1 เม ย 2555    13.20 น. ถอดซีดี ธรรมะอาทิตย์ต้นเดือน แสดงธรรม โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

• งานสมโภชธง ถือว่า เป็นการสมโภชหรือขอบคุณฟ้าดินหรือเทวดา
• ตำนานของธชัคคสูตร
• ธงสวัสดิกะ เป็นตัวแทนของพระธรรม
• ธงมงกุฏพระพุทธเจ้า เป็นตัวแทนของพระพุทธะ พระโพธิสัตว์เจ้า พระผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
• สรุป พิธีสมโภชธง ก็คือ ขอบคุณเทวดา ผู้เฝ้าธง
• หลวงปู่จะมีกิจกรรมหล่อพระธรรมขันธ์ประจำตระกูล
• การเล่นหุ้น ถือว่า ไม่ผิดศีล แต่มันไม่ชอบธรรม
• ต้องคิดอยู่เสมอให้ได้ในใจว่า ชีวิตนี้ มีอยู่เพื่อ ฝึกและศึกษา 
• พัฒนาแต่ภายนอก ภายในไม่พัฒนา สุดท้าย มันก็เหมือนกับโจรรวย
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนใฝ่ธรรมที่รักทุกท่าน
วันนี้ท่านผู้รับชมรายการปุจฉา วิสัชนาทุกท่าน ขอให้รุ่งเรืองเจริญ มีธรรมอันเป็นที่พึ่ง มีธรรมอันเป็นเกราะ มีธรรมอันเป็นเครื่องกำบัง และรุ่งเรืองสำเร็จได้ มีความสุขด้วยธรรม
เออ เอาบุญมาฝาก แบ่งบุญให้ทุกท่านได้มีส่วนร่วมในการบวชพระ บวชเณร 200 เท่าไหร่หว่า             284 รูป ไม่ใช่เหรอ หรือ 48 เพราะว่าพระตั้ง 24 เออ ประมาณ284 รูป                                               แล้วก็เมื่อเช้านี้ ก็รักษาคนไข้ประมาณ 90 คนน   (สาธุ)      

บุญทั้งนั้น วันนี้ เค้าจะมีรายการปุจฉา วิสัชนา จริงๆ แล้วอยากจะละเลย  คือ ละเว้นการปฏิบัติธรรมมา 2 สัปดาห์ติดต่อกัน เดี๋ยวให้เค้าเริ่มทำหน้าที่ซักชั่วโมงหนึ่ง หลังจากนั้น ก็คงจะเริ่มการปฏิบัติธรรม
พิธีกร  นมัสการหลวงปู่ และสวัสดีพุทธสานิกชนทุกท่านนะครับ ที่อยู่ ณ. ที่นี้  หลวงปู่    เดี๋ยวๆ คัดๆ นมัสการ ก็ยกมือไหว้สิ นมัสการหลวงปู่ สรุปแล้วมึง เอาไมค์ไหว้กู   พิธีกร   นมัสการหลวงปู่ และสวัสดีพุทธสานิกชนทุกท่าน ที่อยู่ ณ. ที่นี้ นะครับ..............           
ปุจฉา    เราสามารถนำธงที่บูชาจากวัดอ้อน้อยไปเข้าพิธีได้ไม๊ แล้วในพิธีสมโภชธง ผู้เข้าร่วพิธีต้องทำอะไรบ้าง และเตรียมตัวอย่างไรบ้าง                         

วิสัชนา    ผู้เข้าพิธี ต้องทำตัวอย่างไร แล้วจะเอาธงที่บูชาจากวัดอ้อน้อยโรงเจหอคุณธรรม

ฟ้า ใช่ไม๊ ธงพระโพธิสัตว์กวนอิม เอาเข้าไปร่วมสมโภชได้ไม๊ ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ไม่ได้เสีย

หายอะไร เค้าจะจัดที่ไว้ให้สำหรับที่จะปักธงที่เข้าร่วมสมโภช                          

แต่ภาระกรรมของงานสมโภชธง ก็ถือว่า

เป็นการสมโภชหรือขอบคุณฟ้าดินหรือเทวดาที่ช่วยอภิบาลบำรุง ปกปักษ์ รักษา ทำให้

กิจกรรมการงานของอาวาสนี้ลุล่วงสำเร็จไปได้ด้วยดี    ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ

เมื่อเย็นวานนี้ หลวงปู่ก็เข้าไปสรงน้ำ แล้วไปนั่งจารพระเสร็จ

แล้วก็ออกมาจากห้อง เพื่อจะเตรียมตัวไปอาบน้ำนาค ลมมันพัดอู้อึง คนเค้ามาจากนครปฐม 

มาจากสุพรรณฯ เค้าก็บอก ฝนมันตกเต็มไปหมด แล้วก็เห็นเมฆฝนลอยคลื้มอยู่

เหนือวัด     ก็เลยเงยหน้าบอกสวรรค์ เทวดาว่า อย่าเพิ่งตกนะเว้ย ไว้คืน

นี้ค่อยตกนะจ๊ะ   เออ ตอนนี้จะทำงาน อย่าเพิ่งตก เอาไว้คืนนี้ค่อยตก   เมื่อคืนตกไม๊                                                                                                                  

ตก อุตส่าห์ตกมาหน่อยหนึ่ง ตกมาให้หน่อย ดับร้อนทำให้ลมเย็นสบาย     เออ คนเค้าก็บอก ฮึ เทวดาวัดนี้พระสั่งได้                                                                                                          

งั้น ก็ มันเป็นอุปการะคุณต่อสวรรค์และฟ้าดินที่มีต่อเราและอาวาส ต่อพระพุทธศาสนา       

แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่หลวงปู่พูดขึ้นเอง คุยขึ้นเอง เพราะมันมีตำนานของธง

ตำนานของธชัคคสูตร ตำนานของธง ก็เราได้เคยฟังมนต์พระปริตร เราก็จะรู้ว่า มีหนึ่งใน

บทพระปริตรหลายบท  หนึ่งในนั้น ก็คือ เรื่องธชัคคสูตร ที่กล่าวถึงธงของ

พระอิศาน พระพิรุณ พระอินทร์     ธงของท้าวจาตุมมหาราชิกา

ในขณะที่เทวดาจะรบกับยักษ์ กลัวว่าเพื่อนเทวดา หมู่เหล่าเทวดาทั้งหลายจะแพ้ยักษ์ องค์

อินทราธิราชเจ้าก็บอกให้เทวดาเหล่านั้น เมื่อไรที่หมดกำลังใจ ก็ให้มอง

ธงของพระอิศาน มองธงของพระพิรุณ มองธงของท้าวจาตุมมหาราชิกา                           

หรือแม้ที่สุด มองธงของพระองค์ ก็คือธงขององค์อินทราธิราชเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงยกเรื่องนี้ขึ้นมา ก็ด้วยสาเหตุของการที่ยักษ์มีกำลังมาก มีอำนาจมาก มี

ฤทธิ์มาก เทวดารบทีไร ก็จะแพ้ทุกที เทวดาแพ้ทุกที เพราะเทวดามีรูปอรชรอ้อนแอ้น

กำลังน้อย  เดชศักดาก็ไม่มากเท่ากับยักษ์ แต่ด้วย

บุญฤทธิ์ของเทวดา งั้น เวลารบกับยักษ์ พระอินทร์ก็จะสั่งแนะวิธีการเอาชนะยักษ์ ให้มอง

ธงแล้วจิตใจจะฮึกเหิม จะสามารถรบชนะได้ แม้แต่ยักษ์มารทั้งหลาย          ผลปรากฏว่า

เทวดารบชนะยักษ์เป็นครั้งแรก ด้วยอำนาจของพระปริตรนั้นๆ
พระศาสดาก็ยกให้เห็นถึงคุณแห่งธง แล้วก็ทรงบอกกับพระภิกษุสงฆ์ว่า เทวดามองธงพระ

อิศาน พระวิรุฬ ท้าวจาตุมมหาราชิกา แม้แต่องค์อินทร์ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เมื่อไปสู่คาม

นิคม ไปอยู่ในเรือนว่าง ไปอยู่ในที่รกชัฏ ไปอยู่ในป่าช้า หรืออยู่ในบ้านในเมือง ถ้ามีเพทมี

ภัยจะเกิดอันตราย  ก็ให้นึกถึงธงชัย 3 ประการ
ธง 3 อย่างนั้น ก็คือ ธงแห่งพระรัตนตรัย คือ ธงแห่งพระพุทธ ธงแห่งพระธรรม             

แล้วก็ธงแห่งพระสงฆ์
ธง 3 ประการนี่ เมื่อภิกษุได้ระลึกถึงธงทั้ง 3 อย่างนี้ ก็จะบรรลุตามวัตถุประสงค์ สม

ปรารถนามีชัยชนะต่อหมู่มารทั้งปวง                            
เหล่านี้ เลยเป็นที่มา ต้องมีกระบวนการพิธีสมโภชธงสวัสดิกะ เป็นตัวแทนของอะไร                                

เป็นตัวแทนของพระธรรมไง                         

ธงสวัสดิกะ เป็นตัวแทน

ของอริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค                                                                    

ธงมงกุฏพระพุทธเจ้า เป็นตัวแทนของอะไร                                                           

ของพระพุทธะ พระโพธิสัตว์เจ้า พระผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

อย่างนี้เป็นต้น
ที่ผ่านมา วัดนี้ได้ใช้ธงนี้มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อวัด ต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสังคมองค์รวม        

แม้แต่วัดอื่นๆ ก็เคยขอยืมเอาไปใช้ แล้วก็เกิดประโยชน์มากมายมหาศาล      

ตัวอย่างวัดหลวงพ่อน้อย วัดบางเลน วัดไหนๆ ที่เค้ายืมไป วัด

อื่นๆ เวลาเค้าจัดงาน จะได้สตางค์น้อยมาก ทั้งๆ ที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน แต่วัดที่ยืมธงไป ก็

จะมีปัจจัยมาก มีลาภมาก เป็นที่ยอมรับของคนทั้งหลาย ผู้คนก็เข้าไปจำนวนมาก
ถ้าเผลอ ไม่ได้เหมือนกันแหละ ถ้าเผลอก็หาย แขวนไว้ตรงไหน ถ้าไม่สูงเกินไป ต่ำๆ เตี้ยๆ

พวกก็ขโมยเอาไปขาย รวมๆ สรุป ก็คือ พิธีสมโภชธง ก็คือ ขอบคุณเทวดา ผู้เฝ้าธง

อภิบาลบำรุงรักษาในทิศทั้ง 4 แล้วก็ขอบคุณเทวดาผู้ประจำจักราศี ประจำวันเกิด อย่างนี้

เป็นต้น
วันนั้น ถ้าใครว่าง ก็เชิญมาร่วมพิธีสมโภชธง แล้วหลวงปู่ก็จะมีกิจกรรมหล่อพระ

