23    ธ ค 2555   14.30 น. ระหว่างปฏิบัติธรรม โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ (เดินขั้นที่ 1 ภาคที่ 1,2,3, ขั้นที่ 2, 3, 4, เพ่งความว่างในท่านั่ง, ยืน, นอน, เดิน)

(กราบ)
ฝึกสติ  
สติ เป็นกำลังใหญ่ของการปฏิบัติธรรม
เป็นหัวใจของการเจริญปัญญา เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความว่าง
ไม่มีสติ ก็ไม่มีสิทธิ์ว่าง
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น ให้รุ่นพี่เข้าไปแนะนำ
เดินในขั้นที่ 1
................
อย่า เดินแบบผู้คนเลื่อนลอย, ใช้จิตวิญญาณ, เดินให้มีเป้าหมาย
เป้าหมายที่เราต้องการ คือ ความรู้สึกตัว, ความรู้เนื้อรู้ตัว ในสิ่งที่กำลังทำ
อยู่ กับสิ่งที่กำลังทำ
อย่า เลื่อนลอยออกไปข้างนอก
....................
ขยับขึ้น ขั้นที่ 1 ภาคที่ 2
.....................
ขยับขึ้น ขั้นที่ 1 ภาคที่ 3
..................
ขยับขึ้น ขั้นที่ 2
...............
อย่า ผ่อนคลาย จนเพลิน, จนลืมที่จะรู้ว่า เท้ากระทบพื้น
....................
เดิน รู้ที่ฝ่าเท้า
ทุกครั้ง ที่เท้ากระทบพื้น ต้องรับรู้
อย่า เดินแบบไม่รู้
....................
ขยับขึ้น ขั้นที่ 3
...................
ขยับขึ้น ขั้นที่ 4
..................
หยุด อยู่กับที่ หลับตา
สูดลมหายใจเข้า ตามดูลม สุดแค่ไหน
................
แล้วหายใจออก เบา ยาว ผ่อนคลาย
................
พักนิดหนึ่ง
แล้วสูดเข้าไปใหม่ ตามดูลม
................
ลงไปสุดแค่ไหน, รู้, แล้วหายใจออก
ความขมึงทึง ตึงเครียด ทั้งหลาย ออกมากับลมหายใจที่พ่นออก เบาๆ ยาวๆ ผ่อนคลาย
................
อีกทีหนึ่ง
ลืมตา
ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าไปใหม่ กว้าง ลึก เต็ม
......................
หายใจออก เบา ยาว หมด ผ่อนคลาย
................
ทิ้งลมหายใจ
ส่ง ความรู้สึก เข้าไปในกาย
ดูซิ 2 เท้า ยืน มั่นคงไม๊, ขา 2 ข้าง รับน้ำหนัก พอดีไม๊
ตะโพกบิดเบี้ยว เอียงไปข้างใดข้างหนึ่งหรือเปล่า
น้ำหนักตัว ทิ้งอยู่ข้างไหน ให้สมดุลย์
ลำตัว ตั้งตรงไม๊ ยืนแอ่นหน้า แอ่นหลัง แขนบิดเบี้ยว เกร็ง หรือไม่
ฝ่ามือ กำหรือเปล่า
ทำทุกอย่าง ให้ผ่อนคลายในร่างกาย
หัวไหล่ ขนานกับพื้น, คอ ตั้งฉากกับบ่า
ตา มองตรงไปข้างหน้า ไม่ใช่เหลือกขึ้น
..................
สูดลมหายใจเข้าไปใหม่ ตามดูลม
.................
แล้ว หายใจออก เบา ยาว หมด ให้ผ่อนคลาย
...............
ทำทุกอย่างให้ว่าง สมองว่าง ใจว่าง กายว่าง ตัวว่าง จิตว่าง อารมณ์ว่าง
ร่างกายทุกส่วน ว่างหมด
................
ทำอารมณ์ให้ว่างก่อน จนถึงร่างกาย ว่าง
....................
ลมหายใจ ก็ไม่ต้องสนใจ ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติ
มันจะเข้า ก็ชั่งมัน หรือ มันจะออก ก็ปล่อยมัน
.....................
อยู่กับความว่าง, ยืนในความว่าง
....................
ดูซิ ทางขวามือ ว่างไม๊
หันไปทางขวามือ ว่างไม๊, หมุนตัวไปทางขวามือ
...............
ด้านหลัง ว่างไม๊
................
ทางขวามือว่างแล้ว, ด้านหลังว่างไม๊
.................
ว่าง มันต้องไม่มีความคิดอะไร มีแต่ความว่างเฉยๆ
..................
ว่าง แล้ว วาง ผ่อนคลาย
นั่งลง กับ ความว่าง อย่างผ่อนคลาย
....................
ในความว่าง ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีแต่ความว่าง
ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีกุศล ไม่มีอกุศล ไม่มีดี ไม่มีชั่ว
...................
จิตว่าง กายว่าง ใจว่าง อารมณ์ว่าง ร่างกายว่าง ทุกอย่างว่างหมด
.......................
นั่งอยู่กับความว่าง เสพความว่าง
เพ่งความว่างเป็นอารมณ์ เรียกว่า สุญญตสมาธิ
....................
ในความว่าง ไม่มีคำว่า ตัวกู, ต้องข้ามกำแพง ตัวกู ไปให้ได้
..................
คือ ไม่มีอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 เรียกว่า ไม่มี ตัวกู
ขันธ์ 5 มีอะไรบ้าง
มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
