15 ก ค 2555 13.00 น.  ณ. โรงพยาบาลทหารเรือ แสดงธรรมโดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนพุทธบริษัทผู้รับชมรายการ วิถีธรรม วิถีไทย รวมทั้งญาติ

โยมพุทธบริษัท ผู้อยู่ ณ.สมาคมแห่งนี้ ในสถานที่หอประชุมโรงพยาบาลทหารเรือ เป็น

การแสดงธรรมประจำเดือนในสัปดาห์ที่ 3 ของทุกเดือน ยกเว้นเดือนไหนที่มีเหตุจำเป็น

ไม่สามารถมาได้ ก็ต้องงด เดือนไหนมาได้ก็จะพยายามมา แล้วก็คุณมนัส ตั้งสุข ผู้ดำเนิน

รายการ
คุณมนัส    กราบนมัสการ ท่านหลวงปู่ครับ
คหลวงปู่    เอ วันนี้มาครบสูตรนะ มี...
คุณมนัส    หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้ว สติหายไป
หลวงปู่     ผ่านวันศุกร์ที่ 13 มา เลยเริ่มคิดว่า จะต้องมีสติ
คุณมนัส    วันนี้มีหลายเรื่องครับ ท่านหลวงปู่ โดยเฉพาะกิจกรรมที่วัดอ้อน้อยด้วยครับ
หลวงปู่    เราจะไม่คุยกันเรื่องศุกร์ 13
คุณมนัส    ผมว่ามันผ่านไปแล้วครับ ท่านหลวงปู่ ไม่อยากจะคุยอะไรมาก
หลวงปู่    ถูกใจหรือว่า
คุณมนัส    ส่วนตัวเหรอฮะ
หลวงปู่    เออ
คุณมนัส    ถ้าส่วนตัว ผมก็ถือว่า ใช้ได้ ก็ถือว่า บ้านเมืองมันต้องเดินหน้าครับ พอมันออก

มาแบบนี้ ก็ถือว่า ก็ยังดีกว่าที่มันจะมาฮึ่มๆ ในมุมผมนะครับ ถ้ามุมที่อยากจะเอาคืน ก็ว่า

กันไป  แต่ผมว่า มันควรจะเดินหน้าต่อไป แล้วควรจะมาช่วยกันหาทางออก
หลวงปู่     ต้องขอบคุณศาลรัฐธรรมนูญที่ท่านทั้ง 8 ใช่ไม๊
คุณมนัส    ครับ ออกไป 1
หลวงปู่     ท่านยังเห็นคุณค่าของความเป็นสังคมไทย และความอนุเคราะห์ สงเคราะห์ใน

การที่จะช่วยลดอุณหภูมิความร้อนแรงของบ้านเมือง ถึงจะไม่ใช่ทางออกทั้งหมด หรือว่า

เป็นคำตอบสุดท้ายทีเดียว มันก็ดีกว่าไม่มีใครจะมาชี้ มาบอกอะไร
ปัญหาสำคัญมันอยู่ที่ว่า พวกเราทั้งหลายยังยอมรับหรือเปล่า ยังเคารพไม๊ ถ้าเรายอมรับ เรา

เคารพคำตัดสิน ประชาชนคนในชาตินี้ยังเห็นว่า บ้านเมืองต้องมีหลักยึด หลักคิด หลักพูด

หลักทำ หลักถือ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องยอมรับ แต่ถ้าคิดว่าไม่จำเป็นแล้ว หลักพวกนี้เป็นหลัก

ลอยแล้ว ถ้าอย่างนี้ บ้านเมืองมันก็คงอยู่กันไม่ได้ แล้วสังคมเรามันก็คงเป็นอย่างที่ว่า คือ

มันก็ต้องแตกแยก มันก็ต้องบาดหมาง ต้องวิวาทกัน เพราะต่างคนต่างไม่มีหลักยึด ไม่มี

หลักคิด มีแต่หลักกู แต่ทิ้งหลักการ
พอมันมีหลักกู แล้วปฏิเสธหลักการ สิ่งที่ได้มา ก็คือ เอาตัวกูเป็นประมาณ

แล้วก็จงจำไว้ว่า ถ้ามีตัวกู มันมองอะไรไม่ข้ามพ้นตัวกูไปได้ จะหาความเที่ยงธรรมไม่ได้

ความยุติธรรม ความเที่ยงธรรม ความบริสุทธิ์ ความชอบธรรม มันจะต้องเกิดขึ้นได้จาก

การมองแล้ว มันข้ามตัวกูไปให้ได้ ข้ามพ้นตัวกู ของกู อัตตากู ต้องข้ามไปให้ได้ พวกกู

พรรคกู ญาติกู สีกู

พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ เรื่อง อคติ 4 อย่าง ลำเอียง หรือ อคติ อคติก็คือ ลำเอียง
ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง ลำเอียงเพราะว่าโลภ ลำเอียงเพราะว่าหลง
ลำเอียงพวกนี้ มันอยู่กับใคร หรือว่า อคติมันอยู่กับใคร แล้วมันทำให้หมดความเที่ยงธรรม

หมดความบริสุทธิ์ยุติธรรม แล้วถ้าเราท่านทั้นหลายยังเห็นตัวกูเป็นใหญ่ คือ มองเห็นตัวกู

เป็นใหญ่ ยึดถือตัวกูเป็นใหญ่ คิดว่า ทำ พูด คิด ของกูใหญ่กว่าคนอื่นล่ะก็ มันคงจะเป็น

ประโยชน์ไม่ได้ต่อแผ่นดิน แล้วสุดท้าย มันก็จะเป็นการทำร้ายทำลาย หรือบ่อนทำลาย

แผ่นดินและผลประโยชน์ส่วนรวม

งั้น อยากวิวอนท่านทั้งหลาย ญาติมิตรทั้งหลายที่เป็นเพื่อนมนุษย์ ไม่ว่าจะสีใดก็แล้วแต่

พยายามมองข้ามตัวกูให้ได้เยอะๆ หน่อย อย่าเอาตัวกูเป็นบรรทัดฐานในการมองโลกและ

สังคม เพราะถ้าจะพูดกันแล้ว เรามันเพียงเศษธุลีดินในสังคมเท่านั้น เราไม่ใช่เสียงทั้งหมด

ในสังคม เราแค่ธุลีดิน หรือฝุ่นที่ปลิวอยู่ในอากาศเท่านั้น เราไม่ใช่ภูเขาก้อนเบ่อเร่อ

งั้นอย่าเห็นว่า ตัวเองเป็นภูเขาก้อนเบ่อเร่อ หรือว่า อะไร วัตถุที่มันยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน เรา

จะทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร ทุกคนต้องฟังเราหมด ถ้าคิดอย่างนี้ ก็แสดงว่า มีอคติล่ะ มี

อคติ ลำเอียงเพราะชอบ ลำเอียงเพราะชัง ลำเอียงเพราะโลภ ลำเอียงเพราะหลง มันจะเกิด

ตามมาเยอะแยะมากมาย

ทีนี้ อ้ายที่เค้ายึดหลักอื่นซึ่งไม่ใช่หลักตัวกูไว้ เรียกว่า มีหลักการ แต่ไม่อาศัยหลักกู มันก็

ต้องทะเลาะกับพวกหลักกู
ทีนี้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ใครมีหลักกู หรือ ใครมีหลักการ

พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านสอนไว้ ให้หลักคิดในการมองข้ามตัวกู เมื่อไรที่เราสามารถมอง

ข้ามตัวกูได้ คนๆ นั้นน่ะ มีหลักการ ไม่ใช่มีหลักกู แต่ถ้าเมื่อไรที่เรามองข้ามตัวกูยังไม่พ้น

อ้ายนั่นน่ะ หลักกู แต่ไม่เหลือหลักการ เมื่อมันไม่เหลือหลักการแล้ว คนพวกนี้ก็จะมีอคติใน

การทำ พูด คิด อยู่เนืองๆ อยู่เสมอๆ

งั้น จึงต้องบอกว่า ขอขอบคุณท่านศาล อะไรนะ ผู้พิพากษา
คุณมนัส    ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
หลวงปู่     เออ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 8 ท่าน อย่าไปเรียก 8 อรหันต์ไม่ได้ เพราะ

ว่า อรหันต์นี่มันเป็นของสูง  ที่ท่านมองข้ามหลักกูไปล่ะ คือ ท่านพยายามทำให้เห็นหลักการ

ยึดหลักการเป็นประมาณเพื่อประโยชน์สุขของประเทศข องปวงชน แล้วก็ฟังดูจากจากสถิติ

อะไร
คุณมนัส    ผลโพลล์สำรวจ
หลวงปู่   ผลโพลล์สำรวจ
คุณมนัส    61%
หลวงปู่    80 กว่าไม่ใช่เหรอ
คุณมนัส    เมื่อเช้ารู้สึกจะ 61%
หลวงปู่    ตอนบ่าย 80 ละเมื่อเช้า ชั้นมาพูดตอนบ่าย 80 ละ งั้นก็ถือว่า คนเป็น

จำนวนมากที่ยังเห็นว่า หลักการสำคัญ งั้น พวกที่อาศัยหลักกู ก็ต้องรู้สึกว่า เออ คือ ต้องสลด

ในความคิด เหมือนกับจะปรามพวกอาศัยหลักกูว่า อย่า เหิม อย่ากระเหี้ยน กระหือรือ อย่า

มากไปนัก เพราะอย่างน้อยๆ คนจำนวนมากในแผ่นดินนี้ ซึ่งมีทั้งหมด 80 กว่า % เค้า

ยังอาศัย ยังยึดถือหลักการเป็นใหญ่ และยึดเอาหลักการเป็นวิธีทำ พูด คิด โดยที่ไม่ลำเอียง

ไม่เข้าข้าง ไม่อคติ นั่นคือ สิ่งที่มันน่าจะเป็นทางออกของแผ่นดินนี้ ประเทศนี้

ปัญหาของบ้านเมืองเราก็คือว่า คนดีไม่ค่อยเสียงดัง คนเสียงดังมักไม่ค่อยดี
งั้น จะทำยังไงให้คนดีมีเสียงดังๆ นี่สำคัญยิ่ง
คนดีชอบไปพูดตอนตี 4 อย่างนี้
คุณมนัส   ตี 5 ก็มี
หลวงปู่     เออ พระดีๆ ออกตอนตี 4 พระเรี่ยไร นักบวชเรี่ยไร ออกตอนบ่ายโมง ตอน

เที่ยง ตอน 8 โมงเช้า วันนั้นชั้นเปิดดูรายการอะไรไม่รู้ แกใส่ปะคำอย่างกับลูกชิ้นหมูเด็ง

พวงเบ่อเร่อเลยนะ ใส่ห่มจีวรสีกรัก ครูบาตุ๊เจ้าอะไรก็ไม่รู้ล่ะ พูดธรรมซะอย่างดีเลยล่ะ ตบ

ท้าย โยม อย่าลืมไปทำบุญกันนะ ที่วัดมีทำบุญนู่น สร้างพระ บวชพระ อะไรต่ออะไร อย่า

ลืมนะ บุญเป็นเรื่องสำคัญ โยมไม่ทำ อาตมาก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน

เอ๊ย เราก็ฟัง แหม ฟังธรรมะดูเหมือนจะเพลิน มาสะดุดเอาตอนที่ โยม อย่าลืมไปทำบุญนะ

ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วยก็ไม่รู้ แล้วออกตอนเวลาดีด้วยนะ ออกตอนบ่ายๆ ออกตอนเที่ยงๆ

บ่ายๆ เค้าออกทุกวัน หลวงปู่ก็ชอบฟัง ชอบฟังไปเรื่อย เปิดเจอธรรมะก็ฟัง
คุณมนัส    เป็นวิธีการขาย
หลวงปู่    เออ อ้ายทีของเรา ก็ยังถามอ้ายคนจัด Producer ว่า เฮ้ย อ้ายรายการของ

อาตมาเนี่ยนะ ไปออกเวลาไหนหว่า กูเปิดทีไร ก็ไม่เจอซักที เออ หรือว่า ตอนที่เค้าเปิด เค้า

ออก เราไม่ตื่น หรือเราไม่อยู่ก็ไม่รู้ หรือเราลืม
เคยเจอไม๊ ตอนไหน
(ตี 5)
แสดงว่า พวกนี้แก่
คุณมนัส    เพราะตื่นเช้า
หลวงปู่    ไม่ พวกดูรายการอาตมา ส่วนใหญ่แก่ ก็นอนไม่หลับไง หลับไปแล้ว ตื่นเช้า

อะไรอย่างนี้ ถ้าหนุ่มๆ สาวๆ ไม่รู้หรอก จำไม่ได้ อยู่ไหน
เพราะฉะนั้น จึงอยากบอกว่า คนดีเสียงไม่ค่อยดังก็เพราะเหตุปัจจัยเหล่านี้  เป็นเหตุทำให้

คนดีไม่มีบทบาท งั้น ก็อยากให้คนดีได้แสดงบทบาทเยอะๆ หน่อย ช่วยทำให้หลักการมัน

ดำรงอยู่ ศักดิ์สิทธ์ แล้วก็คงทน แล้วก็เป็นหลักคิด หลักยึดของการบริหารบ้านเมือง การ

บริหารแผ่นดิน การจัดการของสังคมและปัญหาของประเทศ
แต่ถ้าเมื่อใดที่ใช้หลักกูเป็นหลักคิด หลักทำที่จะมาบริหารบ้านเมืองและจัดการบริหาร

ประเทศ ประเทศนี้มันอยู่ไม่ได้ บ้านเมืองมันอยู่ไม่ได้ อำนาจน่ะ มันอยู่ในมือของพวกเรา

นะ แต่ทีนี้ เวลาเราใช้อำนาจ เราใช้ไม่ค่อยถูก ใช้ไม่ค่อยเป็น เมื่อเราใช้ไม่ค่อยถูก ใช้ไม่

ค่อยเป็น เราก็จะคิดว่า เลือกตั้งแล้วก็คือจบ ตัวใครตัวมัน ช่างมัน ใครมันเลือกไปแล้ว ใคร

จะไปทำปู้ยี่ปู้ยำ บ้านเมืองมันจะล่มสลาย ได้ดีได้ชั่วยังไง ก็ปล่อยมัน เราไม่ค่อยสนใจ ขอ

ให้กูมีกินไปวันๆ

เมื่อเช้า เมื่อกี้ยังคุยกันอยู่ว่า ทำไมพวกนี้มาพูดทีไร นักการเมืองที่เราเลือกๆ กันเข้าไป ไม่

เห็นพูดเรื่องปากท้องชาวบ้านบ้างเลย จะพูดแต่เรื่องว่า แก้รัฐธรรมนูญ ปรองดอง ตอนนี้ทั้งๆ

ที่บ้านเมืองเราแย่มาก เศรษฐกิจมันก็นิ่งสนิท แทบจะไปไหนไม่ไหว แทบจะกระโดก

กระเดี้ย ไม่ไหวล่ะ คนแต่ละคนก็เศรษฐกิจฝืดเคือง นี่ไม่ใช่เงินเฟ้อ มันเงินฝืดนะ แต่ละ

อาชีพ ถามดูเฮอะ ขายดีไม๊ ไม่ดี ยางก็ราคาตก ข้าวก็จำนำยังไม่ได้ตังค์ มันก็ราคาถูก อ้อย

ก็ราคาลง ทุกอย่างมันลงไปหมด อ้ายที่กินต้องขึ้น แต่อ้ายของที่ผลิต มันลง แล้วมันจะเอา

ตังค์ที่ไหนไปซื้อของกิน ของกินมันขึ้น แต่ของที่ผลิตมันลง อ้ายของที่ตัวเองทำมันลง แล้ว

มันจะเอารายได้ที่ไหนที่เหลือไปซื้อของกิน แค่ส่งลูกเรียน ซื้อหนังสือหนังหา ซื้อตำหรับ

