30 ก ย 2555    13.25 น. (1) วันกตัญญู สวดพระมาลัย โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ และ
คณะสงฆ์
(กราบ)
พิธีกร    เรียนเชิญ คุณย่าอัมพร ทองประเสริฐ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยค่ะ
หลวงปู่    ใครไปจุดเทียนเครื่องทองน้อย วรเดชจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้า มีเทียน มีธูปหรือเปล่า เอาเทียนไปตั้ง หาเทียนใหม่มาใส่ ตั้งข้างหน้า
ผ้าตรงนั้นเค้าถวายแล้ว ลูก ช่วยกันยก ส่งๆ มาให้เค้าข้างหลัง จะได้มีพื้นที่ว่าง ยังนึกว่าเค้าเก็บแล้ว เออๆ อยู่ว่างๆ ทำงาน ช่วยทำมาหากิน ลูก คนละไม้คนละมือ แล้วจะได้ขยับเข้ามาได้

มานั่งเบียดกันท้ายๆ จะได้เข้ามาที่กลาง มีที่ว่าง เสร็จแล้วก็ขยับเข้ามา
เอ้า เสร็จแล้วก็จะได้ขยับเข้ามานั่งได้ ลูก มีที่ว่างพอ
สมาทานธรรม อาราธนาธรรม
......................
นะ โม ตัส สา....
อะ ระ หัน ตัส สะ....
สัม มา สัม พุท ธัส....
สะ มะ ยัต โถ...
(3 จบ)

พระมาลัย

 เมื่อนั้นก็พระมาลัย  (ซ้ำ)  เสด็จลงไปโปรดสัตว์นครา
 ลงนรกไปเห็นสัตว์ทุกข์  (ซ้ำ) ดูไม่สนุกเป็นทุกข์นักหนา
 น้ำเย็นอันหวานสดใส  (ซ้ำ) กลับแสบร้อนไปทั่วทั้งกายา
 ท่านจึงเสด็จไปใกล้  (ซ้ำ) เห็นสัตว์นั้นไซร้ร้องสั่งบอกมา
 ว่าช่วยได้โปรดข้าด้วย  (ซ้ำ) ขอท่านจงช่วยข้าด้วยเจ้าขา
 บอกให้หมู่ญาติกา  (ซ้ำ) ให้เขาเมตตาส่งบุญมาด้วย
 ให้เขาจำศีลให้ทาน  (ซ้ำ) อย่าเป็นอันธพาลทำบุญดีกว่า
 แล้วอุทิศผลบุญนั้นมา  (ซ้ำ) ให้แก่ผู้ข้าชื่อว่าได้ทุกข์
 พวกเราไม่เคยสนุก  (ซ้ำ) ข้ากูมีทุกข์เหลือเกินวา
           (สร้อย)    พวงเจ้าเอ๊ยจำปา 
ได้โปรดช่วยข้าด้วยเอย.............
 *เอื่อ  เออ  เอิ๊ง  เออ  เอื่อ  เออ  เอิ๊ง  เออ  เอ่อ เอิ๊ง   เอ๊ย......
 พระมาลัยผู้รุ่งเรืองยศ  (ซ้ำ) เสด็จปรากฎทั่วทั้งทิศา
 พระโมคคัลลาน์ท่านนิพพานแล้ว  (ซ้ำ) โอ้คุณพระแก้วท่านดับแล้วหนา
 ยังแต่ก็พระมาลัย  (ซ้ำ) ทุกท่านรู้ได้ว่าทรงฤทธา
 ทรงเดชวิเศษรุ่งเรือง  (ซ้ำ) เหนือเทพทั้งเมืองอีกทั้งมนุษา
 สัตว์นรกและเปรตทั้งหลาย  (ซ้ำ) ต่างก็อยากถวายดอกไม้บูชา
 เพราะท่านท่องเที่ยวไปทั่ว  (ซ้ำ) จึงรู้จักสัตว์ทุกตัวทั้งใต้ดินบนฟ้า
 จึงนำเอาความที่รู้  (ซ้ำ) มาบอกแก่หมู่บรรดาญาติกา
 เหล่าญาติในเมืองมนุษย์  (ซ้ำ) จักได้พิสูจน์รู้ทุกข์สุขหนา
           (สร้อย)    พวงเจ้าเอ๊ยจำปา ญาติรู้แล้วหนาทำบุญส่งไป.....................(จบ)
  
 * เอื่อ  เออ  เอิ๊ง  เออ  เอื่อ  เออ  เอิ๊ง  เออ  เอ่อ  เอิ๊ง  เอ๊ย...
     

