Print
Hits: 3017

31 ต ค 2555    9.15 น.  ธรรมะ วันตักบาตรเทโว โดย องค์

หลวงปู่พุทธะอิสระ
 (กราบ)
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน เทวดาก็เยี่ยวแล้ว พระก็เยี่ยวแล้ว พวก

หล่อนไม่ไปเยี่ยวบ้างเหรอ
ที่จริง ก็เป็นเรื่องดีนะ ทำดีแล้วมันมีอุปสรรค นี่มันทำให้เราแกร่งกล้า กล้าแข็ง เดินบิณฑ

บาตรจวนจะเสร็จล่ะ ฝนตก คนใส่บาตรเอาถุงคลุมหัว มองไม่เห็น ถุงมันก็ตกลงมาปิดหน้า

ใส่ผิดใส่ถูก
ตกตั้งแต่ตอนตี 4, ตี 4 กว่าๆ ก่อนจะตกก็เมื่อคืนนี้ มีแผ่นดินไหว 2 เที่ยว ไม่รู้ไหว

ที่ไหนอีกเที่ยวนี้
วันนี้ เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ วันศักดิ์สิทธิ์ ก็คือ วันสำเร็จประโยชน์
อย่างที่พวกเรารู้กันว่า เมื่อวานนี้ เป็นวันมหาปวารณา
เมื่อคืนนี้ มีอาคันตุกะ ฝันว่า มีอาคันตุกะแปลกหน้า มาถามปัญหา
เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่า เค้าถามว่า อะไร
แต่วันนี้ เป็นวันตักบาตรเทโวโรหนะ
เหตุที่มีกระบวนการ พิธีกรรมการตักบาตรเทโวโรหนะ มันมาจากสืบเนื่อง เรื่องที่พระผู้มี

พระภาคเจ้า เสด็จโปรดพุทธมารดาตลอด 1 พรรษา ณ. ดาวดึงสเทวโลก ก็คือ พระ

พุทธมารดา ว่าที่จริงแล้ว ท่านไม่ได้อยู่ดาวดึงส์ ท่านไปอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต แต่สาเหตุที่

พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลงแสดงธรรมที่ดาวดึงสเทวโลก ก็เพื่อจะลดมานะทิฏฐิของพุทธ

มารดา ว่า ให้ท่านได้เดินทางลงมาจากชั้นดุสิต เพื่อมาฟังธรรมที่ดาวดึงส์ จะได้ลดความ

เป็นอัตตา แล้วจะได้ตั้งใจฟังธรรม
เหมือนกับที่ลูกหลานอุตส่าห์ตะกาย ตื่นตั้งแต่ตี 3 ตี 4 มานี่ ก็ถือว่าเป็นกระบวนการ ลด

มานะทิฏฐิ มีศรัทธาตั้งมั่นพร้อมที่จะฟังธรรม แต่ถ้าหากว่า อยู่ดีๆ เอาพระไปป้อนธรรม

ให้ที่บ้าน ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง ไม่สนใจฟัง หรือไม่พร้อมที่จะฟัง
คนเราถ้ามันไม่พร้อม อะไรก็ไม่อยากได้ แม้แต่อาหารก็ไม่อร่อย แต่ถ้ามันพร้อม อะไร

มันก็อยากได้ อาหารก็อร่อยหมด ข้าวคลุกน้ำพริกก็ยังอร่อย
งั้น ความพรั่งพร้อม มันต้องเกิดจากความศรัทธา เริ่มต้น ท่านก็ทรมานพุทธมารดา เพื่อให้

มีศรัทธา มีศรัทธาที่จะฟังธรรมโดยการที่พระอินทร์ท่านไปนิมนต์ ให้พระอินทร์ไปอัญเชิญ

ว่า บัดนี้ พระพุทธเจ้าได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้มาประกาศสัจธรรม ณ.

สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว ขอพระสันดุสิตเทวราช ได้เสด็จลงมาฟังธรรม ณ. ชั้นดาวดึง

สเทวโลก เถิด เพราะพระลูกเจ้าได้สถิตย์สถาพร อยู่ที่ชั้นดาวดึงสเทวโลก
พระพุทธมารดา ฟังแล้วก็ เออ ลูกเราได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ไปอยู่สวรรค์ชั้น

ดุสิต
ชั้นดุสิตเนี่ย ไม่ได้เป็นผู้หญิงนะ เป็นผู้ชาย แต่เป็นพุทธมารดา คือ ชั้นดุสิตนี่ เป็นที่อยู่ของ

พระโพธิสัตว์เจ้า งั้น พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์จะอยู่ในเพศภาวะของ เค้าเรียกว่า อุภโต

พยัญชนกะ ก็คือเป็นเพศที่อุดมมงคลไปด้วยบุญฤทธิ์ ไม่มีสิ่งระคายเคือง ไม่มีเรื่องคัดข้อง

หม่นหมองจิตใจ
เพราะงั้น บุคคลที่จะไปเกิดในชั้นดุสิตได้ ต้องมีบุญใหญ่ อย่างน้อยๆ ก็บำเพ็ญบารมีธรรม

ในทศบารมี ข้อใดข้อหนึ่งไม่ต่ำกว่า 3 ประการ จึงจะได้ไปเกิดในชั้นดุสิต
แล้วพุทธมารดา ท่านเป็นผู้บำเพ็ญบารมีมา เป็นเปรียบ ด้วยความหมายของการที่ต้องการ

เป็นแม่ของพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ก็ไม่ได้เป็นผู้หญิง ไปเป็นผู้ชาย เป็นเพศภาวะของผู้ชาย
เมื่อได้รู้ข่าวจากพระอินทร์มาแจ้งว่า บัดนี้ พระลูกเจ้าได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

เสด็จทรงขึ้นมาโปรดพระพุทธมารดาแล้ว และทรงประทับอยู่ในชั้นดาวดึงส์ หรือ ดาวติง

ที่พวกเรา เรียกสวดกัน ดาวติง หรือ ดาวติงสา
พระพุทธมารดา ก็มีจิตศรัทธาเลื่อมใสว่า เออ ลูกเราบรรลุธรรมอะไรนะ ธรรมอะไรที่ทำ

ให้ลูกเราได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณได้เป็นศาสดาเอกของโลก เป็นพระสัมมา

สัมพุทธเจ้า นะ เราปรารถนาจะได้ฟังธรรมนั้น เกิดจิตศรัทธา ปสาทะเลื่อมใส ก็ได้เหาะมา

ลงมาจากชั้นดุสิต ลงมาที่ชั้นดาวดึงส์ หรือ ชั้นดาวติงสา มาประทับนั่งอยู่ในท่ามกลางมหา

สมาคม ที่มีเหล่าเทวดา พรหม เทพ และทวยเทพ อากาศเทวา ภุมเทวา ทั้งหลายก็พากันขึ้น

ไปฟังธรรมพร้อมกัน
พระศาสดา ก็ทรงแสดงบุพนิมิตให้ได้เห็น ถึงอัศจรรย์ที่พระพุทธเจ้าทรงมี
บุพนิมิต อันเป็นอัศจรรย์อันพระพุทธเจ้าพึงมี ก็คือ ทรงเปล่งพระฉัตรพรรณรังสี ให้ดูงด

งาม ข่มรัศมีผิวกาย หรือ สีกายของเทวดาทั้งชั้นดาวติงสา ก็คือ แม้พระอินทร์ก็ยังมีสีวรกาย

หรือ รัศมีของกายไม่งดงามเท่า ไม่รุ่เงรืองเท่า
พระพุทธมารดา พอเห็นรัศมีสีกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระลูกเจ้าของพระองค์ ก็ยิ่ง

โสมนัสยินดี ดีใจ ปิติ ศรัทธา ปสาทะ เกิดความปรารถนาจะใคร่รู้ ธรรมอะไรนะ ทำให้ลูก

เราศักดิ์สิทธิ์ สำเร็จประโยชน์ถึงปานนี้
แล้วพระองค์ก็ทรงแสดง เริ่มแสดงหลักอภิธรรม ซึ่งเป็นธรรมชั้นยอด ธรรมอันยิ่งแก่พระ

พุทธมารดา ทรงใช้เวลาแสดงธรรมในคัมภีร์ทั้ง 7 ในอภิธรรมนั้น จนครบ 3 เดือน
อยู่ต่อมา พวกประชาชน คนในเมืองทั้งหลาย คือ มนุษย์ พากันให้เร่าร้อน ทุรนทุราย

หวนคำนึงนึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า เริ่มตั้งแต่ ท้าวปเสนทิโกศล เรื่อยไปจนกระทั่ง เสนา

อำมาตย์ ประชาชน คหบดี  เศรษฐี ยาจก ไพร่ พากันเร่าร้อน ทุรนทุราย ว่า เหตุอันใดน๊า

พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้หนีพวกเราไป จึงได้ทิ้งพวกเราไป จึงได้ไม่ต้องการอยู่กับพวกเรา

ก็ไปเฝ้า ไปหา ไปถามพระมหาเถระพระสารีบุตร ไปถามพระโมคคัลลานะ ไปถามพระกัจ

จายนะ ไปถามพระมหากัสสปะ
ท่านเถระเจ้า ผู้ทรงอภิญญา ทรงฤทธิ์ เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ก็ทรงรู้ได้ด้วยพระญาณว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ได้หนีมหาชน แต่พระองค์เสด็จไปโปรดพุทธมารดา ก็ประกาศ

แสดงให้เหตุผลให้ประชาชนได้รับรู้
พระโมคคัลลานะ ก็รับบัญชาจากหมู่สงฆ์ โดยพระสารีบุตรเป็นหัวหน้า ได้มีบัญชาพระโม

คคัลานะว่า ขอพระเถระเจ้าผู้ทรงอภิญญา ทรงฤทธิ์เลิศ เป็นผู้ประเสริฐในฤทธี จงขึ้นไปสู่

ชั้นดาวติงสาราม เพื่อได้ถาม ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า จะเสด็จลงมาโปรดสรรพสัตว์

ผู้ตกทุกข์ได้ยากอีกเมื่อไร
พระโมคคัลลานะ รับบัญชาจากหมู่สงฆ์ ก็เหาะขึ้นไป ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์ก็ทรงแจ้งให้พระโมคคัลลานะเถระได้ทราบว่า ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 ก็คือ

วันนี้ ณ. ประตูเมืองสังกัสนคร เราจะปรากฏอยู่ในประตูเมืองสังกัสนครในทิศเหนือ เพื่อ

จะลงโปรดสรรพสัตว์ หลังจากที่เราเทศนาสั่งสอนโปรดพุทธมารดาและพระมหาเทพทั้ง

ปวงแล้วครบ 3 เดือน
พระโมคคัลลานะ ก็นำข่าวนั้นมาแจ้งให้มหาเถระ พระมหาเถระก็นำข่าวนั้นแจ้งแก่พระเจ้า