ตำรา ส่งค่ารถ ค่าอาหารแต่ละวัน มันก็แย่ล่ะ

งั้น เวลานี้ เค้าเรียกว่า อะไร ค่าครองชีพมันแพง ค่ครองชีพมันสูง แล้วก็ เงินถามว่าได้มา

จำนวน 300 แต่ค่าครองชีพมันขยับไป 400-500 งั้น รายจ่ายมันไม่ลด มันเพิ่มขึ้น

แม้รายได้เพิ่มขึ้น แต่รายจ่ายมันเพิ่มมากกว่ารายได้
แล้วรัฐบาลมัวแต่ไปนั่งมั่ว หรือไปวุ่นวายอยู่แต่อ้ายเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ สส.ในพรรคการ

เมืองก็มัวแต่ไปคร่ำหวอด คร้ำเคร่งอยู่กับกระบวนการจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองอยู่ได้

อยู่รอด อยู่ดี ทั้งๆ ที่ปัญหาบ้านเมืองเวลานี้คือ คนทุกคนลำบาก ทุกสาขาอาชีพลำบาก ยก

เว้นอาชีพทำทาง ขุดคลอง ลอกคลอง อาชีพพวกนี้ดี

ถาม ดีไม๊ มันก็ไม่ค่อยดีนะ เพราะชั้นคุยกับลูกศิษย์ที่เค้าเป็นบริษัทขุดลอก สมมุติว่าได้มา

ซักร้อยล้าน ก็ต้องเอาเงินไปจ่ายก่อน 30 ล้าน 35 ล้าน จะว่ามันดีได้ไง มันก็ไม่ดี แล้ว

ถามว่าทำไง แล้วมึงอยู่ได้ยังไง ผมก็อยู่ได้ อยู่ได้ไง ก็ปกติ ผมใส่หินเบอร์ 2 ผมก็ลดเหลือ

เบอร์ 1 เหล็ก 2 หุน ผมก็ลดเหลือหุนหนึ่ง หรือไม่ก็ใช้ลวด อ้าว แล้วเวลาตรวจทำไง

ตรวจก็ชอบ เพราะคนตรวจเค้าก็บอกว่า ผ่าน เพราะปีหน้าจะได้เบิกงบซ่อมได้ เอ้า มันก็

เป็นอย่างนี้ ในบ้านเมืองมันเป็นอย่างนี้

แล้วเดี๋ยวนี้ ระบบนี่ คุณ วันนี้แถวจังหวัดชั้นก็มีเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภา

อำเภอ ตำบลอะไร พวกนี้ก็คือ บริวารของพรรคการเมืองที่ส่งเข้ามาเลือกตั้ง แล้วก็เค้ามีวิธี

อย่างนี้ เล่าให้ฟังเป็นความรู้เอาไว้ พรรคการเมืองเค้ามีสส.อยู่ประจำเขต เป็นหัวหน้าเขต

แล้วถึงเวลา ไม่ว่าจะรัฐบาลไหนก็แล้วแต่ มีงบประมาณที่จะลงมาสู่เขตนี้ สส. ก็จะรับเอา

มาเป็นโควต้าของสส. หัวหน้าเขต แล้วสส. หัวหน้าเขตก็ต้องไปสรรหาบริวารของตน

ซึ่งมันเป็น สจ. สท. สข. อะไรก็แล้วแต่เถอะ แล้วพวกสจ. สท. สข. เหล่านี้

ก็หากินโดยการมีบริษัทรับเหมาก่อสร้าง หรือไม่ก็ไปฮั้วกับบริษัทรับเหมาก่อสร้าง พูดถึง

ตรงนี้แล้ว คุณพอจะมองภาพออกไม๊

รวมๆ สรุปก็คือ ถามว่า สส. ไม่ยุ่งกับงบประมาณ ไม่ยุ่งเลย ไม่แตะต้อง เพราะกฏหมาย

เค้าห้าม ใช่ไม๊ ห้ามไปยุ่ง แต่คุณจะเอางานไม๊ล่ะ เพราะนี่มันงานเค้าส่งมาให้เขตนี้ แล้วใคร

เป็นหัวหน้าเขต ก็คือ สส. ถ้าคุณต้องการงานนี้ เค้ารู้กันในประเทศ คือ รู้กันไปทั่วว่า ถ้า

ต้องการงานนี้ ก็ต้องเอาไปเซ่น สส. ก็ 30%  ก็ว่ามา จะซักกี่ %  อะไรประมาณนี้

เพราะฉะนั้น อ้ายระบบแบบนี้มันไม่ได้ช่วยให้บ้านเมืองนี้มันอยู่รอด อ้ายที่อยู่รอดได้ ก็

อยู่รอดได้เฉพาะบางคน แล้วที่เหลือนอกนั้นมันก็ล่มสลาย ก็ถนนทำ 6 เดือนก็เจ็งแล้ว

เพราะว่ามันโดนไป 30%  35% จากหินเบอร์ 2 ก็ลดเหลือเบอร์ 1 จากเหล็ก 2

ก็เหลือ 1 หุน อะไรอย่างนี้ อ้ายยางมะตอยควรจะซัก 10 ซม. 15 ซม. ก็เหลือ 7

ซม. ใครจะไปตรวจทุบยางมะตอยดูล่ะ

อะไรมันก็กลายเป็นเหมือนกับเรามีหลักกูเป็นประมาณในการบริหารจัดการ เราไม่มีหลัก

การ ไม่มีใครที่จะยึดหลักการ เพราะงั้น บ้านเมืองมันก็ยังเป็นอย่างที่เห็น งั้น ก็จะหาวิธี

แก้ไขที่ยากมาก

ชั้นไม่ได้มองแค่พรรคนี้นะ มันก็เป็นอย่างนี้ทุกพรรคแหละ ใครเข้ามาเป็นรัฐบาล มันก็กิน

แบบนี้ทุกพรรค เว้นแต่ว่า พรรคไหนจะกินแบบมูมมาม กินตะกละ เรียกว่า กินกระจาย

คุณมนัส   แบบกินรวบ ไม่ได้กินแบ่ง
หลวงปู่     เออ ก็ประมาณนั้นแหละ ชั้นก็ไม่เคยกิน เลยไม่รู้ เค้าก็ไม่ได้มาแบ่งให้ชั้นกิน

รวมๆ สรุป ก็คือ มันต้องให้พวกเราแหละเป็นเจ้าของอำนาจ ต้องช่วยกันดูแลสอดส่อง จะ

ลำพังให้หลวงปู่มานั่งพูดอยู่คนเดียว ฝ่ายเดียวก็คงไม่ได้ หลวงปู่พูดจนเวลานี้ อ้ายพวก สส.

สจ. แถวจังหวัด เค้าพอได้ยินชื่อวัดอ้อน้อย เค้าเดินหนีเลยล่ะ
คุณมนัส    เหรอฮะ
หลวงปู่    อ้าว จริง อุ๊ย อย่าว่าแต่ชั้นเลย แค่แขวนพระของชั้น เออ เป็นยันต์กันผีไปเลยล่ะ
คุณมนัส    แสดงว่า ถ้าเกิดมี สส. ไปงานนั้น
หลวงปู่    ไม่ ลูกศิษย์ชั้นน่ะใส่พระเข้าไปในงาน คือ มันใส่ออกข้างนอกเสื้อนะ ลูกน้อง สส.

มาสะกิด นี่ เฮีย นายเค้าไม่ชอบ เอายัดใส่เข้าไปในคอ เราก็ เออ แสดงว่า นายมึงนี่ผี
อ้าว ก็ผีกลัวพระใช่ไม๊ ผีมันกลัวพระ เออ นายเค้าไม่ชอบ แค่พระเครื่องนี่ ยังกลัวเลยล่ะ
งั้น วัดอ้อน้อยนี่ เป็นที่รู้กันในจังหวัดนครปฐม
คุณมนัส    แล้วถ้าเจอเป็นๆ
หลวงปู่    เจอเป็นๆ
คุณมนัส    วิ่งป่าราบ
หลวงปู่    เจอเป็นๆ มันก็เคยมา หลวงปู่ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ เค้าเคยมานะ กูไม่รู้จะใช้

อะไรมึง อ้าว จริงๆ ก็บอก กูไม่รู้จะใช้อะไรมึง ก็ชั้นเป็นคนไม่ชอบไง คือ เป็นคนไม่ชอบ

พูดให้ถูกใจ แต่ชอบพูดให้ถูกต้อง ส่วนพูดไปแล้ว คนฟังจะชอบไม่ชอบ ก็อยู่ที่ว่า คนฟังนั้น

เป็นคนชอบความถูกต้อง หรือชอบความถูกใจ ถ้าชอบความถูกใจ ก็ย่อมไม่ชอบฟังสิ่งถูก

ต้อง แต่ถ้าชอบสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่พูดไปเป็นเรื่องถูกต้อง เค้าย่อมชอบ
อ้ายชั้นนี่ เป็นคนไม่ชอบพูดให้ถูกใจคนฟัง แต่ชอบพูดให้ถูกต้อง เรื่องถูกต้อง ต้องนำมาพูด

แล้วถ้าผู้ฟังกลายเป็นคนที่รักษาความถูกต้องจนเป็นสันดาน เป็นนิสัย ฟังแล้วก็จะสบายใจ

เบิกบานใจ ชุ่มฉ่ำหัวใจ แล้วก็มีปัญญาแจ่มใส
แต่อ้ายคนชอบความถูกใจเป็นนิสัย มันก็จะปฏิเสธเสียงที่ถูกต้อง แล้วพอมีคำว่า ถูก

ต้องออกมา จะมีความรู้สึกอึดอัดขัดเคือง สวิงสวาย จะเป็นลม หวาดกลัวหรือไม่ก็ไม่อยาก

เข้าใกล้ นี่มันเป็นการส่อสันดาน และอ้ายนี่ อย่างนี้ ไม่ใช่แค่สร้างกันมาแค่วันสองวันนะ

อ้ายนิสัยแบบนี้นะ อ้ายสันดานแบบนี้นะ มันสร้างกันมาเป็นชาติเป็นภพเชียวนะ อ้ายนิสัย

ความถูกต้องกับถูกใจเนี่ยนะ

ใครที่ชอบความถูกใจ เวลาไปฟังสิ่งถูกต้อง แล้วรู้สึกสวิงสวายจะเป็นลม มือไม้อ่อน ปวดหัว

ปวดหูเนี่ยนะ แสดงว่า สันดานมันเป็นอย่างนี้มาแต่ข้ามภพข้ามชาติ สันดานมันเป็นอย่างนี้

อ้ายคนที่ชอบฟังเสียงถูกต้องอยู่เนืองๆแล้วก็รู้สึกว่า เออ เจริญหูเจริญตาเจริญใจ มีสติปัญญา

สันดานเค้าเป็นอย่างนี้มาแต่ข้ามภพข้ามชาติ

งั้น พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่วเลวหยาบ
อ้าย กรรมในการรักษาความถูกต้อง มันก็ต้องสั่งสมมาเป็นภพเป็นชาติเหมือนกัน
ในมุมกลับกัน อ้ายกรรมที่รักษาความถูกใจ มันก็ไม่ใช่เพิ่งจะสะสมวันนี้ พรุ่งนี้ ชาตินี้ มัน

มีมาแต่อดีตแล้ว

งั้น คนที่ฟังชั้นรู้เรื่อง แล้วสบายใจ สมองไม่ปวด แล้วก็รู้สึกมีสติปัญญา แช่มชื่น เบิกบาน

ก็แสดงว่า สันดานดี สันดานดี อ้ายคนที่ฟังเราแล้ว ฟังแล้วก็ไม่รู้เรื่อง อึดอัด ขัดเคือง เขียน

จดหมายมาด่าก็มี อ้ายพวกนี้ สันดานดิบ สันดานดิบ
คุณมนัส    เหมือนสัปดาห์ที่แล้วครับ ปุจฉา วิสัชนา
หลวงปู่    อ้าว จริ๊ง จริง สันดานไม่ดี สันดานดิบ เพราะเหตุผลว่า สั่งสมมาแล้วอย่างนั้น

เพราะสิ่งที่ชั้นพูดไปทั้งหมด มันเป็นของจริงทั้งนั้น มันของถูกต้องทั้งนั้น ของจริง ของถูก

ต้อง เวลาพูดออกไปแล้วมัน ก็คนถูกต้อง คนจริง ก็ฟังแล้วก็จะรู้สึก เออ ใช่ เนี่ย ใช่ อ้ายคน

ไม่ถูกต้อง ไม่จริง ก็ เอ๊ย ไม่รู้เรื่อง ปวดหัว พูดรับไม่ได้สมัยพ่อขุนราม
คุณมนัส    อาทิตย์ที่แล้วมีปุจฉา เค้าไปแล้วล่ะ
หลวงปู่    ใช่ ก็นี่ไง คนชอบความถูกใจไง คือ ไม่มีสติปัญญา พอไม่มีสติปัญญาจะฟัง ก็

เอาแต่ เค้าเรียกว่า เอาแต่กะพี้ ที่จริงน่ะ ชั้น มันอยู่หรือเปล่าไม่รู้วันนี้ จะถามกลับไปว่า

โคตรพ่อโคตรแม่มึงกินทุเรียนทั้งเปลือกเลยเหรอ เอ้า ทุเรียนมันอร่อยก็เพราะว่า หนาม

มันแหลม ถูกไม๊ แต่พอมึงเห็นทุเรียน มึงสวาปามทั้งลูก เล่นไม่ปอกเปลือกอย่างนี้ แสดงว่า

โคตรพ่อโคตรแม่มึงกินทุเรียนทั้งเปลือก มึงทำไมไม่ปอกเอาแต่เนื้อใน เอาของดีไป ไม่ใช่

ว่า
อ้าว หลวงปู่พูด มันก็มีทั้งดีกับไม่ดี ถูกไม๊
อ้ายมึงมาพาโวย มึงจะฟังทำไม มึงก็เอาสาระซิโว้ย
เอ้า จริง ก็ทุเรียน มึงจะไปกินเปลือกทำไม มึงก็เอาเนื้อในซิโว้ย
อย่างนี้ แสดงว่ามันไม่มีปัญญา แล้วไม่มีปัญญานี่ มันเพิ่งมีไม๊
ไม่ มันมีมาตั้งแต่ชาติที่แล้วแล้ว ข้ามภพข้ามชาติมาแล้ว มันทำให้เห็นในสันดานไง

สันดานมันดิบ สันดานไม่ดี
หลวงปู่ก็เลย เอ้อ กรรมของสัตว์ ช่างมันเถอะ ก็ไม่ใช่มึงเป็นคนแรกที่ด่ากู กูก็โดนด่ามา

ตลอดอยู่แล้ว เราก็ฟังเฉยๆ ล่ะนะ อ้าว จริงๆ หลวงปู่ฟังแล้วมันเฉยๆ เพราะมันโดนด่ามา

จนชินแล้ว หลวงปู่จะเขียนบทโศลกไว้บทหนึ่ง จำได้ไม๊ ลูกรักว่า

ลูกรัก คนจริงไม่ไหวติงต่อคำชม ไม่เยินยอนิยมต่อคำนินทา คนๆ นี้แหละคือ คนดีจริงๆ
งั้น ถ้ามีชีวิตอยู่บนฟองน้ำลายที่กระดกบนปลายลิ้นชาวบ้าน อ้ายนั่น มันฟองน้ำลาย ไม่ใช่

คน ไม่ใช่ชีวิต เพราะชีวิตมันต้องมีเลือดมีเนื้อ แล้วมีสมอง มีสติปัญญา มีวิญญาณ มีความ

รู้สึกนึกคิด ทำไมต้องมีชีวิตเหมือนดั่งฟองน้ำลายที่กระดกบนปลายลิ้น เค้าจะกระดก ก็หล่น