                                                                    เปรต

 ยังมีเปรตหนึ่ง ลำบากนักหนา     ยังมีเปรตหมู่หนึ่ง เจ็บปวดสุดจะทน
เป็นเหยื่อ  แร้งกา  ๆ ฝูงสัตว์อยู่รุม  ๆ...    เส้นขน  ของตน  ๆ เป็นดาบเชือดลง  ๆ...
 สุนัขใหญ่น้อย พลอยกัดกินรุม     ขนนั้นงอกออกมา เต็มตัวทั่วทั้งองค์
แร้งกา  นกตะกรุม  ๆ รุมจิกสับเอา  ๆ...    เป็นดาบ  เชือดลง  ๆ ทั่วทั้งสรรพางค์  ๆ...
 เนื้อนั้นหมดสิ้น เหลือแต่โครงเปล่า     ทนเจ็บอยู่มิได้ ร้องไห้แล้วก็ครวญคราง
จิกสับ  เฉี่ยวเอา  ๆ ร้องครางเสียงแข็ง ๆ..    แร้งกา  จิกพลาง  ๆ พาขึ้นเวหน ๆ...
 แร้งกานกตะกรุม จิกสับเอาด้วยแรง     ร้องคราง เสียงอืออึง ทนทุกข์เวทนา
จิกทึ้ง  กวัดแกว่ง  ๆ ยื้อแย่งไปมา  ๆ...    เจ็บปวด  นักหนา  ๆ เพียงจะวายชนม์  ๆ...
 มันเฉี่ยวเปรตตนนั้น ขึ้นสู่เวหา     ฝูงเปรตเหล่านี้ เมื่อยังเคยเป็นคน
จิกยื้อ  ไปมา  ๆ ในกลางเวหน  ๆ...    ใจร้ายๆ  อกุศล  ๆ ชอบฆ่าหมูขายๆ..(จบ)
 ฝูงเปรตหมู่นี้ เมื่อยังเป็นคน   
ฆ่าสัตว์  เลี้ยงตน  ๆ บ่มิอดสู  ๆ...   
 ฆ่าเนื้อวัวควาย บ่มิได้เอ็นดู   
แทงสัตว์  ให้อยู่  ๆ ดิ้นล้มจนตาย  ๆ...   
 ฆ่าทรายเนื้อกวาง ทั้งวัวแลควาย   
ฆ่าสัตว์  ทั้งหลาย  ๆ ล้วนแต่สี่ตีน  ๆ...   
 บาปตนคนฆ่าสัตว์ วัวควายเป็นอาจิณ   
แร้งกา  พาบิน  ๆ จิกสับเฉี่ยวเอา  ๆ...   
 บาปตนคนฆ่าเนื้อ เจ็บปวดก็ฉันใด   
แร้งกา  พาไป  ๆ ทนเจ็บคนเดียว  ๆ...   
 บาปตนคนแล่เนื้อ เหลือแต่โครงเปล่า   
แร้งกา  เฉี่ยวเอา  ๆ เนื้อนั้นบินไป  ๆ...   
 เจ็บปวดสุดจะทน แต่ตนคนอยู่เปลี่ยว   
ร้องคราง  คนเดียว  ๆ ทนทุกข์เวทนา  ๆ...   
 บาปตนคนฆ่าเนื้อ ให้ถึงแก่ความตาย   
นกตะกรุม(มารุม) แร้งกา  ๆ จิกทึ้งเนื้อตน  ๆ...   
*  เอือ  เอ่อ  ฮะ  เออ  เอิง  เอ๊ย..  เอ่อ  เออ  เอิง  เออ  เอิง  เออ  เอิง  เออ    เอิง  เอ๊ย....


30 ก ย 55  13.45 น. (2) สวดพระมาลัย  โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ และคณะสงฆ์
ต่อไปจะพาไปรู้จักนรกทั้ง 8 ขุม ไปเริ่มตั้งแต่ขุมที่ 1 จนถึงขุมที่ 8 เราจะได้เข้าใจถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของสัตว์นรกแต่ละขุม แล้วใครสนใจจะเขียนใบสมัคร เค้าก็มีใบกรอกข้อ

ความไว้อยู่ข้างหน้าเต๊นท์ อยากจะอยู่ขุมไหน ไม่ต้องเสียเงินดาวน์ ไม่ต้องจ่ายเบี้ย สมัครแล้วอยู่ได้ทันที ค่าเช่าก็ไม่ต้องจ่าย อาหารการกินก็ไม่ต้องใช้ มีอะไรๆ ฟรีทั้งหมด
สนใจวงดนตรีวงนี้ ติดต่อได้นะ ที่มหาอานนท์ แต่หัวหน้าวง ขอลา

30 ก ย 55  14.30 น. (4) หลังสวดพระมาลัย มหานรก 8 ขุม จบ สรุปโดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
พิธีกร    ที่เราจะช่วยกันทำบุญ อยู่ตรงกลางนะคะ ท่านผู้ชาย ช่วยกันยกเดินไป หรือนำพานเล็กๆ ไปหาญาติธรรมเราที่จะทำบุญ
หลวงปู่     เอาไปใส่นู่น นู่น ขันนู่น สัตว์นรก เค้าวางอยู่นู่น ขัน
อธิบายความให้ฟัง เข้าใจให้ชัดอีกครั้งหนึ่งว่า เรื่องกาลเวลาของสัตว์นรกแต่ละขุมๆ
คนที่เป็นสมาชิกนรกขุมแรก ชื่อว่า สัญชีวมหานรก จะอยู่ในนรกขุมนี้ 1 วันกับ 1 คืนนรก เท่ากับโลกมนุษย์ ท่านบอกเอาไว้ ว่า 9 ล้านปี คืนกับวันนรก เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์ แล้ว

คนที่จะตก สัตว์ที่จะตกนรกขุมนี้ ต้องไม่ต่ำกว่า 500 ปีนรก ก็เอา 9 ล้านปีคูณ 500 ปี ว่า จะต้องตกอยู่กี่วัน นี่คือ ขุมที่ 1 นะจ๊ะ ใครสนใจจะไปอยู่ ค่าบ้านไม่เช่า ข้าวไม่ซื้อ

ปรึกษาหารือ ไม่ต้องจ่ายตังค์ สมัครได้
ต่อไป ขุมที่ 2 ท่านว่าเอาไว้ ว่า สัตว์นรกที่ตกอยู่ในขุมนี้ 1 วันกับ 1 คืนนรก ท่านว่าไว้ว่า เท่ากับจำนวนวันคืนของมนุษย์ก็คือ 36 ล้านปีในโลก 36 ล้านปีเท่ากับ 1 วัน 1 คืน

นรก แล้วสัตว์นรกในขุมที่ 2 นี้ ต้องตก 1,000 ปีนรก จึงจะหมดกรรม ถ้าใครจะไปเยี่ยมหมู่บ้านนี้ ต้องอยู่ให้ได้ครบ 1,000 ปีนะจ๊ะ ถ้าไม่ครบ เค้าก็ไม่ให้ออก, 1,000

ปีนรก ก็นับไปแล้วกัน ลองเอา 36 ล้านปีโลกไปคูณเข้า เอ่อ ขุมที่ 2 นะจ๊ะ
ต่อไป ขุมที่ 3 ที่เล่าให้ฟังนี่ เผื่อสนใจสมัครเป็นสมาชิก เออ เกณฑ์อายุสัตว์นรกตกขุมนี้ 2,000 ปีหมกไหม้ร่างกายขันธ์ 145 ล้านปีในโลกนั้น เท่ากับ 1 คืน 1 วันของนรก

เพราะงั้น อายุขัยของสัตว์นรกที่จะตกในขุมที่ 3 นี้ ต้องตกถึง 2,000 ปี จึงจะพ้น ก็เอา 145 ล้านปีไปคูณ
ต่อไป ขุมที่ 4 คนที่จะตกในนรกขุมนี้ 234 ล้านปี 1 วัน 1 คืน ของนรกเท่ากับ 234 ล้านปีโลก แล้วก็สัตว์นรกที่จะตกอยู่ในขุมนี้ เทียบอายุขัยของสัตว์นรก ท่านเทียบไว้ว่า เท่า