รวมแล้ว ก็คือ ตัวเราน่ะ ตัวกูน่ะ
...................
เมื่อไม่มีอุปาทาน คือ ไม่มีความยึดถือ, ตัวกู ก็ไม่มี
ทุกอย่าง มันก็ว่าง
...................
ว่างแบบรับรู้ ไม่ใช่ว่างแบบไม่รู้, ไม่รู้สึกรู้สา ไม่ใช่
เรารู้ทุกเรื่อง แต่ไม่ปรุงเป็นอารมณ์
...................
ไม่ทำให้เกิดอะไร ในอารมณ์
ไม่เอาอารมณ์ มาเป็นอะไรๆ
...................
สมองมันก็ว่าง ใจมันก็ว่าง กายมันก็ว่าง อารมณ์ก็ว่าง ทุกอย่างว่างหมด
..................
อยู่กับโลกว่างๆ มันเป็นโลกไร้พรมแดน
มีเสรีภาพเหนือสรรพสิ่ง เหนือตัวกู เหนืออัตตา เหนือขันธ์ 5
มันอิสระสมบูรณ์แบบ
...................
ใครที่หลุดออกจากความว่าง ให้ยืนขึ้น
................
อย่าหลอกตัวเองอยู่
.................
ว่าง เท่านั้น จึงจะนั่งลง
................
พวกที่นั่ง เสพความว่าง ก็ให้ค่อยๆ เอนตัวลงนอน ด้วยความว่าง
...................
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคนพิการ ไม่ได้สอนคนป่วย
ไม่ได้สอนคนตาย ไม่ได้สอนคนหมดอาลัยตายอยาก
งั้น ต้องว่างให้ได้ทั้ง 4 อิริยาบท ยืน เดิน นั่ง และ นอน จึงจะเรียกว่า เป็นปกติ
เรียกว่า มีความว่างเป็นปกติ
ถ้าไม่ว่าง ก็ผิดปกติล่ะ
...............
ยืนว่าง ถ้านั่งไม่ว่าง ก็แสดงว่า อิริยาบถนั่ง ผิดปกติ
นั่งว่าง นอนไม่ว่าง ก็แสดงว่า อิริยาบถนอน ผิดปกติ
นอนว่าง ลุกขึ้นยืนไม่ว่าง ก็แสดงว่า อิริยาบถยืน ผิดปกติ
ยืนว่าง แล้วเดินไม่ว่าง ก็แสดงว่า อิริยาบถเดิน ผิดปกติ
งั้น ต้องทำให้เป็นปกติ ว่าง ให้ได้ทั้ง 4 อิริยาบถ
..................
แม้ที่สุด เวลา คิด ทำ พูด อะไร ก็ต้อง ทำ พูด คิด
ด้วยพลังที่ขับเคลื่อนในความว่าง ใช้ความว่าง เป็นตัวขับเคลื่อน
ไม่ใช่ราคะขับเคลื่อน, ไม่ใช่โทสะขับเคลื่อน, ไม่ใช่ตัณหาขับเคลื่อน
ไม่ใช่โมหะขับเคลื่อน, ไม่ใช่โลภะ คือ ความโลภ ขับเคลื่อน
เมื่อใช้ ความว่าง เป็นตัวขับเคลื่อน ก็เรียกว่า ทำ พูด คิด ด้วยความจำเป็น
ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่เหลือเฟือ
มีชีวิตอยู่ เพราะความจำเป็น ต้องอยู่
แล้ว จำเป็น มันมีขอบเขตไม๊
ไม่ได้มีขอบเขต
มันข้ามพ้น ตัวกู ไปแล้ว, มันไม่มีขอบเขตอะไร
...............
ทำได้ทั้งจักรวาล
................
ใครที่นอนแล้ว ไม่ว่าง ก็ให้ลุกขึ้นมานั่ง
...............
อย่าหลอกตัวเองอยู่
..................
ต้องทำเป็นนิสัย เหมือนกับบุรุษสตรีที่โดนไฟ แล้วสะดุ้ง
.................
ถ้า ไม่ว่าง ปั๊บ ต้องสะดุ้งปุ๊บ, ต้องรู้สึกว่า นี่ ผิดปกติแล้ว
................
จนเป็นสันดาน จนเป็นนิสัย จนเป็นปกติ ว่า เราสะดุ้งกลัวต่อความไม่ว่าง
เท่านี้แหละ ความทุกข์ มันก็จะหวาดผวาเราไปเอง
เพราะในโลกแห่งความว่าง ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเศร้าโศก
ไม่มีความเสียใจ ไม่มีความร่ำไรรำพัน ไม่มีความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
ไม่มีความคับแค้นใจ
มันมีแต่ ความว่าง กับ ว่าง แล้ว ว่าง
มันไม่มีอะไรให้ต้องทุกข์ทรมาน
ที่มันทุกข์ เพราะมันมี ตัวกู ให้ทุกข์
มันแสดงว่า ไม่ว่างล่ะ
.................
นอน ลงไปแล้ว ไม่ว่าง ต้องสะดุ้งขึ้นมา
ต้องทำความรู้สึกว่า ผิดปกติแล้ว
................
ลุกขึ้นมา นั่งแล้ว ไม่ว่างอีก, ก็ต้องสะดุ้ง ยืน ขึ้น
.................
เรากำลังปลดเปลื้องพันธนาการ
พันธนาการจากราคะ จากโทสะ จากโลภะ จากโมหะ
พันธนาการที่เราคบ สิงสู่อยู่กับมัน ปกป้อง คุ้มครอง รักษามัน
แล้วโดนมันครอบงำ เป็นหลายๆ แสนปี หลายๆ แสนชาติ
งั้น ต้องพยายาม ต้องแข็งแรง ต้องมีความเพียร
ต้องมี สิ่งนั้น คือ สติ และปัญญา อย่างแกร่งกล้า เข้มแข็ง จึงจะสลัดและรู้
.................
ขั้นแรก บอกแล้วว่า เสพอารมณ์ว่าง, พัฒนาจนถึงคำว่า สภาวะความว่าง
นั่นหมายถึงว่า มองต้นไม้ ก็ว่าง มองคนก็ว่าง คนหล่อก็ว่าง คนสวยก็ว่าง
เรียกว่า มองคน ไม่ใช่คน เพราะมันว่างไปหมด
...................
เพราะ คนจริงๆ มันไม่มี โดยสภาวะธรรม มันหลายสิ่งรวมเป็นหนึ่งสิ่ง เรียกว่า คน เมื่อถึง

