วันนี้เรามาต่อกันที่
ราชาปายาสิตรัสว่า ดูกรท่านกัสสปะ ราชบุรุษของข้าพเจ้าในที่นี้ จับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบมาแสดงแก่ข้าพเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ โจรผู้นี้ประพฤติชั่วหยาบต่อพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาจะลงอาชญาอย่างใดแก่โจรผู้นี้ ขอได้ตรัสบอกอาชญานั้นเถิด
ดูก่อนท่านกัสสปะ ข้าพเจ้าบอกราชบุรุษพวกนั้นอย่างนี้ว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงเอาตาชั่ง ชั่งบุรุษนี้ผู้ยังมีชีวิตอยู่แล้วเอาเชือกรัดให้ขาดใจตาย แล้วเอาตาชั่ง ชั่งอีกครั้งหนึ่ง
ราชบุรุษพวกนั้นรับคำข้าพเจ้าแล้ว เอาตาชั่ง ชั่งบุรุษนั้นผู้ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเอาเชือกรัดให้ขาดใจตายแล้วเอาตาชั่ง ชั่งอีกครั้งหนึ่ง เมื่อบุรุษนั้นยังมีชีวิตอยู่ย่อมเบากว่า อ่อนกว่าและควรแก่การงานกว่า แต่เมื่อเขาทำกาละแล้ว ย่อมหนักกว่า กระด้างกว่า และไม่ควรแก่การงานกว่า
ดูกรท่านกัสสปะ ด้วยเหตุผลนี้แล เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มี สัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มีผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ฯ
พระกุมารกัสสปะตรัสว่า ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้เป็นวิญญูชนในโลกนี้ ย่อมเข้าใจได้ด้วยสติปัญญาของตน ด้วยอุปมานี้ว่า
ดูกรบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษเอาตาชั่ง ชั่งก้อนเหล็กที่เผาไว้ทั้งวันทั้งคืนจนแดงฉานทั่ว ต่อมา เอาตาชั่ง ชั่งเหล็กนั้นซึ่งเย็นสนิทแล้ว แล้วเฝ้าคิดอยู่ เมื่อไรหนอ ก้อนเหล็กนั้นจะเบากว่า อ่อนกว่า ควรแก่การงานมากกว่า ระหว่างเหล็กที่เย็นและแข็ง กับเหล็กที่ร้อน เหล็กชนิดใดเป็นเหล็กที่เหมาะ ควรแก่การงาน
ราชาปายาสิตรัสว่า ดูกรท่านกัสสปะ เหล็กที่ถูกไฟเผาจนลุกแดง จึงจะเบากว่า อ่อนกว่า ควรแก่การงานกว่า ซึ่งจะต่างจากเหล็กที่ไม่ถูกเผา จึงจะหนักกว่า กระด้างกว่า ไม่ควรแก่การงานกว่า
พระกุมารกัสสปะตรัสว่า ฉันนั้นแหละบพิตร เมื่อใด กายนี้ประกอบด้วยอายุ ไออุ่นและวิญญาณเมื่อนั้น ย่อมเบากว่า อ่อนกว่า ควรแก่การงานกว่า เมื่อใด กายนี้ไม่ประกอบด้วยอายุ ไออุ่น และวิญญาณ เมื่อนั้น ย่อมหนักกว่า กระด้างกว่า ไม่ควรแก่การงานกว่า
ดูกรบพิตร ด้วยเหตุนี้แล โลกหน้ามีอยู่ สัตว์ผู้ผุดเกิดมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่
ราชาปายาสิตรัสว่า ท่านกัสสปะกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้นในเหตุผลนี้ ข้าพเจ้าก็ยังคงมีความเห็นอยู่ว่า โลกหน้าไม่มี สัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี
พระกุมารกัสสปะตรัสว่า ดูกรบพิตร อะไรเล่าที่เป็นเหตุให้บพิตรยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มีอีกเล่า
ราชาปายาสิตรัสว่า มีอยู่ ท่านกัสสปะ
พระกุมารกัสสปะตรัสว่า เปรียบเหมือนอะไร บพิตร
ราชาปายาสิตรัสว่า ดูกรท่านกัสสปะ ราชบุรุษของข้าพเจ้าในที่นี้ จับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบมาแสดงแก่ข้าพเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ โจรผู้นี้ประพฤติชั่วหยาบต่อพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาจะลงอาชญาอย่างใด แก่โจรผู้นี้ ขอให้ตรัสบอกอาชญานั้นเถิด
ข้าพเจ้าบอกราชบุรุษพวกนั้นอย่างนี้ว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงฆ่าบุรุษนี้โดยอย่าให้ผิวหนัง เนื้อเอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูกชอกช้ำ บางทีจะได้เห็นชีวะของบุรุษนั้นออกมาบ้าง
บุรุษพวกนั้นรับคำของข้าพเจ้าแล้ว ฆ่าบุรุษนั้น โดยมิให้ผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูกชอกช้ำ
เมื่อนั้นเขาเริ่มจะใกล้ตาย ข้าพเจ้าสั่งราชบุรุษพวกนั้นว่า พวกท่านจงผลักบุรุษนี้ให้นอนหงาย บางทีจะได้เห็นชีวะของเขาออกมาบ้าง