ไม่กระดก ก็หลุด อย่างนี้มีชีวิตอยู่ทำไม
งั้น หลวงปู่ไม่มี มีชีวิตอย่างนี้ เค้าเรียกว่า ไม่ภาคภูมิที่จะมีชีวิต ชีวิตที่อยู่อย่างไม่ภาคภูมิสู้

ไม่มีดีกว่า
งั้น ชั่วชีวิตหลวงปู่ ต้องอยู่อย่างภาคภูมิ แล้วก็อยู่อย่างชนิดที่เย้ยฟ้าท้าปฐพี แหม อยากจะ

ร้องเพลงเย้ยฟ้าท้าดิน จำเนื้อไม่ได้
คุณมนัส     หลวงปู่เปิดประเด็นดีมากเลยครับ
หลวงปู่    มันคนละรุ่นกัน
คุณมนัส   ไม่ใช่ ผมหมายถึงหลวงปู่น่ะร้องไม่ได้ ผมน่ะร้องได้ แต่ว่าเปิดประเด็นได้น่า

สนใจตั้งแต่เริ่มรายการนะครับ รายการวิถีธรรมวิถีไทย วันนี้ต้องบอกว่า ขอให้ทุกท่าน

ตั้งใจก็แล้วกันนะครับ อยากให้การฟังธรรมในวันนี้เป็นกุศล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย เพราะตอนนี้พระองค์ท่านก็กลับมามีพระอาการประชวร

อีกครั้งหนึ่ง
หลวงปู่    อืม เนี่ย อยากจะชวนไปสวดเจริญมนต์ถวายพระพร
คุณมนัส    ก็เลยจะมีปุจฉา
หลวงปู่    ไปไม๊
(ไปค่ะ/ครับ)
หลวงปู่    เออ เดี๋ยวจะให้เค้านัดวันกับสำนักพระราชวังกับโรงพยาบาลศิริราช เห็นว่า ท่าน

เลือดออกในสมอง
คุณมนัส    สภาพรวม ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว
หลวงปู่   อืม อายุท่านมากแล้ว พวกเราก็ไม่ช่วยทำให้ท่านผ่อนคลาย สร้างความเครียดอยู่

ตลอดเวลา บ้านเมืองมีปัญหาไม่รู้จักจบ งั้น ยังไงก็ หลวงปู่บอกตรงๆ ถ้าแลกได้ด้วยชีวิต

หลวงปู่อยู่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากเท่ากับท่านอยู่ ก็คนตั้ง 60 กว่าล้านยังแช่มชื่น

เบิกบาน ยังทำให้ประเทศชาติมีขวัญมีกำลังใจ ถ้าแลกได้ก็แลก ถ้ามัจจุราชจะฟังเสียง ก็

ต้องบอกวิงวอนว่า อย่าเพิ่งทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านต้องเป็นอะไร หรือว่า

ประชวรหนักกว่านี้ ให้หายวันหายคืน ให้มีพระพลานามัยที่แข็งแรงเพื่อจะดำรงชีวิต ดำรง

พระชนม์ชีพอยู่เพื่อจะเป็นขวัญเป็นกำลังใจให้กับประชาชนคนทั้งแผ่นดินได้ เอาไว้เดี๋ยว

วันไหน ให้มูลนิธิฯ เค้าไปติดต่อ แล้วเดี๋ยวเรานัดกันไปเจริญพระพุทธมนต์ถวาย ไปนั่ง

สมาธิ เจริญพระพุทธมนต์ถวาย เดี๋ยวลองดูเค้าไปติดต่อ เค้าจะว่างเมื่อไหร่วันไหน เพราะ

มันต้องขอ 2 หน่วยงาน คือ สำนักพระราชวัง กับโรงพยาบาลศิริราช
เมื่อเช้านี้ เค้าก็มีหมายเรียก หมายนิมนต์มา พระตำหนักภูพานเค้านิมนต์ให้ไปแสดงธรรม

ในพระตำหนัก แต่มันไกลเหลือเกิน
คุณมนัส   สกลนคร
หลวงปู่    นู้น เชียงใหม่
คุณมนัส    อ๋อ เชียงใหม่ ภูพิงค์
หลวงปู่   เอ้อ ภูพิงค์
คุณมนัส    ตกลง เชียงใหม่
หลวงปู่   ใช่ ไกลเหลือเกิน แล้วแถวนั้น แดงทั้งนั้นเลย
คุณมนัส    ยังแบ่งรับแบ่งสู้
หลวงปู่    อันนี้ อาตมาไม่ได้กลัวหรอกนะ แต่ก็ไม่ค่อยกล้า
คุณมนัส    ช่วงนี้ เค้ากำลังนั่นอยู่ ปล่อยเค้าไปก่อน
หลวงปู่    ไม่ใช่ เค้ากำลังซ้อมปฏิวัติอยู่ กำลังซ้อมรับมือปฏิวัติ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเราไปเกะกะ

ก็เดี๋ยวลองดูก่อน เดี๋ยวไปดูตารางก่อนว่า จะไปได้ไม่ได้
คุณมนัส    ท่านหลวงปู่ พูดถึงงานของวิถีธรรม วิถีไทย เพราะว่า อีกไม่กี่วัน มองไปข้าง

หน้าสักเกือบ 20 วัน ก็จะถึงวันสำคัญแล้วครับ วันสำคัญ รู้สึกจะเป็นวันสุดท้ายของปี

ด้วยซ้ำมั๊ง วันอาสาฬหบูชา ก็น่าจะครบแล้วใช่ไม๊ฮะ วันสำคัญทางพุทธศาสนาแล้วก็ต่อ

เนื่องด้วยวันเข้าพรรษา อยากให้ท่านหลวงปู่
หลวงปู่    ใกล้แล้วๆ
คุณมนัส    อยากจะให้ท่านหลวงปู่ได้เมตตาให้กัลยาณมิตรแล้วก็แฟนรายการ
หลวงปู่    ที่จริง ยังอยู่อีกไกลนะ อีกตั้ง 3 อาทิตย์
คุณมนัส    อีกนิดเดียวครับ เทปนี้ก็ไปออกอากาศในวันนั้นด้วย ก็วันอาสาฬหบูชาวันที่ 2
หลวงปู่   วันนี้มันเพิ่งกลางเดือนไม่ใช่เหรอ 
คุณมนัส    วันนี้วันที่ 15 นะครับ อีก 2 อาทิตย์เท่านั้นเองครับ
หลวงปู่    อุ๊ย เอาไว้พูดใกล้ๆ เดี๋ยวพูดตอนนี้ แห้งหมด
คุณมนัส    เดือนหน้าเราพูดกันหลังจากอาสาฬหบูชาแล้วครับ
หลวงปู่   อาทิตย์หน้านู้นก็มีไม่ใช่เหรอ
คุณมนัส   อาทิตย์หน้าไม่มีแล้วครับ อยากจะให้พูดกับวิถีธรรม วิถีไทย เพราะอาทิตย์หน้า

อาทิตย์ที่ 4 รายการไม่ได้ไปบันทึกเทป
หลวงปู่     เหรอ
คุณมนัส    ให้หลวงปู่เมตตาหน่อย เพราะว่า เราออกทาง TNN ด้วย
หลวงปู่    มันก็จะเป็นวันอาสาฬหบูชา วันที่เท่าไหร่ก็ยังไม่รู้
คุณมนัส    วันที่ 2 สิงหาคมครับ ก็ต่อเนื่องวันที่ 3 สิงหาคมเป็นวันเข้าพรรษาครับ
หลวงปู่    วันนี้วันที่เท่าไหร่
(15)
หลวงปู่    อุ๊ย ยังไกล เอาเฮอะ ไม่พูดล่ะ
คุณมนัส    พูดงานก็ได้ครับ
หลวงปู่   หลายวัน พูดแล้วก็แห้งหมด มันไม่เป็นปัจจุบัน คือ คนเค้าชอบเขียนมาว่าเรื่องนี้

ไม่รู้คนหยิบเทป หยิบผิดหรือเปล่า มันเลยมาตั้งหลายวัน แล้วไปเปิดอย่างนี้ บางทีก็ยังไม่ถึง

เหลืออีกตั้ง 2 อาทิตย์ คนเค้าดู เค้าบอกว่า อ้าว พอดู นึกว่าวันนี้วันสำคัญ ออกเตรียม

อาหารใส่บาตร ผลปรากฏว่า พระไม่มาซักตัวองค์ เค้าเขียนมาอย่างนี้ พระไม่มาเลย เค้าก็

เอ๊ ไหนหลวงปู่ว่าวันสำคัญ อ๊อ
คุณมนัส    เค้าไม่ด่าหลวงปู่ เค้าด่าผม
หลวงปู่    ไม่รู้ ก็นั่นเค้าเขียนจดหมายมา ทำไมเทปไม่ up เค้าเรียก update ล่ะ เออ

ไม่ตรงวัน เออ บอกไม่เอา
คุณมนัส   งั้น ทีมงานก็รับไว้พิจารณา
หลวงปู่    เรื่องที่กำลังพูด ให้ตรงวันหน่อย ใกล้ๆ ก็ยังดี นี่โอ้โห 2 อาทิตย์ไปพูด
คุณมนัส     งั้น อาทิตย์หน้า เราไปวัดกันอีก
หลวงปู่    ไม่ใช่ เค้าไม่ได้เปิดรายการคุณรายการเดียว เค้าไปเปิดช่องอื่นด้วยไง แล้วช่อง

อื่นนี่เค้าก็ไม่ได้มอง เพราะเป็นเทปธรรมะนี่ เปิดออกไป คนมาเล่า เค้าก็ดู เออ วันนี้ใช่แล้ว

เว้ย
คุณมนัส    ก็เพราะบางอาทิตย์ก็ ปุจฉาในวิถีธรรม
หลวงปู่    ใช่ มันก็สับสน มั่วกันอยู่อย่างนี้ไง งั้น เอาใกล้ๆ ดีกว่า จะได้ไม่มีปัญหาโดนเค้าด่า
คุณมนัส    ได้ครับ
หลวงปู่    เดี๋ยวเค้าจะหาว่า ทำไมพระไม่มาซักตัววะ
คุณมนัส    งั้น ศุกร์ 13 ผ่านไป แล้วเรามาที่คำถามดีไม๊ครับ
หลวงปู่    ว่า
คุณมนัส   มีคำถามเข้ามาเยอะเลย โดยเฉพาะเรื่องของสุขภาพ เอาเรื่องสุขภาพง่ายๆ ก่อน

ที่หลายๆ คนเป็นกันอยู่นะครับ แล้วก็เจอกันบ่อยมาก ตัวผมก็เพิ่งจะผ่านพ้นมา ก็คือ เรื่อง

ของภูมิแพ้ เป็นกันเยอะมาก ท่านหลวงปู่ครับ ท่านนี้เขียนมา เป็นสุภาพสตรี อายุ 27 ปี

คัดจมูกมากเวลาอากาศมันเปลี่ยน โดยเฉพาะเวลาอยู่ในที่ทำงาน อากาศจะเย็น แล้วเวลา

นอนก็หายใจไม่สะดวก เป็นมาหลายปีต้องไปให้คุณหมอล้างโพรงจมูกทุกวัน ทุกเดือน มัน

ก็ดีขึ้น แต่หมอจะให้ยาทานแก้แพ้มา มันก็ดีขึ้น แต่ท่านนี้อยากจะหยุดยา จะต้องทำอย่าง

ไรถ้าต้องกินแบบนี้มันก็อันตราย
หลวงปู่    ที่จริง ยาแก้แพ้ ก็คือ ยากดภูมิ อ้ายการที่คนมีปฏิกิริยาต่อสิ่งแปลกปลอม มัน

เป็นวิธีการทางร่างกายที่จะแสดงไอ จาม น้ำมูกไหล ครั่นเนื้อครั่นตัว มันเป็นกระบวนการ

ของการติดเชื้ออย่างหนึ่ง ส่วนไอ ส่วนจาม น้ำมูกไหล มันเป็นวิธีการที่ร่างกายจะกำจัดของ

เสีย ของแปลกปลอมที่เข้าไปในร่างกาย พอกินยาเข้าไป มันก็จะไปกดภูมิให้หยุดแสดง

ปฏิกิริยาต่อเชื้อโรค ไม่ใช่ดีนะ เพราะว่าอ้ายวิธีการนั้นน่ะ ร่างกายมันกำจัดของเสีย แต่พอ

มันบ่อยๆ เข้า มันก็แน่นอนล่ะ กระบวนการต่างๆ มันก็ต้องเกิดอาการอักเสบ เพราะอะไรที่

มันใช้มากๆ เข้า มันก็เสื่อม หรือไม่ก็เกิดการอักเสบ น้ำมูกออกมากๆ เข้า เราสั่ง ที่จริงแล้ว

น้ำมูกออก เราไม่อักเสบ โพรงจมูกไม่อักเสบ โพรงไซนัสไม่อักเสบ อ้ายที่มันอักเสบก็

เพราะเราไปขยี้ เราไปสั่ง เราไปทำปฏิกิริยาที่มันต่อต้านกับความปกติของร่างกายที่

แสดงออก งั้น เค้าก็เลยให้กินยากดภูมิ ยาแก้ภูมิแพ้ ส่วนใหญ่ก็เป็นยากดภูมิคุ้มกัน
งั้น ถ้าจะแก้จริงๆ เราต้องไปดูชีวิตความเป็นอยู่ของเราปัจจุบัน เราอยู่กันยังไง
เมื่อวานนี้ หลวงปู่เพิ่งจะหยิบกล้วย ลูกศิษย์เค้าเอามาถวาย มันเอามาถวาย 2 อาทิตย์แล้ว

อ้ายกล้วยหอม ข้างนอกนี่ยังเขียวปิ๊งอยู่เลยนะ 2 อาทิตย์แล้วนะ แต่พอหยิบ โอ้โห มัน

เละติดมือเลยล่ะ
คุณมนัส   เปลือกเขียว
หลวงปู่   เออ เปลือกยังเขียว เอ๊ย เราก็ กล้วยมหัสจรรย์เว้ย มันทำไงรู้ไม๊ ไปแช่ฟอร์มูลีน

ข้างนอกนี่ยังเขียวเลย กล้วยหอม กล้วยที่กินเนี่ยนะ ข้างนอกเป็นสีสวยเลยล่ะ พอไปหยิบ เอ๊

กล้วย 2 อาทิตย์ ไม่รู้จักสุกซักที พอหยิบ ที่ไหนได้ ข้างในนี่เละหมดล่ะ เออ ทั้งหมดเลย

ล่ะอ้ายผลไม้ทั้งหลายเนี่ยนะโอ้โห แล้วอย่างนี้มันจะไม่แพ้ได้ยังไง
พวกนี้ตายแล้วไม่เน่าหรอกนะ มันกินยากันเน่าไปก่อนตาย
คุณมนัส   ต้องใช้วิธีของหลวงปู่ที่เคยสอนพวกเราเวลาล้างผักเนี่ยฮะ ต้องใช้
หลวงปู่    อะไร
คุณมนัส    น้ำเกลือ
หลวงปู่    อ๋อ น้ำเกลือ น้ำส้มก็ได้ น้ำสารส้มก็ได้ น้ำส้มล้างผัก บางทีก็แช่ไว้ค้างคืน อย่าง

อ้ายพวกบร๊อคคอรี่ ดอกคะน้า อะไรพวกนี้ ตัวดีเลยละนั่นน่ะ โอ๊ย ยามันซึมเข้าไปสดๆ เลย

ล่ะ เมื่อเช้าหลวงปู่ฉันเต้าส่วน ขนาดเต้าส่วนนะ ยังได้กลิ่นดีดีทีเลยล่ะ เพราะอะไรรู้หรือเปล่า

ถั่วเนี่ย มันมีมอดใช่ไม๊ อ้ายถั่วเขียวแกะเปลือก แกะซีก มันมีมอด เค้าก็ต้องฉีดดีดีที ทีนี้

