18 ต ค 55   ณ. กรมการบินพลเรือน แสดงธรรมโดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

เจริญธรรม ท่านรองอธิบดีฯ ท่านญาติโยมพุทธบริษัท ชาวครอบครัวการบินพลเรือน และ

ญาติโยมที่รักทุกท่าน ที่มาประชุม ณ. สถานที่สมาคมแห่งนี้
เห็นบอกว่า เราแสดงธรรมหรือฟังธรรม เนื่องในโอกาสวันเฉลิมฉลองพุทธชยันตี แล้วก็

เฉลิมฉลองวันที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระชนมายุครบ 80 พระ

พรรษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ทรงมีพระชนมายุครบ 60 พระพรรษา ทั้งเป็นการ

อุทิศถวายพระราชกุศล ล้นเกล้าทั้ง 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ

สมเด็จพระนางเจ้าฯ
ก็เลยถือโอกาสชวนพวกคุณ วันเสาร์ที่จะถึงนี้ ตอนบ่ายโมง ชั้นกับลูกศิษย์แล้วก็ญาติโยม

จะไปเจริญพระพุทธมนต์ที่โรงพยาบาลศิริราช เราจะไปกันทุกเดือน สัปดาห์ที่ 3 ของ

เดือนในวันเสาร์ ช่วงบ่ายโมงทุกเดือน ได้ขออนุญาตสำนักพระราชวังเค้าเอาไว้ว่า ทุกเดือน

เราจะไปเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระพร
งั้น ก็เชิญชวนพวกคุณว่า ใครมีโอกาส มีเวลาว่าง ช่วงวันเสาร์ ก็ไปพร้อมกัน ที่โรงพยาบาล

ศิริราช ที่ศาลา 100 ปี หน้าลานพระบรมรูป สมเด็จพระบิดาโรงพยาบาลศิริราช แล้วก็

sheet การสวดมนต์ การไฟฟ้าฝ่ายฟลิต เค้าจะจัดไปแจกให้ ก็แต่งตัวเรียบร้อย เริ่ม

เจริญพระพุทธมนต์ ตั้งแต่บ่ายโมงไป จนครบ จบเพื่อถวายพระพร
ทุกคนน่ะ รักในหลวง รักพระราชินี รักล้นเกล้าทั้ง 2 พระองค์ แต่เรา ก็เป็นเรื่อง

ประหลาดมาก ประชาชน 60 กว่าล้านคน ไม่ค่อยได้เอาความรักของเรา ออกมาให้

พระองค์ได้พึ่งเท่าไหร่ แต่ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา ล้นเกล้าทั้ง 2 พระองค์รัก

พวกเรา แล้วก็ทำความรักที่พระองค์ทรงมี ให้เป็นที่พึ่งแก่พวกเราได้อย่างยั่ง ยืนยาวนาน

ตลอดระยะเวลายาวนาน จนออกมาเป็นรูปธรรม เป็นโครงการพระราชดำริถึงร่วม

4,000 กว่าโครงการ และแต่ละโครงการ ก็เพื่ออำนวยประโยชน์สุขแก่แผ่นดิน แก่

มหาชน แก่คนในประเทศนี้ทั้งสิ้น แล้วก็เป็นโครงการที่ทำให้สังคมยั่งยืน สิ่งแวดล้อมยั่งยืน

ชีวิตยั่งยืน แล้วก็ รอบๆ กายของพวกเรา จะเรียกว่า ศิลปวัฒนธรรมมันยั่งยืนได้ ซึ่งถือว่า

เป็นความยั่งยืนที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาติ แสดงความเป็นตัวเป็น

ตนแท้จริงของคนไทย ชาวสยาม เป็นความยั่งยืนอย่างน่าชื่นชม
พวกเราก็ได้รับคุณูปการต่างๆ นาๆเยอะแยะ แต่ถึงเวลาที่พระองค์ทรงทุกข์ยาก ทรงลำบาก

ถึงขณะนี้ ต้องบอกว่า พระองค์ก็ทรงลำบากแล้ว เพราะว่า สมเด็จพระราชินีท่าน ก็ทรง

ประชวรถึงขั้นว่า เป็นอัมพฤต ทรงพระราชดำเนินไม่ได้ แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ก็อย่างที่พวกเรารู้ ทราบข่าวกัน แล้วเราจะทำยังไงที่จะให้ พูดเป็นภาษาชาวบ้านก็บอกว่า

