วันนี้มีเวลาว่างจากการประจุเทียนชัย เหรียญพระโพธิสัตว์ และเส้นเกศาใต้ฐานองค์พระพุทธพิมพ์พระมหาลีลาอุปัชฌาย์เจริญ
และพอมีเวลาจากการนั่งคัดพระเครื่องของพ่อแม่ มาให้เจ้านัดถ่ายภาพลงเพจ เพื่อจำหน่ายนำเงินมาสมทบทุนร่วมสร้างองค์พระมหาพุทธพิมพ์ นาคปรก ปกเกล้า-ปกแผ่นดิน
พอมีเวลาเหลือจึงมานั่งเขียนอัตชีวประวัติพระอรหันต์ขีณาสพ พระสังกัจจายนะ ที่ยังคงค้างอยู่ต่อ
ตอนที่แล้วจบลงตรงที่พราหมณ์ปุโรหิตไปถามวิธีที่นางหญิงนครโสเภณี ถึงวิธีที่ทำให้นางได้กลับมารับตำแหน่ง นางหญิงนครโสเภณีได้อีกหลังจากที่ถูกองค์ราชาทัณฑกีราช ถอดนางออกจากตำแหน่ง
บัดนี้ตนก็ถูกองค์ราชาถอดออกจากตำแหน่งเช่นกัน
ต่อมานางหญิงนครโสเภณีนั้นจึงได้บอกวิธีที่นางได้ไปถ่มน้ำลายใส่หน้าฤาษีกีสวัจฉ ที่อาศัยอยู่ริมสระน้ำในพระราชอุทยาน แล้วลงอาบน้ำในสระเพื่อล้างกาลกิณีออกจากตัว
เมื่ออาบน้ำเสร็จขึ้นมาสีฟัน ก็ให้นำไม้สีฟันทิ้งไว้บนชฎาของตัวกาลกิณีนั้น
รวมความแล้ว พราหมณ์ปุโรหิตได้จดจำวิธีไว้ด้วยเพราะต้องการได้ตำแหน่งปุโรหิตคืน จึงได้ทำตามคำแนะนำของหญิงนครโสเภณีนั้นอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ต่อมาองค์ราชาทัณฑกีราช ได้ทรงหายจากอาการพิโรธแล้ว นึกถึงพราหมณ์ปุโรหิตจึงทรงมีพระราชโองการ ประกาศคืนตำแหน่งให้แก่พราหมณ์ปุโรหิต
กาลเวลาผ่านพ้นไป จนถึงฤดูแล้ง ข้าวหายาก หมากก็แพงจนประชาชนก่อการจลาจล
ราชาทัณฑกีราช จึงได้ทรงดำริจักยกกองทัพ เสด็จออกไปปราบปราม
ฝ่ายพราหมณ์ปุโรหิต เพื่อจักทำให้ราชาทรงประทับพระทัยจึงได้เข้าไปทูลแนะนำถวายว่า
ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า หากพระองค์ปรารถนาจักมีชัยชนะ ควรเสด็จไปลอยกาลกิณีให้พ้นจากพระองค์เสียก่อน
องค์ราชาทัณฑกีราชจึงทรงตรัสถามว่า ทำเช่นไรเล่าท่านอาจารย์ การลอยกาลกิณี
พราหมณ์ปุโรหิตจึงได้ทูลเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นแก่นางหญิงนครโสเภณี และที่เกิดขึ้นแก่ตนให้องค์ราชาทรงทราบ
องค์ราชาเมื่อได้สดับเรื่องราวที่พราหมณ์ปุโรหิตผู้เป็นอาจารย์แนะนำเช่นนั้น จึงทรงกระทำตาม เสด็จไปยังพระราชอุทยานพร้อมบริวาร เพื่อทำพิธีลอยกาลกิณี
ด้วยการเสด็จไปยังที่อยู่ของฤาษีกีสวัจฉ แล้วทำการลอยกาลกิณีด้วยการถ่มน้ำลายใส่หน้าฤาษี แล้วทรงสรงน้ำเสร็จแล้วก็ถูฟันด้วยไม้ พร้อมทั้งโยนไม้ถูฟันนั้น ใส่ชฎาของฤาษีนั้น
ข้างบรรดาเสนาอำมาตย์ที่ติดตามเสด็จ เมื่อเห็นองค์ราชากระทำเช่นนั้น จึงพากันถ่มน้ำลายรดร่างกายของฤาษีกีสวัจฉกันทุกคน ขณะที่ฤาษีได้นั่งเข้าญาณอยู่เฉยๆอย่างสงบ
ข้างอำมาตย์ผู้ทรงธรรมหาได้กระทำพฤติกรรมดูหมิ่นต่อฤาษีนั้นไม่
เมื่อทุกคนจากไปแล้วอำมาตย์ผู้ทรงธรรมจึงได้ใช้ผ้าคล้องบ่าออกไปชุบน้ำ แล้วนำมาเช็ดหน้า เช็ดตัว ชำระเอาคราบน้ำลายขององค์ราชาและหมู่ชนออกจากกายของฤาษี