ไหร่หว่า หา 4,000 ปีนรก เออ เอา 4,000 ปีคูณ 234 ล้านปีโลก คูณเข้าไป อยู่ได้ ไม่ต้องเสียค่าเช่า
ต่อไป ขุมที่ 5 สัตว์นรกขุมนี้มีอายุทั้งหมด โลกมนุษย์ มี 9,216 ล้านปี ต่อ 1 วัน 1 คืนของสัตว์นรกนะ แล้วผู้ที่จะตกในนรกขุมนี้ ต้อง 8,000 ปีนรก ก็เอา 9,216 ล้าน

ปีมนุษย์เข้าไปคูณ
ต่อไป ขุมที่ 6 ก็มี 16,000 ปีนรก, 1 วัน 1 คืนของนรก เท่ากับ 184,212 ล้านปีมนุษย์
นรกขุมที่ 7 นับไม่ได้ เพราะเป็นอันตรกัลป์ อยู่ไปเฮอะ อยู่ได้ยาว ลูก, ไม่ต้องกลัวใครเค้าไล่
ขุมที่ 8 ก็นับไม่ได้ เพราะจัดได้ว่า เป็นมหากัลป์ อยู่ไปเฮอะ อยู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าเค้าเบื่อหน้ามึง
ทำหรือยัง สงเคราะห์สัตว์นรกหน่อย เออ
โอย ปีหน้ากูว่าจะยกทั้ง 448 ขุม มาให้ฟังนี่จะฟังหมดไม๊เนี่ย
ว่าให้ฟัง ยกขึ้นมาให้รู้ ก็เพื่อให้เข้าใจว่า นี่เป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพุทธพจน์ เป็นสิ่งที่อยู่ในพระชาดก อยู่ในคัมภีร์ แม้แต่สัทธรรมปุณฑริกสูตร เรียกว่า พระสูตรที่อยู่ใน

มหายาน เรียกว่า เป็นพระสูตรภาคพิสดาร ก็จำแนกสัตว์นรกเอาไว้ แล้วท่านก็ยกคุณของพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง คือ พระกษิติครรภโพธิสัตว์ หรือ ที่คนจีนเค้าเรียกว่า ตี่จั่งอ๊วง เป็นพระ

โพธิสัตว์ที่ลงไปโปรดสัตว์นรก แล้วก็จะอยู่จนกระทั่งสัตว์นรกตนสุดท้าย จึงจะไปบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
ท่านก็สาธยายเอาไว้ละเอียดมาก เค้าละะเอียดยิ่งกว่านี้อีก แล้วจำแนกแจกแจงเอาไว้เด่นชัด เพื่อให้พวกเราได้เกิดความละอายชั่ว กลัวบาป เวลาจะทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร
อย่าง นรกอวจีนี่ ทำกรรมท่าไหน ได้ท่านั้นนะ ตีพ่อ ตีแม่ ชี้หน้าด่า คดโกง กินบ้านกินเมือง กินแผ่นดิน กินภูเขา กินเหล็ก กินหิน กินถนน กินทาง กินตะพานนี่ มึงทำท่าไหน มึงได้ไปเกิด

อยู่ในอเวจีท่านี้ เออ นอนกิน นั่งกิน ยืนกิน เดินกิน โกงเค้า นอนโกง ยืนโกง นั่งโกง ก้มโค้งโกง อะไรก็แล้วแต่ ตีลังกาโกง ก็จะต้องไปอยู่ในอเวจี แล้วมันนับไม่ได้ เพราะมันเป็นมหากัลป์
ท่านก็ว่าไว้ว่า อย่าหวังเลย จะได้เกิดเป็นมนุษย์ จนกว่าจะได้พบพระผู้วิเศษ หรือพระอรหันต์ไปโปรด หรือไม่ก็พระโพธิสัตว์ หรือ พระพุทธเจ้า
งั้น พวกเราก็ หวังใจว่า สิ่งที่พวกเราทำนี่ มันจะช่วยปลดเปลื้ยงสัตว์เหล่านั้น ให้มีแสงสว่าง แล้วก็ทำให้เค้าได้ผ่อนคลายความทุกข์เดือดร้อนได้ในระดับหนึ่ง
ช่วยๆ เค้า ลูก เผื่อเรามีญาติของเรา เผื่อคนพวกนั้น สัตว์เหล่านั้นเป็นญาติของเรา
มันต้องมีน่ะ ทุกคนมีญาติ ไม่ญาติเรา แต่ละคนก็ได้ขึ้นสวรรค์ทั้งหมดหร๊อก มันก็ต้องตกนรกบ้างล่ะ
เอ้า กี่โมงแล้วล่ะ
เอ้า เดี๋ยวจะได้ไปแจกของ เอ๊าๆ ให้มันจบๆ ไปซะ มันจะได้กลับๆ บ้านไปซะที
เริ่มสวดพระมาลัย บทสุดท้าย
..........

30 ก ย 55  14.55 น. (5) สวดพระมาลัยบทสุดท้าย โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ และคณะสงฆ์
เอ้า กี่โมงแล้วล่ะ
เอ๊า เดี๋ยวจะได้ไปแจกของ เอ้าๆ ให้มันจบๆ ไปซะ มันจะได้กลับๆ บ้านไปซะที
เริ่มสวดพระมาลัย บทสุดท้าย