อ้ายคนทำมันสับเพร่ามั๊ง มันมักง่าย ที่จริงมันต้องมาล้างจนหมด มันต้องมาแช่ มันไม่ ไม่รู้

นะ คือ หลวงปู่กิน บางทีเช้าๆ ฉันข้าวต้ม เค้าซื้อกับข้าวจากตลาดมาให้ฉัน ปลาทอด กัดเข้า

ไป โอ้โห  ดีดีทีเต็มไปหมดเลย เราจะรู้สึกไวมาก แค่คำเดียวก็รู้แล้ว คาย โอ๊ย มีแต่ดีดีที
งั้น อย่างนี้ มันจะไม่แพ้ทนไหวเหรอ ทุกวันนี้เราเจอแต่ ปกติในร่างกายเราต้องประกอบด้วย

4 อ. เพื่อจะอยู่ได้ดี คือ อาหาร อากาศ อาการ แล้วก็อารมณ์
ตอนนี้อาหารมันเป็นโทษกับร่างกาย ถ้าไม่รู้จักบริหารจัดการ ไม่รู้จักกินอย่างถูกวิธี อาหาร

มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดโรค ทำให้ติดโรค แล้วเราก็ต้องเป็นโรค
 อาการ ก็พวกนี้กินแล้วขี้เกียจ กินแล้วก็นอน เจี้ยะ อุ๊ก เจี้ยะ อุ๊ก ตลอดเวลา ไม่เคลื่อนไหว

ไม่ขยับขยาย ไม่ไปไหน กินเป็นหมูเลยล่ะ ดีไม่ดี กินแล้ววางไว้ข้างหน้า แล้วก็เลื้อยอยู่

ตรงนั้นน่ะ อ้ายนี่มันไม่ดีนะ แล้วพวกนี้ กินนอนกินนอน โรคที่ตามมาถามหา ก็คือ กรด

ไหลย้อน พอนอนๆ เข้า ปกติลองหลับตานึกดู นั่งๆ อยู่เนี่ย ถุงเนี่ย ถุงอาหาร คือกระเพาะ

เนี่ย กรดมันเข้าไปอยู่ในนี้ แล้วลองจับมันนอนดูสิ กรดมันไปไหนล่ะ มันก็ย้อนขึ้นมาที่คอสิ

อ้ายพวกที่เป็นโรคกรดไหลย้อนเนี่ย พวกงูเหลือม กินนอนไง ไม่ยอม
มีอีกวิธีหนึ่ง ก็ไม่ได้ว่าเค้าทั้งหมดนะ บางพวกเค้าเรียกว่า ธาตุพิการ ลมข้างในกระเพาะ

มันมาก มันอาจจะตีขึ้นได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เวลากินแล้วนอน มันจะทำให้เป็นโรคนี้ แล้วก็

ท้องอืด เพราะอ้ายถุงที่มันห้อยลงมาเนี่ย กระเพาะอาหารมันยังให้โดนในการบีบได้ แต่ถ้า

จับมันนอนให้โดนอะไร มันจะบีบโดนยังไง รัดตัวยังไง แล้วยิ่งอายุมากๆ เข้า ทุกอย่างมัน

หย่อนหมดนะ มีอยู่อย่างเดียว
(หู)
หลวงปู่    เออ หู หูเนี่ยตึง ฮ้า เค้าด่าล่ะ ฮ้า เออ ทำเป็นไม่ได้ยินล่ะ ทีเค้าเอาเงินมาให้ เท่า

ไหร่ล่ะ เหมือนกับแม่กูเลย โยมเนี่ย ตาไม่ดี แต่พอเรื่องเงินล่ะ นับไม่ขาดเลย เออ เพราะ

ฉะนั้น อายุมากๆ อย่าขี้เกียจ ต้องยิ่งขยัน กินแล้วก็ต้องเดินบ้าง ไม่รู้จะเดินไปไหน ก็เดิน

รอบโต๊ะอาหาร จับโต๊ะอาหาร เดินไปซัก 5 นาที 10 นาที เดินวนไปเรื่อย ให้ร่างกาย

มันได้ทำการย่อยอาหารเหมาะสม อาการ
แล้วก็ออกกำลังกายให้มันดี
อากาศ เนี่ยไม่ใช่ดีหรอกนะ หลวงปู่ไปอัดรายการ เอ เอส ทีวี เค้าไม่มีพัดลมดูดอากาศ

แล้วกี่ปีกี่ชาติ แล้วคนที่นั่นมันก็พลัดเปลี่ยนกันเป็นไข้ เป็นหวัด เป็นภูมิแพ้ แล้วเราเข้าไป

โอ้โห แทบจะไม่ครบชั่วโมง
คุณมนัส   ตามสถานีโทรทัศน์จะเป็นเหมือนกันหมดครับ
หลวงปู่    เออ แล้วออกมาที เราก็จะป่วยทุกครั้ง เป็นไข้ทุกครั้งจนมีความรู้สึกครั่นเนื้อครั่น

ตัว หายใจไม่ออก เพราะงั้น นี่ก็คือ อากาศ งั้นหลวงปู่ชอบอยู่ในอากาศโปร่งๆ โล่งๆ มัน

สบาย
แล้วก็อารมณ์ อารมณ์เป็นเรื่องหลัก เรื่องสำคัญ รักษาอารมณ์ให้สมดุลย์ ให้คงที่ อย่าให้

มันวูบวาบ วู่วามบ่อยนัก เพราะความวูบวาบ วู่วาม บางทีมันเป็นเหตุปัจจัย ความวิตกกังวล

มันเป็นเหตุปัจจัยของโรคสารพัด บางทีไม่เป็นอะไร เป็นที่อารมณ์ ก็กลายเป็นว่า หายใจขัด

เคือง เป็นหืดเป็นหอบ อาหารไม่ย่อย ธาตุพิการ ส่งผลไปถึงตับ ถึงไต ถึงม้ามเลย งั้น เรื่อง

อารมณ์ต้องรักษา อย่างที่คุณเขียน อ่านไว้น่ะ เขียนไว้ มีสติในกาย กายไม่ลำบาก มีสติใน

วาจา โชว์หน่อยสิ ช่วยทำมาหากินหน่อย เออ อย่าเอาไมค์บัง เออ กล้องแพนมาหน่อย เออ

งั้นก็ ใส่เสื้อเนี่ย ถ้ามันยังไม่รู้สึก ต้มน้ำดื่ม ถ้ามันไม่รู้สึก ต้มน้ำดื่มให้มันชื่นใจไปเลย เรา

จะได้รู้ว่า มีสติในกาย กายมันไม่ลำบากจิงๆ อ้ายที่เราลำบากอยู่ทุกวันนี้ เพราะเราไม่มีสติ
คุณลองย้อนกลับไป คนที่ถามว่าเป็นโรคภูมิแพ้ ลองไปหา 4 อ. นี้ ดูว่า อะไรมันไม่สม

ดุลย์ อย่ามัวแต่ไปพึ่งแต่ยา ถ้ายา มันรักษาไม่ได้ อย่างดีมันก็แค่ไปพยุงอาการ หรือ

บรรเทาอาการไม่ให้กำเริบ แล้วดีไม่ดีในขณะนั้นที่คุณกินยากดภูมิ หรือว่า ยาแก้แพ้ เกิด

เราไปเจอเชื้อไวรัส แบคทีเรีย อะไรที่มันปลิวเข้ามาในช่วงจังหวะที่เรากินยาแล้วมันส่งผล

ในการกดภูมิคุ้มกันเรากำลังตก หนักกว่าเก่าอีกนะ
คุณมนัส   มันเกี่ยวกับการไม่มีขนจมูก เราไปตัดขนจมูกที่เป็นตัวกรอง
หลวงปู่    ไม่จริงหรอก บางคนชั้นเห็นขนจมูกแล็บออกมาอย่างกับสนามหญ้า ยังเป็นเลย
คุณมนัส    ตอบคำถามให้แล้วนะครับ  นี่เค้าถามมาด้วย
หลวงปู่    เอ๊ย ไม่เกี่ยวหรอก มันซกมก ไม่เกี่ยวเลย อ้ายโรคภูมิแพ้นี่ไม่ได้มาจากอากาศ

อย่างเดียวนะ บางทีมาจากสายเลือดก็มี มันเป็นโดยพันธุกรรม กรรมพันธุ์ก็มี
คุณมนัส    เครียดอารมณ์ก็เกี่ยวไม๊ครับ
หลวงปู่    เออ ความเครียดก็เป็น มาจากอารมณ์ก็เป็นภูมิแพ้ได้ มันมาจากได้สารพัด คน

เดี๋ยวนี้เป็นโรคแปลกๆนะ บางทีอายุ 7 ขวบเป็นเบาหวาน อย่างนี้ เออ มันเป็นไปได้ไง

อายุ 7 ขวบเป็นเบาหวาน พ่อแม่ก็ไม่เป็น ถามประวัติคนไข้ แต่ว่าอ้ายเด็กเป็น แล้วไป

ถาม ชอบกินอะไร กินน้ำอัดลมแล้วก็กินขนมกรุบกรอบ
คุณมนัส   ขนมถุง ของฝรั่ง
หลวงปู่    ใช่ แล้วเป็นทั้งเบาหวาน เป็นทั้งไต บวมอลึ่งฉึ่งเลย อายุแค่ 7 ขวบ บอก อ้ายหนู

ถ้ามึงไม่หยุดนะ มึงอายุไม่ถึง 20 หรอก มึงได้ตายแน่ๆ เลย งั้น ต้องให้หยุดแล้วก็ต้อง

ระมัดระวัง
อาม่า ไปไหน
(ไปห้องน้ำค่ะ)
หลวงปู่   เออๆ
คุณมนัส     ช่วงนี้ โรคมือเท้าปากก็ระบาดอยู่ ต้องระมัดระวังด้วย ท่านหลวงปู่มีคำแนะนำ

ไม๊ นอกจากการกินร้อนช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ
หลวงปู่    โรคมือเท้าปากนี่ คนไข้เคยมาหาที่เป็นโรคพุพองตามง่ามมือง่ามเท้า ก็อายุ

ประมาณซัก 17-18 ก็ให้กินยาฟอกเลือด แล้วก็ยาขับน้ำเหลืองเสีย แล้วก็ขี้ผึ้งเทพ

โอสถทา กินซักประมาณสัปดาห์หนึ่งก็อยู่ล่ะ
อ้ายขี้ผึ้งเทพโอสถทา เมื่อกลับจากเมืองจีนซื้อสมุนไพรใหม่ๆ เสียวฟันมากเลย เสียว กิน

อะไรไม่ได้เลยล่ะ เราก็ว่า เดี๋ยวจะไปหาหมอฟัน เราก็ว่า เอ้ หัวใจเราไม่ค่อยดี ไปหาหมอ

ฟัน ไม่รู้เดี๋ยวมันจะจับเราทำอะไรอีก เลยเอาสำลีทาขี้ผึ้งเทพโอสถ ก่อนนอนก็ไปอุด กัด

มันทิ้งไว้ทั้งคืน หาย คนเสียวฟัน เป็นโรคเหงือกร่นอะไรทั้งหลาย ลองทำดูสิ ซัก 3 วันน่ะ

หาย ขี้ผึ้งเทพโอสถ โอ๊ย สุดยอด ทาผัวหอมเมีย
คุณมนัส   อายุมากขึ้น เหงือกมันจะร่นขึ้น ผ่านการใช้งานมาเยอะ
หลวงปู่    ใช่ ใครๆ ที่เสียวๆ ฟัน ใช้ได้ แล้วก็เป็นโรคมือเท้าเปื่อย ก็ใช้ได้ มือเท้าปากเปื่อย

ใช้ได้
งั้นก็ดูแล 4 อ. ให้ดี แล้วก็มีสติในกาย มันก็จะรู้ว่าโรคเกิดจากเหตุปัจจัยอะไร แล้วก็ดับ

เหตุนั้นๆ ให้ได้ ดับไม่ได้ ก็พยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด จบ
คุณมนัส    หลวงปู่ คุยเรื่องนี้หน่อยครับว่า การดื่มน้ำปัสสาวะ จะรักษาโรคได้จริงหรือเปล่า  

 
หลวงปู่    อืม มันขนาดนั้นเชียวหรือ เรามันอดอยากยากจนถึงขนาดไม่มีน้ำจะกิน เล่นน้ำ

เยี่ยวแล้วเหร๊อ มันก็กินได้ อยากกินก็กินได้ ไม่เสียหายอะไร แต่
คุณมนัส   มันบริสุทธิ์ไม๊ครับ ก็มันออกจากตัวเอง แล้วก็ย้อนกลับไปใหม่ ใช่ไม๊ฮะ
หลวงปู่     คือ เราพยายามไปคิดแทนร่างกาย ร่างกายมันสร้างกระบวนการกำจัดของเสีย

โดยระบบของมันสมบูรณ์แบบแล้ว อะไรที่มันไม่ใช้ อะไรที่มันไม่ดี อะไรที่มันไม่ถูกต้อง

อะไรที่มันไม่ต้องการ มันก็กำจัดออกมา กำจัดออกมา แต่เราเป็นคนขี้เหนียวไง ก็กินน้ำได้

อีกหน่อยก็กินขี้ได้
คุณมนัส    ก็เอาของเสียออกมา ก็เอาของเสียกลับเข้าไปใหม่
หลวงปู่     เออ น้ำมันก็ของเสียใช่ไม๊ น้ำปัสสาวะนี่ เสียไม๊
(เสีย)
หลวงปู่    เออ ร่างกายมันไม่ต้องการ เรายังบังคับให้มันต้องการ เอ้า เก็บเข้าไปใหม่ น้ำยัง

เอาเข้าไปได้ แล้วเนื้อทำไมไม่เอาเข้าไปล่ะ
คุณมนัส    เค้ามีคำถามต่อมาว่า มันเป็นเคล็ดลับหรือเปล่า ทำให้หน้าดูแบ๊วๆ หน้าอ่อนเยาว์

เอาน้ำปัสสาวะไปทาหน้า
หลวงปู่    อ๋อ อ้ายน้ำปัสสาวะไปทาหน้าน่ะ เป็นไปได้ ทำได้
คุณมนัส    ทาผิวพรรณให้อ่อนเยาว์
หลวงปู่    อ้ายอย่างนั้น ไม่เป็นไร อันนั้นได้ ทำได้ ใช้ได้ เพราะมันเป็นตำราแพทย์เหมือน

กัน
พี่แดง    ลูกเคยทานอยู่ 2 เดือนเจ้าค่ะ แล้วไปตรวจเลือด ค่าของหัวใจมันก็ขึ้นไป 80

กว่า คนปกติ จะประมาณ 30 นะเจ้าค่ะ ค่าของตับก็ขึ้นไป 87 ก็สูง เพราะงั้น 2

เดือนก็เลยเลิกเลย ตับกับหัวใจเราจะพัง
คุณมนัส    อ้อ การทำงานของตับกับหัวใจขยับขึ้นพรวดไปเลย
หลวงปู่    อ้าว ก็กินของเสีย เค้าไม่เอาแล้วมึงยังยัดให้เค้าเอาอีก ร่างกายมัน องค์ประกอบ

ของมันสมบูรณ์แบบแล้ว ธรรมชาติเค้าตั้งมาอย่างเหมาะสมแล้ว อะไรที่ไม่ต้องการ เค้าก็

กำจัดทิ้ง แต่ส่วนที่เอามาใช้เป็นปุ๋ยหมักเนี่ยนะ เอามาทำเป็นปุ๋ย รดน้ำต้นไม้ ได้ ดี หรือ จะ

เอามาล้างหน้าล้างตา ล้างตาไม่ได้ แต่ล้างหน้าได้ เพราะว่า อ้ายฮอร์โมน ของที่เรากินเข้าไป

ซึ่งเราใช้ไม่หมด แล้วร่างกายมันกำจัด มันก็มีส่วนที่เป็นของดีในส่วนที่จะสามารถบำรุง