คราว 1 สิ่งแตกสลาย หลายสิ่งก็กระจัดกระจาย แล้วคนมันอยู่ไหน
ถ้าถึงขั้นนี้ ก็แสดงว่า เราเข้าสู่โคตรภูญาณ เราข้ามพ้นล่ะ ข้ามพ้นชาติล่ะ ไม่ต้องมาทุกข์

ทรมาน ทุรนทุรายต่อไปล่ะ
................
งั้น ต้องฝึก เริ่มต้นจาก เพ่งอารมณ์ว่าง ก่อน
................
พา ความว่าง ลุกขึ้นยืน
....................
ยืน แล้วดูในทิศทั้ง 4 ว่า ยังว่างอยู่ไม๊
..................
ทิศไหน ไม่ว่าง ให้หยุดอยู่กับที่
.................
ทำให้ทิศนั้น ว่าง ให้ได้
...............
เมื่อว่างครบ 4 ทิศ ก็ออกเดินด้วย ความว่าง
................
จะเดินยังไงก็ได้ แต่เดินในความว่าง ก็แล้วกัน
..................
เหมือนดั่งคำถาม ที่ถามเมื่อครู่นี้ว่า ปฏิบัติธรรมอยู่ในวัด ทำไมเป็นสุข ปลื้มปิติ มีแต่ความ