ปเสนทิโกศล ท้าวพระยา อำมาตย์ราชมนตรีทั้งหลายรับรู้ ก็เป่าประกาศไปทั่ว
ผู้คนชนทั้งหลาย พอได้ฟังว่า โอย อีกไม่กี่วันข้างหน้านี่ พระศาสดาจะเสด็จลงเมืองสังกัส

นคร ในประตูทิศเหนือ เราจะต้องไปรอเฝ้า คนก็พูดกันปากต่อปาก พวกภูมเทวดาก็ประกาศ

พวกอากาศเทวดาก็ประกาศ ก็บอกกันต่อๆไป จนผู้คนมารุมล้อมพร้อมกัน ประชุม

เนืองแน่นในเมืองสังกัสนคร
 เค้าว่ากันไว้ในตำนานว่า เศรษฐีทั้ง 7 ก็มีตั้งแต่ อนาถบิณฑกะเศรษฐี จิตตะคหบดีเศรษฐี

รวมกัน ช่วยกันหุงข้าวเลี้ยง เลี้ยงพระ เลี้ยงประชาชน เลี้ยงสมณะ ชีพราหมณ์ เลี้ยงไม่ชนะ

คนกิน ใช้ข้าวมหาศาล ใช้สรรพอาหารนี่มหาศาล ไม่ชนะคนกิน แสดงว่า คนกินเป็นแสนๆ
ท่านว่าเอาไว้ว่า เอาขนนกยูงจุ่มไปในน้ำมัน แล้วสาดลงไปในอากาศ, น้ำมัน ต่อมน้ำมัน

ไม่สามารถแตะกระทบพื้นธรณีได้ เพราะผู้คนแน่น หนักหนาสาหัสขนาดนั้น ณ. เมือง

สังกัสนคร
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เวลา ก็เสด็จโดยเทวดา พรหม และพระอินทร์ ได้เนรมิตรประตู

เนรมิตรกะไดแก้ว กะไดเงิน กะไดทอง
กะไดแก้ว คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จ
กะไดเงิน กับ กะไดทอง ก็พระพรหม กับองค์อินทร์ แล้วก็ท้าวจาตุมมหาราชิกาทั้ง 4

เป็นผู้นำ
พระศาสดา ทรงเสด็จลงมาทางกะไดแก้ว ณ. ประตูเมืองสังกัสนคร ในด้านทิศเหนือ ผู้

คนทั้งหลาย ก็พากันชื่นชมโสมนัส ปิติ พระองค์ไม่ได้ลงมาธรรมดา วันนี้ เมื่อ 2,600

กว่าปีก่อน ณ. เมืองสังกัสนคร พระองค์ลงมา ด้วยการประกาศพุทธธรรมอันยิ่งใหญ่ให้

กับ 3 โลกได้รับรู้ ว่า บัดนี้ มีพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธะบังเกิดขึ้นแล้ว แล้วทรงแสดง

ธรรมอันไพเราะ เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เป็นประโยชน์ต่อสัตว์ทั้ง 3 โลกให้ได้รับรู้

โดยวิธีการ ทรงชำแรกด้วยฤทธิ์ เปิดโลกทั้ง 3 คือ
เปิดโลกพรหม ให้มนุษย์ได้เห็น
เปิดโลกสวรรค์ ให้มนุษย์ได้เห็น
เปิดโลกมนุษย์ ให้พรหมและสวรรค์ได้เห็น ได้รับรู้
เปิดโลกนรก ให้สัตว์นรกทุกขุม ขุมใหญ่ 8 ขุม ขุมน้อยๆ อีก 180 กว่าขุม ให้ได้รับรู้

ได้รับเห็น ว่ามนุษย์เค้าอยู่สุขสบาย ผู้มีศรัทธา ปสาทะ เค้าอยู่กันอย่างไร พระเถระดำรงค์

ชีพอย่างไร มีการยอมรับ สนับสนุน เคารพ กราบไหว้ เทิดทูน บูชาอย่างไร รวมทั้ง อะไร

หวะ ย่าจะฟังธรรม ก็ชวนย่าคุย อะไรก็ไม่รู้ อีห่านี่ ตบกระโหลกมันทีซิ อะไร จุ๊กจิ๊กๆ

อะไรไม่รู้
มนุษย์เทวดาทั้งหลาย ก็ได้เห็นสัตว์นรก สัตว์นรกทั้งหลาย พอได้เห็นมนุษย์ เห็นเทวดา ก็มี

จิตศรัทธา เลื่อมใส สัตว์นรกที่ตกอยู่ในขุมต่างๆ ก็พากันคิดว่า โอ๊ ชั่วชีวิตเราไม่คิดว่า ความ

สุขในนรกมันจะมี ในโลกใบนี้
ที่จริง สัตว์นรกมีความคิดไม่ต่างอะไรกับคนเมา คนเล่นการพนัน คนเสพกาม นักเลงหัวไม้

เพราะพวกนี้จะมีความคิดสั้นๆ คิดไม่ยาว และคิดว่า โลกทั้งหมดเป็นของกู สัตว์นรกก็มี

ความคิดไม่ต่างกันว่า โลกใบนี้ของเราทั้งหมดเนี่ย มันไม่มีความสว่าง มันมีแต่ความมืด

และความทุกข์เป็นอาหาร ความทุกข์ที่เป็นอาหาร เป็นเครื่องอยู่ เป็นเครื่องอาศัยของเราเนี่ย

มันไม่มีสิทธิ์จะพ้นทุกข์ได้ ก็ต้องจมปลักอยู่ในกองทุกข์ ยอมรับความทุกข์
มันก็จะเป็นที่มา เหมือนกับคำถามเมื่อคืนนี้ ว่า คำว่า อุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 มันหมายถึง

อุปาทานในภพชาติด้วยหรือเปล่า หมายถึงด้วยไม๊
หมายถึงด้วย
อุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 ขันธ์ทั้ง 5 มีอะไร มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ แล้ว

มันหมายรวมไปถึง อุปาทานในภพชาติด้วยหรือเปล่า
หมายรวมไปด้วย แม้สัตว์นรก ก็มีความคิด คือ มีอุปาทาน ความยึดถือว่า โลกสว่างไม่มี มี

แต่โลกมืดแบบนี้ เลยไม่ขวนขวายแสวงหาความสว่าง
ความสุขไม่มีในโลกแห่งสัตว์นรก มีแต่ความทุข์เป็นเนืองนิจจนเคยชินอยู่ จนชินน่ะ เรียกว่า

อยู่จนคุ้นเคย เหมือนกับคนอยู่สลัม หรือว่า คนจมปลักอยู่ในห้วงแห่งกามคุณ จมปลักอยู่

ในห้วงแห่งอะไรล่ะ อ้าย กิน กาม เกียรติ โกรธ แสวงหาของที่โปรด แม้ที่สุด พวกเล่นการ

พนัน ก็จมปลักอยู่อย่างนั้นน่ะ บางคนเล่นจนขายลูก ขายเมีย ขายผัว จำนำกันหมดทั้งตัว ก็

ยังชอบอยู่
คนอื่นเค้ามองว่า เอ๊ แกเล่นทำไม แกทำทำไม แกเป็นอย่างนี้ได้ยังไง ทั้งๆ ที่รู้ว่า มันเล่น ก็

ไม่เคยได้ มีแต่เสีย แต่นี่คือ สัตว์นรกไง มันมีความคิดอย่างนั้น มันมีความยึดถืออย่างนั้น

มีอุปาทานในอาการกิริยาเช่นนั้น และยึดถือว่า นี่เป็นโลกของมัน เป็นโลกของเค้า
คนที่มองอยู่ข้างนอก ก็จะนึกว่า เค้าโง่, จริงๆ มันก็โง่จริงๆ สัตว์นรก ก็มีสภาพเหมือนกัน
งั้น คำว่า อุปาทานในชาติภพ มี เพราะมีอุปาทานในภพนี่แหละ มันทำให้เกิดชาติ แล้วมัน

ก็ทำให้เกิดชรา มรณะ มีพยาธิ เรื่อยเปื่อยไป
งั้น สัตว์นรก พอเห็นมนุษย์ มนุษย์ ก็เริ่มต้นตั้งแต่พระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ทรงศักดิ์ นั่งเหนือ

มนุษย์ทั้งปวง ยกเว้นพระมหาเถระ แล้วไล่เรียงลำดับลงมา จนสมณะพราหมณ์ พวก

พราหมณ์ พวกแพทย์ พวกศูทร พวกจัณฑาล
สัตว์นรกทั้งหลายก็เลือกว่า โอ เราเข้าใจผิดมาเนิ่นนานหลายอสงไขย หลายวัน หลายเวลา

และหลายปีของโลกเราว่า โลกแห่งความสุขไม่มี โลกแห่งความสว่างไม่มี โลกแห่งความ

สำเร็จนั้นไม่มี โลกแห่งความสมบูรณ์ ความสงบเย็น ความสวยงามไม่มี เพราะเราคิดว่า

โลกนรกนี่ เป็นโลกอันสมบูรณ์ของเราแล้ว เราเลยไม่ขวนขวายจะพ้นจากโลกแห่งนรก
บัดนี้ เราได้เห็นแล้วซึ่งโลกแห่งความสุขสมบูรณ์ สมหวัง แล้วก็สมประกอบ ผ่อนคลาย ร่ม

เย็น สวยงาม นั่นคือ มนุษย์ เริ่มตั้งแต่ พระเจ้าปเสนทิโกศลแต่งตัวสวยงาม เสนา อำมาตย์

ข้าทาสบริวาร เศรษฐี คหบดี มียศฐาบรรดาศักดิ์ มีอาหารการ กินอุดมสมบูรณ์
สัตว์นรกเหล่านั้น ก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า เอาล่ะ เราจะได้เป็นเศรษฐีคนนั้น เป็นลูกของเศรษฐี

คนนี้ เป็นลูกของราชา มหากษัตริย์องค์นั้นองค์นี้ แล้วตั้งใจที่จะทำดี คิดดี พูดดี ดำริความดี

เอาไว้ในใจ อย่างนี้ก็เป็นริ้วรอยของจิตวิญญาณ
สัตว์นรกบางตัว ไม่มองมนุษย์ แต่ไปมองสมณะชีพราหมณ์ ท่านมองว่า โอ พระสารีบุตรนี่

งดงาม มีฉัพพรรณรังสี ในเวลานั้นน่ะ พระมหาเถระทั้งหลายทรงทราบบุพนิมิต และวาระ

จิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า พระองค์ทรงต้องการให้เกิดมหาสัมมาทิฏฐิทั้ง 3 โลก ให้