ธรรมขันธ์ประจำตระกูล ใครที่ต้องการจะเอานามสกุล หรือว่าต้องการให้ตัวเองมีส่วนร่วม

ในการสร้างพระธรรมขันธ์ ก็ไปเขียนลายชื่อ นามสกุล นามสกุลอย่างเดียว ไม่ต้องชื่อ แล้ว

ถ้านามสกุลใครมันยาวเป็นรถไฟ ก็ตัดๆ ลงมาบ้างก็ได้ เพราะอาตมาเขียนไม่ไหวแล้ว นี่

เดี๋ยวต้องไปหาหมอตา ไปตัดแว่น ลูกอ้ายจิโรจน์ เค้าตัดมา ใช้ไม่ได้ มันเบลอๆ ตัดแล้วไม่

ชัด อ้ายแว่นล่าสุดนี่ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย  เดี๋ยวต้องไปตัดที่ร้านหมอ ร้านขายแว่น

ตัดไม่ได้เรื่อง วันจันทร์จะไปตัด ตาชักไม่ไหวแล้ว แย่
ก็ใครที่จะมาร่วมงาน ก็มาเช้าๆ เค้ามีพิธีบวงสรวงเทวดาเฝ้ารักษาธง                                

แล้วพระท่านก็จะมาสวดธชัคคสูตร กับมหาสมัย ซึ่งเป็นสูตรที่ว่าด้วยคุณ

ของเทวดาทั้ง 2 สูตร                แล้วก็จะมีพิธีหล่อพระ                                              

ตอนเพล ก็มีพิธีเลี้ยงพระ

เณร ทั้งวัด                                                                                                         

ใครจะมาร่วม ก็เชิญ มูลนิธิฯ เค้ารับผิดชอบเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร เห็นเค้าว่า จะเลี้ยงโต๊ะ

จีน          โต๊ะลาว โต๊ะแขก โต๊ะพม่า เอ โต๊ะมันมีแต่โต๊ะจีนเหรอ โต๊ะแขก โต๊ะลาว ไม่มี

บ้างเหรอ เออ เห็นแต่เลี้ยงโต๊ะจีน ๆ นั่งฉันวันนี้ ยังนั่งนึกอยู่ เอ มีแต่

โต๊ะจีนเหรอ โต๊ะแขก โต๊ะลาว โต๊ะพม่า โต๊ะมอญ โต๊ะไทย เห็นพอมีบ้างไม๊ จบ
ปุจฉา   ทำทาน หรือ อภัยทาน ที่เป็นทานอันเลิศกว่าทานทั้งปวง
วิสัชนา    ทำทานหรืออภัยทาน ซึ่งถือว่าเป็นทานอันเลิศกว่าทานทั้งปวง                            

ถ้าเชื่อตามพระบาลี พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า อภัยทาน เป็น

ทานอันเลิศ   ส่วนการให้ทาน ที่ถือว่าเลิศ คือ สังฆทาน จัดว่า มีผลอันเลิศ อภัยทาน ก็เป็นทานอันประเสริฐ                                                                                              

สังฆทาน ก็มีผลให้ได้รับความเลิศทั้งลาภสักการะ เลิศทางอนุเคราะห์ สงเคราะห์ จบ
ปุจฉา   อยากถามหลวงปู่ว่า ยาแก้อักเสบกินพร้อมกับยาปลายประสาทตาได้หรือไม่          

แล้วหลวงปู่ทำไมทำยาแก้อักเสบไม่พอขายเจ้าคะ
วิสัชนา    ตัวยามันหายาก ลูก ตัวยานี้มันหายาก แล้วหลวงปู่ก็ไม่ได้ไปเมืองจีน ปีนี้ไม่ได้ไป

เมืองจีน ถามว่า ทำไม อ้ายซันชินี่มันแพงมาก โลนึงก็ประมาณ 1,800 หยวน หยวนนึง

4 บาท เดี๋ยวนี้ 4 บาทใช่ไม๊ 1,800 หยวนเป็นเงินเท่าไหร่ นั่น มันแพงมาก แล้ว

ครั้งหนึ่งก็ใช้ 2 กิโล  คราวที่แล้วมาเนี่ย อ้ายพวกด่าน ต.ม.

มันยังแปลกใจเลย กูคนเดียวแบกยามาได้ร้อยกว่าโล                     ขึ้นเครื่องบินมา นี่ เค้า

ให้ขึ้นเครื่องบินมาได้ยังไง                                                                                       

ไม่รู้ กูก็ไม่รู้เค้าให้ขึ้นมาได้ยังไง                                                                      

อ้าว แล้วคุณจะว่ายังไง                                                 

อ้าว เครื่องบินยังขึ้นได้

แล้วผมไม่ปล่อยท่านไป
พวกด่านมันแปลกใจ ขึ้นมาได้ยังไง กระเป๋าเต็มไปหมด เต็มไปด้วยยา                            

แล้วไปซื้อ ก็ยาก ต้องไปดู มีของเก๊ ของเทียมด้วย ของแท้ ของเทียม  

งั้น ก็เดี๋ยวเสร็จงาน เดี๋ยวก็กลับไปทำ              

ยาบางตัวนี่มันหายาก อย่าง

ยาบำรุงฮอร์โมน ใช้รังนกทีหนึ่ง ไม่ต่ำกว่า 2 โล ถึง 5 โล                               แล้ว

โลหนึ่งเท่าไหร่ รังนกน่ะ 40,000 – 50,000 บาท แล้วมูลนิธิฯ เค้าขายยาเม็ด

ละเท่าไหร่  ยาบำรุงฮอร์โมนเม็ดเท่าไหร่วะ กูไม่รู้ ไม่เคยกิน ทำอย่างเดียว เม็ดละ 2 บาท โอ้โห รวย กูรวยบุญ                                                                                                              

ใครกิน กูก็ได้บุญทั้งนั้น                                                                                           

แล้วไม่ง่าย ทำยาก ก็จะพยายามทำไม่ให้ขาด                             

แล้วต้องสงสารพระด้วย ก็ต้องสงสาร

เค้าด้วย ไม่ได้ทำงานอย่างเดียว                                                                  ทำหลาย

อย่างมาก งานเยอะแยะมาก ก็จะพยายามทำให้ได้                                                       

เดี๋ยวรับเอาไว้เป็นที่เตือนใจว่า ต่อไปนี้ อย่าให้ยาขาด                            

อ้ายคนทำก็ชักจะไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวต้องหาคนมาเพิ่ม                                                                                          คนเดี๋ยวนี้ ก็หายาก

มันจะเอาค่าแรง 300 บาท ตามรัฐบาลบอก                                                             

กูก็บอก มึงก็ไปเอาเงินกับรัฐบาล อย่ามาเอาเงินนี่                               

                                                           เออ จะพยายามทำแล้วกัน จบ
ปุจฉา   มาตรวจรักษากับหลวงปู่ ให้ยาแก้อักเสบกับยากระเพาะ หายปวดท้อง                   

                  จะต้องกินต่อไปอีกไม๊ เพราะว่ายาที่หลวงปู่ให้ทานแล้วดีขึ้น
วิสัชนา   ยาไทยนี่ อย่าไปคิดว่าหายแล้วหยุด ต้องกินเกินไปสัก 15 วัน หรือ เดือนหนึ่ง    

                           เพราะยาไทย ฤทธิ์ พิษ รสของมันจะแตกต่างจากยาฝรั่ง ยาฝรั่งนี่มันมี

ฤทธิ์มาก มันก็มีพิษมาก                งั้น เวลากิน เค้าเรียกว่า มันใช้กระบวนการปราบอย่าง

เดียว ยาไทยนี่เริ่มต้นจากการปลุก                    ปลุกให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรง แล้ว

ก็มาปลอบโรคให้กำหราบ                                                       สุดท้ายไม่หาย จึงจะลง

มือปราบ                                                                                                              

  งั้น วิธีปรุงยาหลวงปู่ จะมี 3 ลักษณะ อย่างนี้ ปลุก ปลอบ แล้วก็ปราบ                          

                              เป็นกระบวนการผสมยาไทย ปรุงแต่งยาไทย                                

                                                              งั้น อย่าคิดว่า เออ หายแล้วก็หยุด โรค

กระเพาะนี่ ที่จริงกินเลยไปได้ ไม่เสียหายอะไร ลูก แล้วมันก็เป็นยาระบายอ่อนๆ คนกินยา

เคลือบกระเพาะ จะรู้สึกว่าถ่ายง่าย เพราะมันมียาถ่าย เช่น ดอกคูน   ดอกเหลืองๆ มันจะ

เป็นยาระบายอ่อนๆ ใส่เข้าไปด้วย แล้วมันก็ไม่เสาะกระเพาะมากนัก กินต่อไปอีกซัก 15

วัน หรือ เดือนหนึ่ง จบ
ปุจฉา   อายุ 77 ปี เป็นโรคปลายประสาทตาเสื่อม รักษาอยู่โรงพยายาลศิริราช หมดนัด 6

เดือนครั้ง เคยรักษากับหลวงปู่ 2 ครั้ง แต่กินยาไทยหลวงปู่แล้วตาจะมัวลงทุกครั้ง จะกิน

ยาไทยอะไร...
วิสัชนา   ยาไทยน่ะ ยาอะไร มันก็ยาไทยทั้งนั้น ไม่มียาลาวหรอก 80 กว่าพิกัดนี่ เป็นยา

ไทยทั้งนั้น  กินยาอะไร กินยาบำรุงปลายประสาทตา ยาขยายหลอดเลือด ก็น่าจะสว่างขึ้นนะ

ถ้ากินถูกวิธีนะ               ต้องดูที่ความดันด้วย ถ้าความดันสูง ก็ต้องลดการกินลงจาก 2

เม็ด เหลือ 1 เม็ด ถ้าความดันต่ำ            ก็กินเช้า 2 เม็ด เย็น 2 เม็ด ยาขยายหลอด

เลือด ก็เหมือนกัน ความดันสูง ก็กินครั้งละเม็ด                          ยาพวกนี้ มันขึ้นอยู่กับ

ความดันในกาย ถ้าความดันสูงมากไป บางทีบางครั้ง ถ้าความดันสูงมาก            ก็ตาฝ้ามัว

เหมือนกันนะ เพราะว่า เส้นเลือดฝอยในกระบอกตา มันเป่งบวม บางทีทำให้เกิดลมดันอยู่

ในเบ้าตา ก็ต้องรู้จักตัวเองบ้างพอสมควร บางทีเป็นหมอโบราณ ถ้าอยู่กับเค้า นอนอยู่ด้วย

หมอก็จะหาวิธีลดความดันในลูกตา วิธีลดความดันในลูกตา ก็จะใช้เม็ดต้อยติ่ง เม็ดต้อยติ่ง

ไม่มี ก็ใช้เม็ดแมงลัก ถ้าเม็ดแมงลักไม่มี ก็จะไปใช้วุ้นว่านหางจรเข้ รู้จักหรือเปล่า เออ อย่า

เอาเขียวๆ นะ เขียวๆ มันจะเคืองตา  เอามาก็เอาฝานเป็นแผ่นบางๆ ล้างน้ำเสียก่อนแล้วจึง