พระเถรมาลัย
*****************************************
        เมื่อเช้าวันหนึ่ง  พระเถรมาลัย จึงเสด็จ ๆ เข้าไป   เที่ยวภิกขาจาร
มีมือถือบาต  คลุมผ้าจีวร เดินด้วย ๆ สังวร  ได้แล้วเดินมา
        ยังมีชายหนึ่ง  ยากจนเข็ญใจ เก็บผัก ๆ หักไม้  เลี้ยงพระมารดา
ลงไปสู่สระ  เพื่อเก็บผักมา เลี้ยงพระ ๆ มารดา  ตามยากทรพล
ชายนั้นอาบน้ำ  ชำระเหงื่อตน เห็นดอก ๆ อุบล  แปดดอกโสภา
ชายนั้นจึงเก็บ  เอาดอกไม้มา ด้วยใจ ๆ ศรัทธา  ชื่นชมยินดี
ชายนั้นเล็งเห็น  พระเถรมาลัย เดินมามาและก็แต่ไกล  สำรวมอินทรีย์
แลไปชั่วแอก  เห็นงามมีศรี มีอิทอิทธิฤทธี  ด้วยฌาณผ่องใส
ชายนั้นเล็งเห็น  พระเถรมาลัย จึงเดินเดินและก็เข้าไป  ด้วยใจกุศล
      ชายนั้นจึงถวาย  ดอกไม้อุบล ด้วยใจ ๆ กุศล  แก่พระมาลัย
ชายนั้นจึงตั้ง  ปณิธานไป นึกแต่ ๆ ในใจ  ข้าขอๆปรารถนา
จะเอาอันใด  ชายนั้นจึงจินดา จึงกล่าว ๆ คาถา  ตั้งปณิธาน
       เดชะข้าถวาย  ดอกไม้เป็นทาน ข้าเกิด ๆ ในสถาน  ชาติใดภพใด
แม้นได้หมื่นชาติ  แสนชาติอันไกล ชื่อว่า ๆ เข็ญใจ  อย่าได้เกิดมี
       พระเถรมาลัย  รับดอกไม้มา ดอกอุบล ๆ มีสี  จากชายนั้นมา
       ท่านจึงกระทำ  อนุโมทนา จึงสวด ๆ คาถา  ให้จำเริญบุญ
ชายนั้นจึงถวาย  ดอกไม้อุบล ด้วยจิต ๆ กุศล มีใจศรัทธา
เมื่อครั้นสิ้นชีพ  แล้วมินานช้าๆ จึงไปเกิด ๆ บนฟ้า  แดนสวรรค์ศิวิลัย
วิมานนั้นสวย  แล้วด้วยดอกอุบล หอมกลิ่น ๆ สุคนธ์  ขจรไปแสนไกล
หอมตลบอบอวล ทั้งเมืองสวรรค์ ด้วยบุญ ๆ อันใหญ่  ท่านให้ด้วยศรัทธา
แด่พระเถรา นามว่าพระมาลัย ท่านไดโปรดสัตว์  ให้พ้นทุกข์ภัย
ทั่วทิศแดนไกล  พ้นภัยแผ้วพาล หมื่นชาติ ๆ แสนชาติ สุดจะกำหนดได้
บุญกุศลชายนั้น  ส่งให้ได้มา พบพระ ๆ ศาสนา พุทธะเบิกบาน
ต่อมาท่านนิพพาน  สิ้นทุกข์พ้นภัย ห่างไกล ๆ วัฏฏะ  มีชัยหมู่มาร ฯ
   
********************************************************************
30 ก ย 55  15.10 น. (6) หลังสวดพระมาลัยบทสุดท้าย จบ โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
ย่าบอก ให้น้ำหรือยัง ทำเป็นไก่ไปได้
เอ่อ ญาติโยมท่านใดสนใจ วงคอรัสวงนี้ ติดต่อได้ที่ท่านมหาอานนท์นะคะ คิดราคาไม่แพง เป็นกันเองค่ะ หัวหน้าวงไม่ไปนะคะ ไม่ไหวล่ะค่ะ สวดนานๆ แล้วก็ ความดันมันขึ้นสมอง ปวดหัว
เอ้า บทสุดท้าย ชี้ให้เห็นว่า ไม่ต้องมีตังค์มาก ไม่ต้องมีเงินเยอะ แค่ดอกบัว ดอกสองดอก แล้วทำบุญด้วยใจศรัทธา ปรารถนาดี มีความเอื้ออารีอยู่ในหัวใจเต็มเปี่ยม ก็ได้อานิสงส์
ในที่สุด ก็ได้ ไปนิพพานได้ (สาธุ)
งั้น อย่าไปคิดว่า อ้ายที่เราทำนิดหน่อย เล็กน้อย คือ พวกเรา ข้อเสีย คือว่า สักแต่ว่าทำ
ทำ โดยไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวเองทำ
ถามว่า เพราะอะไร
ก็ใส่บาตร ก็สักแต่ว่าใส่
ไม่ได้ใส่ เพราะว่า มีจิตใจตั้งมั่น มีความปรารถนา แล้วตั้งอยู่ในหัวใจ
เวลาใส่ก็ เลื่อนลอยไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้จริงอกจริงใจ
สมัยก่อน หลวงปู่ทำงาน พอวันพระวันโกน เค้าไปเที่ยวกันวันเสาร์อาทิตย์ เรา พอวันพระวันโกน พรุ่งนี้วันพระ เย็นนี้ออกไปตลาดล่ะ ไปซื้อของมา ซื้อผลไม้ ซื้อดอกไม้ ดอกบัวมากำมา