สัตว์ทั้ง 3 โลกได้เห็น
เหล่าสมณะพราหมณ์ผู้ทรงฤทธิ์ อภิญญา สมาบัติ นั่นคือ พระอเสขบุคคลทั้งหลาย เริ่ม

ตั้งแต่พระอรหันต์ สกิทาคา อนาคา แล้วพระโสดา ทั้งหมดพากันเข้าสมาบัติ เพื่อแสดง

อภิญญา แสดงสมาบัติ แสดงฤทธิ์ทางกาย ให้เป็นที่ประจักษ์ ท่านจึงเปล่งฉัพพรรณรังสี

รัศมีสีกายของตนให้รุ่งเรือง รุ่งโรจน์ สว่างไสว ให้จนเป็นที่ยอมรับของสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก
ท่านว่าเอาไว้ว่า ในเวลานั้น ฝนที่ไม่เคยตก ก็ได้ตก
ฝนที่ไม่เคยตก คือ ฝนอะไร
ฝนโบกขรพัต เหมือนดั่งวันนี้แหละ ฝนที่ไม่เคยได้ตกในงานพิธีของวัดอ้อน้อย ก็ได้ตก (

สาธุ) จะเรียกว่า เป็นฝนโบกขรพัต ก็จะว่าได้
แต่ฝนโบกขรพัตของวันนั้น เป็นฝนที่ต้องกายแล้ว ผู้ใดป่วยจะหายป่วย (สาธุ) เออ ผู้ใด

จนจะกลับมารวย  เดี๋ยวก็วิ่งออกไปตากหมดล่ะ, เอาล่ะ วันนี้ กูได้รวยล่ะ, เอ๊ย อีหนู

ลดร่มลง ลูก เดี๋ยวจะได้รวย
อ้าว จริงๆ วันนี้ เมื่อ 2,600 ปีก่อน เกิดฝนโบกขรพัต คือ ฝนอันศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏขึ้น

ในวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วฝนนี้ มีกฤษดาภินิหาร คือ ผู้ใดต้องการให้เปียก ก็จะเปียก

ผู้ใดไม่ต้องการให้เปียก ก็จะไม่เปียก ผู้ใดมีป่วยไข้ เจ็บไม่สบาย ทุรนทุราย ก็จะอันตรธาน

หายไปสิ้น คนง่อยเปลี้ยเสียขา คนพิการ คนอนาถา ก็พลอยหายไปด้วย พลอยอันตรธาน

หายไปด้วย โรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงก็พินาศสิ้น
เค้าจึงเรียกว่า ฝนโบกขรพัต คือ ฝนอันศักดิ์สิทธิ์ แล้วสีของเม็ดฝน จะสีแดงดั่งเลือด ฝน

โบกขรพัต สีของเม็ดฝน จะเป็นสีแดงดั่งเลือด
เอาล่ะ สมมุติ ตี๊ต่างเอาก็แล้วกัน ตี๊ต่าง นี่ โบกไม่เลิกเสียที เทวดาจะลืมหรือเปล่า
ทีนี้ มนุษย์ พอได้เห็นสัตว์นรกเข้า โอ้ แหม ทำกรรมอะไรวะ ต้องตกนรกอเวจี ตกนรก

อสัญญีวิปลาส ตกนรกอันเป็นกรรมอันหนัก อู้หู บางคนมีร่างกายพิกลพิการ ไม่มีหนัง มี

แต่ก้อนเนื้อ บางคนมีแต่กระดูก เนื้อหนังไม่มี บางคนนี่ ทุรนทุราย ปากเล็กรูเข็ม ตัวโต

ท้องป่อง บางคนมีแต่ไส้กับหัวใจ แล้วก็หัว ไม่ใช่กะสือนะ มันไปอย่างนั้นแหละ แล้วก็โดน

ไฟกรดเผารน ทุรนทุราย
มนุษย์ทั้งหลาย และเทวดาทั้งหลาย พอได้เห็นสัตว์นรก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปิดขุม

นรกแต่ละขุมให้ได้เห็นเข้า กลัว ไม่กล้าทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว หวั่นกลัวความชั่วอันจะพึงเกิด

ขึ้นกับการทำกรรมชั่วของตนๆ ก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า เอาล่ะ เราจะครองตนให้อยู่ในหลักศีล

หลักธรรม หลักทาน
บางคนปรารถนาสูงกว่านั้นว่า โอ พระพรหมองค์นั้น งดงามมาก ท่านถือฉัตรกางกั้นให้

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทำบุญอันใดหนอ จะได้สำเร็จให้เป็นพระพรหม พระอินทร์ ท่านเป็นผู้

เลิศประเสริฐกว่าเทวดาทั้งปวง ทำบุญอันใดหนอ จึงจะได้เป็นองค์อินทราธิราชเจ้า
มนุษย์บ้าง เทวดาชั้นผู้น้อยต่ำต้อย เป็นพวกจอมปลวก เฝ้าสมบัติอยู่ตามทุ่ง ตามท่า ตามถ้ำ

ไม่มีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์ พอได้เห็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ ก็ตั้งใจปรารถนาว่า อุ๊ย ท่านมีวาสนา

ยศฐา บรรดาศักดิ์ บารมีสูงส่ง เอาล่ะ เราตั้งตนจะปรารถนาให้ได้เป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่นั้นๆ

บุญอันใดอันจะสำเร็จซึ่งบุญอันวิเศษให้เป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ เราก็จะทำบุญนั้น อย่างนี้เป็น

ต้น
พวกสัตว์นรก และมนุษย์บางตน ได้เห็นพระเถระผู้ทรงฤทธิ์ มีอำนาจ มีเดช มีสีกายผุดผ่อง

เป็นที่เลิศ เป็นที่ยอมรับของผู้คนชนทั้งหลาย แม้แต่พระศาสดาก็ยกย่อง ก็ตั้งจิตมหา

ปณิธานขึ้นเลยในใจว่า เราปรารถนาต้องการสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพในพระ

พุทธเจ้าองค์หน้า องค์ต่อๆไป เพื่อจะได้เป็นพระสารีบุตร หรือ เป็นผู้เลิศทางปัญญา เป็นผู้

เลิศทางฤทธิ์ เป็นผู้เลิศทางลาภอย่างพระสีวลี เป็นผู้เลิศทางกระจายธรรม ทางความอิ่ม

หนำสำราญ เหมือนดั่งพระสังกัจจายนะ เป็นผู้งดงามผุดผ่องเหมือนดั่งพระโสภินะ(?) 

อย่างนี้เป็นต้น ก็ตั้งจิตอธิษฐานกันไป ตามเหตุตามปัจจัย
พวกเทวดาทั้งหลาย พอได้เห็นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า มีอำนาจข่มพรหมและเทวดาทั้งปวง
แม้ที่สุด สัตว์นรกบางตนได้เห็นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ประเสริฐที่สุดใน 3 โลก ก็

ตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งมหาปณิธานเอาไว้ในใจว่า เราปรารถนาพระโพธิญาณในอนาคตกาล
กูก็คงจะเป็นกะเค้าได้ตัวหนึ่งนั่นแหละ ก็เลยมานั่งอยู่ตรงนี้แหละ
อ้าว หยุดแล้ว ฝนโบกขรพัต ใครไม่ตาก รีบไปตากซะนะโว้ย
เพราะฉะนั้น พวกพรหม เทวดา ก็พากันตั้งมหาปณิธานอย่างนี้ทั้ง 3 โลก
วันนี้จึงได้ชื่อว่า เป็นวันมหาสัมมาทิฏฐิ มนุษย์ เทวดา พรหม มาร ตั้งสัมมาทิฏฐิเอาไว้ในใจ
ทิฏฐิ คือ ความเห็น
สัมมา ก็คือ ความงดงาม ความดีงาม
ความเห็นอันดีงามและงดงาม ที่ต้องการจะเป็น ต้องการจะได้ เรียกว่า อธิษฐานธรรม

ธรรมที่ตั้งไว้ในใจ แล้วก็พยายามทำอธิษฐานธรรม ให้เป็นสัจจธรรม คือ ความจริงใจ

ความจริงจัง ความถูกต้องชอบธรรมในสิ่งที่ตัวเองตั้งไว้
งั้น วันนี้ จึงเป็นวันสำเร็จประโยชน์ วันศักดิ์สิทธิ์ และวันอันยิ่งใหญ่ ฝนโบกขรพัตจึงได้

หว่านเมล็ดฝนลงมาเพื่อโปรดมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย
เป็นวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปิดทั้ง 3 โลกให้เป็นที่ประจักษ์แก่มนุษย์ พรหม มาร

และเทวดา สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน สัมภเวสี ได้สัมพันธ์สัมผัส และพบ

เห็นกันถ้วนหน้า จนตั้งมหาปณิธาน เป็นที่ประจักษ์แก่ตนและสัตว์ทุกตน ก็ปรารถนาสิ่งที่

งดงาม
งั้น ขอลูกหลาน จงตั้งอธิษฐานจิต ปรารถนาสิ่งที่ตนต้องการในวันมหาอธิษฐานนี้ เรียกว่า

วันมหาปณิธาน วันสัมมาทิฏฐิ ว่า ตนต้องการอะไร โดยเหตุปัจจัยของการปรารถนาของ

ตนๆ
แหม จะดีที่สุดนะ ลูก ออกไปกลางแจ้งน่ะ อ้าว จริง จริ๊ง เนี่ย ออกไปกลางแจ้ง ตั้งจิต

อธิษฐาน
ไป๊, ออกไปหน่อย, เอ๊อ โดนซักหน่อย, เออ ไป เดี๋ยวกูก็จะได้ไป, ไปเฮอะ ไป

เฮอะ
ออกไปตั้งอธิษฐานกลางแจ้ง
อ้าว สมัยนั้น วันนั้นน่ะ เมืองสังกัสนครเค้าไม่มีหลังคา ตั้งอธิษฐานเลย มองฟ้า ขอ

ปรารถนาพุทธภูมิ อรหันต์ โพธิญาณ เศรษฐี คหบดี ไพร่ ผู้ดี มาเป็นดารา เป็นพระยา หรือ

เป็นเมียเศรษฐี เป็นผัวคหบดี อะไรก็ว่าไป
ตั้งจิตอธิษฐาน ลูก เออ มีสายฝน ฟ้า ดิน เป็นพยานในคำอธิษฐานที่เราปรารถนา
พระโพธิสัตว์ทุกชาติทุกภพ ท่านจะตั้งอธิษฐาน ไม่ได้อยู่ในใต้ชายคานะ ลูก จะตั้งอธิษฐาน

โดยมีแผ่นดินเป็นพื้น ฟ้าเป็นหลังคา เออ ต้นไม้ใบหญ้าเป็นเหมือนดั่งประตูหน้าต่าง ท่าน