เซลล์ผิวหนังได้ แต่ไม่สามารถบำรุงเซลล์ชีวะภายในร่างกาย ตับ ไต ไส้ ปอด ไม่ได้ เพราะ

มันไม่เอา มันไม่ต้องการ จะไปบังคับให้มันเอาทำไม
คุณมนัส    หลวงปู่ผลิตไม๊ฮะ ผลิตซักตลับไม๊
หลวงปู่    เยี่ยวเนี่ยนะ ไม่ต้องผลิต เอาไม๊ล่ะ เดี๋ยวจะให้ เอาขวดมารอง
คุณมนัส    เป็นตำราแพทย์ หมายความว่า ทำแล้ว งั้น อโรคยา
หลวงปู่    ทำไม
คุณมนัส    ผลิตออกมา หน้าจะได้นวล
หลวงปู่    ปัสสาวะเนี่ย โบราณเค้ามาทำยาได้โดยวิธีการให้ตกผลึก คือ เค้าเอามาหมัก

หมักจนกระทั่งตกผลึก แล้วเกิด เค้าเรียกว่า เกิดตะกอน ตะกอนมันที่เกาะอยู่ตามภาชนะ

ข้างๆ ภาชนะ อ้ายตะกอนมันตัวนั้น นั่นแหละ เค้าเอามาสกัดเป็นยา
คุณมนัส   โอ้โห
หลวงปู่    เค้าเรียกว่า เหลืองอำพัน
คุณมนัส   อืม
หลวงปู่    เอ้า จริ๊ง จริง เรียกว่า เหลืองอำพัน อีกอย่างหนึ่งเค้าก็ได้มาจากของปลาวาฬ เราก็

ไม่รู้ว่า โบราณเค้าไปสังเกตุยังไงว่า ปลาวาฬมันเยี่ยวตอนไหน เค้าเรียก เหลืองอำพัน เค้า

เอามาเป็นยาสำหรับบำรุงฮอร์โมน อันนี้ได้ ใช่ แล้วมันก็ช่วยทำให้เซลล์ผิวหนังชุ่มชื่น ได้

แต่ต้องให้มันตกผลึก ก็เยี่ยวยังไงเยี่ยวให้มันตกผลึก ไปฝึกเยี่ยวให้ดีก็แล้วกัน
คุณมนัส    เยี่ยวแล้วตากแดดไว้ ถามอีกหน่อยหนึ่งว่า ถ้าอยากจะขนคิ้วดกดำ จะต้องทำยัง

ไง ไปสักดีมั๊ง หรือยังไงฮะ
หลวงปู่     เออ อันนี้รายการอะไรนะครับ อันนี้ อาตมาจะงงไม๊เนี่ย
คุณมนัส    ผมว่า ถามผิดคนนะฮะ พระท่านต้องไม่มีคิ้วอยู่แล้ว ถามผมสิ ทำยังไง
หลวงปู่    เออ แล้วยังไง
คุณมนัส    โบราณเค้าบอกว่า ถ้ายังเป็นเด็กๆ อยู่ ก็เอาดอกอัญชัญใช่ไม๊ฮะ คุณป้าข้างหลัง

เขียนไว้จะคิ้วโก่ง ดกดำงาม พอโตขึ้นมา แต่ถ้าอายุเยอะแล้ว ผมว่า ปลง เฮอะ เขียนเอา

เลยก็ได้ ถ้าขี้เกียจเขียน ก็ไปสัก เน้อ อ้าว งั้น ถามเรื่องธรรมะดีกว่าครับ จะได้ตรงกับท่าน

หลวงปู่เรานะ ขณะที่เราทำการงานภายนอก
หลวงปู่    ที่จริงนะ พระโดยพระวินัย เค้าไม่ได้โกนคิ้วนะ ลูก
คุณมนัส    เหรอฮะ หลวงปู่ไม่มีคิ้ว
หลวงปู่     ก็เค้าทำตามๆ กันมา ทำตามๆ กันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยก่อนนี้บ้าน

เมืองเรามีข้าศึกไง แล้วก็มีไส้ศึกปลอมมาเป็นพระ พม่าปลอมมาเป็นไส้ศึก มาบวชพระ

แล้วก็มาเป็นไส้ศึก คอยไปสืบข่าวทางอยุธยา ส่งให้กับพระเจ้าชเวดากอง สุดท้ายพระไทยก็

เลยรวมหัวกันว่า เราจะจับข้าศึก จับไส้ศึก ก็เลยนัดกันว่า ให้โกนคิ้วให้หมด ถ้าพระองค์

ไหนที่มันไม่โกนคิ้ว ก็แสดงว่า นั่นน่ะ พม่า งั้น ข้าราชการก็เลยจับได้ว่า ไส้ศึกเป็นพม่ามา

ปลอมบวช แล้วสุดท้าย ก็ทำกันมาตั้งแต่สมัยนั้น แต่ในประเทศอื่นก็ไม่มีใครโกนคิ้วนะ มี

ประเทศไทยนี่โกนคิ้ว
สมัยก่อนหลวงปู่อยู่ป่า หลวงปู่ก็ไม่โกนนะ อย่าว่าแต่คิ้วเลย หนวดเครา ผมเผ้าก็ไม่โกน

ยาวประบ่า ออกป่าถึงได้โกนที เพราะว่ามันเปลืองใบมีดโกน ใบมีดโกนมันมีใบเดียว ใช้ 2

หน้าก็หมดไป 3 ปี เปลือง เอาไว้ออกจากป่าค่อยโกน
พี่แดง    ศานติอโศก เค้าก็ไม่โกน
หลวงปู่     ศานติอโศก เค้าก็ไม่โกน แต่เค้าถือว่า เค้าไม่ใช่พระในกฏของมหาเถรฯ แต่ถาม

ว่า ผิดไม๊ ก็ไม่ได้ผิดอะไร พระที่ไม่ได้โกนคิ้วก็ไม่ได้ผิดอะไร ทีนี้มันจะเข้าสังคมเค้ายาก

เข้าสังคมเค้าก็จะถามว่า อ้าว ทำไมไม่โกนคิ้ว เออ ทำไมไม่โกนคิ้ว ซึ่งมันก็ไม่ได้แปลกถ้า

เราจะมีชีวิตอยู่ตามลำพังของเรา เราไม่โกนก็ได้ ไม่เสียหายอะไร แต่ทีนี้เข้าสังคมลำบาก

เราก็เอาสังคมเป็นประมาณ ก็ใช้หลักบุญญสิกา(?) วิธีตัดสินอธิกรณ์ของพระผู้มีพระ

ภาคเจ้า ก็คือ ทำตามเค้าไป ถ้าไม่ผิดมากไป ก็ไม่เสียหายอะไร โบราณไทยเค้าก็ว่า เข้า

เมืองตาหลิ่ว ก็หลิ่วตาตาม แต่อย่าให้แหล่และบอดแล้วกัน จบ
คุณมนัส    หลวงปู่ครับ พูดถึงเรื่องการทำงานภายนอก มีคำถามถามว่า ถ้าเราเอาความรู้ที่

ได้จากการทำงานภายนอกมาพัฒนาการทำงานในภายในของเรา จะทำได้อย่างไร
หลวงปู่     มันขึ้นอยู่กับว่า เราจะทำเรื่องอะไร สมมุติว่า ถ้าเราเป็นคนขยันทำมาหากิน แล้ว

ก็ขยันที่จะมาปฏิบัติกรรมฐาน ขยันทำมาหากิน ขยันที่จะมาปฏิบัติกรรมฐาน ขยันที่จะสวด

มนต์ ขยันที่จะศึกษาธรรมะ ขยันที่จะรู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง อย่างนี้ป็นต้น

แต่ขึ้นอยูกับว่า เราจะใช้อะไรทำอะไร ที่จริง ภายนอกภายในก็คือ ใครทำ
(เรา)
เอ้อ ตัวเราทำ งั้น ถ้าเรารู้จักตัวเราแท้จริง เราก็จะรู้ว่า อะไรควรทำ และไม่ควรทำในเวลาใด

จบ
คุณมนัส     ก็น่าจะจัดสรรเวลาของตัวเองได้  3 ส. สรุปแบบง่ายๆ สวดมนต์ สมาธิ

สนทนาธรรม ฟังธรรมจากท่านหลวงปู่ ก็ได้ครบ
หลวงปู่    ฟังคนอื่นเค้าบ้าง ที่จริงหลวงปู่อยากให้ฟังคนอื่นเยอะๆ เพราะเหตุผลว่า มันจะ

ได้มีข้อเปรียบเทียบไง เออ คนนู้นพูดเรื่องนี้ คนนี้พูดเรื่องเดียวกัน องค์นั้นพูดเรื่องเดียวกัน

แล้วดูว่า เราได้สาระอะไร หลวงปู่ไม่ใช่เป็นคนที่บอกว่า ต้องมาฟังเฉพาะหลวงปู่ แล้วก็ไม่

ต้องไปฟังคนอื่น ไม่ใช่ เพราะเราไม่ใช่เป็นคนที่วิเศษสุดในโลก คนอื่นเค้ายังมีเยอะแยะ
(ฟังแล้วไม่เข้าหูเจ้าค่ะ)
หลวงปู่    เออ สันดานไม่ดี
คุณมนัส    ท่านหลวงปู่ครับ เราจะใช้ชีวิตให้พ้นจากทุกข์ หรือว่า อยู่กับทุกข์ได้อย่างไรใน

แต่ละวัน
หลวงปู่     ที่จริง ทุกข์มันเป็นอาหารของเรานะ เราอยู่ได้ด้วยอาศัยทุกข์ เราไม่มีทุกข์ เราก็

ส้านหาทุกข์เอง แล้วก็คิดว่า ความทุกข์มันเป็นเรื่องชีวิต เป็นเรื่องมันอารมณ์ เรามีชีวิต เรา

ก็มีทุกข์อยู่แล้ว ทุกข์กับชีวิตเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้
ยกเว้นเมื่อไรที่เราเป็นคนที่ปฏิเสธชีวิต แล้วเห็นว่า สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง

ในชีวิตนี้นี่มันเกิดขึ้น เราเห็นชัดตามอย่างนั้น ก็แสดงว่า กำลังจะเป็นคนปฏิเสธชีวิต แต่ยัง

ไม่ถึงกับสิ้นชีวิตนะ กำลังจะปฏิเสธชีวิต แล้วคนเผ่าพันธุ์นี้ มีอยู่ไม๊ มี ก็คือ พระอริยเจ้า

พระอรหันต์ พระอริยเจ้าท่านปฏิเสธชีวิต ท่านเห็นชีวิตแล้วก็เบื่อหน่าย แต่ไม่ใช่จะทำตัว

เองให้สิ้นชีวิต แต่เป็นคนปฏิเสธชีวิต มีความเบื่อหน่ายในการมีชีวิต แต่ไม่คิดจะฆ่า ทำร้าย

ชีวิต อย่างนี้เป็นต้น
งั้น คนที่ยังเห็นชีวิตเป็นเรื่องน่ารัก น่าถนอม ไม่มีสิทธิ์จะพ้นทุกข์ เมื่อไรที่เราเห็นชีวิตแล้ว

เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แล้วปฏิเสธชีวิต นั่นแหละ คนๆ นั้นจะมีสิทธิ์พ้นทุกข์
แต่มันก็มีมุมกลับกันอีกว่า อ้ายคนที่เบื่อหน่ายชีวิต ไม่ใช่เป็นคนผิดหวังนะ เพราะว่า บาง

คนมันผิดหวังแล้วบอกว่าเบื่อหน่าย อย่างนี้ ไม่ใช่นะ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ก็ถือว่ายังมีทุกข์อยู่
แต่ถ้าเมื่อใดที่เราเห็นชีวิตไม่ว่าจะสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะผิดหวัง ก็เบื่อหน่ายไปหมด ด้วย

ความรู้สึกว่า เกิดนิพพิทาญาณว่า สภาพชีวิตมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

อย่างนี้ คนๆ นี้มีสิทธิ์จะพ้นทุกข์ แต่ถ้ายังเห็นว่า โอ ชีวิต เกิดขึ้น ดีใจ แตกสลาย เสียใจ

แล้วก็มีความกระตือรือร้นกับการมีชีวิตเกิด เจริญเติบโต รุ่งเรือง ถ้าอย่างนี้ ยังมีทุกข์อยู่ งั้น

ทุกข์จึงเป็นสมบัติของชีวิต จบ
คุณมนัส    ถ้าอย่างนั้น ขอพูดถึงบุคคลที่ 3 หน่อย อย่างที่เป็นข่าวในสังคมของเรา ก็คือ

เรื่องของท่านพระเจสัน ยัง ในขณะที่ท่านใช้ชีวิตอยู่ในโลกียะ ท่านก็มีความสุข สุขด้วย

ความมีชื่อเสียง ลาภยศ สรรเสริญ แบบนั้นเค้ากำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุข กำลังมั่นหมาย

แล้วก็กำลังจะมีงานแต่งงาน แบบนี้เค้าเรียกว่า สุขแล้ว ถูกต้องไม๊ครับ แต่จู่ๆ ก็ตัดสินใจ

ประกาศเจตนารมณ์ว่า จะบวชโดยไม่สึก หลายท่านก็อนุโมทนา แบบนี้เรียกว่า มีทุกข์ที่

เป็นอาหารของใจ จิตตัวเองไม๊
หลวงปู่      ไม่ใช่หรอก ชั้นมองสภาพธรรมของเค้า เค้าอาจจะเป็นว่า เค้าเจอสุขแบบเรียกว่า

วิตก วิจารณ์ ปิติ
คุณมนัส    ไม่แท้
หลวงปู่    สุขซึ่งเป็นองค์ของฌาน คนที่มีสุขในเรื่อง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ถ้ามาเทียบ

กับสุขของฌาน เค้าบอกว่า อย่างกับฟ้ากับดิน เพราะสุขของฌานมันจะอิ่มเอิบ ซาบซ่าน

แล้วก็สูงส่งกว่า
งั้น ท่านอาจจะไปเจอสุขของฌานก็ได้ ก็เลยทำให้ท่านคิดว่า อ้ายสุขของกามคุณ รูป รส กลิ่น

เสียง สัมผัส มันเทียมทันไม่ได้
ในพระบาลีก็ยังมีบอกไว้ว่า ความสงบ เป็นสุขในโลก ความสงบ เป็นสุขในโลก
แต่อยากจะพูดเรื่องนี้ให้เข้าใจกันแจ่มชัดว่า ความสุขที่เกิดจากองค์ฌาน มันก็ต้องได้มา

จากคำว่า เจริญสมาธิ หรือทำให้เกิดสมาธิ แต่สมาธิในมรรคาปฏิปทา ท่านกำหนดไว้ว่า

ต้องเป็นสัมมาสมาธิ ไม่ใช่วิชาสมาธิ แล้วการที่จะได้เป็นสัมมาสมาธิ มันต้องผ่านกระบวน

การเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ข้อต้นของมรรคาปฏิปทาก็คือ ความเห็นตรงถูกต้องตามความเป็น

จริง เรียกว่า ปัญญา
อ้ายการเห็นตรงถูกต้องตามความเป็นจริงนี่แล้ว จึงจะพัฒนาไปสู่กระบวนการว่า สัมมาสติ

แล้วจึงจะเป็นสัมมาสมาธิ ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วไปทำสมาธิโดยไม่มีสัมมาสติ ไม่มีความเห็น

ตรงถูกต้อง สมาธินั้น ก็ไม่ชื่อว่า สัมมาสมาธิ อาจจะเป็นมิจฉาสมาธิเสียก็ได้ แม้พวกเรา

ชอบฟังคำสอนว่า สมาธิ
จริงๆ แล้วสมาธินี่ไม่ใช่ซี้ซั้วทำนะ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ทำได้ มันต้องผ่านกระบวนการสัมมาสติ