จะมาพอกที่เปลือกตา ทิ้งไว้ซักพักใหญ่ๆ มันจะเย็น แล้วมันจะดูดเอาความดัน มันเหมือน

กับดูดตุ๊บๆๆ แล้วตาที่บวม เส้นเลือดฝอยที่อยู่ในตาที่บวมเป่ง ก็จะหดลง ก็จะเบาลง มัน

ต้องมีกระบวนการรักษา
หลวงปู่จึงอยากจะเร่งทำโรงพยาบาล คือ โรงอโรคยาเภสัชที่ใต้ฐานพระให้มันเสร็จไวๆ        

           ตอนหลังคนป่วยมา จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา จะได้นอนค้างได้ เราจะได้ดู

อาการว่า กินยาไปแล้ว 3 วัน 7 วัน มันเปลี่ยนแปลงอย่างไร ไม่งั้น ก็มาจากไกลๆ อย่าง

วันนี้ มาจากมหาสารคามอย่างนี้ รับยาไป เราก็ไม่รู้ กินเข้าไปแล้ว ได้ผลมากได้ผลน้อย

หรือไม่ได้ผล จะได้ปรับเปลี่ยนยา เพราะยาไทยไม่เหมือนยาฝรั่ง มันไม่ได้เปิดปุ๊บติดปั๊บ

มันต้องดูแล้ว ก็เฝ้าสังเกตุ คือ กินแล้วต้องเฝ้าสังเกตุ จบ
ปุจฉา   สามีอายุ 68 ปี ประสบอุบัติเหตุ สมองบวม ขาหัก หัวเข่าแตก อยู่ ไอซียู 5 วัน

ออกจากโรงพยาบาล อยู่บ้าน ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เนื่องจากเดินไม่ได้ พูดไม่ชัด จะทำ

กายภาพบำบัด               มีความกลัว จึงไม่หาย จะมารักษากับหลวงปู่ได้ไม๊ครับ
วิสัชนา   ถ้ามาได้ ก็มา จริงๆแล้วต้องใช้เวลา อายุมากแล้วด้วย สมองมันต้องใช้เวลาในการ

สร้างเสริมในส่วนสึกหรอ ลำพังถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุ สมองก็เสื่อมอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอเจอะกับ

อุบัติเหตุ             ทำให้สมองช้ำ เนื้อสมองช้ำ หรือ เลือดคั่งในสมอง มันก็ต้องใช้เวลาใน

การดูแล งั้นก็ต้องมีวิธีรักษา ไม่ใช่อย่างเดียว มันต้องหลากหลาย ต้องใช้เวลา ต้องใช้ยา

ต้องให้กำลังใจ แล้วก็ต้องมีกายภาพ                มันหลายอย่างรวมกัน งั้นก็ ถ้าพามาได้ ก็

มาให้ตรวจอาการ จบ
ปุจฉา   มีอาชีพเลี้ยงหมู และมีเขียงฆ่าหมู เพื่อนำไปขาย อาชีพนี้เป็นบาป ใจจริงไม่

อยากทำ                        แต่ทำมาแล้ว 2 ปี ขณะนี้ เลิกทำแล้ว มีกรรมอะไรที่เกิดจาก

ทำอาชีพนี้ และทำอย่างไรให้กรรมนี้         เบาบางลง
วิสัชนา    เฮอ  ผู้ฆ่าชีวิต ก็ย่อมโดนเค้าฆ่า      ผู้ให้ชีวิต ก็ย่อมเป็นเจ้าของชีวิต                   

                           ถึงจะอ้างว่า เป็นอาชีพ สัตว์ทุกชนิดไม่ได้เกิดมาเป็นอาหารของใคร

มันออกจากท้องแม่               มันไม่ได้บอกว่า หมูต้ม  หมูต้ม หมูตุ๋น หมูตุ๋น มันไม่ใช่

ออกมา มันก็อยากวิ่ง อยากเล่น อยากเดิน เพราะฉะนั้น มันไม่ได้มีเขียนยี่ห้อ ผูกคอมันว่า

กูเป็นอาหารของมึง อะไรอย่างนี้ เราไปกินมันก็  ด้วยเจตนาอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเป็นคนฆ่า ก็

เป็นบาป แต่ถ้าเรากินแล้วไม่ได้ฆ่า แต่มีเจตนาให้เค้าฆ่า    ก็เป็น เออ พระนี่สบายที่สุด กิน

ไม่ต้องฆ่า ใครเค้ามาให้ กูก็กิน ไม่ให้ กูก็อดไป                                       งั้น จะบอกว่า

เป็นอาชีพไม่ได้ แล้วจะบอกว่า มันผิดศีลด้วย คือ ปาณาติบาต ในขณะเดียวกัน มันก็เป็น

มิจฉาอาชีวะ ในหลักสัมมา มรรคมีองค์ 8 ประการ เป็นมิจฉาอาชีวะ ก็คือ การเลี้ยงชีพ

ไม่ชอบ เลี้ยงชีพโดยไม่ชอบ เพราะเบียดเบียนสัตว์ให้ลำบาก เพื่อความอยู่รอด                  

                                       
งั้น เรามีพัฒนาการ เราเลิกได้ ก็เลิก วันนี้ เราบอกกับตัวเองว่า เอาล่ะ ที่ผ่านไป ก็ถือว่าผ่าน

ไปแล้ว ไม่ต้องไปย้ำทำย้ำคิด อ้ายที่จะมีใหม่ ก็พยายามทำแต่เรื่องงดงาม ดีงาม สร้างกุศล

แผ่เมตตา ฟังธรรม รักษาศีล เจริญภาวนา อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์

ที่ล่วงลับตายไป จากฝีมือเรา แล้วก็ความคิด การกระทำของเรา ค่อยๆ ทำไป ไม่ใช่ไป

บอกว่า เรามีกรรมแล้ว เราก็ไปนั่งเศร้าเสียใจ ไม่ทำอะไร รอให้กรรมมันตามสนองอย่าง

เดียว แสดงว่า ชีวิตมันก็ไม่มีพัฒนาการ                        
ชีวิตนี่ มันเหมือนกับดอกบัว ที่มันขึ้นอยู่ใต้ตม แต่มันก็พัฒนาจากใต้ตมจนโผล่พ้นตม         

                     แล้วก็ขึ้นมาจากน้ำ แล้วก็เบ่งบานรองรับแสงอาทิตย์ แสงจันทร์                 

                                                ชีวิตอย่างนี้ เค้าเรียกว่า เป็นสูตรสำเร็จที่สมบูรณ์ เป็น

ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ                                          
แต่ชีวิตที่มันเป็นดอกบัวเหมือนกัน แต่ดันไม่ยอมโผล่พ้นตม  มุดอยู่อย่างนั้นแหละ อยู่ใน

ตมอยู่อย่างนั้นแหละ มั่ว โผล่มาหน่อย ก็ดันมาเน่าอีกในน้ำ ในใต้น้ำอีก ก็รอเป็นอาหารของ

เต่า ตะพาบ อย่างนี้ เค้าเรียก ไม่พัฒนา ย้ำทำย้ำคิด ไม่เจริญรุ่งเรือง งั้น จึงบอกว่า ถ้ามี

โอกาส ก็รู้จักพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ ขึ้นมา สูงๆ ขึ้นไป อย่าหยุดอยู่กับที่ จบ
ปุจฉา    การเล่นหุ้นที่ถูกกฏหมาย ผิดศีลหรือไม่ ถ้าผิด ผิดข้อไหนครับ
วิสัชนา    เล่นหุ้น มันก็ไม่ได้ถือว่า เป็นการพนัน ก็ไม่เห็นผิดอะไรตามกฏหมาย ตามศีล      

             สมัยก่อนเค้าก็มีการเล่นหุ้น มันถือว่า ไม่ผิดศีล แต่มันไม่ชอบธรรม                    

                                คำว่า ไม่ชอบธรรม คือว่า มันมีโลภะมาก เล่นหุ้นนี่ มันต้องใช้

ความโลภมากๆ                                                   มันต้องคอยลุ้นว่า วันนี้จะแดง จะ

เขียว จะเหลือง กูจะรอดไม่รอด กูจะได้ไม่ได้ คอยสำเหนียก               มันก็ไม่ได้มีอะไร

แตกต่างจากอาชีพอื่นๆ แต่เผอิญอาชีพอื่นๆ เค้าไม่ใช้กำลังของโลภะ                           

เค้าใช้กำลังของกาย แต่อาชีพเล่นหุ้นนี่ มันโลภะจัดเลย อีหน้าเลือด อ้ายหน้าเลือดเลย          

 
อ้าว จริงๆ เพราะมันนั่งลุ้นอยู่ใช่ไม๊ อ้าว มันอยากได้อย่างเดียว เล่นหุ้น เล่นหวย เล่นไพ่

จัดอยู่ในประเภทเดียวกัน ใช้กำลังของโลภะเป็นตัวนำพฤติกรรม แต่ถามว่า อ้ายค้าขาย

อ้ายทำอะไรต่ออะไร มันใช้กำลังของกาย แม้มันมีความโลภเป็นที่ตั้ง แต่มันก็ไม่ได้โลภจน

ขึ้นหน้าขึ้นตา ไม่ได้เฝ้าจนตา ถล่นว่า วันนี้ บอร์ดกูแดง หรือเขียว หรืออะไร ไม่ได้นั่งคอย

ลุ้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้หายใจเข้า หายใจออก คอยบอกว่า ขึ้นยังๆ ๆ ๆ อะไรอย่างนี้
งั้น พวกนี้ก็จะมีสภาพเหมือนกับพวกที่โลภขึ้นหน้า หน้าเลือด เรียกว่า โลภจนหน้าเลือด       

        ซึ่งจะแตกต่างจากอาชีพอื่นๆ ที่เค้าไม่ได้ใช้ความโลภจนกลายเป็นเรื่องหน้าเลือด จบ
ปุจฉา   ขอความเมตตาหลวงปู่ อยากทราบประวัติท้าวหิรัญพนาสูร (งู)
วิสัชนา   ท้าวหิรัญพนาสูร ที่จริง พวกนี้เค้าเป็นเทวดานะ ยักษ์ทั้งหลายที่เรียกตัวเองว่า อสุรา

นี่ แปลว่า ผู้ไม่กินเหล้าเนี่ยนะ โทษฐานจากโดนเทวดามอมเหล้า แล้วก็โดนเตะลงจากสวรรค์

                          เรื่องของเรื่อง มันต้องเป็นปู๊นโน้นแน่ะ มันยาวมาก ลูก ตั้งแต่สมัยพระ

อินทร์ยังสั่งสมบารมีใหม่  จนกลายเป็นพระอินทร์ แล้วมีเพื่อนบริวาร 33 คน อุบัติไป

เกิดในชั้นดาวดึงส์เทวโลก อีตอนที่ตัวเองอุบัติ ไม่ใช่สวรรค์มันว่างๆ มันมีเทวดาเจ้าถิ่นอยู่