ตั้งมหาปณิธานอธิษฐานจิต ให้พ้นจากชายคา แล้วตั้งอธิษฐานไว้ว่า ข้าฯปรารถนา ต้องการ

อะไรในวันมหาสัมมาทิฏฐิอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้
วันนี้ศักดิ์สิทธิ์นะ ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ฝนจะหยุดในเวลาที่เทศน์จบได้ยังไง
เอ้า มึงไม่คิดจะเอาอะไรกับเค้าบ้างเลยเหรอ นั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ในนี้
ย่า ไม่ไปบ้างเหรอ ไม่ไปเหรอ พอแล้วเหรอ
.............
อืม อธิษฐานเสร็จแล้วกลับเข้ามา ลูก เดี๋ยวจะได้กรวดน้ำ แผ่เมตตา อุทิศผลบุญให้สรรพสัตว์

และหมู่ญาติทั้ง 3 โลก ที่กำลังเห็นเรา
วันนี้ เป็นวันที่เทวดาเห็นเรานะ สัตว์นรกก็เห็นเรา จะทำดีทำชั่ว เค้าเห็นหมดนะ
เพราะว่า วิถีแห่งพระโพธิญาณพระผู้มีพระภาคเนี่ย ศักดิ์สิทธิ์ไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ลูก จำไว้
พระพุทธเจ้าทรงเปิด 3 โลก วันใดวันนั้น 3 โลกต้องเปิดทุกปีในวันนั้น ศักดิ์สิทธิ์ไปชั่ว

กัปชั่วกัลป์ จนกว่าจะไม่มีพระพุทธศาสนา
งั้น ทำวันนี้ คนโบราณเค้าเชื่อกันอย่างนี้ไง เค้าจึงจะมารวมตัวกันทำบุญ อุทิศส่วนกุศล

บำเพ็ญทาน รักษาศีล แผ่เมตตา เจริญภาวนา ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อ 3 โลก ให้เพื่อนๆ

ญาติมิตรที่ล่วงลับ หรือ ที่อยู่บนสรวงสวรรค์ ที่วายชนม์อยู่ในนรก ตกอยู่ในขุมใดๆ ได้พบ

เห็นว่า เราได้ทำบุญอุทิศผลบุญให้กับท่านทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว สำเร็จประโยชน์แล้ว เรา

ได้ทำดีสืบทอด สืบต่อ อุดมการณ์มหาอธิษฐานอันยิ่งใหญ่ที่เราปรารถนา จงบรรลุ สำเร็จ

มรรคผล สมประสงค์ดั่งที่เราต้องการ อันมีฟ้าดินเป็นพยาน มีเทวดา แล้วก็สัตว์ทั้ง 3 โลก

เป็นสักขีพยาน
ไม่ใช่เรื่องคร่ำครึ เลอะเทอะ ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีที่มาที่ไป ไร้สาระ ไม่มีคำอธิบาย แต่มีที่มาที่

ไปชัดเจน มีคำอธิบายให้ประจักษ์
ไม่ว่าปีใดๆ ถ้ายังมีใครรู้จักพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ถ้าวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12

ของทุกปี ก็คือ วันที่ พระพุทธเจ้าเปิด 3 โลก ให้เข้าใจไว้ตามนี้ ตราบใดที่ยังมีพระพุทธ

ศาสนาเป็นที่ปรากฏ และเป็นที่รู้จักอยู่
งั้น เราทำกิจกรรมใดๆ ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 ก็คือ วันที่ญาติของเราทั้ง 3 โลกจะ

ได้เห็น จะได้สัมพันธ์สัมผัส ที่เป็นผลงาน กิจกรรม การงาน พฤติกรรม ไม่ว่าจะดีหรือเลว
เพราะงั้น เราก็ควรจะเลือกทำต่อกรรมดี กรรมเลวๆ เราก็อย่าไปทำ
เอาล่ะ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ บอกลูกหลานว่า ข้าวสาร อาหารคาวหวาน ที่พวกท่านนำมา

ถวาย ของแห้งทั้งหลาย หลวงปู่รับแล้ว คณะสงฆ์รับแล้ว ขออนุญาตไปจำแนกแจกจ่าย จัด

เป็นถุง เป็นห่อ เป็นหีบ เพื่อใส่แจกครอบครัวยากจน ที่จะมารับมหาทานในวันเฉลิมพระ

ชนม์พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 3,000 ชุด 3,000 ครอบครัว

ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา ลูก (สาธุ)
แล้วก็ปัจจัยทั้งหลาย ที่ลูกหลานถวาย ใส่บาตรหลวงปู่ ขออนุญาตเอาไปจัดทำเสื้อยืด “เรา

รักในหลวง” แจก เดี๋ยววันนั้น กูจะแจก 3,000 ตัว (สาธุ) เออ แล้วก็วันเด็ก จะ

แจกอีก 10,000 ตัว (สาธุ)
เศรษฐีมาเอง ลูก
3 โลกได้รับรู้ แล้วร่วมอนุโมทนา (สาธุ)
เพราะตั้งใจว่า ปีนี้ วันเฉลิมฯ จะจัดแจกมหาทานตอนเย็นๆ มาสวดมนต์ถวายพระพร จุด

เทียนชัยถวายพระพร แล้วก็ตอนเลิกงาน ก็แจกมหาทาน แจกเสื้อ แจกมหาทาน เสื้อก็คง

จะแจกตอนที่มาน่ะ ให้ทุกคนใส่เสื้อ เรารักในหลวง แล้วก็สวดมนต์ เจริญพระพุทธมนต์

ถวายพระราชกุศล จุดเทียนชัยถวายพระพร สดุดีมหาราชา แล้วก็แจกมหาทาน แล้วก็บ้าน

ใครบ้านมัน ในคืนวันที่ 5 ธันวาฯ
ส่วนวันเด็กปีนี้ คาดว่า น่าจะมีเด็กมาประมาณซักหมื่นกว่าคน เพราะปีที่แล้ว ก็หมื่นกว่า เออ

ก็ร่วมๆ หมื่น 8,000 – 9,000 กว่าคน ปีนี้ ก็น่าจะมาซัก 10,000 กว่าคน

ก็ตั้งใจว่า จะทำเสื้อ “มีสติในกาย กายนี้ไม่ลำบาก, มีสติในวาจา วาจานี้ไม่ลำบาก, มี

สติในใจ ใจนี้ไม่ลำบาก” แล้วข้างหน้า ก็เขียนว่า” เรารักในหลวง” แจกกับเด็กๆ ซัก

10,000 ตัว (สาธุ)
เออ แต่ว่า งานวันเด็กปีนี้ จะเลื่อนมา เป็นตอนเย็น เพราะทุกปีทำตอนเช้ าแล้วเห็นเด็กมัน

ร้อน ทุรนทุราย ฝุ่นก็ฟุ้ง ปีนี้ ขอเลื่อนมาตอนบ่าย 4 โมงเย็น จนถึง 3 ทุ่ม เผื่อมันไม่มา

เราจะได้ไม่เปลือง เออ แต่มันคงมาแหละ แล้วก็เตรียม ลูกหลานที่ใส่สตางค์บิณฑบาตรมา

ย่า เค้าใส่ซองมาให้ทุกวันๆ บิณฑบาตรมา 3 เดือนนี่ แจกทานไป 2 รอบล่ะ เหลืออีก

หน่อยหนึ่ง เมื่อคืนนี้ออกมานั่งนับ เดี๋ยวเอาไปแลกแบงค์ แล้วก็ใส่ซอง ไว้แจกงานวันเด็ก

ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา ลูก (สาธุ)
ก็ฝากบอกไปด้วยว่า ใครมีจิตเมตตา อนุเคราะห์ ปรารถนาจะส่งเสริม สนับสนุนมหาทาน

การกุศล ก็มีข้าวให้ข้าว มีน้ำให้น้ำ ลูก มาช่วยกันตั้งโรงครัวเลี้ยง ทำเลี้ยง เลี้ยงคนด้วย วันที่

5 ก็คนมา ก็ต้องเลี้ยงเค้า ก็เค้ามาตั้งแต่บ่ายๆ
ทำ ไม่ต้องทำอะไรมาก ข้าวต้มก็ได้ ลูก ข้าวต้มกับหัวใช่โป้วก็พอแล้ว เอ้า ข้าวต้มก็หรูล่ะ

เออ ทำข้าวต้ม เพราะว่า มาเย็นๆ เค้าก็เลิกงาน กลับไปมาสวดมนต์ เจริญพระพุทธมนต์เสร็จ

ก็เลี้ยงอาหาร แจกทาน ก็บ้านใครบ้านมัน
ส่วนตอนวันเด็กนั้น ก็คงจะต้องมีซุ้มอาหารเยอะหน่อย ก็ฝากบอกลูกหลานให้รวมๆ ตัวกัน

ใครจะทำอาหารอะไรเลี้ยง เค้าเริ่มเลี้ยงตั้งแต่บ่าย  บ่าย 2 โมงเด็กมันคงมาแล้วล่ะ
บ่าย 2 โมง จนถึง 3 ทุ่ม ให้เค้าทำกิจกรรมงานวันเด็ก เด็กเค้าคงจะมาจากหลายที่
ขอเทวดาทั้งหลาย พรหมทั้งหลาย มารทั้งหลายในโลกสวรรค์ และสัตว์นรกทุกตนในโลก

นรก รวมทั้งมนุษย์ทั้งปวง ใน 3 โลก จงรับรู้ซึ่งบุญ คุณงามความดี และ กิริยาอันเป็นบุญ

และเป็นกุศลครั้งนี้ของข้าฯและลูกหลาน และจงเป็นสักขีพยาน เป็นที่ประจักษ์ โดยความ

ปรารถนามหาปณิธานของข้าฯ ที่ปรารถนาพระโพธิญาณในอนาคตกาล
ขอท่านทั้ง 3 โลก จงอนุโมทนา (สาธุ)
เอ้า ตั้งใจ ถวายทาน ลูก
ว่า นะโม 3 จบ
.............
เออ นะโม, 3 โลกไม่สะเทือนเลย เอาใหม่
..............
อิมินา สักกาเรนะ
.............
สาธุ
(กราบ)
กรวดน้ำ ลูก
อิทัง โน ยาตินัง โหนตุ
.................
ตั้งใจรับพร ลูก
...............
(สาธุ)
โชคดี ลูก ธรรมะรักษา ให้สำเร็จประโยชน์ สมปรารถนาในสิ่งที่ตั้งอธิษฐานไว้ทุกท่านทุกคน

เทอญ
(สาธุ)
เอ้า มีเวลาเหลือ มีใครจะถามปัญหาอะไร ถาม เค้าจะได้อัดเทป ออกรายการโทรทัศน์
เดี๋ยวบ่ายๆ เราจะไปสวดมนต์ ฝากถวายพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ไปโปรดสัตว์นรกกันหน่อย
วันนี้วันเปิด 3 โลก ท่านเป็นผู้ที่ประจำอยู่ในโลกของสัตว์นรก เป็นผู้ที่เสียสละอย่างยิ่ง ที่