ว่าง พอกลับไปบ้าน ทำไมมันเครียด มันทุรนทุราย
ก็เพราะ มีบ้านกูไง มีลูกกู มีครอบครัวกู มีงานกู มีผัวกู มีเมียกู มีสมบัติกู มีตัวกูไง
มันไม่ว่าง มันบรรทุกเข้ามาในความว่าง มันหนักเหมือนตะกร้าว่างๆ ก็ใส่ลูก ใส่ผัว ใส่

ครอบครัว ใส่สมบัติ ใส่สารพันปัญหา แล้วมันจะไปไม่ทุกข์ได้ยังไง
...............
ที่จริง เราสามารถอยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่ใช่หนีมัน
คนฉลาด ใช้กิเลส, คนโง่ โดนกิเลสใช้
ลูก ผัว ครอบครัว สมบัติ เป็นกิเลส แน่นอน แต่เราฉลาดหรือโง่
ถ้าเราโง่ เราก็ต้องทุกข์, ถ้าเราฉลาด เราก็สามารถอยู่ร่วมกับมันได้อย่างไม่ต้องทุกข์
...................
ใหม่ๆ ก็ต้องฝึกอย่างนี้ก่อน
เสพความว่าง เป็นปกตินิสัยเสียก่อน จะได้แยกแยะได้ ระหว่าง ว่าง กับ ไม่ว่าง มันแตก

ต่างกันอย่างไร
................
พา ความว่าง ออกเดิน
................
ถ้าไม่ว่าง ต้องหยุดเดิน
อย่าเดินไปแบบคนหน้าด้าน ไม่สะดุ้ง
................
บอกแล้วว่า ต้องรู้สึกสะดุ้ง เหมือนบุรุษสตรี โดนไฟ เมื่อใดที่ผิดปกติ คือไม่ว่าง
..................
อารมณ์ว่าง นี่มันประมาณไหน
ก็ประมาณว่า ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร
ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร ไม่ใช่ หมดอาลัย
.................
คนที่ยังไม่เข้าถึง ความว่าง ก็แสดงว่า ยังทุกข์ไม่พอ ยังทรมานไม่พอ
ยังพึงพอใจกับการแบก การหาม การบรรทุก การยึดถือ การอยู่ในอำนาจ การตกเป็นทาส
ยังพึงพอใจกับการทรมาน ทุรนทุราย ขวนขวาย กระเสือกกระสน
.................
ยังชอบใจกับการอยู่ในอำนาจ ใต้การครอบงำของอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งเราก็บอกมันไม่ได้ ซึ่ง

แล้วแต่มันจะพาเราไปเป็นอะไร เป็นปีศาจ เป็นสุนัข เป็นนกกระจอก เป็นหมู เป็นงู
เป็นสารพัดสัตว์ในเวลาเดียวกันก็เป็น
เป็นสุนัข ก็คือ ปากมาก, เป็นนกกระจอก ก็จ้อไม่เลิก, เป็นหมู ก็นอนไม่หยุด, เป็นงู

ก็สันหลังยาวแล้วแต่มันจะพาเราไปเป็น แล้วเราก็พึงพอใจกับร่างทรงเดรัจฉานเหล่านี้
..................
ถ้าไม่อยากเป็นร่างทรงของเดรัจฉาน ก็อยู่ในความว่างซะ
.................
ฝึก ที่จะใช้พลังความว่าง ในการขับเคลื่อนพฤติกรรม คำที่พูด และสูตรที่คิดของตนอยู่เนือง

นิจ เป็นปกติ เราจะได้ไม่ต้องไปหยิบยืม พลังราคะ พลังโทสะ พลังโมหะ พลังตัณหา มาขับ

เคลื่อนชีวิตเรา เหมือนดั่งที่ผ่านมา
.................
ชีวิตของคน 1 คน ไม่เป็นตัวของตนเองเลย เพราะโดนราคะขับเคลื่อน โดนโทสะขับเคลื่อน

โดนโมหะขับเคลื่อน โดนตัณหาขับเคลื่อน โดนอวิชชาครอบงำ อยู่ตลอดทั้งชีวิต ยันตายก็มี
ไม่รู้สึกตัวด้วยว่า เราโดนครอบงำ
พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เรารู้ว่า สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ธรรมทั้งหลาย ไม่มีตัวตน เต มะยัง