แล้ว เทวดาพวกนี้ก็ทำบุญมาด้วยเหตุปัจจัยอะไร    ก็ได้มาเป็นเทวดา แต่พอเทวดาทั้ง 33

ขึ้นมา นำโดยองค์อินทราธิราช ก็มีอำนาจมาก มีเดชมาก   พวกเทวดาเก่าๆ ก็เห็นว่า เออ

เรามีเพื่อนใหม่มาแล้ว มาเลี้ยงฉลองกันหน่อย ก็หาเหล้า หาสุรา       หาเมรัย กันมาเลี้ยง

ต้อนรับ เค้าเรียกว่า รุ่นพี่ต้อนรับรุ่นน้อง เผอิญรุ่นน้อง มันรู้มากไง รุ่นพี่เอาเหล้ามาเลี้ยง

รุ่นน้องก็ทำแกล้งเมา ปล่อยให้รุ่นพี่ดื่มเอาๆ จนเมาเลื้อยเป็นงูเลยแหละ เกะกะเกลื่อนสวรรค์

พระอินทร์ก็กระซิบบอกพรรคพวกว่า อย่าเมานะ ทำแกล้งเมาไป
สุดท้าย พอพวกนั้นเมาจนได้ที่ พระอินทร์ก็ช่วยกันกับพรรคพวกเขี่ยพวกนี้ตกสวรรค์ ตก

สวรรค์ลงมาไปอยู่ที่ไหน ไปอยู่ในชั้นบาดาล แต่ด้วยเดชบุญบารมีที่มี พอพวกนี้ตกถึงบาดาล

ก็มีวิมานปรากฏเอง เออ พอถึงเวลา พวกนี้ถึงปีมันมี เค้าเรียกว่า ต้นปาริฉัตร ดอกไม้

สวรรค์ที่มันจะต้องออกดอก พวกเทวดาทั้งหลาย พอเห็นดอกปาริฉัตรออกดอก ก็จะมีการ

สนุกสนานรื่นเริง เค้าว่ากันว่า ในช่วงเวลาที่ดอกปาริฉัตรออกดอกนี่ มันช่วงเวลาสงกรานต์

พอดี ตำนานเก่าเค้าว่ากันไว้อย่างนั้น ช่วงตรุษสงกรานต์ บ้านเราคนไทยฉลองไม๊ เออ นั่น

แหละ การฉลองของพวกเทวดา ก็ไม่ได้ต่างกันล่ะ
ทีนี้ พวกเทวดาเจ้าถิ่น พอโดนเขี่ยตกจากสวรรค์ ไปอยู่บาดาล ก็เจ็บใจ บอก กูนี่ เมาแท้ๆ

จึงเสียรู้โดนเขี่ยตกจากสวรรค์ ก็เลยประกาศว่า พี่น้อง ต่อไปนี้ เราจะเอาให้อยู่แล้ว พี่น้อง

เอ้ย เราจะไม่ยอมกินสุรา เรียกว่า เราจะไม่แตะต้องสุราเลย เพราะสุราพาเราให้เสีย เสีย

สวรรค์ เสียวิมาน
ตั้งแต่นั้น คนเค้าก็เรียกขานพวกนี้ว่า อสุรา แปลว่า ผู้ไม่กินเหล้า เป็นผู้ที่ไม่กินเหล้า พอถึงปี

ดอกปาริฉัตรออก ใต้บาดาลมันก็มีต้นไม้ต้นหนึ่ง เค้าเรียกต้นแคฝอย มันก็ออกดอกเหมือน

กับต้นปาริฉัตร แต่กลิ่นไม่หอมเท่า สีก็ไม่สวยเท่า พวกอสุราพอเห็นต้นแคฝอยออกดอก ก็

นึกถึงต้นปาริฉัตร เพราะเป็นที่รวมสังสรรของเหล่าเทวดา ให้นึกหวลถึงวันเก่าๆ อุ๊ย สาว

สรรกำนัลใน นางฟ้าห้อมล้อมต้นปาริฉัตรสวยงาม นี่มีแค่ต้นแคฝอย เลยนึกอยากจะไป

ทวงสวรรค์คืน เลยรวมกันโดยนำโดยท้าวเวทประจิต ท้าวเวทประจิตก็เหมือนกับองค์อินทร์

น่ะ คล้ายๆ กับท้าวสวรรค์ แต่เป็นหัวหน้าของหมู่อสุรา รวมตัวกันว่า เราจะขึ้นไปรบเอา

สวรรค์กลับคืนล่ะ รบก็แพ้บ้าง ชนะบ้าง ชนะบ้าง แพ้บ้าง สุดท้ายองค์อินทร์ก็หาวิธี ก็อย่าง

ที่ว่าแหละ สร้างธงขึ้นมาให้เทพเจ้าประจำทิศต่างๆ ทิศเหนือ ทิศอีสาน ทิศใต้ ทิศอาคเนย์

ทิศหรดี ทิศพายัพ สร้างธง เค้าเรียกว่า ธงชัย เทวดาทั้งหลายก็รวมตัวกันหาของวิเศษ

มาสร้างเป็นธง แล้วเมื่อธงนั้นโดนโบกสบัดไปในอากาศ เหล่าอสุราทั้งหลาย พอเห็นรัศมีสี

แสงของธง ก็ทำให้ลายตา ตามืดมัว พวกเทวดาได้ทีได้ช่อง ก็ตรงเข้าต่อยตี อสุราก็สู้ไม่ได้    

                     เลยต้องทิ้งรถ  ม้าศึก หนีลงบาดาล
ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวง นี่มันก็มา ท้าวเทพประจิต นี่ จริงๆ ก็ต้องถือว่า เป็นเทวดาองค์หนึ่ง

เหมือนกัน ส่วนอัตโนชีวประวัติน่ะ เรื่องมันโป๊น เรื่องมันยาว ต้องไปดูในมหาสมัยสูตร จบ
ปุจฉา    อยากทราบว่า คนที่เกิดมาสวยและหล่อ ได้เป็นดารา ชาติที่แล้วเค้าทำบุญด้วยอะไร

                       แล้วเกี่ยวด้วยไม๊ว่า ทำบุญมาเยอะ ถึงได้สวยแบบนี้ในชาตินี้
วิสัชนา    ถามกูเหรอ กูก็กินข้าวกับน้ำพริกซิจ๊ะ                                                           

เออ อยากเป็นคนสวย คนหล่อ คนรวย ไม่ยาก ลูก                   

รักษาศีลให้บริสุทธิ์ บริจาคทานให้

เต็มที่ ให้เคร่งครัด   ศีลทำ

ให้คนสวย เรียกว่า หล่อ ทานทำให้คนร่ำรวย                                                               

อยากมีสติปัญญา ก็ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม                                           

อยากเป็นคนมีอำนาจ ตบะ พลัง ก็ปฏิบัติสมาธิ

ภาวนา  กูหล่อเหรอ อุตส่าห์

กินยาลดแล้วนะเนี่ย  รู้ เค้าไม่ได้ถามกูหรอก จบ
ปุจฉา   อยากทราบว่า คนที่ปวดเท้าบ่อยๆ มีอาการเท้าชอบบวมเอง เวลาเดินบ่อยๆ            

หลวงปู่มีวิธีรักษาให้หายอย่างไรบ้าง
วิสัชนา    อายุเท่าไหร่ ต้องดู บางทีคนอายุมาก ผิวมันบาง เส้นเลือดอุดตัน เราต้องหาวิธี

ผ่อนคลายร่างกายบ้าง บางทีบางครั้ง ก็ต้องแช่น้ำอุ่นบ้าง บางวัน หลวงปู่ยืนติดพลอยติดพระ

นานๆ บ่อยๆ เข้ามันก็ชักจะปวดน่องปวดขา เราก็ต้องให้เด็กต้มน้ำ เย็นลง เลิกงาน ก็ไปนั่ง

แช่ เอาเท้าแช่น้ำ แช่เสร็จแล้วก็เช็ด แล้วก็ใช้ขี้ผึ้งเทพโอสถทา ก็ค่อยเบาบรรเทาลง บางที

ทำงานเพลินๆ มันลืมไปว่า พอกดมันนานๆ เข้า พอเราอายุมากเข้าๆ ความดันในเลือดมัน

น้อยลง เบาบางลง หรือเส้นเลือดฝอยมันอุดตัน บางทีเลือดมันหมุนเวียนไม่พอ เลี้ยงกล้าม

เนื้อไม่ดี มันก็ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อตายได้ เกิดอาการปวดบวมได้ เกิดอาการชาได้ ก็

ต้องหาวิธีผ่อนคลาย ขยับขยายบ่อยๆ อย่าอยู่ในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งนานเกินไป แม้

แต่อายุน้อยๆ ก็เป็น งั้น ก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการตัวเองบ่อยๆ เค้าเรียกว่า  มีสติในกาย กาย

มันก็จะไม่ลำบาก มีสติในวาจา วาจาก็ไม่ลำบาก มีสติในใจ ใจนี้ไม่ลำบาก อ้ายที่มันลำบาก

อยู่เพราะ ไม่ค่อยมีสติ มันก็เลยต้องทุกข์ยากลำบากอย่างที่เห็น จบ
ปุจฉา   เริ่มปฏิบัติธรรมโดยการฝึกสมถะกรรมฐาน จนพบว่า ปัจจุบัน มีจิตสงบ มีสมาธิ      

จิตมักติดในอารมณ์สงบ และเพ่งพิจารณาอารมณ์อยู่เป็นนิจ จนรู้สึกว่า จิต

มันไม่เป็นธรรมชาติ            ไม่เป็นอิสระ ควรจะแก้ไขอย่างไร
วิสัชนา     อารมณ์สมาธิในระดับฌาน แม้เราจะรู้สึกได้ว่า มันมีอิสระ                              

แต่จริงๆ โดยหลักแล้ว มันไม่ใช่มีอิสระ เพราะมันโดนข่ม เรียกว่า

เป็นวิขัมภนปหาน                               
ถามว่า ทำไมถึงไม่อิสระ ด้วยอำนาจฌาน ยังไม่อิสระ ก็เพราะว่า มันยังมีราคะ มีโทสะ มี

โมหะ          มีอกุศลมูล มีกรรม มีวัฏฏะ มีชาติ ภพ ชรา มรณะ พยาธิ ที่พันธนาการจิตนี้อยู่

โดยเฉพาะเรื่องกรรม ผลของกรรม วิบากกรรม กรรมที่เราทำมาแล้วแต่อดีต ในปัจจุบัน

เหล่านี้ มันยังเป็นพันธนาการที่เหมือนกับเส้นบางๆ ที่เกาะกุมจิตนี้ เราใช้อำนาจสมาธิข่ม