ช่วยเหลือโปรดสรรพสัตว์นรก แม้ตนสุดท้าย จึงจะยอมออกจากนรก
คือ นรกนี่ มันไม่ใช่สถานที่สนุก มันเหมือนกับพระไปแสดงธรรมให้คนเมาฟังน่ะ อ้าว จริง

จริ๊ง พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ทำหน้าที่เหมือนกับพระ ที่ไปเดินแสดงธรรมให้คนเมาฟัง
แล้วคิดว่า มันฟังไม๊
อ้ายคนเมาคนไหน ถ้ามันหันมาฟัง อ้ายนั่นไม่ใช่สัตว์นรกแล้ว นั่นแสดงว่า ท่านโปรดได้

แล้ว แล้วท่านก็ทำหน้าที่อย่างนี้มายาวนาน ไม่ใช่ทำหน้าที่แค่วันละครั้ง หรือว่า วันพระครั้ง

แต่ทำวันละ 3 เวลา แต่เผอิญสัตว์นรกทุกขุม มันเมาทุกวัน มันเมาทุกข์ มันมีความทุกข์

มันทุรนทุราย ความทุกข์มันบีบคั้น จนมันไม่มีเวลาที่จะฟังธรรมได้
งั้น ก็ถือว่า ท่านก์มีภาระอันหนัก มีความพยายาม มีมหาเมตตา มหากรุณาอย่างยิ่ง เราก็ไป

ให้กำลังใจท่านหน่อย เดี๋ยว วันนี้ไปสวดมนต์ เอาซะประมาณเที่ยงครึ่งก็พอ ลูก กินข้าวกิน

ปลา แล้วก็ไปรวมกันที่นั่น อย่ารอบ่ายโมง เดี๋ยวฤทธิ์ข้าวมันออก เออ เอาๆ เที่ยงครึ่ง ไป

เจอกันที่ตรงนู้น
วันนี้แดดร่มลมตก โอ๊ ฟ้าดินเป็นพยาน สักขี
อ้าว ใครอยากถามอะไร เชิญ
ปุจฉา    สืบเนื่องจากที่องค์หลวงปู่ได้พูดถึง อาคันตุกะที่มาถามหลวงปู่ อยากทราบว่า ท่าน

ผู้นั้นเป็นใคร และได้ตอบปัญหาอย่างไรบ้าง กับอาคันตุกะท่านนั้น
วิสัชนา     อาคันตุกะแปลกหน้า ถ้ากูรู้ว่า เป็นใคร แล้วจะเรียกว่า แปลกหน้าเหรอ เออ

อาคันตุกะแปลกหน้าก็แล้วกัน ปัญหาที่เค้าถาม ก็ถามเมื่อครู่นี้ เล่าให้ฟัง แล้วก็ตอบไปแล้ว

ไง อุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 เค้าถามว่า มันรวมไปถึงอุปาทานในภพชาติได้ด้วยหรือไม่
ก็ยกประเด็นให้ฟังว่า สัตว์นรกที่มีความคิดว่า โลกแห่งความสว่างมันไม่มี เพราะอยู่ในโลก

แห่งความมืดอยู่ตลอดเวลา แล้วไม่เชื่อ เหมือนๆ กับคนเมาไม่เชื่อพระ
อย่างนี้เรียกว่า มีอุปาทานไม๊
มี๊ อุปาทานในภพ แล้วก็ชาติ อุปาทานในภพภูมิของตน
เหมือนกับสัตว์นรกที่เชื่อว่า โลกแห่งความสว่าง ความสุขสมบูรณ์ ความสมประกอบสมหวัง

ความสวยงาม ความผ่อนคลาย ปลอดภัย ไม่มี สัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้น จึงไม่ขวนขวายไง

ไม่พยายามจะดิ้นรน กระเสือกกระสน คล้ายๆ กับคนเมา คนเมาน่ะ พระไปเทศน์เท่าไหร่
ท่านกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ท่านไปเทศน์วันหนึ่ง 3 เวลา ก็ไม่เชื่อ ไม่ฟัง ไม่สนใจ เพราะมี

อุปาทานในภพไง อุปาทานในภพ มันก็เลยทำให้เกิดชาติเป็นทุกข์ ชาติสัตว์นรก เวียนวน

อยู่อย่างนั้น
ถ้าเมื่อใด สัตว์นรกตนใด คลายจากอุปาทานในภพ แล้วมีความศรัทธา ความเชื่อ ยอม

สำเหนียก ยอมสดับฟังพระธรรมเทศนา สัตว์นรกตนนั้น ก็จะพ้นจากนรกทันที จะพ้นจาก

ขุมนรกนั้นๆ หรือ จะพ้นจากความทุกข์ทุรนทุรายที่กำลังบีบคั้นได้
งั้น ความหมายของคำว่า อุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 คือ รู ปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

มันจะต้องเริ่มต้นจากอุปาทานในภพก่อน แล้วมันจึงจะมาถึงอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5
เพราะมีภพ จึงจะ มีชาติ มีชรา มีมรณะ มีพยาธิ มีอวิชชา แล้วจึงจะมีสังขาร การปรุง แล้ว

ก็ไปมีวิญญาณ การรับรู้ แล้วก็ไปมี รูป นาม แล้วก็มีสฬายตนะ มีผัสสะ มีเวทนา แล้วก็ไป

มีตัณหา มีอุปาทาน อย่างนี้เป็นต้น
มันก็เวียนวนกันอยู่ เรียกว่า หลัก ปฏิจจสมุทบาท จบ (สาธุ)
ปุจฉา     เราต้องมีภูมิจิต ภูมิธรรมสูง เท่าใด ณ.ปัจจุบัน เราจึงจะสามารถล่วงรู้ได้ว่า พุ

ทธานุภาพที่พระพุทธองค์ยังทรงอยู่ในการเปิดโลกนั้น เราจะรับรู้ได้อย่างไร
วิสัชนา     คนสมัยนี้ จิตหยาบ ลูก จิตใจหยาบกระด้าง ความเร็วของมนุษย์ นี่มันทำให้

มนุษย์เลว คนสมัยก่อนเค้าช้า มนุษย์ช้า งั้น จิตมันก็จะสำเหนียก สัมผัส รับทราบได้ทุกอย่าง

เหมือนกับเรานั่งรถมาที่นี่ ถ้ารถมันวิ่งเร็ว เราจะไม่เห็นอะไรที่มันอยู่ข้างทาง แต่ถ้าค่อยๆ

ไป เอื่อยเฉื่อย กินลมไปเรื่อยๆ เราก็จะได้เห็นอ้ายนู่น เจดีย์ เห็นวัด เห็นตะพาน เห็น

ต้นไม้ข้างทาง เห็นร้านรวง เห็นผู้คนแต่งกายสีสันอย่างไร
งั้น มนุษย์ที่มีจิตใจที่หยาบกระด้าง หรือ ทำอะไรเร็วๆ ลวกๆ ที่สุดมันก็จะเหมือนกับ กิน

พริกไม่รู้จักเผ็ด แต่มันไปเผ็ดในท้อง มันจะไปแสบอยู่ในท้อง กินเกลือไม่รู้จักเค็ม แต่จะ

ไปรู้สึกว่าเค็ม ก็เมื่อไตมันพังแล้ว อย่างนี้เป็นต้น
มนุษย์เหล่านี้ ถามว่า เกลือมันเค็มดีอยู่ เป็นปกติไม๊
เป็น เค็มอยู่เป็นปกติ แต่ทำไมมนุษย์นี้ จึงไม่รู้รสเกลือ
ก็เพราะมนุษย์นั้น มันมีลิ้นเหมือนอ้ายเข้ มนุษย์คนนี้ ไม่มีสัมผัสอันนุ่มนวล ไม่มีสัมผัสอัน

ปราณีต ไม่มีสัมผัสอันสุขุม ไม่มีสัมผัสอันวิจิตรบรรจง ไม่มีสัมผัสอันสุภาพ มันมีสัมผัส

อันหยาบกระด้าง มันจึงกินเกลือไม่รู้เค็ม กินพริกไม่รู้เผ็ดไง
งั้น พุทธานุภาพเนี่ย มีสถานภาพไม่ต่างอะไรกับเกลือ
ยังไงๆ ถ้าคนในโลกนี้ ยังมีเกลืออยู่ ก็ยังมีรสเค็มอยู่
ถ้าโลกนี้ยังรู้จักพระพุทธเจ้า พุทธานุภาพก็ยังดำรงค์อยู่
แต่ที่มนุษย์ไม่สามารถสัมพันธ์สัมผัสพุทธานุภาพ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนกินเกลือไม่รู้รสเค็ม

กินพริกไม่รู้รสเผ็ด มันจะรู้สึกเผ็ด ก็ต่อเมื่อ อ้าว ท้องกูแสบแล้ว, อ้าว ตัวกูไฟแลบแล้ว
เนี่ย ตามใจปาก ลำบากตูด
มันไม่ต่างกันเลย ลูก พุทธานุภาพ นี่มีลักษณะเหมือนกับรสของพริก รสของเกลือ ยังคงอยู่

ไม่ได้สูญหาย ไม่ได้เสื่อมสลาย แต่มนุษย์ไม่รู้จักยอมรับ เพราะว่า จิตใจมนุษย์หยาบ

กระด้าง มันเหมือนกับที่ผ่านๆ มา เราก็ ถามว่า มีร้านนู้นไม๊ มีร้านนี้ไม๊ มีวัดนู้นไม๊ มีวัดนี้

ไม๊
มันมี แต่ไม่รู้, ผ่านไปเฉยๆ ไม่สนใจ
ความดี ยังมีอยู่ไม๊ คนทำคุณงามความดี ยังได้ดีอยู่ไม๊
ก็ยังได้ แต่เพราะใจเราหยาบกระด้าง ใจเร็วด่วนได้  เราอยากให้มันได้ทันใจเรา ให้มันสม

หวัง สมปรารถนา และต้องการอย่างทันอกทันใจ เราเลยปฏิเสธอะไร ที่มันเห็นผลช้าๆ
ที่จริง มันไม่ได้เห็นผลช้านะ
กินเกลือ มันก็เค็มทันที แต่เราคิดว่า มันไม่สะใจ มันไม่มัน มันไม่ร้อนแรง มันไม่กระตุ้น

ต่อมอยากของเราได้ มันไม่ได้สม คือ มันไม่สามารถจะถมในบ่อตัณหาของเราให้เต็มทันที

ได้ เราก็เลยไปแสวงหาอะไรที่มันยิ่งใหญ่ มันมากขึ้นๆ
แล้วสิ่งที่เราแสวงหา เราก็เรียกกันในโลกยุคใหม่ว่า วิทยาศาสตร์
เราไปแสวงหา เราเรียกมันว่า วิทยาศาสตร์ แล้วก็คิดว่า วิทยาศาสตร์ เป็นคำตอบของการ