มาก่อน มีสติตามสภาพธรรม รู้ชัดตามสภาพธรรมที่ปรากฏ จึงจะถึงคำว่า สงบ ระงับตาม

ความเป็นจริง จึงจะเรียกว่า นั่น สัมมาสมาธิ
ทีนี้ สมาธิที่เค้าเรียนๆ กัน เป็นสมาธิของใคร ก็เป็นสมาธิในองค์ฌาน แล้วองค์ฌานมัน

มีสอนอยู่ในศาสนาอะไรบ้าง ฮินดูมีสอนไม๊ มี พราหมณ์มีสอนไม๊ มี อิสลามก็ยังมีเลย

สมาธิ เวลาเค้าภาวนาถึงพระอัลเลาะห์ ถึงพระเจ้าของเค้า จิตเค้าก็สงบระงับได้ในระดับที่เค้า

เข้าถึง ปิติ สุข เอกัคคตานะ หลวงปู่รู้จักโต๊ะอิหม่ามคนหนึ่ง เค้าอยู่เกาะพระทอง แกอายุ

มากแล้ว 80 กว่าแล้ว วันๆ แกก็ไปนั่งเฝ้าละหมาดอยู่ เค้าละหมาดกันวันละ 5 เวลา

แกละหมาดทั้งวันเลย แล้วแกก็มีความสุข อิ่มเอิบ ดูหน้าตาสดใส มีความสุขที่จะได้เฝ้าพระ

เจ้า เค้าก็จะสัมผัสกับพระเจ้าของเค้า เพราะว่า จิตเค้าเป็นสมาธิ
แต่ถามว่า มันเป็นมิจฉาหรือว่าสัมมา ก็ผ่านกระบวนการดังกล่าวหรือเปล่าล่ะ เห็นตรงตาม

ความเป็นจริงไม๊ เห็นสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงหรือเปล่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง

อนัตตาไม๊ เห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธหรือเปล่า และในขณะเดียวกัน อยู่ในมรรควิถีหรือไม่
พอมีสมาธิแล้ว เห็นความผิดเหมือนดั่งไฟ เห็นความถูกต้องเหมือนดั่งทองหรือเปล่า ถ้า

เห็นความผิดเหมือนดั่งไฟ เห็นความถูกต้องเหมือนดั่งทอง ก็แสดงว่า นั่นเป็นสัมมาสมาธิ

ในระดับต้นนะ
แต่ถ้าระดับสูง ก็ทั้งผิดและทั้งถูก ก็เป็นกฏของกรรม ต้องพัฒนาไปสู่กระบวนการตามนี้
ในมรรคาปฏิปทา มีองค์ธรรมอยู่ 4 อย่างในข้อสัมมาทิฏฐิ
องค์ธรรม 4 อย่างก็คือ
1 มีชีวิตให้ถูกทำนองคลองธรรม ถ้าคุณไม่มีชีวิตอยู่ในทำนองคลองธรรม ปฏิเสธทำนอง

คลองธรรม พูดง่ายๆ ก็คือ ปฏิเสธกฏของกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คุณจะไม่ชื่อว่า อยู่ใน

สัมมาทิฏฐิเลย แสดงว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิล่ะ
2 เห็นอริยสัจ 4 เห็น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ แล้วก็ มรรค คือ ต้องรู้ว่า เหตุเกิดทุข์มาอย่างไร

แล้วก็หาวิธีดับทุกข์นั้นด้วยการดับเหตุ แล้วพัฒนาตัวเองจนกระทั่งถึงคำว่า ธรรมข้อที่ 3
3 ก็คือ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วก็ต้องดำเนินวิถีไปสู่

มรรคาปฏิปทา คือ หนทางแห่งความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง
นั่นคือ ธรรมะข้อที่ 4 ในวิถีแห่งสัมมาทิฏฐิ จึงจะไปสู่กระบวนการว่า สัมมาสติ และ

สัมมาสมาธิ
เพรางั้น เราเคยเรียนจากครูบาอาจารย์สอนเรื่อง หลักสิกขา 3 คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถูกไม๊
แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าสอน ปัญญา ศีล แล้วจึงจะ สมาธิ
ถามว่า พระองค์ทำไมจึงยกสมาธิเป็นข้อสุดท้าย ก็เพราะมันมีมิจฉาสมาธิไง คนยุคสมัย

2000 กว่าปีก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้น มีมิจฉาสมาธิทั้งนั้น พอถึงคำว่า องค์

คุณแห่งฌาน ก็บอกว่า ตัวเองหลุดพ้นแล้ว ถึงวิโมกศักดิ์แล้ว เป็นผู้พ้นแล้วจากกิเลส ตัณหา

อุปาทาน แล้วก็อวดอ้างตัวเองว่า เป็นผู้พ้นจริงๆ
พระพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า นั่นไม่ใช่เป็นทางพ้น เป็นแค่ฌานเท่านั้น คือ ทำให้ตนไม่มีรัก

ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง ไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่หวาดผวา ฟ้าผ่า ฝนตก น้ำท่วม ไฟไหม้

ไม่มีอะไรทั้งนั้น เรียกว่า เป็นผู้พ้น
แต่จริงๆ พระพุทธเจ้าบอกว่า นั่นไม่ใช่ มันพ้นด้วยอำนาจวิขัมกหาปนะ คือ การข่ม ข่ม

ด้วยองค์ฌาน ไม่ได้พ้นจริงๆ พอหมดการข่ม มันก็เหมือนกับดาบสอดเหาะ
ถามว่า เพราะอะไร เค้ามีตำนานกล่าวไว้ว่า ในอดีต ดาบสเรียนรู้ได้สมาบัติ 8 อยู่ในหิม

วันตประเทศ วิเศษนัก รุ่งเรืองนัก ศักดิ์สิทธิ์นัก คนทั้งหลายยกให้ท่านเป็นอรหันต์ วันหนึ่ง

พระราชาให้มหาดเล็กไปนิมนต์มารับอาหารบิณฑบาตรในราชสำนัก ดาบสก็กลัวว่าจะไม่

ทันเวลาเพล ก็เหาะมาแต่เช้า เผอิญช่วงเวลานั้น นางเล็กๆ ทั้งหลายของพระราชาดันแก้ผ้า

โดดน้ำ ดาบสเหาะอยู่ ได้ยินเสียงระริกระรี้ เค้าว่า เสียงอะไรมันจะมัดใจบุรุษเท่ากับเสียง

สตรี ไม่มี พอได้ยินจะต้องส่ายตาส่ายหูเข้าหาขวับเชียว เหมือนกัน ดาบสได้ยินเสียงระริก

ระรี้ หยอกกระเซ้าเย้าแหย่ ดันก็ชำเลืองเนตรเล็งแลไปดู อู้ฮู โอ้โฮ ขาว เท่านั้นแหละ ไปไม่

ได้เลย หล่นตุ๊บ เหาะไม่ขึ้น ขากลับได้บาตรมา ท่านบิณฑบาตรเสร็จ พระราชาถาม เอ้า

อาจารย์ ไม่เหาะไป ฮึม เหาะไม่ได้ ไปไม่เป็นแล้ว เดินกลับ แล้วก็มาหวนคำนึงนึกถึงรูป

ร่างนาง สาวทั้งหลายที่แก้ผ้าโดดน้ำกันตูมตามๆ 
เห็นไม๊ วิขัมกหาปนะ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิไม๊ เป็นมิจฉาสมาธิไม๊ เป็น
เอ้า ดูตัวอย่างอีกซักตัวอย่าง พระเทวทัตปฏิบัติจนได้สมาบัติ 8 สามารถมีเดช มีฤทธิ์

แปลงกายได้ แต่มีมิจฉาสมาธิ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เห็นสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็น

จริง ไม่มีชีวิตอยู่ในทำนองคลองธรรม ไม่เชื่อกฎของกรรม ไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ไม่เห็นอริยสัจ 4 ไม่มีชีวิตอยู่ในมรรคาปฏิปทา สุดท้ายเทวทัตก็ทำอนันตริยากรรมต่อ

พระพุทธเจ้า
งั้น อย่าไปคิดว่า สมาธิ ใครมาสอนสมาธิก็ถือว่า ดีแล้ว วิเศษแล้ว ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ใช้ได้แล้ว
ถามว่า สมาธิอะไร 
สมาธิที่ผ่านกระบวนการสัมมาสมาธิ มันต้องผ่านสัมมาสติมาก่อน คือ เห็นสภาพธรรมที่

ปรากฏตามความเป็นจริง เริ่มต้นจากมรรคาปฏิปทาข้อแรก ข้อต้น ก็คือ สัมมาทิฏฐิ
แล้วจึงจะเป็นสัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริชอบ ดำริที่จะออกจากความผิด ดำริที่จะออก

จากกาม ดำริที่จะออกจากอกุศล ดำริที่จะออกจากความชั่ว แล้วก็ดำริที่จะทำแต่คุณงาม

ความดี ต้องดำริอย่างนี้ก่อน แล้วจึงจะเจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ ความเพียรชอบ

จึงจะมาถึงว่า สติชอบ และสมาธิชอบ
เห็นไม๊ สมาธินี่มันเป็นข้ออะไร ข้อสุดท้ายเลย แต่เรามาเรียนก่อน แล้วที่เรียนแล้วมันเอา

ไปทำอะไร ก็เอาไปอวดกันเฉยๆ
งั้น อ้ายที่ทำได้น่ะ ไม่ใช่ว่าไม่ดี
ดี แต่ถามว่ามันดีแบบไหนล่ะ ดีแบบดาบสอดเหาะที่เรียกว่า วิขัมกหาปนะ หรือ

สมุจเฉทปหาน สมุจเฉทปหาน คือการตัดขาด ตัดรากเหง้า ไม่ต้องมีอะไรเหลือแล้ว

เหมือนกับตาลยอดด้วน มะพร้าวยอดกุด ซึ่งมันไม่งอกแล้ว มันตายสนิท แสดงว่า ไม่มี

ชาติภพให้เหลือแล้ว
งั้น เราอย่าไปคิดว่า เราเรียนสมาธิแล้วก็เป็นผู้วิเศษ สมัยก่อนหลวงปู่ทำมาก่อน ตอนบวช

พรรษาแรกๆ ทำมาทั้งนั้นแหละ หลวงปู่ทำมาจนกระทั่งทำให้ไฟลุกในมือ ในบาตร ไฟลุก

บนฝ่ามือได้ ให้กองใหญ่กองเล็ก เอากะละมังมาใส่น้ำ ขึ้นไปเหยียบ เท้าไม่จมกะละมัง

เสร็จแล้วตั้งท่า วันพรุ่งนี้ กูจะเดินบนน้ำแม่น้ำล่ะวะ กะละมังไม่เดินมันแล้ว โอ้โห นุ่งห่ม

อย่างดีเลย บิณฑบาตรเสร็จ ฉันแล้ว ตะพายบาตร รัดประคดผูกเอว ถือตาลปัตร
เอาล่ะ วันนี้กูจะเดินข้ามแม่น้ำไปฝั่งกะนู้น ก้าวปุ๊บ บาตรลอย
อ้าว มันเป็นมิจฉาสมาธิไง มันตัวกูไง ตัวกูอยากจะเดินขึ้นมา เห็นไม๊ มันไม่ใช่ล่ะ
เพราะงั้น ถามว่า พระใหม่ที่ท่านบวชน่ะ ท่านอาจจะเห็นอานิสงส์ของสมาธิเบื้องต้น ก็คือ สุข

ปิติ เอกัคคตา ซึ่งมันแตกต่างจากสุขที่ได้จากการเสพกาม รูปรส กลิ่น เสียง สัมผัส มันเป็น

สุขที่เรียกว่า เหมือนกับฟ้ากับดิน แลกกันไม่ได้ ท่านก็อาจจะติดในสุขนั้น
แต่ถามว่า ติดในสุขนี้แล้วมันดีไม๊ มันก็ดี แต่ที่สุดของมันแล้ว มันไม่พ้นทุกข์จากสุขอย่างนี้

เพราะสุขที่จะพ้นทุกข์ได้ มันต้องสุขแบบชนิด สมุจเฉทปหาน ต้องรู้ตามสภาพธรรมที่

ปรากฏตามความเป็นจริง เห็นอริยสัจ 4 มีชีวิตอยู่ในทำนองคลองธรรม แล้วเดินไปใน

มรรคาปฏิปทา
คุณมนัส   ท่านหลวงปู่ ในกรณีของคนที่กำลังพยายาม
หลวงปู่   ใครเอาน้ำไปให้อาม่า
คุณมนัส    คนที่กำลังจะ
หลวงปู่    ผู้ชายน่ะ เอาน้ำไปให้อาม่า
คุณมนัส     กลับมาบ้านตอนนี้น่ะฮะ อยู่ดูไบอะไรอย่างนี้ แบบนี้เรียกว่า หนีทุกข์ไม๊ฮะ
หลวงปู่    โอ
คุณมนัส    จะได้กลับไม๊
หลวงปู่    เอ นี่เรากำลังพูดมรรคาปฏิปทานะ ...คุณมาถามเอาอะไรกับชั้นเนี่ย
คุณมนัส    ผมไม่ได้ถามเอง มีคำถามมา เค้าเขียนมาถามจริงๆ เค้าบอกว่า นี่จริงๆ นะด้วย

ความสัตย์จริงนะ วันนี้เรารับศีลกันด้วย ผมไม่โกหกนะ แล้วการที่คนอยากจะกลับบ้านของ

คนที่อยู่ดูไบ มันเป็นการหนีความทุกข์อย่างหนึ่ง ใช่หรือไม่อย่างไรครับ แล้วก็มีโอกาส

กลับมาได้ไม๊ครับ เค้าถามมา
หลวงปู่     ถามจริงๆ เฮอะ เสื้อแดงคนไหนไม่อยากให้นายคนนั้นกลับมา หา คนในรัฐบาล

คนไหนที่อยากให้กลับ ชี้ซิ โอ๊ย มีใครอยากจะเสียตำแหน่งและหน้าที่ มีใครอยากไม่ได้ตังค์
คุณมนัส    เออ น่าคิด
หลวงปู่     ชั้นกลับมา แล้วใครจะให้ตังค์มึงใช้ล่ะ
คุณมนัส   นั่นสิ
หลวงปู่    เอ้า ว่ากันจริงๆ ตรงๆ เพราะงั้น อยู่อย่างนี้ก็ยังได้ตังค์ตลอด เดี๋ยวออกมาแสดง

power นิดหนึ่ง เดี๋ยวก็ตังค์นาย ตังค์นาย ถ้ากลับมาแล้ว จะไปเอาตังค์ที่ไหนล่ะนาย

นายก็ไม่จ่ายตังค์อยู่แล้ว งั้น ไม่มีใครอยากให้กลับหรอก
พูดกันจริงๆ แล้ว ก็คือ คนรวยแล้วต้องโง่ ถ้ารวยแล้วไม่โง่ ไม่ใช่คนรวย เอ้า รวยแล้วต้อง

มีคุณสมบัติ ต้องโง่ คนรวยเค้ามักจะพูดติดปากอยู่เสมอว่า โง่จึงจะมีคนคบ ถ้ารวยแล้วไม่โง่

ก็ไม่มีใครอยากคบ
งั้น ต้องขยันโง่เข้าไว้ คนรวย รวยแล้วต้องโง่ด้วย นี่เป็นคุณสมบัติพิเศษของคนรวย
งั้น ก็เลยอยากบอกว่า มันยาก ก็ได้แต่คุยๆ กันไป อย่าไปยุ่งกับเค้าเลย เค้าจะกลับไม่กลับ

ก็ไม่ใช่ญาติมิตรอะไรของเรา มันก็ไม่ได้เอาตังค์มาให้เรา เออ มันกลับมา แล้วมาถวายเรา