มัดมาพับ ซื้อดอกมะลิ ดอกรัก มาร้อย ทำด้วยตัวเอง ทำด้วยใจศรัทธา พอถึงเวลาก็ใส่บาตร ใส่ด้วยศรัทธา ทำด้วยให้ความสำคัญ ให้ความจริงใจ สำคัญอยู่ในหัวใจ แล้วอานิสงส์ก็จะได้มาก
เรานี่ทำมากๆ อานิสงส์ได้น้อย ก็เพราะเราไม่ได้ให้ความสำคัญ เราไม่จริงใจ เราทำไมถึงว่า ผู้ชายเก็บดอกบัวข้างทาง 8 ดอก ถวายพระมาลัย ทำไมถึงได้ไปสวรรค์ ไปนิพพาน
ก็เพราะว่า เค้าจริงใจ เค้าไม่ดูถูกทานของเค้า แล้วผู้รับก็ไม่ดูถูกทานของผู้รับ
แล้วผู้รับก็เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิตั้งมั่น มีปัญญารอบรู้เข้าใจ
ผู้ให้ ก็ก่อนทำ ตั้งใจ, ขณะที่ทำ เต็มใจ, ทำเสร็จแล้ว สบายใจ
เมื่อทุกอย่าง มันสมบูรณ์อย่างนี้ ทานนิดหน่อย ก็กลายเป็นอานิสงส์มาก มีผลมาก มีอุปการะคุณมาก
แต่ถ้าหากว่า มีของมากๆ แล้ว ไม่จริงใจ ไม่ตั้งใจ ไม่เต็มใจ, ทำ ก็สักแต่ว่า ทำ, ทำให้มันจบๆ ไป เลิกๆ
ไหว้พระ ก็ไหว้สักแต่ว่า ไหว้ ไหว้ให้มันครบ ไหว้ให้ได้ไหว้
สวดมนต์ ก็สักแต่ว่า สวด สวดให้มันครบ สวดให้ได้สวด
ใส่บาตร ก็สักแต่ว่า ใส่ ใส่ให้มันเลิกๆ จบๆ  ให้คนเค้ามองว่า เราเป็นคนใส่บาตร
อย่างนี้ ไม่ได้ เค้าเรียกว่า ไม่จริงใจทำ ไม่สมัครใจทำ ไม่ตั้งใจทำ
มันก็จะไม่ตรงกับคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่บอกว่า การทั้งหลาย มีใจเป็นนาย มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ
ขึ้นสวรรค์ ก็ไปได้ด้วยใจ ขึ้นได้ด้วยใจ, ตกนรก ก็ตกด้วยใจ ตกที่ใจ
งั้น คนที่ใจดี ใจตั้งมั่น ใจเป็นบุญเป็นกุศล รักษาใจไว้ให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ผ่องแผ้วอยู่เนืองนิจ ขึ้นสวรรค์ทุกวัน ไปสวรรค์ทุกวัน ทำ พูด คิด อะไร ก็ร่ำรวย รุ่งเรือง สำเร็จประโยชน์
อ้ายคนจิตใจไม่ดี ให้ทำให้ตาย มันจะมีปัญหา มีอุปสรรค มีขวากหนาม มีเรื่องมารุมเร้า มีเหตุมาบ่อนทำลาย มีคนมาคอยจ้องทำร้ายทำลายอยู่ตลอดเวลา
งั้น ในมุมกลับกัน ถ้าไม่เกี่ยวเกาะกับกรรมเก่าด้วยนะ นี่เป็นกรรมใหม่ๆ ของเรา เราเป็นผู้ทำตัวเราเอง แต่ในกรณีของคนที่มีเกาะเกี่ยวกับกรรมเก่า มีกรรมกันมาแต่ปางก่อน แล้วมาจอง

ล้างจองผลาญ จองเวรกัน อันนั้นก็ว่าไป
แต่ที่สุด มันก็แพ้ใจ กรรมอะไร มันก็แพ้ใจ
ถ้าใจตั้งมั่น ใจมั่นคง ใจศรัทธา ใจปรารถนาดี ใจมีปัญญา ใจบริสุทธิ์ ใจมีศีล มีธรรม
สมัยก่อน หลวงปู่สร้างวัดใหม่ๆ มันไม่ได้สำเร็จง่ายหรอก ใครดู ก็บอกว่าไม่สำเร็จ ไม่สำเร็จ อะไรก็ไม่สำเร็จ ตังค์ก็ไม่มี แถมยังโดนอิทธิพลเถื่อน คอยจ้องทำร้ายทำลาย กลางคืนก็มายิง

ปืนขู่บ้าง เออ เอาพวกหน้าแปลกๆ มาข่มขู่ เอาตำรวจมาค้น อะไรก็ไม่รู้ เออ ทั้งพระ ทั้งชาวบ้าน ทั้งกำนันผู้ใหญ่บ้าน ทั้งนายอำเภอ ทั้งผู้ว่าฯ รุมกัน เหยียบ
ถ้าใจเราไม่ดี ป่านนี้ก็ไปไหนแล้ว นี่ ใจมันดี ใจมันตั้งมั่น ใจเรียกว่า มีอธิษฐานในใจ มีสัจจะในใจ มีขันติธรรมในใจ เรียกว่า เป็นทศบารมี ทาน ศีล เนกขัมมะ  ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ

อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา มันก็จะชนะ ชนะได้ทุกอย่าง ชนะได้ทุกเรื่องทุกราว ปัญหาอุปสรรคทั้งหลาย ก็แก้ไขได้
มันสำคัญที่ใจ ลูก ถึงได้บอกว่า
รักษาอะไร ก็ไม่ชื่อว่า ได้รักษา เท่ากับการรักษาใจ
ล้างอะไร เช็ดอะไร ก็ไม่ชื่อว่า รักษา เช็ด ล้างให้สะอาดได้ เท่ากับล้างเช็ดใจ
ดูแล บำบัด บำรุงอะไร ก็ไม่ชื่อว่า ดูแลบำบัดบำรุงใจ
เพราะรักษาใจ เช็ดใจ บำบัดบำรุงใจ มันเป็นสุดยอดของการรักษา เพราะมีอุปการะคุณข้ามภพข้ามชาติ มันข้ามไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติ
ก็อย่างที่เรารู้ว่า นรกแต่ละขุม มันตกเนี่ย มีอายุขัยของมัน แต่ถ้าเมื่อใดที่ใจของสัตว์นรกตนนั้นๆ มันหวนระลึกนึกถึงบุญคุณงามความดีของตนที่ทำไว้  หมดอายุขัยทันที แม้เราจะบอกอยู่

ในนรกขุมนี้ 84,000 ปี, 1 ชั่วโมงนรก เท่ากับกี่ร้อยวันมนุษย์, 1 วันนรก เท่ากับกี่ล้านปีมนุษย์
ถ้าใจมันดี แว๊บเดียว ไปล่ะ ออกจากนรกได้ล่ะ ตกนรก แต่ถ้าใจมันดี มันระลึกได้
ไม่งั้น พระพุทธเจ้าจะช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้ยังไง ในวันที่พระองค์ทรงเปิดโลกทั้ง 3 เรียกว่า วันมหาสัมมาทิฏฐิ เพราะสัตว์นรกได้เห็นพระพุทธเจ้า ก็ โอ พระพุทธะ มีอยู่หนอ
อโห พุทโธ, อโห ธัมโม, อโห สังโฆ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีอยู่ ประเสริฐยิ่ง รุ่งเรือง เจริญ เราเข้าถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในอเวจี ท่านว่าไว้ในพระ