แสวงหา
ที่จริง มันก็ไม่ได้เป็นความเสียหายอะไร วิทยาศาสตร์ มันก็เป็นคำตอบของการแสวงหาได้

ในระดับหนึ่ง แต่ที่สุดแล้ว คนใกล้ตาย วิทยาศาสตร์ตอบอะไรได้
คนขึ้นสวรรค์ ตกนรกนี่ วิทยาศาสตร์ มันตอบอะไรเราได้บ้าง
คนอยู่สุขทุกข์ ทุรนทุราย ทรมาน วิทยาศาสตร์ มันตอบอะไรเราได้บ้าง
มันตอบได้ในบางอย่าง แต่มันไม่ได้ทุกอย่าง มันไม่ได้ทุกเรื่อง แล้วสุดท้าย เราก็เลย

มากลายเป็น มาโทษว่า พุทธานุภาพไม่มี ธรรมานุภาพไม่มี สังฆานุภาพไม่มี เทวตานุภาพ

ไม่มี
ก็มีแต่อัตตานุภาพ ก็ไม่เชื่อด้วย อัตตาของตัวเองก็ไม่เชื่อ ดันไปเชื่ออัตตาคนอื่นๆ
เหมือนกับเมื่อวาน หลวงปู่ดูโทรทัศน์ อ้ายบริษัทอะไรของมัน มาประกาศขายเครื่องราง

อะไร อ้าย 5 แถว 6 แถว อะไรของมัน เออ ไม่รู้ล่ะ ไม่ต้องไปเอ่ยชื่อเค้าหร๊อก
เอ๊อ มันประกาศว่า ยันต์ นี่มีมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ยันหัวทิ่มสิ มึงพูด

ออกมาได้ ไม่อายปาก พระพุทธเจ้าใช้ยันต์ที่ไหน ไม่มี ยันต์ มันพูดออกมาได้ พระ

พุทธเจ้าใช้ยันต์ แล้วมันบอกว่า ใช้นาฬิกาย่อห้อนี้แล้ว จะถูกกันทั้งบ้านทั้งเมือง หวย ถูก

หวยกันทั้งบ้านทั้งเมือง
อ้ายชิบหาย อย่างนั้น จะไปทำกิน ทำห่าอะไร มึงก็เอานาฬิกามาแขวนคอ มาเดิน นั่งรอให้

มันถูกหวย ประเทศนี้ก็ไม่ต้องทำกินแล้ว มึงก็ซื้อนาฬิกาแจกให้หมดเลย แล้วมันก็รอถูก

หวยอย่างเดียว
ดู๊ มันโกหกหน้าด้านๆ โกหกเห็นๆ มันก็โกหก แล้วคนเชื่อมันไม๊
เชื๊อ เชื๊อ เพราะอย่างนี้ไง พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ จึงเทศน์ให้สัตว์นรก 3 เวลา ยังไม่ฟัง

เลยไง ให้กูไปบอกว่า มึงอย่าเชื่อเค้านะ อ้าย 5 แถวนี่ มันแหกตา
มันเชื่อเรา หรือ มันเชื่ออ้าย 5 แถว
มันก็เชื่ออ้าย 5 แถว, เห็นไม๊ สันดานสัว์นรก
เนี่ย ไม่ต่างอะไรกัน มนุษย์กับสัตว์นรกนี่ มีวิถีคิดไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะอ้ายความ

เป็นมิจฉาทิฏฐิของเรา วิธีคิดผิดๆ ของเรานี่แหละ มันเลยไปเหมือนกับว่า จะไปทำลายพุ

ทธานุภาพ
จริงๆ พุทธานุภาพ ไม่ได้มีใครสามารถทำลายได้ เหมือนกับเกลือนั่นแหละไม่มีใคร

สามารถทำลายรสเค็มของเกลือได้ เพราะเกลือก็ยังเค็มอยู่ทั้งปีทั้งชาติ จะบอกว่า เอาน้ำใส่

เดี๋ยวก็หายเค็ม
เกลือ ก็คือ คุณสมบัติของความเป็นเกลือ มันเค็มอยู่อย่างนั้น ไม่มีสิทธิ์จะทำลายมันได้ มี

แต่ทำให้เจือจางลง แต่สุดท้าย โลกนี้ มันหมดเกลือได้ที่ไหน
พุทธานุภาพ ก็มีอยู่ไปทุกอณูของบรรยากาศ
แต่ถามว่า เราสัมพันธ์สัมผัสไม่ได้ เพราะเราหยาบไง เรามีอวิชชา เราโง่ เราไม่รู้ไง เราเป็น

คนบาป
เราเป็นคนบาป เราจึงไม่สามารถสัมพันธ์ สัมผัส พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ โพธานุภาพ

สังฆานุภาพ เทวตานุภาพ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อใดที่เราเป็นคนมีบุญ เรียกว่า มีกุศลจิต
เอาล่ะ พุทธานุภาพจะหลั่งไหลพรั่งพรู พูดอะไร ก็เทวดาครั่นคร้าม คิดอะไร ดำริอะไร

วิเคราะห์อะไร ไตร่ตรองอะไร ต้องการอะไร เทวดาก็อวยชัยให้พร พุทธานุภาพก็

อุปถัมภ์บำรุง
อ้ายนี่ เรื่องจริง ลูก จบ (สาธุ)
ปุจฉา     สืบเนื่องจากพุทธานุภาพขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้า ขออนุญาตถามว่า ฝน

โบกขรพัต จะเกิดขึ้นในวันตักบาตรเทโวเท่านั้น หรือ จะเกิดขึ้นในเหตุการณ์ กรณีอื่นด้วย

หรือไม่
วิสัชนา     มีหลายกรณี ลูก ฝนโบกขรพัตเนี่ย จะมีในกรณีที่พระองค์ทรงเสด็จ แสดงธรรม

โปรดพุทธบิดา ก็เกิดฝนโบกขรพัต คือโปรดพุทธบิดา แล้วก็ทรงแสดงธรรมโปรดพุทธ

มารดาบนสวรรค์ ก็มีฝนโบกขรพัต ในชั้นดาวติงสา ก็มีฝนโบกขรพัต แล้วท่านเสด็จลงมา

ก็มีฝนโบกขรพัต
มีหลายกรณีมาก แม้ในกรณีที่พระองค์ทรงประสูตร ก็เกิดฝนโบกขรพัต
คือ ฝนโบกขรพัต เป็นคุณสมบัติ เค้าเรียกว่า อะไร เป็นพุทธาบารมี พุทธบารมี เท่านั้น
สัตว์อื่นไม่มีสิทธิ์ จะบันดาลให้ฝนโบกขรพัตเกิด ยกเว้นพระโพธิสัตว์เจ้าเท่านั้น หรือ พวก

หน่อเนื้อพุทธางกูรเท่านั้น จึงจะบันดาลให้ฝนโบกขรพัต เกิดได้ จบ (สาธุ)
ปุจฉา    วิถีทางแห่งการปฏิบัติที่จะเป็นพระอริยเจ้า และพระโพธิสัตว์นั้น มีวิถีทางเดียว

กันหรือไม่ หรือ มีความประสงค์แตกต่างกัน
วิสัชนา    ความประสงค์มันแตกต่างกันอยู่แล้ว พระโพธิสัตว์ปรารถนาเป็นราชา พระ

อรหันต์ก็ปรารถนาเป็นลิ่วล้อ คือ สาวกภูมิ พวกสาวกภูมิน่ะ เค้าเรียก อรหันต์
ราชา หรือว่า พระธรรมราชา ก็หมายถึง พระโพธิสัตว์ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
แล้ววิถีทาง ก็จะแตกต่างกัน
วิถีทางแห่งพระโพธิสัตว์ คือ จะต้องไม่มองตัวเองเป็นใหญ่ แต่มองประโยชน์สัตว์

ประโยชน์โลก ประโยชน์สิ่งแวดล้อม ประโยชน์สังคม ประโยชน์แผ่นดิน ประโยชน์ประเทศ

ประโยชน์ปวงชนเป็นใหญ่
แต่วิถีแห่งสังฆบารมี หรือว่า พวกพระอรหันต์ อสีติมหาสาวก หรือว่า พุทธสาวก มอง

ประโยชน์ตนเป็นใหญ่ เพราะต้องการให้ตนพ้นทุกข์
พูดอย่างนี้ มันเหมือนกับกลายเป็นน่าเกลียด แต่เป็นวิถี เป็นวิถีที่แต่ละคนสั่งสมมา ว่า เอา

ตัวเองให้รอด นั่นคือ วิถีแห่งพุทธสาวก
ถ้าวิถีแห่งพุทธภูมิ ก็ต้องเอาคนอื่นรอด ตัวเองไม่รอด ก็ไม่เป็นไร อย่างนี้เป็นต้น
แล้วก็มีหลักการในการดำเนิน
หลักการในการดำเนินในวิถีแห่งการเอาตัวเองรอด มีอะไรบ้าง
ก็ ทาน ศีล บริจาคทาน รักษาศีล แผ่เมตตา เจริญภาวนา อย่างนี้เป็นต้น
แต่หลักการของพระโพธิญาณ และ ปรารถนาพุทธภูมิ ก็มีคุณสมบัติ 10 ประการ มี

อะไรบ้าง
ก็ มีทาน มีศีล มีเนกขัมมะ มีปัญญา มีวิริยะ มีขันติ มีสัจจะ มีอธิษฐาน มีเมตตา แล้วก็ มี

อุเบกขา เรียกว่า ทศบารมี ทั้ง 10 ประการ อย่างนี้เป็นต้น นี่คือ วิถี
ในวิถีแห่งพุทธสาวก ก็เริ่มต้นจาก ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา แล้วเดินไปในมรรคา

ปฏิปทาทั้ง 8 ประการ จบ (สาธุ)
ปุจฉา   เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลวงปู่สอนการใช้จิตจับการเต้นของชีพจรที่ซอกคอ

สามารถที่จะใช้จิตจับชีพจรในบริเวณอื่นได้ด้วยหรือไม่  เพราะไม่สามารถจับได้ที่บริเวรคอ

แต่จับสัมผัสได้ที่อื่น
วิสัชนา    ที่จริง ชีพจรที่คอ นี่มันจับได้ง่ายกว่าชีพจรที่อื่น เพราะมันไม่จำเป็นต้องใช้
ไม่รู้นะหลวงปู่ จับง่าย คนอื่นจับยาก ก็ไม่รู้
หายใจเข้า แล้วกลั้นลม นับ 1, 2, 3, 4, 5 นับการเต้นของชีพจร ไม่ใช่นับตัว

