสอบถามถึงวิธีที่ทำให้องค์ราชาได้คืนตำแหน่งให้แก่นาง
นางหญิงนครโสเภณี จึงได้เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบให้แก่พราหมณ์ปุโรหิตฟัง
รุ่งขึ้นพราหมณ์ปุโรหิตจึงตระเตรียมผ้าผลัดเปลี่ยนสำหรับอาบน้ำ ทำที่ว่าจะไปอาบน้ำในสระของอุทยาน แล้วก็ถ่มน้ำลายรดหน้ากีสวัจฉดาบส ครั้นอาบน้ำเสร็จแล้วแปรงฟัน พราหมณ์ปุโรหิตนั้นก็โยนไม้แปรงฟันลงในชฎาของกีสวัจฉดาบส ซึ่งบนชฎานั้นยังมีไม้สีฟันของนางหญิงนครโสเภณีอยู่เช่นเดิม
พุทธะอิสระ