มันเฉยๆ ก็ยังไม่ถือว่า เราปลดเปลื้องพันธนาการ แต่เมื่อใดที่เราสามารถจะเปลื้อง

พันธนาการมันได้ ต้องใช้ปัญญา เรียกว่า ....วัชระ ตัดเอาวิบาก ผลของกรรม ตัดราคะ

ตัดโทสะ ตัดโมหะ ตัดอวิขขา ตัดตัณหา ตัดอุปาทาน แล้วมันก็จะตัดชาติ ภพ ชรา มรณะ

พยาธิ และภัยวัฏฏะ ให้หมดไปได้
แต่อยู่ดีๆ มานั่ง ข่มด้วยอำนาจฌาน ที่สุดมันก็ไปได้แค่ชั้นพรหม แต่ก็ยังมีวิบากกรรมตาม

ไปอยู่      มีราคะ มีโทสะ มีโมหะ มีอวิชชา มีตัณหา มีอุปาทาน มีชาติ มีชรา มรณะ พยาธิ

ตามไปอยู่                  เพราะพระองค์แม้จะมีอายุยืนมากเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ต้องตาย

พอหมดบุญ แล้วก็มาเกิด
งั้น ก็ยังถือว่า ยังไม่พ้นวิบากกรรม ไม่พ้นไตรวัฏฏะ ถึงเราจะรู้สึกเบาบางจิตนี้มันมีอิสระ

ในระดับหนึ่ง มันก็เป็นอิสระชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น มันเหมือนกับหมาหลับ แล้วโจรย่องเข้า

ไปขโมยได้   แต่ขาออกมานี่ หมาไม่หลับ ถือของมาแล้ว หมามันเห่า

ประมาณนั้นแหละ จบ
ปุจฉา   เมื่อฝึกกรรมฐานในขั้นต่างๆ จิตมีสติและตั้งมั่น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภาวะของสติ

จะคลายตัวลง จนอกุศลครอบงำจิต อยากทราบว่า จะทำอย่างไรจึงจะมีสติอยู่กับกายกับ

จิตตลอดเวลา
วิสัชนา   ต้องฝึก มนุษย์ไม่ใช่ได้ดีเพราะมียี่ห้อ มนุษย์มันจะได้ดี เพราะการฝึกหัด ศึกษา

สั่งสม อบรม เรียนรู้ ต้องสร้างพัฒนาการให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ต้องคิดว่า ชีวิตนี้ มีอยู่เพื่อ

ฝึก ศึกษา            ต้องคิดอยู่เสมอให้ได้ในใจว่า ชีวิตนี้ มีอยู่เพื่อ ฝึกและศึกษา 
ฝึกและศึกษา ฝึกแล้วก็ศึกษา
ให้รู้อย่างนั้นอยู่เนื่องๆ แล้วเราก็จะไม่ละเลยที่จะฝึกและศึกษา                                        

แต่ถ้าคิดไม่ได้ แล้วมารอเวลาว่า วันอาทิตย์ต้นเดือนค่อยมาฝึก           

อาทิตย์กลางเดือนค่อยมาศึกษา ถ้าอย่างนี้ อ้าย

นอกนั้น ทำอะไร                                                                               ก็เสียหาย เลว

ร้าย ลื่นถลา หลงลืม แล้วก็ประมาทพลาดพลั้งไป                                                          

แต่ถ้าคิดให้ได้ว่า ชีวิตเป็นการฝึกและศึกษา ฝึกและศึกษา                                   

ก็อย่างที่หลวงปู่บอกเมื่อเช้าว่า ชั่วชีวิตหลวงปู่ไม่มีครูมา

สอน                                                                                 แต่ชั่วชีวิตหลวงปู่ คิดอยู่

เสมอว่า ชีวิตนี้ คือ การศึกษา                                                                                    

มันจะต้องไม่หยุดในการพัฒนา วันนี้มีอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องพัฒนาให้มันมากขึ้นกว่านี้          

พัฒนาให้มันมากขึ้นเรื่อยๆ
คำว่า พัฒนานี้ มันมีทั้งพัฒนาภายนอกกับพัฒนาภายใน                                                

อ้ายเรามัวแต่จ้องแต่จะพัฒนาภายนอก แต่ภายในไม่พัฒนา ก็

ไม่ได้                                                                 งั้น ต้องพัฒนาให้ควบคู่กันไปให้ได้

คือ ภายนอกเราก็พัฒนา ภายในเราก็พัฒนา                                       แล้วที่ดีที่สุดคือ

พัฒนาภายในให้มันล้ำหน้ากว่าพัฒนาภายนอกยิ่งดี วิเศษใหญ่                                        

   อ้ายพัฒนาแต่ภายนอก ภายในไม่พัฒนา สุดท้าย มันก็เหมือนกับโจรรวย
เข้าใจคำว่า โจรรวยไม๊ มันรวย แต่มันเป็นโจร โจ๊น โจร มันรวยเพราะการปล้นสดมภ์เค้ามา                 
แต่พัฒนาภายในให้มันมากกว่าพัฒนาภายนอก มันก็ไม่ต่างอะไรกับอะไร เค้าเรียก พระมี

ตังค์ เออ พระมีตังค์ สมัยนี้ ก็ไม่ดีนะ แต่ถ้าพระมีตังค์อย่างกูนี่ ดีนะ เพราะกูบริ

จาค กูให้ กูเสียสละ  กูแบ่งปัน กูเอื้อเฟื้อ กูคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวกูเอง อะไร

ประมาณนี้
แต่พระมีตังค์สมัยนี้ ก็ไปซื้อลีมูซีน ไปซื้ออะไรต่ออะไร สารพัดซื้อ ร่ำรวยเป็นเศรษฐีไป     

งั้นอาเป็นว่า คิดจะให้น่ะ ให้มาก                                                                           

นั่นแหละ คือกระบวนการที่เรามีพัฒนาการภายในมากกว่า

พัฒนาการภายนอก                                  ทำเพื่อให้
คนเค้ามาถามกูว่า ทำเยอะแยะ ธูปก็ทำ ปุ๋ยก็ทำ ยาก็ทำ สินค้า Cosmetic ก็ทำ         

แหม พูดภาษาปะกิตเสียหน่อย ทำเสียเยอะแยะมากมาย แล้ว

ตั้งหลายอย่างเนี่ย                                                                  เอาตังค์ไปไหน             

เอ้า มึงว่า กูเอาตังค์ไปไหน                                                                           

เออ นั่นสิ กูก็ยังไม่รู้ ตังค์กูไปอยู่ไหน                     

ไม่ใช่ตังค์หลวงปู่ มันไปอยู่

ไหน                                                                                                                    

ก็นี่ไง ที่มีอยู่ทุกวันนี้ไง รอบตัวไปหมด นี่ไง จะเอาตังค์ไปไหน                                 

ก็ยังนึกอยู่ว่า เออ ทำเสียเยอะแยะ                                  

ไม่ได้เสียหาย ถ้าทำแล้วให้

ทำไปเถอะ
ก็บอกแล้วพระพุทธเจ้าบอกว่า จะดูใครสะอาด                                                             

ให้ดูที่การงานและหน้าที่ ที่เค้าทำ                                             

ถ้าทำเพื่อคนอื่นน่ะ คนๆ นั้นสะอาด 

แต่ถ้าทำเฉพาะเพื่อตัวเองน่ะ สกปรก ซกมก                                                               

นี่พระพุทธเจ้าสอนพระเจ้าปเสนธิโกศลอย่างนี้                     

งั้น ก็ ถ้ามีปัญญาทำ ทำไป พัฒนาไป   

แต่ก็

พัฒนาภายในให้มากกว่าพัฒนาภายนอกนะ ดีที่สุด                                                       

เพราะเมื่อภายในได้รับการพัฒนาอย่างดีแล้ว มันก็จะใช้ในสิ่งที่มีให้

คุ้มค่ากับสิ่งแวดล้อม  สังคม ธรรมชาติรอบกาย ประโยชน์ภายในและ

ประโยชน์ภายนอก ก็จะได้สมบูรณ์   แต่ถ้าพัฒนาภายในอย่าง

น้อยนิด พัฒนาภายนอกอย่างมหาศาล ก็ไม่ต่างอะไรกับโจรรวย                              กูรวย

แต่ดันเป็นโจรที่คอยปล้นเค้าอยู่เสมอ อยากจะได้ของเค้าอยู่เสมอ ตะกละ                          

        ตะกรุมตะกลาม ทะยานอยากไม่หยุดหย่อน อย่างนี้น่ะ รวยไปมีประโยชน์อะไร        

รวยแล้วมันให้อะไรกับตัวเองได้บ้าง สุดท้ายตาย โจรมันเอา

อะไรไปได้บ้าง  งั้น ถ้าคิดเป็น ก็จะรู้ว่า โจรไม่ควรรวย

แล้วก็ไม่ควรเป็นโจร   ถ้าคิดจะรวย

ต้องไม่ควรเป็นโจร พอรวยแล้ว ควรจะต้องให้ อย่างนี้เป็นต้น จบ
อีกซัก 2 ข้อ
ปุจฉา   เป็นมะเร็งเต้านม ผ่าตัดแล้ว กำลังกินยาต้านมะเร็ง ยาภูมิแพ้ ยาบำรุงเลือด ยาฟอก

เลือด อยากทราบว่า ต้องกินยาอีกนานแค่ไหน จึงจะแน่ใจว่า หายจากโรคมะเร็ง
วิสัชนา   กินต่อไปเรื่อยๆ หยุดเมื่อไหร่แล้วจะบอกเอง จบ
ปุจฉา   พ่อมีพื้นที่เช่าจากคนอื่น ซึ่งเป็นยาร์เหล้า เพื่อปล่อยให้เช่าต่อ จะบาปไม๊ เพราะไม่

ได้ทำเอง ในฐานะที่เป็นลูก จะรับบาปนั้นไปจากพ่อหรือเปล่า
วิสัชนา   อืม พ่อทำ ไม่เกี่ยวอะไรกับลูก เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์        

มันก็จริงแหละ แต่กรรมที่เป็นเผ่าพันธุ์  กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระโน กัมมะ

ทายาโท กัมมะโยนิ เนี่ยนะ มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นเครื่องอยู่

มีกรรมเป็นเครื่องมา                มีกรรมเป็นเครื่องไป มีกรรมเป็นเครื่องอาศัย เนี่ยนะ ทั้ง

หมดเนี่ย เราทำ ไม่ใช่คนอื่นทำ                                                             อย่าคิดว่า คน

อื่นเค้าจะทำให้เรา เราเป็นคนทำเอง ส่วนพ่อเราเค้าจะมีที่ให้คนอื่นเช่ามาทำบาร์               

ทำซ่อง ทำเล้าไก่ ทำเล้าหมู มันก็เป็นเรื่องของเค้า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา เราไปยินดี

ยินร้ายกับเค้า  ก็เดี๋ยวพลอยไปได้อะไรกับเค้ามาด้วย งั้นก็ทางใครทางมัน ต่างคน

ต่างทำ จบ
คุณก้อง (พิธีกร)   และนั่นคือ หลักธรรมที่ถูกต้อง......ช่อง Top Star

Channel 112 แห่งนี้.....
หลวงปู่   วันนี้ เค้าพูดได้เยอะนะ เค้าพัฒนาขึ้น พูดได้เยอะขึ้น กูก็นั่งลุ้นว่า มันจะตก..  