โอติณณามาหะ พวกเราเป็นผู้ถูกครอบงำแล้ว
.................
เพราะเราคิดว่า เรามีตัวตนไง เราก็เลยโดนครอบงำ
.................
แล้วตัวตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือ ตัวกู นี่แหละ
.....................
พอมี ตัวกู ก็จะทำอะไร เพื่อลูกกู เพื่อครอบครัวกู เพื่อเมียกู เพื่อผัวกู เพื่อบริษัทบริวารกู
สุดท้ายก็มาลงที่ ตัวกู
.............
แล้วคนเหล่านี้ ก็จะคับแคบในการทำ  การพูด และการคิด
พูดแคบๆ ทำแคบๆ คิดแคบๆ เพราะตัวกู มันจะกว้างแค่ไหน
แม้จะมีบริวารเพิ่มขึ้น ก็เป็นบริวารกู
..................
พอ หยุดอยู่กับที่
..............
เสพ ความว่าง
...............
ความว่าง ไม่ใช่ ไม่รู้อะไร, รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่ปรุงเป็นอารมณ์
ไม่ทำอารมณ์ ให้เป็นอะไร
ความว่าง ไม่ใช่ ความโง่ บอด
..................
เดิน เข้าที่
.................
ยังว่างอยู่
................
นั่ง อยู่กับความว่าง
..................
อย่าสำคัญผิด เข้าใจว่า ว่างแล้ว ต้องไม่มีความรู้สึกอะไร
เพราะทุกอย่าง เป็นไปตามความจำเป็น
ว่าง ก็หิวได้, นั่นมันจำเป็น เพราะร่างกายต้องการ
ว่าง ก็กระหายได้
แต่เป็นความหิวกระหาย ตามความจำเป็นของร่างกายต้องการ
ไม่ใช่หิวกระหาย เพราะ ความอยาก ที่เรียกว่า ตัณหา
..................
ทุกอย่าง เป็นไปตามความจำเป็น
.................
เรียกว่า ใช้ความว่าง กิน, ใช้ความว่าง ดื่ม, ใช้ความว่าง นอน, ใช้ความว่าง ถ่าย
ใช้ความว่าง ขับเคลื่อนร่างกาย
.................
ทีนี้ ใช้ความว่าง กำหนดรู้ลมหายใจ หลับตา
.................
หายใจเข้า ใช้ความว่าง ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวง จงเป็นสุข
............
หายใจออก ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวง จงพ้นทุกข์
................
อยู่กับ ลมหายใจ กับ คำภาวนา ให้ชัดเจน อย่าคลุมเครือ
................
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
ยกมือไหว้พระกรรมฐาน ลืมตา แล้วเตรียมตัว ถวายทาน
ว่า นะโม 3 จบ
...............
(กราบ)
ได้สังเกตุเห็นไม๊ว่า เราสามารถทำงานด้วยความว่างได้ โดยที่ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มี

โมหะ ไม่มีความฟุ้งซ่าน หงุดหงิด รำคาญ แม้กระทั่ง การกล่าวถวายทาน ก็ทำด้วยใจว่าง

แล้วใจที่มันว่างแบบนี้ เค้าเรียกว่า มหาสติอย่างยิ่ง มันไม่มีองค์ประกอบอื่นปรากฏ
ราคะ ก็ไม่มาขับเคลื่อนเรา, โทสะ ก็ไม่มาถีบเรา, โมหะ ก็ไม่ผลักดันเรา
มันมีแต่ว่าง แล้วก็หน้าที่ ที่จำเป็นต้องทำ
นี่คือ วิธีที่จะทำงานด้วยใจว่างอย่างไร
.....................
สังฆทานและสิ่งของทั้งหลายที่ลูกหลานถวาย หลวงปู่รับแล้วน่ะ ลูก ยกให้เป็นสมบัติของวัด

และมูลนิธิฯ เพื่อใช้ในกิจกรรมสาธารณะสงเคราะห์ สาธารณะประโยชน์ ขอท่านทั้งหลาย

อนุโมทนา (สาธุ)
ปัจจัยลาภที่ลูกหลานถวาย หลวงปู่ขอแบ่งส่วนหนึ่งไปใส่ซอง แจกเด็กๆ ในวันเด็ก ซองละ

50 บาท จำนวน 12,000 ซอง ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา (สาธุ)
ไม่รู้ พอไม่พอ, ไม่พอ เดี๋ยวกูก็เหลือซองละ 10
เอ้า ตั้งใจกรวดน้ำ แล้วรับพร ลูก
................
ตั้งใจรับพร ลูก
...................
จำเริญ ลูก, ธรรมะรักษา, ให้รุ่งเรือง ร่ำรวย, ปลอดภัย เดินทางโดยสวัสดีมีชัยทุกคน

ลูก
(สาธุ)
กราบลาพระ อะระหัง สัมมา
(กราบ)
.............
(กราบ)