ฤาษีกัสวัจฉจึงลืมตาขึ้น ส่งยิ้มให้แก่อำมาตย์ผู้ทรงธรรม แล้วฤาษีนั้นจึงกล่าวว่า เจริญพร ขอบใจท่านผู้ทรงธรรมมาก ที่ช่วยเช็ดคราบเขละออกจากตัวเรา
อำมาตย์ผู้นั้นครั้นเช็ดไปก็พูดบ่นไปว่า มนุษย์เหล่านี้ช่างจิตใจวิปริตยิ่งนัก เห็นผิดเป็นชอบไปเสียนี่
พระคุณเจ้าพวกมนุษย์เหล่านี้จักได้รับผลอย่างไรบ้าง ? อำมาตย์ถาม
ฤาษีกัสวัจฉจึงกล่าวว่า เราหาได้ถือโทษโกรธเคืองแก่มนุษย์เหล่านั้นไม่ จะมีก็แต่เหล่าเทวดาทั้งหลาย ที่เห็นพฤติกรรมจาบจ้วง หยาบคาย ขององค์ราชาและหมู่มนุษย์เหล่านั้น
ต่อแต่นี้ไปอีก ๗ วัน พวกเทวดาเหล่านั้นจักทำให้เมืองนี้ทั้งเมืองต้องย่อยยับ ฉิบหายไปด้วยฝน ๗ ชนิด
หากท่านและบริวารไม่ต้องการจักถึงความวิบัติ ก็จงพาบริวารหนีออกไปจากนครแห่งนี้ซะ
อำมาตย์ผู้ทรงธรรมนั้นจึงรีบกลับไปยังเรือนของตน แล้วสั่งให้บริวารเก็บข้าวของ เพื่อเตรียมตัวเดินทาง ลี้ภัยออกจากนครพาราณสี
วันเวลาผ่านไปไม่นานองค์ราชาและกองทัพของพระองค์ก็ได้รับชัยชนะจากการปราบปรามจลาจล จึงยกทัพกลับพระนครด้วยพระทัยที่ลิงโลดยินดีในชัยชนะ
ชาวเมืองทุกคนต่างมีความลิงโลด ยินดีเช่นกันจึงพากันไปถ่มน้ำลายใส่ตัวดาบสกันทั้งวันทั้งคืน
ข้างอำมาตย์ผู้ทรงธรรม เมื่อพระราชาเสด็จกลับมาด้วยความปลอดภัยมีชัยชนะเช่นนั้น ก็เข้าไปเฝ้าแสดงความยินดีต่อชัยชนะครั้งนี้ แล้วเล่าเรื่องที่ฤาษีกัสวัจฉทำนายว่าจะเกิดฝนบรรลัยกัลป์ ๗ ประการลงมาล้างผลาญชาวนครพาราณสีภายใน ๗ วัน
ด้วยเพราะเทวดาที่คอยอภิบาลองค์ฤาษีไม่พอใจที่พระราชาและชาวพระนครได้กระทำการหยามหมิ่นต่อท่านฤาษี
องค์มหาราชทัณฑกี พอได้ฟังคำเตือนของอำมาตย์ผู้ทรงธรรมเช่นนั้นแทนที่จะปริวิตกเกรงกลัวต่อผลที่เกิดจากการกระทำของพระองค์และชาวพระนคร กลับตรัสตำหนิอำมาตย์ผู้ทรงธรรมว่า ท่านมากล่าววาจาเหลวไหลอันใด แผ่นดินพาราณสีของเราจะฉิบหาย เสียหายจากการทำการลอยกาลกิณี ได้เช่นไร และจะมีฝนบรรลัยกัลป์ทั้ง ๗ ตกลงมาได้อย่างไรในเมื่อเวลานี้เป็นฤดูแล้ง
ดูตัวอย่างนางหญิงโสเภณี อาจารย์ปุโรหิต และการปราบปรามจลาจลของเราในครั้งนี้ซิ ล้วนแต่ประสบความสำเร็จ สมปรารถนา โชคดีมาทั้งนั้น ราชาตรัสด้วยอัสมิมานะขององค์ราชา และความลุ่มหลงที่ครอบงำพระองค์ จึงทำให้พระองค์หาได้เชื่อฟังคำเตือนของอำมาตย์ผู้ทรงธรรมไม่
แล้วนี่ท่านเอาอะไรมาพูดว่า บ้านเมืองเราจะถูกเทวดาฟ้าดินลงโทษ ไปเสียเถิด เราไม่เชื่อท่านดอก
ฝ่ายอำมาตย์ผู้ทรงธรรมเมื่อได้ทำหน้าที่กัลยาณมิตรที่ดีต่อองค์ราชาแล้ว พระองค์กลับไม่ฟัง ทั้งยังตรัสขับไล่ตนออกมาอีก จึงได้แต่ปลงสังเวช แล้วทูลลา รีบเดินทางกลับมายังเรือนของตน ออกคำสั่งให้บริวารและผู้มีธรรมที่เชื่อในตัวของอำมาตย์ เร่งรีบเดินทางออกจากพระนครพาราณสีในทันที
 
จบไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ วันหน้าเรามาดูกันว่า ฝนบรรลัยกัลป์ทั้ง ๗ ประการ มีอะไรบ้าง จะสร้างความวิบัติ วอดวายให้แก่พระนครพาราณสีได้มากน้อยแค่ไหน
 
พุทธะอิสระ