สุตตันตปิฎก ในพระชาดก ว่า วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์ นรกทั้ง 8 ขุม นี่ เปิดนะ แล้วสัตว์นรกแต่ละตน พอเห็นพระพุทธเจ้า ชื่นชมโสมนัส พ้นจากอัตภาพนรกทันที ไม่ว่าจะ

กี่อัตรกัลป์ ก็แล้วแต่ พ้นหมด เว้นแต่ว่า อ้ายพวกที่มันเต่าล้านปี มันแย่จริงๆ
เฮอะ นั่น ตัวอะไรน่ะ ลอยเท๊งเต้งอยู่บนสวรรค์น่ะ
เออ จะไปอย่างนั้นน้า เพราะใจมันไม่ดี ไม่ได้ศึกษาไม่ได้สั่งสมมาเก่าก่อนไง ลูก มันไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า ไม่เคยสำเหนียกว่า พระพุทธเจ้ามีอยู่ ไม่เคยรู้ว่า พระอรหันต์มีอยู่ ไม่เคยรู้ว่า

พระศากยวงศ์ ศากยบุตรมีอยู่ ไม่เคยรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธะผู้ประเสริฐ ตรัสรู้เองโดยชอบ มีอยู่จริง
แล้วพวกนี้ เวลาพระพุทธเจ้าแสดงธรรม โปรดสรรพสัตว์ ก็ไม่เคยเกิดเป็นมนุษย์ ในช่วงพุทธกัลป์ พุทธันดรเนี่ย สัตว์พวกนี้ ไม่เคยเกิดเป็นมนุษย์ เป็นแต่สัตว์นรกอยู่ยาวนาน ก็เลยไม่รู้

จริงๆ ว่า นั่นคือ พระพุทธเจ้า แล้วก็มอง แล้วก็เฉยๆ แล้วก็ก้มหน้ารับกรรมต่อไป
อ้ายสัตว์นรกที่เคยเกิดทัน เอาปลายๆ อย่างพวกหล่อนทั้งหลายที่นั่งอยู่ นี่แหละ
เอ้า จริงๆ นี่ อ้าว นี่ทันพระพุทธเจ้าไม๊ ทันสิ เราได้ฟังธรรมนี่ อย่างน้อย ไม่ได้ฟังจากพระพุทธเจ้า ก็ได้ฟังจากพระน่ะ ใช่ไม๊ เราก็เชื่อว่า มีพระพุทธเจ้าอยู่ ทีนี้ ถ้าเกิดจะตกนรกขึ้นมา ใจ

มันทำบุญอยู่แล้ว มันระลึกได้ว่า โอ้ นี่ นั่น พระพุทธะ ทัณฑ์อันตรกัลป์ หรือ มหากัลป์ ที่ตกนรก มีอายุขัย พินาศไปทันที เราพ้นอัตภาพนรกนั้นทันทีเลย
เพราะฉะนั้น ใจนี้สำคัญยิ่ง ลูก สะสมเข้าไว้ บุญกุศล คุณงามความดี แล้วใจนี้ มันจะไม่ตกต่ำได้ก็เมื่อต้องอาศัยบุญ ไม่ใช่เอาแค่ว่า รักษาใจอย่างเดียว แล้วก็ไม่ทำอะไรเลย นั่ง ทำอะไร

ไม่ทำ
ทำอะไร?, รักษาใจ, รักษาใจ มีตังค์ ก็ทำไมไม่ทำบุญ, ไม่ กูรักษาใจ รักษาใจ
ถ้าอย่างนั้น มึงก็กินใจไปเฮอะ เพราะว่า มนุษย์เราไม่ได้เกิดชาติเดียว ถูกไม๊ ลูก
รักษาใจชาตินี้ แล้วอ้ายชาติที่แล้วๆ มา มึงไม่มีเจ้าหนี้บ้างเหรอ
มีไม๊ (มี) เออ มึงไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีเจ้ากรรม ไม่มีนายเวร ไม่มีผู้ที่พยาบาทอาฆาตจองเวรเราบ้างเหรอ แล้วสัตว์พวกนั้น คนเหล่านั้น เค้าต้องการบุญเหมือนกัน ต้องการจะทวงหนี้

กับเราเหมือนกัน แล้วเรามัวแต่รักษาใจ เอาตัวรอดแล้วมันไม่รอด มันจะปล่อยให้เรารอดเหรอ
ถึงคราวเราจะตาย รักษาใจไม่ได้นะ เดี๋ยวก็ เออ เอาหัวกูคืนมา เอาผัวกูคืนมา เอาเงินกูคืนมา เอาสมบัติกูคืนมา แล้วเราจะรักษาใจอยู่ได้ยังไง เพราะใจนี่ มันจะรักษาได้ มันต้องมีเหตุปัจจัย
เหตุปัจจัยอะไรบ้าง
ก็บุญกุศลไง บุญมาก่อนแล้วจึงจะกุศล กุศล แปลว่า ฉลาด, บุญแปลว่า คุณงามความดี แล้วอ้ายคุณงามความดีมันไม่มี มีแต่ฉลาดอย่างเดียว มันก็อ้ายคนที่ปล้นเค้าสำเร็จ โกงเค้าได้ ก็ถือ

ว่า ฉลาดเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่กุสโลบาย มันเป็นอบาย มันเป็นฉลาดแบบโง่เขลา ฉลาดแบบแกมโกง
งั้น ลูกหลานอย่าไปคิดว่า เราจะนั่งแต่รักษาใจโดยไม่ทำอะไรเลย ก็ไม่ได้
มันต้องไปพร้อมกัน ลูก บุญกับกุศลต้องอยู่ด้วยกัน
หลวงปู่นี่ เป็นถึงวันนี้ มึงเคยเห็นไม๊ ปีไหนบ้างที่กูไม่ทำบุญน่ะ
เอ๊อ กูจะทำบุญของกูตลอดแหละ ทำทั้งปีทั้งชาติ เพราะว่า บุญกับกุศลมันต้องอยู่ด้วยกัน แล้วเวลาทำอะไร มันก็จะลุล่วงสำเร็จ สมปรารถนา
ไม่ใช่เอาอย่างใดอย่างหนึ่ง บางคนทำแต่บุญ แต่กุศลไม่ทำ เออ ทำแต่บุญ ใครมาบอกบุญ ทำ, ใครมาบอกบุญ ทำ, อ้ายแจกซองผ้าป่า ทำ, แต่ทำ ก็สักแต่ว่าทำอย่างที่ว่าแหละ ให้