เมื่อราชบุรุษนั้นนอนหงาย พวกเรามิได้เห็นชีวะของเขาออกมาเลย
ข้าพเจ้าจึงสั่งบุรุษพวกนั้นว่าถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงพลิกบุรุษนี้ให้นอนคว่ำลง จงพลิกให้นอนตะแคงข้างหนึ่ง จงพลิกให้นอนตะแคงอีกข้างหนึ่ง จงพยุงให้ยืนขึ้น จงจับเอาศีรษะลง จงทุบด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนดิน ด้วยท่อนไม้ ด้วยศาตรา จงลากมาข้างนี้ จงลากไปข้างโน้น จงลากไปๆ มาๆ บางทีจะได้เห็นชีวะของบุรุษนั้นออกมาบ้าง
แต่พวกเรามิได้เห็นชีวะของเขาออกมาเลย แม้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
ดูกรท่านกัสสปะ ด้วยเหตุนี้แล ให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี
พระกุมารกัสสปะตรัสว่า ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร ผู้เป็นวิญญูชนในโลกนี้ ย่อมทราบเนื้อความด้วยสติปัญญาของตนว่า ถูกหรือผิด
ดูกรบพิตร เรื่องเคยมีมาแล้ว คนเป่าสังข์คนหนึ่ง ถือเอาสังข์ไปยังชนบทเขาเข้าไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ยืนอยู่กลางลานบ้านเป่าสังข์ขึ้น ๓ ครั้ง แล้ววางสังข์ไว้ที่แผ่นดิน นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ลำดับนั้น พวกมนุษย์ในชนบทได้เกิดความตื่นเต้นว่า ท่านทั้งหลาย นั่นเสียงใครหนอ ช่างเป็นที่พอใจถึงเพียงนี้ควรแก่การงานถึงเพียงนี้ เป็นที่ตั้งแห่งความเพลิดเพลินถึงเพียงนี้ ช่างจับจิต จับใจถึงเพียงนี้ ช่างไพเราะถึงเพียงนี้
พวกเขาต่างมาล้อมถามคนเป่าสังข์นั้นว่า พ่อ นั่นเสียงของใครหนอ ช่างเป็นที่พอใจถึงเพียงนี้ ... ช่างไพเราะถึงเพียงนี้
คนเป่าสังข์ตอบว่า ท่านทั้งหลาย นั่นคือสังข์ซึ่งมีเสียงเป็นที่พอใจถึงเพียงนี้ ... ช่างไพเราะถึงเพียงนี้ พวกเขาจับสังข์นั้นหงายขึ้นแล้วบอกว่า พูดซิพ่อสังข์ พูดซิพ่อสังข์
สังข์นั้นหาได้ออกเสียงไม่ พวกเขาจับสังข์นั้นให้คว่ำลง จับให้ตะแคงข้างหนึ่งจับให้ตะแคงอีกข้างหนึ่ง ชูให้สูง วางให้ต่ำ เคาะด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนดิน ด้วยท่อนไม้ ด้วยศาตรา ลากมาข้างนี้ ลากไปข้างโน้น ลากไปๆ มาๆ
แล้วบอกว่าพูดซิพ่อสังข์ พูดซิพ่อสังข์ สังข์นั้นหาได้ออกเสียงไม่
ลำดับนั้น คนเป่าสังข์ได้มีความคิดว่า พวกมนุษย์ในชนบทเหล่านี้ ช่างโง่เหลือเกิน จักแสวงหาเสียงสังข์โดยไม่ถูกทางได้อย่างไรกัน
เมื่อมนุษย์พวกนั้นกำลังมองดูอยู่ เขาจึงหยิบสังข์ขึ้นมาเป่า ๓ ครั้ง แล้วถือเอาสังข์นั้นจากไป
มนุษย์ชนบทพวกนั้นได้พูดกันว่า ท่านทั้งหลาย นัยว่าเมื่อใด สังข์นี้ประกอบด้วยคน ความพยายามและลม เมื่อนั้น สังข์นี้จึงจะออกเสียง แต่ว่าเมื่อใด สังข์นี้มิได้ประกอบด้วยคนความพยายามและลม เมื่อนั้น สังข์นี้ไม่ออกเสียง
ฉันนั้นเหมือนกัน บพิตรเมื่อใด กายนี้ประกอบด้วยอายุ ไออุ่นและวิญญาณ เมื่อนั้น กายนี้ก้าวไปได้ถอยกลับได้ ยืนได้ นั่งได้ สำเร็จการนอนได้ เห็นรูปด้วยนัยน์ตาได้ ฟังเสียงด้วยหูได้ ดมกลิ่นด้วยจมูกได้ ลิ้มรสด้วยลิ้นได้ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายได้ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจได้
แต่ว่าเมื่อใดกายนี้ไม่ประกอบด้วยอายุ ไออุ่นและวิญญาณ เมื่อนั้น กายนี้ก้าวไปไม่ได้ ถอยกลับไม่ได้ ยืนไม่ได้ นั่งไม่ได้ สำเร็จการนอนไม่ได้ เห็นรูปด้วยนัยน์ตาไม่ได้ ฟังเสียงด้วยหูไม่ได้ ดมกลิ่นด้วยจมูกไม่ได้ ลิ้มรสด้วยลิ้นไม่ได้ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายไม่ได้ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจไม่ได้
ดูกรบพิตร ด้วยเหตุนี้ โลกหน้าจึงมีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่
ราชาปายาสิตรัสว่า ท่านกัสสปะกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี
 
เฮ้ย...เพื่อน ทนๆ ฟัง ทนๆ อ่านกันหน่อยนะจ๊ะ
อย่าพึงเบื่อกับคนสันดานดื้อด้าน เช่นราชาปายาสินะจ๊ะ
 
พุทธะอิสระ