                    มันจะหาที่ลงได้ไม๊ เออ....
ให้ทุกท่านที่รับชมรายการปุจฉา วิสัชนา จงรุ่งเรือง เจริญ ด้วยสติปัญญา สมาธิ อายุยืน       

สุขภาพแข็งแรง คิดหวังสิ่งใดสมความปรารถนา                                          

 เจริญธรรม
สาธุ
ไปพัก ลูก กราบพระ แล้วไปเข้าห้องน้ำห้องท่า แล้วเดี๋ยวมาปฏิบัตฺธรรม                          

                          หลายสัปดาห์มาแล้วไม่ได้ปฏิบัติธรรม
(กราบ)
วันที่ 8 เดือน 8 เค้าจะมีพิธีอัญเชิญเง็กเซียนฮ่องเต้เข้าประดิษฐาน ณ. วิหารเซียนนะ

ลูก                                ใครมีเวลาว่าง ก็มา จะตรงกับวันอะไร ก็ไม่รู้ แต่ฤกษ์มัน วันที่ 8

เดือน 8 จะแรม 8 ค่ำ ขึ้น 8 ค่ำ       อะไรเนี่ย
ไปเข้าห้องน้ำห้องท่าแล้วเดี๋ยวมารวมกัน
วันที่ 6 (เมษา) เค้าจะมีพิธีเลี้ยงอาหาร ถ้างั้น ก็ไม่ต้องเอาอาหารมาซับซ้อน เอาปัจจัย

ช่วยเค้า                  จ่ายค่าอาหารก็อาจจะได้มั๊ง เดี๋ยวต่างคนต่างหิ้วมาเต็มโต๊ะ กินไม่หมด

ก็เสียดาย
เอ้า เข้าที่ ลูก เตรียมปฏิบัติธรรม
(กราบ)
พอบอกปฏิบัติธรรม มันหายไปไหนหมด เมื่อกี้ มันยังนั่งกันเต็มศาลา ฉากหนีกันไปหมดแล้วมั๊ง

1 เม ย 2555    บ่าย  ถอดซีดี ระหว่างปฏิบัติธรรม โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

(ฝึกเดินขั้นที่ 1-4 , ขั้นที่ 10 ภาคที่ 10 และขั้นที่ 10 ภาคที่ 2)
• ขั้นที่ 10 ตั้งจิตไว้บนกลางกระหม่อม แล้วก้าวเดินตามขั้นที่ 1
• มีตัวรู้อยู่กลางกระหม่อมในขณะเดิน เรียกว่า ภาคที่ 10
• หูฟังเสียง เท้าก้าวเดินตามจังหวะ แบบผิวเผิน แต่รู้ชัดเจนอยู่ที่

กลางกระหม่อม
• ขั้นที่ 10 ภาคที่ 2                                                                          

หยุดอยู่กับที่ ทิ้งจังหวะ จิตตั้งอยู่ที่

กลางกระหม่อม เฉยๆ   
• พระพุทธะของแต่ละคนไม่เท่ากัน                                                       

บางองค์ใหญ่ บางองค์เล็ก อยู่ที่ตัวรู้และสติปัญญา
• เดินในขั้นที่ 2 อยู่ในภาคที่ 10                                                          

รักษาพระพุทธะที่กลางกระหม่อม
• ทำให้พระพุทธะสถิตย์มั่นคง จนกลายเป็นมงกุฏพระพุทธเจ้า                   

ตั้งอยู่เหนือเศียรเกล้าของเราให้ได้
• ขั้นที่ 10 มีทั้งหมด 32 ภาค
• ต้องอัญเชิญพระพุทธะไปสถิตย์อยู่ในอาการ 32                                   

จึงเรียกว่า ขั้นที่ 10   32 ภาค เราเพิ่งจะได้ภาคที่ 1 คือ

กระโหลกศีรษะ
• ฝึกไปเรื่อยๆ ถ้ากูยังไม่ตาย ก็จะสอนมึงให้หมด เว้นแต่ว่า มึงจะหนีกูไป

ก่อน 
...บางทีมันก็ไม่ง่ายต่อการข่ม ต้องอาศัยพฤติกรรมในการฝึกจิต                                

 อยู่ดีๆ จะมานั่งข่มเลย ยาก
เดินในขั้นที่ 1 ...............
ขยับขึ้นขั้นที่ 2  ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่เข้าไปแนะนำ ...........
ขยับขึ้นขั้นที่ 3   ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่เข้าไปแนะนำ...............
ขยับขึ้นขั้นที่ 4............
ขยับขึ้นขั้นที่ 10   ใครไม่เคย ยกมือขึ้น
ถ้าไม่รู้ จะทบทวนให้ฟัง                                                                                          

ตั้งจิตไว้บนกลางกระหม่อม แล้วก้าวเดินตามขั้นที่ 1   

ย้อนลงไปเดินขั้นที่ 1 แต่เอา

จิตไว้กลางกระหม่อม                                                                                         

เดิน เอาจิตไว้ที่กลางกระหม่อม รู้ทุกย่างก้าว อย่าให้เคลื่อน                                            

มีตัวรู้อยู่กลางกระหม่อมในขณะเดิน เรียกว่า ภาคที่ 10       

พระพุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน             

เดินประคอง

พระพุทธะให้ตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อม                                                                         

คือ มีตัวรู้ ตื่น และเบิกบาน อยู่ที่กลางกระหม่อม                                           

รู้สึกตัวที่กลางกระหม่อม                                        

หูฟังเสียง เท้าก้าวเดิน

ตามจังหวะ แบบผิวเผิน แต่รู้ชัดเจนอยู่ที่กลางกระหม่อม                         

...............                             

อย่าคิดว่า ทำไม่ได้                                                                                                 

ขณะจิตหนึ่ง รู้จังหวะ ขณะจิตต่อมา รู้การก้าว ขณะจิตต่อไป

รู้ที่กลางกระหม่อม                                               ..............    

อย่าให้ตัวรู้เคลื่อนจากกลางกระหม่อม                                                

...................                         

                              
ขั้นที่ 10 ภาคที่ 2                                  

หยุดอยู่กับที่

ทิ้งจังหวะ จิตตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อม เฉยๆ                                                                 

               ยังเปิดเสียงอยู่                                                                                        

จิตนิ่งอยู่ที่กลางกระหม่อมเป็นเอกัคคตารมณ์   

พระพุทธะอยูที่

กลางกระหม่อมของเรา                                                                                           

รู้ที่ไหน พระพุทธะเกิดที่นั่น                                                                    

เบิกบานที่ไหน พระพุทธะประทับอยู่ที่นั่น            

รู้ เบิกบาน ตื่น 

พระพุทธะสมบูรณ์แบบอยู่ที่กลางกระหม่อมของเรา                                                     

        เป็นพระพุทธะผู้วิเศษ                                                                                     

เป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ที่สถิตย์อยู่ภายในสันดาน ในวิญญาณ

ในจิต ในการรับรู้                                                       อย่าให้ตัวรู้เคลื่อน

จากกลางกระหม่อม                                                                                                

  ..................                        

  ขั้นที่ 10 ภาคที่ 2                                 

ก้าวเดิน

ตามขั้นที่ 2  แต่ตัวรู้ตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อม                                                            

เริ่มเดิน                                                                                       

เดินในขั้นที่ 2 แต่เป็นภาคที่ 10

ให้ตัวรู้ตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อม                                                                                  

เดินก็ไม่ผิดจังหวะด้วย                                                                               

................                            

  อย่าทำให้พระพุทธะหลับไหล สถิตย์ตรงอยู่เฉพาะตอนเรานิ่ง                                       

แม้เคลื่อนไหวก็ต้องมีพระพุทธะ                                                

เคลื่อนไหวเร็ว ก็มีพระพุทธะ                                

เคลื่อนไหวช้า ก็มีพระพุทธะ  

ให้ตั้งมั่นจนแนบแน่น จนรู้สึกได้ว่า ขนพองสยองเกล้า                                                  

มีไอร้อนพวยพุ่งจากกลางกระหม่อมมโหฬาร มหาศาล ก็อย่า

สะดุ้ง สะเทือน                                                    ศีรษะจะหนักเหมือนมีโลหะมาทับถม

ก็อย่าสะดุ้งผวา                                                                                (จบเพลง รอ

ขึ้นใหม่)                                       

เมื่อ

จังหวะหาย ก็ประคองพระพุทธะ                                                                               

                           หยุดอยู่กับที่  รอจังหวะที่จะก้าวเดิน                                               

                                                               รู้อยู่ที่กลางกระหม่อม สำเหนียกได้อยู่ที่

กลางกระหม่อม สัมผัสได้ที่กลางกระหม่อม                                                 

...............                             

มีไอร้อนปรากฏพุ่งที่กลางกระหม่อม ไม่ใช่ทำ แต่มันเป็นความจริง                                 

                       เพียงแค่จิตเราละเอียดขึ้น เรารับรู้ความจริงมากขึ้น                                

                                    นั่นคือ พระพุทธะของเรา                                                    

                                                                       พระพุทธะของแต่ละคนไม่เท่ากัน      

                                                                                                    บางองค์ใหญ่

บางองค์เล็ก อยู่ที่ตัวรู้และสติปัญญา                                                                  

……….                                        

                                                                                                 เดินในขั้นที่ 2

อยู่ในภาคที่ 10                                    

                                                                     รักษาพระพุทธะที่กลางกระหม่อม        

                                                                                          อย่าให้พระพุทธะ

เคลื่อนไปไหน                                                                                                       

      .................                     

      ทำให้พระพุทธะสถิตย์มั่นคง จนกลายเป็นมงกุฏพระพุทธเจ้า                                   

                 ตั้งอยู่เหนือเศียรเกล้าของเราให้ได้                                                            

.................                           

                                                                                                               เรา

กำลังเขียนยันต์มงกุฏพระพุทธเจ้า                                                                             

                        .................   

                      รู้อยู่ที่กลางกระหม่อม ตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อม                                       

                                            สัมผัสได้ที่กลางกระหม่อม มั่นคงที่กลางกระหม่อม           

                                                                          ไม่มีเรื่องอื่นรับรู้ จนเป็นเอกัคคตา   

                                                                                                               คือ

เป็นหนึ่งเดียวกับจิต หนึ่งเดียวกับกาย หนึ่งเดียวกับอารมณ์ หนึ่งเดียวกับจังหวะ                 

                    ไม่รำคาญในการก้าว ไม่ว้าวุ่นในการเดิน ไม่สับสนในการตั้งมั่น                 

                                                  โลกจะทะลาย แผ่นดินจะถล่ม เสียงจะดัง ฟ้าจะผ่า

ฝนจะตก                                                                        พระพุทธะไม่เคลื่อนเลย      

                         ..............     