เลข
ชีพจรเต้นครั้งที่ 1 ก็นับ 1, ชีพจรเต้นครั้งที่ 2 ก็นับ 2, ชีพจรเต้นครั้งที่ 3 อ้าย

บางคนมัน เฮอะๆ ทนไม่ไหว, 3 กูก็แย่แล้ว ก็ไม่เป็นไร ก็เอาแค่ 3 พอ
เพราะสังเกตุดู บางคน ฮืมๆ กูนึกว่า มันกำลังนั่งเบ่งขี้ หน้าแดงเชียว เออ แทนที่จะกลาย

เป็นสร้างภูมิคุ้มกันตัวเอง กลับเสียภูมิคุ้มกัน อย่างนี้ไม่ได้ ก็เอาเป็นว่า ให้มันผ่อนคลาย
หายใจเข้า กลั้นลมไม่ให้ออก เพื่อจะดูชีพจร แล้วคอย มันเต้นครั้งที่ 1 นับ 1, เต้นครั้งที่

2 นับ 2, เต้นครั้งที่ 3 นับ 3,
ที่สอนอย่างนี้เนี่ย ที่จริง เอามาจากวิถีแห่งอานาปานสติ ว่า
มีสติพิจารณา กายสังขาร แล้วจึงหายใจเข้า
มีสติพิจารณา กายสังขาร แล้วจึงหายใจออก มันมีระยะเวลาในการพิจารณากายสังขาร
กายสังขาร มีอะไรบ้าง
มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ รวมเป็นกายสังขาร
งั้น ช่วงจังหวะระยะเวลาที่พิจารณากายสังขารเนี่ย เราไม่ได้พิจารณากายสังขาร แต่มา

พิจารณาการเต้นของชีพจร แล้วจึงหายใจเข้า หรือ จึงหายใจออก
หายใจเข้า แล้วจึงจะพิจารณากายสังขาร
หายใจเข้า แล้วมาพิจารณาการเต้นของชีพจร แล้วจึงจะหายใจออก
กำหนดเท่าไหร่
เอาเป็นว่า เราพอทนได้ ก็นับไม่เกิน 3 แล้วกัน บางคนไปบอก 20, มันฮืม ตายล่ะ กู

ตาย เข้าแล้วไม่ยอมให้ออก ครบ 20 กูหาชีพจรไม่เจอล่ะตอนนี้ เออ จะตายเลย ไม่ได้
งั้น ทำได้ ก็จะทำให้แข็งแรง จะทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายดีขึ้น จบ (สาธุ)
ปุจฉา    ลูกสาวอายุ 29 ปี ยังไม่มีครอบครัว ไปตรวจ พบว่า เป็นซีสที่รังไข่ 2 ข้าง

หมอนัดผ่าตัดกลางเดือนหน้า มีทางรักษาอย่างอื่นหรือไม่ หรือต้องผ่าตัด และต้องปฏิบัติ

ตนอย่างไร
วิสัชนา     ซีสมันง่ายๆ ตัดมันทิ้ง ไม่เห็นยาก เดี๋ยวนี้ เค้าก็ไม่ได้ผ่าแผลอะไรเยอะแยะ เค้า

มีกล้องส่อง มีเครื่องมือแพทย์แบบชนิดที่ไม่ต้องไปเจ็บแผล ไม่ลำบากลำบนอะไร ไปผ่าเฮ

อะ จบ ไปตัดมันออก หรือ จะเก็บเอาไว้เป็นทุน ไม่ได้เสียหายอะไร เก็บไว้มันก็จะรำคาญ

เอาไปตัดทิ้ง จบ (สาธุ)
ปุจฉา      ในบทเจริญพระพุทธมนต์ที่องค์หลวงปู่พาลูกหลาน เจริญในบทที่ว่า อุณหิสวิ

ชชะยะคาถา ทำไมจึงมีวงเล็บว่า อานิสงส์ แตกต่างจากบทอื่น
วิสัชนา    อะไรนะ อุณหิส บทสวดมนต์อุณหิส เป็นธรรมะของเทพอุณหิส เทพอุณหิสนี่

ท่านว่าไว้ว่า เป็นเทวดาที่มีอายุยืนมาก ยืนมากกว่าเทวดาองค์ใดๆ ในชั้นดาวติงสา จะพูด

กันไปก็เป็นผู้รู้ราตรี เป็นเทวดาผู้เฒ่ามีอายุมาก คนจีนเค้าเลยเอามาทำเป็นอะไร, 1 ใน

ฮก ลก ซิ่ว, ลก มั๊ง
เออ เทวดาที่อายุยืนยาว เทพ ผู้ใดที่ถึงธรรมของเทพอุณหิส ผู้นั้นก็จะมีอายุยืนยาว
ธรรมของเทพอุณหิส มีอะไรบ้าง
ก็บริจาคทาน รักษาศีล แผ่เมตตา เจริญภาวนา และทำจิตใจให้ผ่องใส แจ่มใส อย่างนี้เป็นต้น
คนจีนเค้าจะเชื่อเรื่องเทพอุณหิสมาก ถึงทำออกมาเป็นรูปตุ๊กตา รูปปั้น เห็นไม๊ คนแก่ที่หัว

ล้าน เคราขาว ที่ถือไม้เท้า อะไรนั่นน่ะ นั่นแหละ ตัวแทนของเทพอุณหิส แล้วบางทีก็ทำ

เป็นรูปเซียน คนแก่อุ้มลูกท้อ ที่เด็กๆ อุ้มลูกท้อเดินตาม นั่นแหละ ถ้าเป็นภาษาไทย เค้าก็

เรียก เทพอุณหิส เป็นเทพเจ้า ของความอายุยืน จบ (สาธุ) ญี่ปุ่นเค้าก็มีนะ เทพอายุยืน

เทพอุณหิส แต่เค้าไม่เรียก เทพอุณหิส รู้สึกจะมีหลายชาติ ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน นี่ก็มี เทพ

อายุยืน
ปุจฉา   พระสูตร พระปริตร พระคาถา มีความแตกต่างกันอย่างไร ทำไมจุงเรียกชื่อต่างกัน
วิสัชนา     อะไรวะ หา
พิธีกร     พระสูตร พระปริตร และพระคาถา มีความแตกต่างกันอย่างไร
หลวงปู่    พระสูตร นี่เป็นสิ่งที่มีมาแต่เดิม พระปริตร เป็นสิ่งที่แต่งเติมขึ้นที่หลัง โดย

อาจารย์ชั้นหลังๆ แต่อาจารย์ชั้นเหล่านั้น ก็ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน มาในชั้นฎีกาอรรถคาถา
ชั้นฎีกาอรรถคาถา ก็พวกอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ คือ ขีณาสพ
พระปริตรบางบทแต่งขึ้น เพราะเทวดาเป็นคนแต่งถวายพระพุทธเจ้า เช่น อาฏานาฏิยะ

ปริตรสูตร อย่างนี้เป็นต้น พระปริตรบางบท พระพุทธเจ้าทรงผูกขึ้นเอง พระปริตรบางบท

พระกัจจายนะท่านผูก อย่างนี้เป็นต้น
ส่วนพระคาถา หลวงตาหนิทก็ทำได้ เออ หลวงตาหนิทก็ผูกขึ้นได้ โอม นะ มวย นะ ม่อย นะ

อะไรของมันก็ไม่รู้ เวลามันบรรยายคาถา แล้วอยากจะเข้าไปใกล้ๆ แล้วบรรจงยก

ฝ่าพระบาท ฟาดเปรี้ยงเข้าไป บอก อ้าว ถีบทำไม
มึงท่องไปได้ยังไง คาถาส้นตีน ส้นมือของมึง อะไรเนี่ย อะไรมันยกไปหมดเลย เรื่องสัปดี้สี

ปดนอะไร อะไรของมันไม่รู้ มันบอก นี่ของหลวงพ่ออี๊เชียวนะ เค้าบอก อาจารย์ไม่รู้ นี่ เสก

ให้ขิกลอยน้ำนะ วิ่งอย่างกับเรือเลย เค้าว่า เออ ท่อง มันทำไอ้ขิกไง ตาหนิทก่อนตาย ตอน

แกยังอยู่ แกจะนั่งหลาวไอ้ขิก เสร็จแล้วแกก็เสก เขียนคาถา อ้ายเราก็เดินเข้าไปฟัง โอย

มันท่องสัปดี้สีปดน แล้วก็โยนลงน้ำ เห็นโยนทีไร ก็ป๋อมๆ ทุกทีเลย ไม่เห็นมันวิ่งเข้ามาเลย
เราก็เลยต้องยก บรรจงฝ่าพระบาทถีบโครมเลย บอก มึง มันไม่ขึ้นมา มึงลงไปเก็บ เออ

คาถานี่ เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ผูกได้ แต่คาถาที่เป็นสุภาษิต ใครๆ ก็ผูกไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เป็น

ปราชญ์ ไม่ใช่บัณฑิต ผูกไม่ได้ แต่คาถาที่เป็นทุภาษิต คาถา นี่เค้าหมายถึง คำพูด เป็นทุ

ภาษิต ใครก็ผูกได้ ไม่ได้เสียหายอะไร จบ (สาธุ)
พิธีกร    ขอโอกาสถามเป็นคำถามสุดท้ายเจ้าค่ะ
ปุยฉา      ได้สัมผัสวิญญาณ และพลังงานไม่ดีในร้านค้าของตน ทำให้รู้สึกว่า ร้านค้าคนไม่

นิยมเข้าเพราะเหตุดังกล่าว หลวงปู่เชื่อในเรื่องพลังงานไม่ดีและวิญญาณอย่างไร
วิสัชนา     กูก็สัมผัสได้เหมือนกัน ที่ถามมานี่ สัมผัสได้ว่า มึงเป็นคนน่าเบื่อมากเลย เป็นกู

กูก็ไม่ซื้อร้านมึง ไม่เข้าร้านมึง ก็ถ้ามึงทำตัวเป็นผู้ที่เชื่อเลอะเทอะ หลงใหล บางคนนี่ ร้าน

มันทำอย่างกับทรงเจ้า มันมีสารพัดมี ป้ายมั่วนัก ตั้งแต่หน้าร้านไปยันหลังร้าน สรุปแล้ว

มึงขายอะไรกันแน่ มึงขายเครื่องราง หรือมึงขายอะไร มันมีไอ้ขิกตั้งแต่ตัวเล็กยันตัวใหญ่ มี

เทพองค์ไหนๆ สารพัดมี
สรุปแล้วมึงจะขายโช่วห่วย หรือ มึงจะขายเครื่องรางของขลัง เป็นอย่างนั้นนะ
อ้ายบางคนนี่ ขายของไม่ดี ก็เพราะตัวเองไม่ได้มองว่า อ้ายสินค้าที่ตัวเองจะขายนี่ มันตรง