ทำให้ตายก็ไม่ได้บุญ, ได้ ก็ได้น้อยมาก ถ้าทำด้วยหัวใจที่สำนึกที่อยากจะทำ นิดหน่อยก็ได้บุญมหาศาล
เห็นไม๊ว่า แค่ดอกบัว 8 ดอก ยังขึ้นสวรรค์ แล้วมาพบนิพพานในที่สุด แล้วเรานี่ทำ โอ้โห ถ้าเป็นบัว ก็เป็น นาๆ แล้ว, โอ เป็นข้าวก็ไม่รู้ว่า กี่ร้อยไร่ล่ะ, เออ เป็นหมู ก็ไม่รู้กี่พันตัวแล้ว
งั้น ทำไปเถอะ ลูก บุญเนี่ย เพราะอ้ายที่เรากิน ไม่แน่ เราอาจจะกินเนื้อ ปู่ เราก็ได้ 
อ้าว จริ๊ง จริง อ้ายที่มึงกินๆ ไม่รู้ว่า อ้ายที่กินหมู กินไก่ กินเห็ด กินเป็ดอะไร  อ้ายเห็ดน่ะ ไม่มีปู่ ปู่มึงคงไม่เกิดเป็นเห็ดหรอก ถ้าเกิดเป็นหอยล่ะ พอได้ เห็ดล่ะไม่มี เออ
เพราะงั้น เราอาจจะกิน เนื้อปู่ เนื้อย่า เนื้อตา เนื้อยายของเราก็ได้
เพราะงั้น นั่น เจ้ากรรมนายเวรไม๊
เอ๊อ เป็นเจ้ากรรมนายเวร ลูก เมื่อถึงคราวเรากินเค้า เค้าก็ต้องมากินเรา
เพราะงั้น เราก็ต้องสร้างบุญเอาไว้ ปลดเปลื้องเจ้ากรรมนายเวร คือ อย่าทำหนี้ อย่าทำหนี้ แล้วก็ใช้หนี้เก่า เสร็จแล้วก็พยายามทำตัวเองให้พ้นจากหนี้
ให้พ้นจากหนี้ โดยการทำจิตนี้ให้มีกุศลมากๆ
เอาล่ะ พอสมควรแก่เวลา ให้ลูกหลาน ก็จงสำเร็จประโยชน์ สมปรารถนา
พระก็สวดจบแล้ว แล้วโยมจะถวายอะไรล่ะจ๊ะ
ไม่คิดจะถวายอะไรกับใครเค้าบ้างเลยเหรอจ๊ะ
คุยอยู่นี่ว่า บุญกุศล บุญกุศล
เอ้า เค้าถวายกับเปรตพลี 86,899 บาท ลูก (สาธุ)
เนี่ย ตังถาดนี้ เดี๋ยวเค้าจะไปซื้อข้าวสาร (สาธุ) ซื้อข้าวสาร ซื้ออาหารแห้ง แล้วเอาไว้แจกวันซี่โกว วันเทกระจาดง านกินเจ 10 วัน เค้าจะแจกทุกวัน เดี๋ยวจะไปซื้อข้าวสาร อาหารแห้ง

ลูกหลานก็อนุโมทนา อุทิศให้กับสัตว์นรกทั้ง 8 ขุม และบริวารอีก 448 ขุม
เอ้า บังสุกุลเป็นน่ะ เอามา อ้ายรายชื่อบังสุกุลเป็นน่ะ ยกเข้ามา เอากระดาษมาบังสุกุลก่อน
เอ้า นิมนต์พระ 10 รูป ไปบังสุกุลที่ ผีไม่มีญาติ, ใครที่กินผีประจำน่ะ คุ้นๆ หน้าน่ะ ไป, 10 รูป
เอ้า ตั้งใจ เดี๋ยวพระจะชักผ้าบังสุกุลอีกรอบหนึ่ง อุทิศส่วนกุศลให้กับสัตว์นรก แล้วก็สัมภเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ผู้ลอยอยู่ในอากาศและเรี่ยราดอยู่ตามภาคพื้นดิน จงมีส่วนในบุญ

ที่ลูกหลานและข้าฯ ได้กระทำแล้ววันนี้ ขอท่านทั้งหลาย  จงอนุโมทนา (สาธุ)
ใบอธิษฐานอยู่ไหนล่ะ
ข้าแต่บรรดาญาติที่มีมาแล้วในอดีต และมีอยู่ในปัจจุบัน ที่ล่วงลับไปแล้ว จะสถิตอยู่ในสุคติภูมิก็ตาม ทุคติภูมิก็ตาม และบรรดาเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในภูมิเปรต

ภูมิอสุรกาย ภูมิสัมภเวสี ภูมินรกทุกๆ ขุม และภูมิสัตว์เดรัจฉาน ผู้ที่ล่องลอยหาแดนเกิด ผู้ที่ลำบากอดอยาก ทุกข์ยากอนาถาทั้งหลาย รวมทั้งปวงสรรพสัตว์ผู้เวียนว่ายตายเกิด อยู่ใน

วัฏสงสาร ขอท่านจงมาพร้อมเพรียงกันในที่นี้ โปรดจงมารับเครื่องพลีกรรม อันมีคุณธรรมความกตัญญู กตเวที คุณทาน คุณศีล คุณภาวนา คุณปัญญา คุณเนกขัมมะ คุณวิริยะ คุณขันติ

คุณสัจจะ คุณอธิษฐาน คุณเมตตา  คุณอุเบกขา รวมทั้งอาหารคาวและหวาน น้ำ เครื่องนุ่งห่ม และผลบุญที่ข้าและลูกหลานทั้งหลายได้กระทำแล้วด้วยดีในวันนี้ อันมีบุญกุศลที่ลูกหลานได้

กระทำ และตั้งจิตอธิษฐาน ทำพลีกรรมอุทิศให้แก่พวกท่าน ดังที่แต่ละคนแต่ละตนได้กล่าวไปแล้ว
ขอบรรดาหมู่ญาติ และท่านผู้กำลังได้ทุกข์ทั้งหลาย โปรดจงมารับเครื่องพลีกรรมดังกล่าวมานี้ แล้วจงอนุโมทนาในผลบุญ คุณงามความดี ที่พวกข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้กระทำแล้วด้วยดี ขอ