ซัก หมื่นล้าน ก็ยังว่าไปอย่าง
คุณมนัส    รับ
หลวงปู่    ไม่ ชั้นไม่ได้เห็นตังค์เป็นใหญ่กว่าความถูก ถ้าถูกล่ะก็ อย่าว่าแต่ไม่ถวายเลย ไม่

ถวายก็ได้ คุยได้ แต่ถ้าไม่ถูกไม่คุย
คุณมนัส   ถูกต้อง ต้องมาก่อนถูกใจ
หลวงปู่    เออ ถูกต้อง ต้องมาก่อนถูกใจ
คุณมนัส    คนดีต้องเสียงดัง อย่าให้คนไม่ดีเสียงดังกว่าเรา
หลวงปู่    เออ
คุณมนัส    หลักการต้องมาใหญ่กว่าหลักกู
หลวงปู่   อืม
คุณมนัส    ถูกต้องไม๊ฮะ ถ้าอย่างนั้น ทุกวันนี้มีแต่คนเห็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นใหญ่ มัน

เป็นเพราะอะไร เราจะทำยังไง จะสอนลูกสอนหลานเรายังไงดีฮะ
หลวงปู่     เป็นธรรมชาติมนุษย์แหละ เป็นกระแสวิถีโลก แล้วเป็นสัจธรรม เป็นความจริงที่

มนุษย์มีอยู่ พระพุทธเจ้าจึงต้องแสดงธรรม และธรรมที่พระองค์ทรงแสดงก็มีหลากหลาย

หนึ่งในความหลากหลายนั้นก็คือ ทานมัย การเสียสละ การให้ เพื่อทำลายธรรมชาตินี้ซะ ก็

คือ ความเห็นแก่ตัวให้ลดลง งั้น มนุษย์ ถ้าไม่เห็นแก่ตัวก็ไม่ใช่มนุษย์ คนถ้าไม่เห็นแก่ตัวก็

ไม่ใช่คน
 งั้น มันต้องเห็นแก่ตัว แล้วเห็นแก่ตัวแล้วเราต้องหาวิธีแก้ให้ความเห็นแก่ตัวนี้มันหมดไป

สังคมมนุษย์และสังคมของคนจะได้รวมกันเป็นปึกแผ่นได้
เพราะงั้น ถ้ามนุษย์ไม่เห็นแก่ตัวแล้วพระพุทธเจ้าจะสอนใคร ถูกไม๊
ถ้าทุกคนในประเทศ ในโลกใบนี้ ไม่เห็นแก่ตัวหมด หลวงปู่ก็ไม่จำเป็น ไม่ต้องออกจากป่า

มาสอนแล้ว กูก็อยู่กับป่า อยู่กับสัตว์ เออ ไม่จำเป็นต้องมาเป็นพระโพธิสัตว์เวียนตายเวียน

เกิดหลายภพหลายชาติ
ไม่เห็นแก่ตัวแล้วจะไปสอนใคร
ธรรมะมันมีไว้สอนสำหรับคนเห็นแก่ตัว ทำให้เห็นแก่ตัวมันเห็นน้อยลงและสามารถมอง

ข้าม ก้าวข้ามตัวเองไปให้ได้ นั่นแหละ สังคมจึงจะรวมกันอยู่ได้ แล้วเมื่อไหร่ที่สังคมมอง

ข้าม คือคนในสังคมสามารถมองข้ามตัวเอง ก้าวข้ามตัวเองลงไปได้  ผ่านไปได้ แสดงว่า

สังคมนั้นไม่ต้องมีคำสอนล่ะ สังคมนั้นก็ต้องเป็นสังคมของพระศรีอาริย์ล่ะ
ยุคพระศรีอาริย์ ท่านว่าไว้อย่างนี้ว่า คนที่เกิด สัตว์ที่เกิดในยุคพระศรีอาริย์ หรือ พระศรี

อริยเมตไตรย เป็นผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัว
อ้าว เมื่อไม่เห็นแก่ตัว จะต้องมียุคพระศรีอาริย์ทำไม
พระศรีอาริย์ก็จะใช้เวลาสอนธรรม เค้าบอกว่า เป็นแสนปี คนยุคนั้นต้องมีอายุเป็นแสนปี

เพื่ออะไร
เพื่อเรียนรู้สิ่ง 4 อย่างก็คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แต่ข้ามล่วงตัวกูออกไปแล้ว คือคน

ยุคนั้น เค้าบอกกันว่า ไม่ต้องมีประตูบ้าน ไม่ต้องมีหน้าต่าง ทรัพย์สมบัติก็หยิบได้ตาม

ถนนหนทาง ทองคำ แหวน เพชรนิลจินดาเกลื่อนก่น ไม่มีใครยึดเป็นเจ้าของของใคร เค้าไม่

เห็นแก่ตัวไง ข้าวปลาอาหารใครทำ ใครจะเก็บ จะเกี่ยว จะกิน ก็ทำได้ แล้วก็เอามาชดใช้กัน

ไม่ต้องมีตำรวจ ไม่ต้องมีคนจับผู้ร้าย โจรขโมยไม่มี ท่านว่าไว้ในยุคนั้นล่ะนะ คนที่จะเกิด

ยุคนั้น
จะไปไม๊ล่ะ
คุณมนัส    หลวงปู่ ผมดูโทรทัศน์เมื่อวันก่อน เค้าบอกต่างจังหวัดนะครับ บรรยากาศต่าง

จังหวัด ไม่ใช่บรรยากาศในเมือง ขึ้นตาลบ้านคุณยาย เอาตาลมาทำขนมเสร็จกลับไปให้

บ้านคุณยายคืน ยังมีอยู่
หลวงปู่     นี่ พวกที่นั่งอยู่นี่ก็หน้าต่างจังหวัดทั้งนั้น
คุณมนัส   เผื่อแผ่
หลวงปู่     คนต่างจังหวัดเดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว คุณ ขึ้นตาลบ้านคุณย่า แล้วก็ไปแอบเด็ด

มะพร้าวบ้านคุณตา ได้มามะพร้าวกับตาล ก็มาทำขนมตาลไปขายบ้านคุณป้า ได้ตังค์ก็ไป

ซื้อเหล้ามาบูชาตัว มีแต่อย่างนี้ทั้งนั้นแหละ
งั้น ก็เลยอยากบอกว่า อ้ายความเห็นแก่ตัว นี่มันเป็นธรรมที่อยู่ในกระแสโลก มันมีอยู่แล้ว

ในโลกใบนี้ ธรรมะจึงเป็นธรรมที่ทวนกระแสโลก แล้วสอนให้คนพยายามที่จะสลัดตัวกู

โดยการให้ การบริจาค การให้อภัย การทำลายความเป็นตัวกู ของกู และอีโก้ให้ลดลง
นั่นแหละคือ ธรรมะข้อหนึ่งในหลายๆ ข้อที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน
แล้วเมื่อพัฒนาจนถึงขั้นนี้แล้ว เมื่อมนุษย์ไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้ว ทีนี้มันก็ใช้เวลาในการ

เรียนรู้ว่า เออ เราอยู่ไป นานแล้วนะ เริ่มทุกข์ล่ะ ความทุกข์ที่เกิดจากนั่ง ยืนทุกข์ นอนทุกข์

เค้าเรียกว่า ทุกข์อาจินต์ ทุกข์ซ้ำซากจำเจ ก็เริ่มมีปัญญาที่จะรู้ว่า เอ จะพ้นทุกข์ได้ยังไง

อย่างนั้นก็เข้าไปหาอริยสัจ
นั่นแหละ พระพุทธเจ้าจะสอนเฉพาะอริยสัจ แต่ขณะที่สอนเฉพาะอริยสัจ ใช้เวลาสอน

เป็นแสนปี
นั่นคือ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ซึ่งอาตมาคงไม่ได้เกิดหรอก เพราะว่า นานเกินไป แสนปี ใช้

เวลาในการสอนอริยสัจต่อ 1 ชีวิต 1 คนเนี่ยนะ อายุขัยเป็นแสนปี
อยู่ไม๊
อาม่าอย่าเพิ่งไปไหนนะ อยู่ก่อนนะ กินหรือยัง หาน้ำอุ่นๆ อาม่าดื่มน้ำอุ่นๆ
คุณมนัส    หลักธรรมที่ท่านหลวงปู่ยกขึ้นมาเรื่องทานมัย น่าจะตอบคำถามทั้ง 3 คำถาม

ของท่านนี้ที่หยิยขึ้นมา 3 ข้อ รวดเดียวได้หมด อีก 2 คำถามท่านถามมาเรื่องวัตถุนิยม

ในปัจจุบัน เราจะแก้อย่างไร จะสอนลูกหลานยังไง แล้วอีกคำถามก็คือ ถามมาว่า เรื่องของ

การสื่อสารที่มันว่องไวมากๆ เราจะสอนลูกสอนหลานยังไงให้เค้ามีสติในการที่จะระลึกถึง

แล้วก็ไม่ไปเชื่อตามคำชวนเชื่อโฆษณา
หลักง่ายๆ ก็น่าจะใช้หลักตามที่ผมสวมเสื้อตัวนี้อยู่ คือ ให้มีสติอยู่ในกาย ในวาจา ในใจ ก็

ไม่ทำให้ทั้ง 3 อย่าง ทั้งกาย วาจา ใจ ตัวเองลำบาก ถูกต้องไม๊ครับ ท่านหลวงปู่
หลวงปู่    ที่จริง มันต้องแยกประเด็นนะ กับคนที่บ้าวัตถุ ความบ้าวัตถุมันเป็นตัณหา ความ

ทะยานอยาก มันเป็นโลภะ ความโลภ ตัณหา ความทะยานอยาก โลภะ ความโลภ อุปาทาน

ความยึดถือ พอมันมีตัณหา  ความทะยานอยาก โลภะ ความโลภ อุปาทาน ความยึดถือ มัน

ก็ทำให้วัตถุสำคัญกว่าตัวกู ตัวใคร ตัวใดๆ ทั้งหมดในโลก ทีนี้มาถึงคำถามที่ 2 คำว่าอะไร

นะ
คุณมนัส     เรื่องของวัตถุครับ วัตถุนิยม
หลวงปู่    วัตถุนิยมตอบไปแล้ว
คุณมนัส    เรื่องของการสื่อสารที่มา
หลวงปู่    การสื่อสารหรือสาร มันเป็นกระบวนการที่เราใช้สิ่งที่มีให้เป็นประโยชน์ แต่บาง

ทีบางครั้ง สิ่งที่เป็นประโยชน์นั้น มันทำร้ายตัวเรา เวลานี้สิ่งที่เป็นประโยชน์ ที่เราคิดว่าเป็น

ประโยชน์มากๆ มันทำร้ายครอบครัวเรา ทำร้ายตัวเรา
อย่าว่าแต่ลูกคุณเลย เด็กที่วัดที่มาเรียนหนังสืออยู่เนี่ย มันกลับมาจากโรงเรียน เราก็ เอ๊ มัน

หายไปไหน อ๊อ มันไปซุกอยู่กับ (หลวงปู่ทำท่า ยกมือใช้นิ้วโป้ง 2 นิ้ว กระดกขึ้นลง)

เออ ทั้งวันมันอยู่อย่างเนี่ย เออ
คุณมนัส   เกมกด โน๊ตบุ๊ก
หลวงปู่    เออ ทั้งวัน เสาร์อาทิตย์ อยู่อย่างนี้ เราบอกว่า เดี๋ยวกูจะเอามันมาต้มให้มึงกินกับ

ข้าว ถ้าเห็นเมื่อไหร่ได้กินต้มข่าเกมกับข้าวกิน เออ ตั้งแต่นั้นก็ไม่เห็น ไม่รู้มันไปแอบเล่นที่

ไหนของมัน กลัวต้มข่า อ้าว ต้มจริงๆ หลวงปู่ต้มจริงๆ ต้มให้มันกินให้เฉยไปเลย ถามว่า

มึงทำเพื่อประโยชน์อะไร เรียนหนังสือ ก็ไม่อ่านหนังสือ ถึงเวลาก็จะไปเอาแต่ความรู้กับครู

แล้วครูถ้าตั้งใจรู้ก็ไม่เป็นไร แล้วถ้าไม่ตั้งใจรู้ แล้วจะรู้เรื่องอะไร แล้วสิ่งที่ไม่ควรรู้ ดันไปรู้

เนี่ย อย่างนี้เป็นต้น
งั้น เรื่องทั้งหมด มันมาจากผู้ใหญ่คิดไม่เป็น คิดไม่ละเอียด คิดไม่รอบคอบ แล้วก็คิดอย่าง

ไม่มีเมตตา คิดจะแสวงหาประโยชน์ คิดแสวงหาประโยชน์ ก็เลยไม่สนใจว่า ใครจะเป็น

เหยื่อ แม้ที่สุดลูกตัวเองก็ตกเป็นเหยื่อ แล้วอย่างนี้ เค้าเรียกว่า ผู้ใหญ่ทำร้ายเด็ก ผู้ใหญ่

รังแกเด็ก พ่อแม่รังแกลูก พยายามสรรหาเหลือเกินล่ะของดีๆ มอเตอร์ไซด์ โน๊ตบุ๊ค โทร

ศัพท์มือถิอ เครื่องไฮเทค อินเทอร์เนท ทั้งหลาย หา หาให้ กลัวลูกจะเสพไม่เก่ง เสพไม่เป็น

ไม่เทียมทันสังคมแห่งการส้องเสพ แล้วสุดท้าย ก็เอาไปแว๊นๆๆ ตายอ่านหนังสือพิมพ์อยู่

ข้างถนน อย่างนี้เป็นต้น นี่ ผู้ใหญ่รังแกเด็ก พ่อแม่ทำร้ายลูก
แต่ถ้าคิดเป็น คิดถูก คิดดี คิดรอบคอบ ก็จะรู้ว่า อนาคตของลูกเรามันต้องมีพัฒนาการที่

เหมาะสมตามวัยวุฒิ ต้องมีคุณวุฒิ คุณธรรม คุณค่า คุณประโยชน์ให้เหมาะสม ไม่ใช่อยู่ดีๆ

ไปยัดเยียดให้มันจนมันเลย จนบางทีบางครั้งมันตัดสินด้วยตัวเองไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้จักถาม

ใคร แต่ก็ต้องทำ ต้องใช้เพราะเพื่อนฝูงชวนชัก หรือ มีคนอบรมสั่งสอนให้ทำ
งั้น คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายต้องบันยะบันยัง อย่าคิด อย่าเลี้ยงลูกให้เป็นนักเสพ หรือนักซ่าน

แล้วเราก็ต้องขยันสอน แต่ถ้าเมื่อใดที่เราเลี้ยงลูกให้เป็นนักเสพ แต่ไม่ขยันสอน แล้วก็สร้าง

ไม่เป็น ซ่อมไม่ได้ สุดท้าย ลูกเราจะกลายเป็นคนพิการในสังคม แล้วเราก็เป็นคนทำบาปให้

กับสังคม จบ
คุณมนัส    ก็เอาหลักธรรมนี้ไปปรับใช้ก็แล้วกันนะครับ ใกล้ชิดกับเค้าให้มากยิ่งขึ้น แล้วก็

รักลูกของท่านให้ถูกวิธีก็แล้วกัน อย่าไปรังแกเค้า แต่รักแกไว้อยู่กับเรานานๆ ผมก็ว่าน่าจะ

ดีที่สุด ก็หนีไม่พ้นหลักธรรม
หลวงปู่    เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแล้วนะ พ่อแม่ที่มีลูกแล้วเสาร์อาทิตย์ช่วยทำงานบ้าน ทำพืชผัก

สวนครัว ซักผ้าซักผ่อน ปัดกวาดเช็ดถู พ่อแม่ก็มีโอกาสชวนลูกใส่บาตรทำบุญเช้าวันอาทิตย์