ต่อความต้องการของชุมชน ของสาธารณชน ของผู้คนที่อยู่รอบข้างไม๊ คือ ขายตามๆ เค้าไป

อยากขายก็ขาย
อ้ายเรื่องทำเลนี่ มันแพ้ฝีมือนะ สมัยก่อนนี่ หลวงปู่เห็นอ้ายผัดไทอ่ะ ยายคนนี้นี่ ปากแกนี่

โอ้โหยหมาไม่แดกเลยล่ะ ถ้าแกพูดกับใคร ไม่มีใครซื้อ แต่ฝีมือแกดีมาก อ้ายร้านผัดไท

แกนี่ ต้องใช้ไม้กระดานข้ามไปนะ วาง 2 แผ่น แล้วจึงจะข้ามไปซื้อนะ คนเข้าแถวรอคิว

กัน ทุกวันไม่ต่ำกว่า 50-60 คน ต้องไปยืนเข้าแถว ย่าใช้หลวงปู่ไปซื้อเนี่ยนะ โหย

ร้านนี้อีกล่ะ แล้วถ้าไม่ซื้อร้านนี้นะ แกก็จะกินรู้ล่ะ เออ แกรู้ด้วย ไปซื้อร้านอื่นซึ่งไม่ต้องรอ

คิว ก็ไม่เอาด้วย ต้องมาร้านนี้ แล้วก็ โอ๊โหย เราก็ยืนรอ ยืนรออยู่นั่นแหละ แล้วถ้าแซงคิว

นะ มึงไปนู่นเลย ไปรออยู่นู่นเลย ไล่เลยล่ะ ปากแกนี่เคี้ยวหมากยั๊บๆ แต่ฝีมือแกดีมาก
เนี่ย มันอยู่ที่ฝีมือ ทำเลนี่มันแพ้ฝีมือนะ แพ้ฝีมือ ดูอย่างพระดังๆ ท่านต้องหาทำเลดีตั้งวัดไม๊
มีวัดกูวัดเดียวแหละ ที่กูตั้งทำเลดี
เออ วัดสังฆทาน สมัยก่อนหลวงปู่ไปนะ อ้ายทางเนี่ยนะ รถสวนไม่ได้นะ อ้ายถนนเส้น

ใหญ่น่ะไม่มีหรอกนะ วัดสังฆทาน สมัยก่อนไปยืมกลดเค้านะ ถนนรถเข้าไป รถปิ๊กอับ คือ

ผิดนิดหน่อยก็ลงท้องร่อง ถนนมัน คันร่องน่ะ เราก็มานั่งนึก โอ้โหย ที่เมืองไทยตั้งเป็นร้อยๆ

ไร่ เป็นหมื่น แสนไร่ ทำไม๊ ขยันที่จะมาอยู่กรอกในซอกในซอยในรู
เออ ดูเค้าก็ทำจนใหญ่โตมโหฬาร อันนี้มันไม่ต้องอยู่ที่ทำเล อยู่ที่ฝึมือ
งั้น ฝีมือสำคัญ คนไม่มีฝีมือให้มันอยู่บนสวรรค์ ก็ไม่มีใครไปมองมัน ไม่มีใครอยากจะซื้อ

ของมัน กินหมาไม่แดก บางทีไป ก็ซื้อข้าวมันไก่มาให้ เราก็ มันตรงไหนวะ ข้าวมันไก่

ข้าวก็เม็ดหักๆ เม็ดสั้นๆ
เค้าทำข้าวมันไก่นี่ เค้าต้องเลือกข้าวอย่างดีนะ เออ แล้วก็เวลาล้าง เวลาขัด เค้าก็ต้องใช้

ความนุ่มนวลในการขัด ไม่ใช่ซาวจนข้าวเม็ดหัก แล้วเวลาหุง ต้องต้มน้ำซุปไก่ให้พร้อมมูล

เห็นน้ำเดือด แล้วจึงจะใส่ข้าว แล้วคอยคนเบาๆ แล้วจะต้องใส่ ถ้าจะให้ดี ก็ต้องใส่ข่าไปด้วย

มันจะทำให้ข้าวหอม ใส่กระเทียม ใส่ข่า
โอ้โห เมื่อก่อนนี้ หลวงปู่ ข้าวมันแกงไก่ เลี้ยงคน พูดแล้ว เลิกเฮอะ หิว จะได้เวลาล่ะ จะ 11

โมงล่ะ พอเฮอะ พอ
งั้น ถามตัวเองว่า ถนัดอะไร
เออ เนี่ย กูกำลังทำร้านกาแฟอยู่ตรงนี้น่ะ ใครมีฝีมือ ร้านกาแฟกับร้านอาหารตามสั่ง มาขาย

แบ่งครึ่งกับวัด ไป กูทำร้านไว้ให้ ให้เช่า ไปหาวิธีบริหารจัดการ จะเปิดวันปีใหม่นี้ คนมาจะ

ได้นั่ง แต่ห้ามขายเหล้า อย่าขายเหล้า เออ ขายเบียร์ก็ไม่ได้ เหมือนกับย่า เค้า ถามอ้ายริ

นทร์ อ้ายรินทร์ กินเจไม๊ เออ เราก็เลยบอก อ้ายรินทร์มันกินเจทั้งปี๊ กินอะไรล่ะ อ้าว  ก็กิน

เหล้าสิ กินเบรยร์ กินเจทั้งปี มันกินยอดข้าว กินทั้งปีล่ะ
เอ้า พอ เลิก หิวแล้ว เดี๋ยว เที่ยงครึ่ง
พิธีกร     ขอโอกาสคำถามสุดท้าย เกี่ยวกับโรคของเด็กผู้หญิง แล้วแต่หลวงปู่จะเมตตา
หลวงปู่    ไหนบอกว่า คำถามสุดท้าย อ้าว
พิธีกร     เพิ่งส่งมาเจ้าค่ะ อ่านแล้วสงสาร ขอเมตตาหลวงปู่
ปุจฉา     เด็กหญิงอายุ 9 เดือน เป็นโรคดักแด้ คือ ตัวลอกตั้งแต่หัวจรดเท้า มีอาการคัน

บ้าง ไม่ทราบว่า จะต้องทานยาอะไร หรือ รักษาอย่างไรจึงจะหาย
วิสัชนา      น้ำมันมะพร้าวน่ะ ลูก ให้ใช้น้ำมันมะพร้าวชุบ มันเหมือนกับต้องเอา เหมือนกับ

รัก ยม ต้องแช่น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ แล้วจะดีขึ้น ไม่ต้องกินยาอะไร ไม่

ต้องทายา
หลวงปู่เห็น สมัยก่อนนี้ เด็กข้างบ้านมันเป็น ตาแนะนำให้เอาน้ำมันมะพร้าวใส่ถังท่วมคอ

แล้วก็นั่งแช่ วันหนึ่ง 3 เวลา แล้วก็ค่อยๆ เอาผ้าซับ ไม่ต้องใช้น้ำธรรมดา น้ำมันมะพร้าว
เอ้า ไม่เชื่อ ลองไปทำดู จบ (สาธุ) น้ำมันมะพร้าว นี่มันเป็นยาแอนตี้บอติคนะ คือ มันมี

สารที่สามารถฆ่าเชื้อรา แล้วก็ฆ่าเชื้อโรค ตามผิวหนังได้ด้วย
แต่อ้ายคนที่บ้า ไปกินน้ำมันมะพร้าวนี่ เป็นอัมพฤตไปหลายคนแล้วนะ
อย่าไปเชื่อมัน กินน้ำมันมะพร้าวสดๆ แต่ทาผิวหนัง ทาข้างนอก ทาผม ผมก็ดำ จบ (สาธุ)
(กราบ)
เดี๋ยวไปทานข้าวน่ะ ลูก แล้วก็เอาหนังสือสวดมนต์ไปนั่งเล่น นอนเล่น อยู่ในวิหารพระ

โพธิสัตว์  ไปพักที่วิหารพระโพธิสัตว์ แล้วเที่ยงครึ่ง หลวงปู่จะลงไปนำเจริญพระพุทธมนต์

เสร็จแล้ว เค้ามีส้ม มีของแจก ค่อยกลับบ้าน ลูกไป
อะระหัง สัมมา
.................
(กราบ)
กฐิน วันไหนวะ
(วันที่ 4)
4 ที่จะถึงนี่น่ะเหรอ
(ครับ)
เออ พูดเรื่องกฐินหน่อย ที่จริง กฐิน นี่มันเป็นกิจกรรมของชาวบ้านที่เค้าสงเคราะห์พระ

สำนักพระราชวัง นี่เค้าทำถูกนะ เค้าจะมีกฐินพระราชทาน เค้าก็ส่งคนมาประชุม มาแจ้งว่า

จะมาจัดสถานที่ พวกชาวบ้านเวลามาทอดกฐินให้พระ พระต้องมานั่งจัดสถานที่เอง ทำอะไร

เอง
จริงๆ มันไม่ถูกนะ มันไม่สมประกอบอานิสงส์กฐินนะ
อานิสงส์กฐินจริงๆ มันเป็นเรื่องของชาวบ้านทำให้กับพระ พระมีหน้าที่เพียงแค่รับ แล้วก็

กราน เรื่องทั้งหลายทั้งปวง นี่เป็นเรื่องชาวบ้านเค้ามาทำ
เพราะงั้น วันกฐิน หรือ ก่อนวันกฐินน่ะ ลูก ใครจะมาทอดกฐิน ก็มาจัดสถานที่ ทำความ

สะอาด ปัดกวาดเช็ดถูดูแลเอาใจใส่ ให้มันทำอะไรให้มันถูกต้องตามธรรมเนียม แต่สำนัก

ราชวังเค้ารักษาธรรมเนียมเอาไว้ เวลากฐินพระราชทานที่ไหน เค้าจะไปจัดสถานที่เอง ไป

ดูแลกิจกรรมเอง พระมีหน้าที่นั่งรับอย่างเดียว ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
วันพรุ่งนี้ จะต้องไปงานศพอีอ้วน มันก็อยู่จนครบพรรษาพอดี ตายวันออกพรรษาเลยล่ะ เออ

ได้พรรษาพอดี เดี๋ยวจะไปงานศพเค้าหน่อย ตอนเย็น 6 โมงเย็น ทุ่มหนึ่ง เป็นเจ้าภาพ

เค้าหน่อย ใครว่างก็ไป วัดอะไรวะ โมลีโลกายราม อยู่ตรงไหน นนทบุรี แถวๆ ใกล้ๆ วัด

สังฆทาน เออ ไม่รู้อยู่ตรงไหน เดี๋ยวไป ลูก
เอ้า ไป ลูก ไปหาข้าวหาปลากิน
(กราบ)