ท่านทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด  ขอท่านทั้งหลายจงพ้นจากความทุกข์กายทุกข์ใจ จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ จงพ้นจากทุกข์ภัยทั้งหมดทั้งสิ้นเทอญ
ขอท่านทั้งหลาย โปรดจงได้รับความเมตตาปรารถนาดีของข้าพเจ้าและลูกหลาน ที่มีต่อบรรดาปวงญาติ และสรรพสัตว์ทั้งปวง ผู้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะสงสาร ณ.โอกาสบัดนี้เทอญ
อิทัง โน ญาตินัง โหตุ สุขิตา โหตุ ญาตะโย
ขอผลบุญนี้ จงมีแก่ญาติทั้งหลาย ขอญาติทั้งหลายซึ่งเป็นอดีตญาติ ปัจจุบันญาติ และจะมีต่อไปในอนาคตญาติ จงมีส่วนในผลบุญของข้าฯ และลูกหลานทุกท่านทุกคน เทอญ (สาธุ)
เอ้า บังสุกุลตายก่อน ยกมา
เอ้า บังสุกุลให้ชาวบ้านเค้าหน่อย
อะนิจจา วะตะ สังขารา     
อุปาทะวะยะธัมมิโน
อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ        
เตสัง วูปะสะโม สุโขฯ
เอ้า อันนี้ของพระ ออกไป เสร็จล่ะ
(บังสุกุลเป็น)
อะจิรัง วะตะยังกาโย            ปะฐะวิง อะธิเสสสะติ
ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ      นิรัตถังวะ กะลิคะรัง
(สาธุ)
เอ้า ยกออกไป, เอ้า ประเคนของ, เอ้า เอานั่นมาวางนี่ เดี๋ยว กรวดน้ำใส่ อ้ายบังสุกุลเป็นน่ะ
เอ้า ประเคนของ ช่วยกันประเคน ลูก คนละไม้คนละมือ, เอ้า อยู่ใกล้ ช่วยกันประเคนของพระ
..........(คุณย่าประเคนของหลวงปู่)
(สาธุ)
(กราบ)
เอ้า ตั้งใจกรวดน้ำ ลูก
อิทัง โน ญาตินัง โหตุ สุขิตา โหตุ ญาตโย
ขอผลบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า อันมีบิดาและมารดาทั้งหลาย ปู่ย่าตายายทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เปรต

อสุรกายทั้งหลาย ผีสางนางไม้ทั้งหลาย เจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย เจ้าทุ่งเจ้าท่าทั้งหลาย เจ้าป่าเจ้าเขาทั้งหลาย มิตรทั้งหลาย ศัตรูทั้งหลาย และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายที่ได้ให้อาหารและปัจจัย 4

แก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ดวงพระวิญญาณของอดีตบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกๆ พระองค์ รวมทั้งวีรบุรุษผู้กล้า ผู้เสียสละชีวิตเลือดและเนื้อ เป็นพลีต่อ

แผ่นดิน รวมทั้งท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ที่มีมาแล้วในอดีตและมีอยู่ในปัจจุบัน
ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักษ์รักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพญายมราช ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 พระธรณี พระคงคา พระเพลิง

พระพาย สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะสงสารและณ. สถานที่แห่งนี้
ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกๆ พระองค์ ขอจงทรงพระเกษมสำราญ ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน
ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัย ส่งผลให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้เข้าถึงซึ่งธรรมอันเลิศ สติอันเลิศ สมาธิอันเลิศ ทรัพย์อันเลิศ สุขภาพอันเลิศ อายุอันเลิศ ปัญญาอันประเสริฐ จงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าใน

ชาติปัจจุบันนี้เทอญ
ถวายทานก่อน ลูก
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าไตรจีวร กับทั้งของสังฆทานและบริวารทั้งหลายเหล่านี้แก่พระภิกษุสงฆ์เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา บูชาพระมหาโพธิสัตว์เจ้า

บูชาพระอริยสงฆเจ้า บูชาคุณบิดามารดา และบูชาคุณครูบาอาจารย์ ขอพระสงฆ์ทั้งหลายโปรดจงรับซึ่งเครื่องบูชาของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ และความผาสุก ความเจริญ

รุ่งเรือง แก่ตัวข้าพเจ้า แก่ครอบครัวข้าพเจ้า แก่ญาติทั้งหลายของข้พเจ้า ตลอดกาลนานเทอญ
สาธุ
(กราบ)
ตั้งใจรับพร ลูก
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง   ขอสรรพมงคลจงมีแก่ท่าน  (สาธุ)
รักขันตุ สัพพะเทวะตา     ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาท่าน  (สาธุ)
สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพะธัมมานุภาเวนะ สัพพะสังฆานุภาเวนะ
ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ทั้งปวง
สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ท่านทุกเมื่อ เทอญ (สาธุ)
โชคดี ลูก ธรรมะรักษา ให้รุ่งเรือง ร่ำรวย มีใจสะอาด คิดหวังสิ่งใด สมความปรารถนา (สาธุ)
เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพปลอดภัย
อะระหัง สัมมา
.................
อืม ให้เดินทางโดยปลอดภัยทุกคน ลูก (สาธุ)
ไปดูโรงครัว เค้ามีอะไรเลี้ยง มีอะไรก็ เครื่องพลี เครื่องเซ่น ก็แบ่งๆ กันกิน ลูก
มาลาบูชาครู
...........
(กราบ)
ธรรมะรักษา ลูก จำเริญๆ
เอ้ย เค้าไปเป็นเจ้าภาพสวดศพวัดสังฆทานเมื่อไหร่หว่า (วันที่ 8 ค่ะ) วันอะไรหว่ะ (วันจันทร์ ค่ะ) เออ ไปสวดเค้าหน่อย ลูก ไปเจอ วันจันทร์ กี่โมงล่ะ ทุ่มเหรอ, 6 โมง, 5

โมงย็น, เค้านิมนต์ไปแสดงธรรม
ไป๊ กราบพระ ลูก, เดี๋ยวจะไปแจกข้าวสารอาหารแห้ง คนเค้ารออยู่ ลูก, เค้าลำบาก
อะระหัง สัมมา .......
(กราบ)