                          ดี ลูก                                                                                         

                                                      พวกมึงกำลังทำให้กูมีความสุขอย่างมาก               

                       .................    

                       อย่าว้าวุ่น รู้อยู่แค่กลางกระหม่อม                                                      

      ...................                   

  หยุดอยู่กับที่                                                                                                       

                                          รักษาพระพุทธะไว้ที่กลางกระหม่อม                               

                                                                        ค่อยๆย่อเข่าลงนั่ง อย่างชนิดที่พระ

พุทธะยังสถิตย์อยู่กลางกระหม่อม                                                                 ไม่ว่า

จะอยู่ในอิริยาบถใด พระพุทธะไม่หนีหายจากเราไป                                                     

                ..............              

              ไอร้อนที่พุ่งขึ้นกลางกระหม่อม เรารับรู้ได้                                                    

                                             ความตั้งมั่นในกลางกระหม่อม แรงกดทับที่

กลางกระหม่อม                                                                             เราสัมผัสได้ แต่

อย่าสนใจ จิตนิ่งอยู่ที่กลางกระหม่อมเฉยๆ                                                                  

              จิตยิ่งแจ่มใสมากเท่าไหร่ แรงกดทับก็จะเบาบางลง                                         

                                จะเยือกเย็นจากไอร้อน ก็แปลเปลี่ยนเป็นปราณเย็น                      

                                                                  จากปราณเย็น ก็แปลเปลี่ยนเป็นผลึกแก้ว 

                       ..............       

                                  อ้ายหนู ถ้ามึงไม่พยายามทำ ก็จะทำไม่ได้                                

                                                                       วันนี้ ไม่พยายาม วันไหนจะได้

พยายามทำ                                                                                                  

ลองทำดู จิตตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อม                                                                            

                         .................  

                             ทำให้ผ่อนคลาย สบายๆ จิตอยู่ที่กลางกระหม่อม                             

   .................                        

   เอ้า ทีนี้ ลองพิจารณาสัญฐานที่กลางกระหม่อม กว้าง หรือ แคบ                                   

                                           พระพุทธะเราองค์ใหญ่หรือเล็ก ผอม อ้วน สูง บาง เตี้ย       

                                                                            ลองพิจารณาอยู่ที่

กลางกระหม่อมซิ ฐานมันกว้างหรือแคบ สูงหรือเตี้ย ใหญ่หรือเล็ก                                   

                                                         ไม่ใช้สมอง ใช้จิตสัมผัส ดอกเตอร์                    

      ................                      

                                                                                                                  ค่อยๆ

พยุงตัว ลุกขึ้นยืนช้าๆ รักษาพระพุทธะให้คงที่                                                             

                        ยืนอยู่ ก็มีพระพุทธะ                                                                      

                                                              นั่งอยู่ ก็มีพระพุทธะ                                 

                                                                                                   ขณะที่ยืน ก็มี

พระพุทธะ                                                                                                          

........................                    

ก้าวเดินในขั้นที่ 1 คือ ภาคที่ 10 เต็มสูตร                                                              

..................                          

รักษาพระพุทธเอาไว้                                                                                              

                                               ลองสังเกตุดูด้วยว่า ระหว่างนั่ง ยืน เดิน                        

                                                                          พระพุทธะองค์เล็กกว่าหรือใหญ่กว่า

บางกว่าหรือหนากว่า หนักกว่าหรือเบากว่า                                         ต้องใช้ปัญญาด้วย 

................                            

       เมื่อเราลุกขึ้นยืน หรือ เดิน มันเบาบางหรือหนักแน่น                                             

                                          เราจะได้ปรับได้                                                           

                                                                                  เบาไป ก็ให้หนักขึ้น หนักไป

ก็ให้ปานกลาง                                                                                    

...................                         

หยุดอยู่กับที่                                                                                                         

                                            ยกมือไหว้พระพุทธะ                                                  

                                                                                   หายใจเข้า ภาวนาว่า สัตว์

ทั้งปวงจงเป็นสุข                                                                                                 

หายใจออก ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงพ้นสุข                                                                  

                         .................. 

                       สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม                                                           

                                                                เอามือลง                                              

                                                                                                        หายใจออก

เบา ยาว หมด ให้ผ่อนคลาย
หายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กระโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง              

                ลงไปที่กระดูกสันหลัง ทะลุมาที่ช่องท้อง ขึ้นมาที่ลิ้นปี่ หน้าอก ลำคอ ออกปาก
พักนิดนึง
หายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กระโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง              

                ลงไปที่กระดูกสันหลัง ก้นกบ ทะลุมาที่ช่องท้อง มาที่ใต้สะดือ เหนือสะดือ ลิ้นปี่  

                             หน้าอก ลำคอ ออกจมูก
พักนิดนึง
หายใจเข้า จมูก หลอดลม ลำคอ ลงไปที่ทรวงอก ลิ้นปี่ ช่องท้อง เหนือสะดือ ใต้สะดือ หัวเห

น่า         ทะลุไปที่ก้นกบ ขึ้นมาที่กระดูกสันหลัง ขึ้นมาที่ต้นคอด้านหลัง กระโหลกศีรษะ

ด้านหลัง                  กลางกระหม่อม หน้าผาก แล้วออกจมูก
พักนิดนึง
เอาใหม่ หายใจเข้า จมูก หลอดลม ลำคอ ลงไปที่ทรวงอก ลิ้นปี่ ช่องท้อง เหนือสะดือ ใต้

สะดือ     หัวเหน่า ทะลุไปที่ก้นกบ ขึ้นมาที่กระดูกสันหลัง ต้นคอด้านหลัง กระโหลกศีรษะ

ด้านหลัง                  กลางกระหม่อม หน้าผาก และออกจมูก
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม ให้หน้าอกยกขึ้น แล้วอัดลมทิ้งไว้                                     

แล้วค่อยๆ ผ่อนลมออก เบาๆ ยาวๆ ผ่อนคลาย                              

ยกมือไหว้พระกรรมฐาน ลืมตา แล้วเข้าที่

ลูก
พวกใหม่ๆ ที่เพิ่งมา ก็สามารถทำขั้นที่ 10 ได้ ก็ถือว่า เก่งล่ะ                                       

ขั้นที่ 10 เนี่ย มีทั้งหมด 32 ภาค
นั่นหมายถึงว่า ต้องอัญเชิญพระพุทธะไปสถิตย์อยู่ในอาการ 32             

จึงเรียกว่า ขั้นที่ 10   32 ภาค เราเพิ่งจะ

ได้ภาคที่ 1 คือ กระโหลกศีรษะ
ฝึกไปเรื่อยๆ ถ้ากูยังไม่ตาย ก็จะสอนมึงให้หมด เว้นแต่ว่า มึงจะหนีกูไปก่อน 
เออ พูดถึงหนีๆ ไปก่อนเนี่ยนะ                                                                                 

เฒ่ามันหายหน้าไป บอกว่า หมดสติบ่อยๆ พักหลัง อายุ 90

กว่า                                                                             จำได้ว่า ตอนที่กูใช้หัตถ

โอสถรักษา นั่นกี่ปีมาแล้ววะ                                                                                  

5 ปีแล้ว                                                                                                             

                                        อาทิตย์หน้า พามาได้ เดี๋ยวจะใช้หัตถโอสถรักษาให้อีกรอบ

หนึ่ง                                                           ยังไงก็ให้อยู่ฟังพระปริตรปีนี้ก่อนนะเว้ย   

ปีนี้ หลวง

ปู่ตั้งใจว่า วันแม่ จะเทศน์พระปริตร จะสาธยายพระปริตร พร้อมเทศน์ เสร็จเรียบร้อย        

ใครที่แม่ยังอยู่ มีแม่ ก็พา

มาร่วมสวดพระปริตร ฟังเทศน์พระปริตร                                                              

เดี๋ยวเค้าจะขึงยันต์ อาจจะต้องใช้เก้าอี้ คนแก่นั่งนานๆ สงสาร ปวดหลัง ปวดเอว                 

เอ้า ตั้งใจกล่าวคำถวายทาน ลูก เฒ่าอายุเยอะแล้ว ให้แกฟังพระปริตร ได้

รักษา                                  (กราบ)                        

นะโม 3 จบ
อิมินา............

1 เม ย 2555    บ่าย  ถอดซีดี หลังปฏิบัติธรรม  คำอธิษฐานขององค์หลวงปู่

พุทธะอิสระ
• เดี๋ยวจะลองถามสวรรค์ ฟ้าดิน พระกวนอิมดูก่อน                    
• เค้าขอมีส่วนร่วม                                                                              

เพราะทำพระธรรม์ขันธ์ครั้งใหญ่ ยังไม่

เคยทำ    เพราะมันจะมี

อายุยืนยาว ตราบนานเท่านาน                                                                      
• ทำดี อวดดีไม่เป็นไร ถ้ามีดีให้อวด                                                      

มันก็เป็นเครื่องจูงใจให้คนอยากทำ                                                  

คนสมัยนี้ มันต้องทำอย่างนี้
...................
ตั้งใจกรวดน้ำ แล้วรับพร
เอาน้ำมา วันนี้ทำบุญใหญ่ บวชพระเณร ตั้ง 200 กว่า รักษาไข้อีก 90 กว่า
อิทัง โน ยาตินัง.....................
ด้วยอำนาจแห่งผลบุญที่ข้าได้บวชลูกหลาน                                                                  

ชาวบ้าน กุลบุตร กุลธิดา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย จงร่วมอนุโมทนา   

ขออำนาจบารมี ตบะ เดชะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง

หลายใน 3 โลก และสากลโลก จงรับรู้ด้วยญาณวิถี                ด้วยโพธิศรัทธาที่ข้ามุ่งมั่น

ปฏิบัติในโพธิธรรม จนลุถึงโพธิจิตและโพธิปัญญา                                   ขอต้นโพธิ์นั้น

จงงดงาม เบิกบาน งอกงามไพบูลย์ รุ่งเรือง เจริญ อยู่ในสันดานและวิญญาณของข้า จงเป็น

ที่พึ่งพาอาศัยของหมู่สัตว์และหมู่ญาติทั้งหลาย                                                             

                  ขอสัตว์ทั้งปวง จงได้พึ่งพาอาศัยโพธิจิตของข้า โพธิธรรมในข้า โพธิปัญญาที่

ข้ามี                                           ให้ลุล่วงสำเร็จ สมปรารถนา                                     

สิ่งใดที่ข้ามุ่งหวังและลูก

หลานต้องการ ขอสิ่งนั้น จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ                       ทุก

ประการเทอญ
(สาธุ)
ตั้งใจรับพร ลูก
.................
ให้รุ่งเรือง เจริญ มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืน ปัญญาแจ่มใส ดังพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ด้วย

เทอญ
(สาธุ)
เอ้า กลับไป กราบลาพระ อะระหัง สัมมา
วันศุกร์ใช่ไม๊ เค้ามีฉลองธงน่ะ
สรุปแล้ว กับข้าว พวกมึงไม่ต้องเอามากันหรอก เดี๋ยวให้มูลนิธิฯ เค้าเลี้ยง แล้วอยากจะมา