เสาร์ฟังพระสวดมนต์ อะไรก็ว่าไป ไหว้พระสวดมนต์ ไม่ค่อยได้เห็นนะ เห็นแต่อะไรก็ไม่รู้

แล้วก็ไปมั่ว พ่อแม่ก็ดันสนับสนุนในทางที่ผิด อาทิตย์นี้ไปห้างไม๊ ลูก แน่ะ ไปช๊อปปิ้งไม๊ ลูก

กินข้าวนอกบ้านไม๊ ลูก
มันทำให้ลูกมีความรู้สึก เออ นี่คือชีวิตความเป็นจริงที่แม่อยากให้เราเป็น พ่ออยากให้เรา

เรียน พอมันโตขึ้นมันอยากเป็นอย่างนั้น ทำอย่างนั้นบ้าง เราก็ว่ามันไม่ได้นะ คือ คนเราเนี่ย

ตามอายุขัยและตามวัย มันคิดคนละเรื่องนะ อายุ 20 มันคิดอย่าง อายุ 30 คิดอีกอย่าง

คนๆ เดียวกันเนี่ยนะ บางทีบางครั้ง พออายุ 40 ก็มาย้อนหลังโอ๊ย 20 กับ 30 กูผิด

มาตลอด เคยไม๊ เคยคิดอย่างนี้ไม๊
มี บ่อยมาก
งั้น ถ้าเราเป็นพ่อเป็นแม่ อายุน้อยๆ ด้วยแล้ว มีหรือจะไม่ผิด มีหรือจะสอนไม่ผิด พูดไม่ผิด

เสี้ยมไม่ผิด นำไม่ผิด งั้น ต้องฟังให้มาก วิเคราะห์ให้มาก ต้องฟังปราชญ์ ฟังผู้รู้ ฟังครูบา

อาจารย์สั่งสอนให้เยอะ เราจะได้ไม่ผิดไม่พลาด เพราะความผิดของพ่อแม่ มันหมายถึง

ชีวิตของลูกนะ ไม่ใช่ผิดเฉพาะตนนะ เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียว เราอยู่กับสังคม โดย

เฉพาะเราเป็นพ่อเป็นแม่คน ถ้าเราเป็นคนผิด ทำผิด พูดผิด สอนผิด นำผิด ลูกก็ต้องทำตาม

ผิดๆ แล้วชีวิตเค้าก็จะผิดไม่รู้จักเลิก จบ
คุณมนัส   เราสรุป หลวงปู่ปิดท้ายนะครับ ก็เป็นวันอาทิตย์ แล้วทุกท่านก็รวมตัวกัน หลาย

ท่านมาเป็นครอบครัวด้วย ก่อนจะมาตรงนี้ที่สโมสรทหารเรือ ผมได้ฟังวิทยุรายการหนึ่ง

เป็นรายการเพลงสากล มีช่วงโฆษณา น่ารักดี ท่านหลวงปู่ เค้าจะเอาเสียงของประชาชนทุก

เพศทุกวัยนะฮะ ที่พูดถึงในหลวง ถามว่า ประทับใจอะไร ฟังแล้วก็ได้คิด สะท้อนกลับมาที่

ตัวเรา แล้วเราล่ะ เราคิดอะไรกับท่านบ้าง ผมก็นั่งคิดมา นั่งรถมา เออ อย่างน้อยผมก็รู้จัก

คำว่า พอเพียง ตะก่อนผมไม่รู้จักคำว่า พอเพียง ผมก็ใช้ชีวิตในวิถีของคนกรุงปกติ ก็คือ

เที่ยวเตร่ กิน กาม เกียรติ ปกติเหมือน lifestyle ของคนปกติ หนุ่มสาวทั่วไป

แต่พอวันหนึ่ง เราเข้ามาทำงานเป็นสื่อมวลชน เราก็ซึมซับเอาเรื่องของพระราชดำรัส

ในหลวงในเรื่องของความพอเพียงเข้ามา แล้วก็เข้ามาเรียนรู้มากขึ้นด้วยความที่เราต้องเสพ

ข้อมูล มันก็ปรับเข้ามา เออ เราต้องรู้จักการปรับตัว สุดท้าย ผมก็เลยมาได้คิดว่า พอเพียง

มันไม่ได้หมายความว่า เราเพียงพอที่จะอยู่คนเดียว มันหมายความว่า เราต้องเผื่อแผ่ไปให้

คนรอบข้างเค้าได้รับประโยชน์จากเราด้วย แล้วพอในฐานะของตัวเอง ไม่ได้เกินฐานะของ

ตัวเอง อย่างเรื่องของที่ท่านหลวงปู่ยกตัวอย่างมาเมื่อซักครู่
หลวงปู่   ตอนนั้นเท่าไหร่
คุณมนัส    ครับ
หลวงปู่    ตอนนั้น วัยเท่าไหร่
คุณมนัส    ตอนนั้นเหรอฮะ ประมาณ 20 กว่า
หลวงปู่    แล้วตอนนี้ วัยเท่าไหร่
คุณมนัส    30 กว่า
หลวงปู่    คือ ความคิดในระดับของอายุขัยและวัยของคน แม้แต่คนๆ เดียวกัน แต่เวลาต่าง

กัน คิดไม่เหมือนกัน งั้น มนุษย์เค้าจึงถือว่า ผู้มีวัยวุฒิ เป็นผู้อาวุโส อาวุโสทางอะไร ทางวัย

อย่างเดียวไม่พอ ต้องอาวุโสทาง คือ มีอายุขัย มีความรู้ มีความรอบรู้ มีประสบการณ์ที่สูง

มากกว่าผู้ที่อ่อนเยาว์
งั้น คนแก่จึงจะต้องเป็นครูของเด็ก คนแก่หรือผู้ใหญ่ต้องเป็นผู้นำของเยาวชนคนชั้นหลังๆ

แต่เผอิญสมัยนี้ คนแก่ดันทำเป็นเด็ก เค้าเรียกว่า เฒ่าทารก
คุณมนัส    แก่แล้วแก่เลย
หลวงปู่    แก่แล้วแก่เลย ถ้าคนแก่เป็นผู้นำของโลกของสังคม ของสิ่งแวดล้อม มันก็ดูกัน

อย่าง เค้าเรียกว่า มีต้นแบบให้ดูอย่างงดงาม ทีนี้ ตัวคนที่เป็นคนใหญ่คนแก่ มันดันทำตัว

เป็นเด็ก ทำตัวเป็นคนปัญญาอ่อนซะ คนเยาว์วัยก็เลยไม่รู้จะไปมองอะไร มองใคร สุดท้าย

ก็มองกันเองซึ่งไม่มีอะไรให้น่ามองนักหนา เราก็เลยจับแพะชนแกะไปเรื่อยเปื่อยเลอะเทอะ

งั้น อย่าไปคิดว่า เราถูกหมดนะ
งั้น หลวงปู่จึงพูดไว้แต่แรกว่า ถ้าเมื่อใดที่เรามองและก้าวข้ามไม่พ้นตัวอง อย่าไปร้องหา

ความเที่ยงธรรม อย่าไปแสวงหาความบริสุทธิ์ยุติธรรม และอย่าพูดถึงความซื่อตรง เพราะ

ยังไงเราก็มีตัวกู
แต่ถ้าเมื่อใดที่เราสามารถมองแล้วก็ก้าวข้ามพ้นตัวเองไปแล้ว คนๆ นั้นจึงจะมีสิทธิ์พูดถึง

ความเที่ยงธรรม บริสุทธิ์ยุติธรรม เพราะพูดอย่างไรก็พ้นตัวกู คือ ตัวกูไม่เกี่ยว ตัวกูไม่ได้

รับประโยชน์จากสิ่งที่ทำ ที่พูด ที่คิด
แล้วคนสมัยนี้มีตัวกูเยอะไม๊ เกลื่อนเต็มไปหมด ต้นแบบของสังคมก็ตัวกูเกลื่อนไปหมด อีโก้

อ้ายโก้เยอะกันไปหมด
งั้น เมื่อมีอีโก้ อ้ายโก้เยอะ ตัวกูมากๆ ให้พูดให้ตาย ฟังแล้วศัพท์สลวยสวยหรูอย่างไร ฟัง

แล้วเป็นงง แล้วทำไม่ได้ ทำไม่ได้ แล้วถ้าขืนไปทำ มันก็จะกลาย เป็นฝ่ายใด พวกไหน คน

ของใคร พรรคอะไร ถือหางข้างไหน เสื้อสีอะไร สุดท้าย คนพูดชื่ออะไร เออ มันก็จะถาม

กันอย่างนี้
เพราะฉะนั้น มันยาก สังคมยุคนี้ ถ้าไม่ก้าวข้ามตัวกูไปให้ได้ล่ะก็ สุดท้ายเราก็จะกลายเป็น

คนอยุติธรรมอยู่ตลอดเวลา แล้วอ้ายคนที่ทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาบ้าน รักษาเมือง รักษา

กฏหมาย ถ้ายังมีตัวกู  พวกกู พ้องกู อย่าไปถามขอความยุติธรรม ความเที่ยงธรรม ไม่มี

หรอก เพราะมันเกิดอคติทั้งนั้น ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะโลภ ลำเอียงเพราะหลง

ลำเอียงเพราะเกลียดหรือโกรธ มันต้องลำเอียงทั้งนั้นแหละ แล้วเราจะทำยังไง ก็ลองลุกขึ้น

ยืน แล้วลองมือรำ แล้วก็เอียงไปข้างหนึ่ง เค้าเรียก รำ เอียง
เออ จบเหรอ
คุณมนัส   ครับ
หลวงปู่     กี่โมงล่ะ
คุณมนัส    บ่ายสอง 41 นาทีครับ
หลวงปู่    เออ จบก็จบ
คุณมนัส    ทุกท่านครับ 1 ชั่วโมงกับ 40 นาทีนะครับที่เราได้สนทนาธรรมกับท่าน

หลวงปู่พุทธะอิสระ ถือว่า นี่เป็นวิถีแห่งธรรมที่ถูกต้องแล้วก็เป็นจริงนะครับให้ทุกท่านที่

เป็นกัลยาณธรรมได้นำไปประยุกต์ใช้ นำไปปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันที่เกิดผลจริงๆ มอง

ย้อนกลับไป เราผ่านวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เราปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐ

ธรรมนูญ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองเหมือนกัน ถ้าอยากจะตั้งใจ

เปลี่ยนการเสพวิถีของคนทั่วไปมาเป็นวิถีแห่งธรรม ผมว่าน่าจะเกิดประโยชน์มากที่สุด

มองไปข้างหน้า
หลวงปู่    เอ ชั้นว่า เค้าทำโพลล์ มีโพลล์หลายสำนัก โพลล์อะไร มีโพลล์สำนักไหน
คุณมนัส     นิด้าโพลล์ สวนดุสิตโพลล์ กรุงเทพโพลล์ อัสสัมชัญเอแบคโพลล์ ต่อไปจะมีอ้อ

น้อย
หลวงปู่    ต่อไปจะมีวัดอ้อน้อยโพลล์
คุณมนัส    เดี๋ยวมองไปข้างหน้านะครับ เดี๋ยวฝากเวทีไว้ต่อ เพราะเดี๋ยวจะมีกิจกรรมอื่นๆ

ที่จะเกิดขึ้นด้วยในวันนี้นะครับ แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง วันอาสาฬหบูชา แล้วก็วันเข้าพรรษาที่

วัดอ้อน้อย แล้วก็ 11 สิงหาคม ก่อนวันแม่แห่งชาติ จะมีพิธีใหญ่ก็คือ สมโภชองค์เง๊ก

เซียนฮ่องเต้
หลวงปู่    เออ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร ปฐมเทศนาซึ่งยังไม่

ถึงวันนี้  ท่านผู้ฟังฟังให้ดีนะ
คุณมนัส    ยังไม่ถึง ก็จดๆไว้ก่อน
หลวงปู่    เออ อันนี้ชวนให้ไปทำบุญในวันที่ถึง คือวันหน้า ไม่ใช่วันนี้นะจ๊ะ จะเข้าใจว่า ไม่

เห็นพระมาซักตัว จะใส่บาตร
คุฯมนัส   อยากให้พวกเราทุกคนเปล่ง สาธุการ พร้อมกัน เป็นการกราบนมัสการขอบพระ

คุณท่านหลวงปู่ที่ได้เมตตาบรรยายธรรมให้กับพวกเราได้รับฟังในวันนี้ครับ
(สาธุ)
หลวงปู่    ให้ทุกท่านที่รับชมรายการวิถีธรรม วิถีไทย จงรุ่งเรือง เจริญด้วยสติปัญญาของ

พระผู้มีพระภาคเจ้า คิดหวังสิ่งใด จงสมความปรารถนา เจริญธรรม
(สาธุ)
หลวงปู่    อาทิตย์หน้า เค้ามีแสดงธรรมที่วัดหรือเปล่าเนี่ย
(มี)
มีเหรอ
(อาทิตย์ที่ 4)
อาทิตย์หน้าเหรอ วันที่เท่าไหร่
(22)
22 แล้วอาทิตย์นู้นล่ะ
(อาทิตย์ที่ 5 ไม่มี)
เออ อาทิตย์หน้า ขอหยุดซักหน่อยได้ไม๊จ๊ะ
(ได้)
เออ เห็นย่าเค้าอยากอยู่กับลูกชาย เค้าอยากให้ลูกชายพาไปป่า หลวงปู่ก็อยากพักหน่อย
อาทิตย์หน้า สรุปแล้ว ไม่มีแสดงธรรมที่วัดนะ ลูก เออ แต่เป็นอาทิตย์นู้น เลื่อนไปเป็น

อาทิตย์สุดท้าย อาทิตย์ที่จะถึงนี่ เป็นอาทิตย์อะไร
(อาทิตย์ที่ 4 )
วันที่
(22)
 เออ แล้วอาทิตย์สุดท้ายของเดือน
(29)
เออ เป็นวันที่ 29 วันที่ 29 ต้องไปบวชเนกขัมมะใช่ไม๊
(ยัง บวชวันที่ 1)
เออ เลื่อนไปวันที่ 29 อยากพักบ้าง ไม่อยากทุเรศตัวเอง แสดงธรรมไป เอาถังออกซิเจน

ไปวางอยู่ข้างหน้า
เอ้า เตรียมตัวถวายทาน ลูก ว่า นะโม 3 จบ
.............
(สาธุ)
โชคดี ลูก ธรรมะรักษา ให้รุ่งเรืองร่ำรวยสุขภาพแข็งแรง เดินทางโดยสวัสดิภาพ ปลอดภัย

ทุกคน ลูก
(สาธุ)
ไปสวดมนต์ถวายในหลวงไม๊
(ไปค่ะ/ครับ)
เออ ไป เดี๋ยวนัดก่อน ไว้วันไหนวะ อ้าว นัดเลย วันอาทิตย์ที่ 29 วัดมีงาน 28 โกนผม

วันเสาร์
อย่างนั้น วันศุกร์ไม๊ วันที่ 27 น่ะ ลูก เออ บ่ายๆ เหมือนเคย
เอ๊ย เดี๋ยวต้องให้เค้าไปนัดก่อนนะ ยังไม่ได้ขอเลย กูนัดแล้วเดี๋ยวเค้าไม่ให้ เดี๋ยวคอยฟัง

ข่าวก็แล้วกันเน้อ เออ แล้วแต่งตัวไป ชวนพี่ชวนน้องชวนญาติไป พ่อเราป่วย ต้องไปให้

กำลังใจเสียหน่อย เดี๋ยวให้มูลนิธิฯ เค้าไปติดต่อขอใช้สถานที่ก่อน เค้าอนุญาตก็ตกลงวัน

ศุกร์ที่ 27 ตอนบ่ายๆ ไปเจอกันที่นู่น แต่ต้องเค้าไปขอก่อนนะ ลูก คอยฟังข่าวอีกที
(กราบ)