ช่วยคนละเล็กคนละน้อย ก็ช่วยเป็นค่าอาหาร ไม่ต้องหิ้วมาลำบาก ขนไปขนมา เดี๋ยวไปหกๆ

หล่นๆ
เสร็จแล้วพระเค้าก็จะมีการสวดมนต์ เช้า พิธีก็ 8 โมง พราหมณ์หลวงเค้ามาบวงสรวงแว่น

เวียนเทียน พวกมึงก็ไปล้อมวงเวียนเทียนรอบธง พระก็จะเจริญมนต์พระปริตร ธชัคคสูตร

กับมหาสมัย
หลวงปู่ก็จะหล่อพระ หล่อพระธรรมขันธ์ประจำตระกูล
ส่วนพระธรรมขันธ์ประจำตระกูลนี่ อ้ายตระกูลไหนที่มันใช้ยี่ห้อตระกูลยาวๆ                     

มึงย่อๆ ลงมาก็ได้ ป ล ป ข อะไรก็ว่ามา กูเขียนไม่ไหว ตาไม่ดี ตา

มันแย่    พระองค์ก็ไม่ใหญ่ มีพื้นที่เขียนนิดเดียว          

  แล้วเค้าให้ไปจอง

เปิดจอง จองอะไร                                                                                                  

จองทองคำ นาก เงิน เป็นชุดเหรอ หรือ จองทองคำก็ได้ เงินก็ได้ นากก็ได้
ส่วนพระสัมฤทธิ์ที่หล่อ 84,000 นั้น ก็ยังคิดอยู่                                                    

รอถามฟ้าดินสวรรค์ก่อน เผื่อมี surprise    

แม่อ้ายพงษ์

บอก surprise อีกแล้วกู                                                                              

วิ่งกันตีนขวิด มันวิ่งมาจากนู๊นเลยนะ อีตอนเปิดให้จอง                   

เออ surprise มัน surprise

มากเลยนะ
หลวงปู่ยังนึกอยู่ว่า พระเงิน พระทอง พระนาก                                                            

คนไม่มีสตางค์ เค้าจะหาสตางค์มาจองยาก
ส่วนพระธรรมขันธ์ ถ้าจะให้ ก็เสียดายพระ                                                                 

เสียดายว่า เราทำแค่ 84,000 แล้วก็บรรจุใส่ใต้ฐานพระ เป็น

อายุขัยพระศาสนา                                                 ถ้าจะทำเพื่อให้คนอื่นเอากลับบ้าน

มันก็ต้องทำเกินกว่า 84,000                            

เดี๋ยวจะลองถามสวรรค์ ฟ้าดิน พระกวนอิมดูก่อน           

สรุปแล้ว จะเอายังไง                   

เดี๋ยวนี้ เค้าบอกว่า ต้องมีส่วนร่วม                                                                              

เค้าขอมีส่วนร่วม                                                               

เพราะทำพระธรรม์ขันธ์ครั้ง

ใหญ่ ยังไม่เคยทำ                                                                                         

เพราะมันจะมีอายุยืนยาว ตราบนานเท่านาน                                                               

เค้าก็อยากจะมีส่วนร่วมทำบุญ                                                

เอ้า กราบลาพระ
เดี๋ยวนึกออก แล้วกูจะบอกแล้วกัน ว่าจะจองยังไง
(กราบ)
เอ อ้าย ช. การช่าง เดี๋ยวไปบอกลูกพี่ด้วยนะเว้ยว่า ที่ถวายเงินมา 3 แสน ร่วมปลูกป่า   

เดี๋ยวเค้ากำลังจะไปประชุมชาวบ้าน ว่าแต่ละหลังจะเอาไม้ที่พวกเรา

ช่วยกันถวาย กล้าไม้เนื้อแข็ง พวกประดู่ ชิงชัง มะค่า อะไรเนี่ย

ตะแบก อินทนิน เอาไปบ้านละกี่ต้น  ก็กำหนดบ้านหนึ่งไม่ต่ำ

กว่า 100 ต้น เพื่อจะได้ปุ๋ยเดือนละถุง จนกว่าจะครบ 3 ปี 5 ปี                               

   ก็ยังไม่แน่นอน เค้ายังไม่ได้ประชุมกันเลยว่า สรุปแล้วจะเอา 3 ปี หรือ 5 ปี              

แต่ 3 ปี ก็ยังไม่แน่ว่า มันจะตาย หรือจะรอด เพราะว่า ปลูก

ไม้ตั้งแต่เล็กๆ   แต่ถ้า 5 ปีน่ะ รอดแน่ แต่ 5 ปี 

มันก็ต้องทุนมโหฬารเหมือนกัน    เพราะ

ว่า เดือนละกระสอบๆ แล้วต้นไม้ไม่ใช่ต้นเดียว มันเป็นร้อยต้น                                       

ถ้าขาดหรือตาย เราก็ไม่ให้ปุ๋ย                                                               

ก็ตั้งกติกาเอาไว้ว่า มึงเอาไปร้อยต้น    

มึงก็

ต้องเลี้ยงให้รอดทั้งร้อยต้น กูถึงจะให้ปุ๋ย                                                                     

ข้อตกลงเป็นอย่างนี้
ก็น่าจะได้ผลคุ้มค่ากับแผ่นดิน ตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว                    

ที่อยากเห็นคนไทยหันมาปลูกไม้เนื้อแข็งแซมไม้เนื้ออ่อน                               

ไม้พืชผลตามหัวไร่ปลายนา ก็น่าจะใช้ได้                    

วันข้างหน้า มันยังเป็นสมบัติ

พวกนี้มันจะเป็นสมบัติของแผ่นดิน                                                                   

บรรพบุรุษเราปลูกเอาไว้ พวกเราก็มาตัดจนเกลี้ยง                                                        

แล้ววันนี้เราไม่ปลูก แล้ววันข้างหน้า มันจะมีอะไรให้ลูกเราตัด

แล้วมันก็ไม่เหลืออะไร
แล้วที่แย่คือ บ้านเมือง บรรยากาศรอบข้าง สิ่งแวดล้อมมันเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ                   

เพราะคนมันทำลายทรัพยากรป่าไม้ ต้นน้ำลำธาร
ก็ตั้งใจว่า จะไปปลูกตามหมู่บ้านต้นน้ำลำธาร เหนือเขื่อนขึ้นไป                                       

อ้ายใต้เขื่อนก็ยังไม่ปลูกล่ะ ปลูกหมู่บ้านที่มันอยู่ตามเหนือๆ เขื่อน
กำลังจะให้เค้าไปประชุมชาวบ้าน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต                                               

แล้วก็นัดวันจะไปแถลง ไปประชุม ไปคุยกันอย่างไร                           

เค้าก็มีหมู่บ้านที่แจ้งความจำนงสนใจ อยากจะร่วม

โครงการ ก็มีมาแล้ว
งั้น วันไหน ถ้าเค้าไปประชุม แล้วตกลงรับโครงการ                                                      

ก็จะเชิญตัวแทนของบริษัท ห้างร้าน ที่ให้สตางค์ ไปถ่ายรูป       

แล้วก็ให้โทรทัศน์ ทีวี มันไปถ่ายทำ

ออกอากาศ ให้รู้ว่า    มันมีบริษัท

บุคคล ต้นแบบตัวอย่าง ให้คนได้รับรู้
ทำดี อวดดีไม่เป็นไร ลูก ถ้ามีดีให้อวด                                                                        

มันก็เป็นเครื่องจูงใจให้คนอยากทำ                                        

คนสมัยนี้ มันต้องทำอย่างนี้           

ถ้าไปแอบๆ ทำ

หลบๆ ทำดี คนไม่รู้ ก็ไม่อยากมีใครชวนทำ                                                                

เรียกว่า ไม่มีกระบวนการเชิญชวนให้ทำ                                                          

พอไม่เชิญ ไม่ชวน มันก็จะตรงกับหลักของจิต 3 อย่าง         

กุศลจิต อกุศลจิต และ อัพยากฤตจิต    

ในอัพยากฤต

จิตนี่ มันมีเชิญชวนให้ทำชั่ว กับ เชิญชวนให้ทำดี                                                          

ถ้าชวนแล้ว จึงทำ ถ้าไม่ชวน ไม่ทำ                                                        

มันก็เลยเป็นที่มาว่า ต้องโฆษณาให้เค้ารู้

หน่อยว่า    บริษัทนี้ ห้างร้านนี้

ได้บริจาคเพื่อจะสนับสนุนให้ปลูกป่าถวายพระราชกุศล                                                 

     ใช้ชื่อโครงการว่า ลูกปลูกป่าถวายพ่อ  ลูกปลูกป่าให้พ่อ                                            

ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ บ้านเมืองมันก็คงจะดีขึ้นแหละ
ไม่ต้องไปพูดถึงรัฐบาลเอาอยู่ เค้าจะไปยังไง ก็เรื่องของเค้า                                            

เพราะเวลานี้ ค่าแรงขึ้น 300 ต่อวัน แต่อ้ายค่าครองชีพมันขยับไปเป็น

400                                         

ไม่รู้ อ้าย 300 ที่ได้ มาจะคุ้มกับอ้ายที่เสียไป 400 ไม๊ เพราะทุกอย่าง

มันขึ้นหมด                                      
เดี๋ยวนี้ หลวงปู่ไปกรุงเทพฯ นี่ อ้ายค่าน้ำมันนี่ 3,000 นะ                                        

ไปกลับเนี่ย รถของอ้ายสนธิที่ให้ยืมเนี่ย                            

 ถ้ามันไม่ให้ยืม แล้วมันถวายกู

ป่านนี้ กูขายไปแล้ว                                                                                            

กูนั่งรถกะบะแล้ว ถูกกว่าอ้ายนี่ รถมันใช้อะไร 95, 96                

อุ๊ย แล้วเท่าไหร่ ลิตรละตั้งเท่าไหร่           

      (42)                                  

นั่นน่ะสิ                                                                                                                    

โอ้โห แล้วไปเจอรถติดๆ ยิ่งไม่ต้องเลย                                   

ถ้าเป็นของกู กูขายแล้ว ซื้อรถกะบะ    

เค้าคงรู้แกว

ถ้าให้กู กูขายหมด ก็เลยไม่ให้ ให้ยืม ให้ยืมระยะยาว                                                    

เออ นี่มันคันที่ 2 แล้ว เค้าให้ยืมใช้
เอ้า ไป ลูก
ให้ทุกคนเดินทางโดยปลอดภัย โชคดีมีชัย สุขภาพแข็งแรง อายุยืน    คิดหวังสิ่งใด สมความปรารถนา
(สาธุ)
อ้อ เค้าเผาอ้ายจิโรจน์วันไหน
(วันที่ 8 ค่ะ)
เอ้อ เดี๋ยวก็มากับเค้าแล้วกัน
ทำเมรุลอยอยู่ข้างหน้า
(กราบ)