คนแก่ อายุ 80 กว่า ทั้ง 2 พระองค์มีกำลังใจ มีน้ำใจ มีจิตใจที่จะยืนหยัดต่อสู้ หรือว่า

อยู่ในโลกได้ อย่างเป็นผู้ที่มีจิตใจที่ชุ่มฉ่ำ ชุ่มชื่น เบิกบานหัวใจ
คนแก่ นี่ ถ้าลูกหลานดูแลเอาใจใส่ จิตใจก็จะไม่ห่อเหี่ยว ไม่เศร้าหมอง ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ว้าวุ่น

ถ้ามีลูกมีหลาน มีผู้คน คอยรับใช้ใกล้ชิด สั่งสนทนา
ชั้นสังเกตุดูจากโยมแม่ชั้น อยู่ที่วัด อายุแกก็จะ 85 ล่ะ ถ้าวันใดที่ไม่ได้ไปคุย ไปพูด นี่

แกจะนั่งเหงา เงียบ แต่ถ้าวันใดที่ไปพูดไปคุย แกก็จะมีจิตใจเบิกบาน แช่มชื่น แล้วก็

สมองการคิดอ่าน ก็จะไปได้ดี ไปได้ไกล
แต่ถ้าไม่พูด ไม่คุย แกก็จะนึกแต่เรื่องเก่าๆ ย้ำทำย้ำคิด แล้วสุดท้าย กลายเป็นเรื่องเศร้า

หมอง จิตใจก็เศร้าหมอง เนี่ย ถ้าเกิดเป็นลม ตายไป นี่ไม่ได้ไปไหนนะ ไปบ้านเก่านะ บ้าน

เก่า ญาติเก่า พวกเก่า คนรู้จักเก่า ก็ไปวนเวียนอยู่แถวนั้นแหละ เพราะว่า ไม่มีใครจะนำวิถี

คิด วิถีชีวิต วิถีธรรม เข้าไปสู่วิถีในปัจจุบันที่ท่านยังมีชีวิต
เพราะงั้น เรื่องพวกนี้ ก็เป็นเรื่องที่เราเข้าใจกันได้ ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ แล้วเราสัมพันธ์

สัมผัสกับพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย และผู้เฒ่าผู้แก่ที่อยู่ในบ้าน
งั้น อย่าปล่อยให้ท่านนั่งเศร้า และเฝ้ารอเราอยู่คนเดียว มีโอกาสก็ไปแสดงน้ำใจ ไปเยี่ยมไป

เยียน ไปแสดงความรัก ความอาทรให้เป็นที่ประจักษ์และปรากฏบ้าง
ชั้นทำเสื้อชมรม คนรักในหลวง เสื้อสีชมพูแจก ใครที่ไปวันนั้น ถ้ามีพอ ก็คงจะได้แจกถึง

แล้วใส่สวมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพร ทำทุกเดือน ทำมาทุกเดือน จนกระทั่งถึงเดือน

ธันวาฯ ทุกเดือนในสัปดาห์ที่ 3 ในวันเสาร์ตอนบ่ายๆ อุ้มลูกจูงหลาน ชวนลูกหลาน
วัยรุ่นยุคใหม่ไม่ค่อยรู้จักว่า ในหลวงท่านทำประโยชน์อะไร พระราชินีท่านทรงคุณูปการ

อย่างไร ราชวงศ์ สัญลักษณ์ เอกลักษณ์ของแผ่นดินไทย เป็นที่เชิดหน้าชูตาของพวกเราได้

มากน้อยแค่ไหนอย่างไร เป็นประโยชน์ต่อประเทศ และแผ่นดิน แค่ไหนอย่างไร
งั้นก็ ถ้าชวนลูกชวนหลานไปด้วย เค้าก็จะได้ตระหนักสำนึกระลึกรู้ได้ว่า ล้นเกล้าฯ ทั้ง 2

พระองค์นั้น ทรงมีพระคุณ คุณูปการมหาศาลต่อแผ่นดินอย่างไร นี่คือ สิ่งที่อยากฝากไว้

ไหนๆ ก็พิธีกรก็พูดเกริ่นนำ แล้วก็ กำลังจะทำให้เป็นเรื่องเป็นราวโดยที่ไม่ คือ ไม่แอบทำ

แต่ทำให้เป็นที่ประจักษ์ในสายพระเนตรของพระองค์
คือ เวลาเราไปเจริญพุทธมนต์ ท่านจะสั่งให้ราชเลขาฯ มาถ่ายภาพ แล้วก็เอาไปทูลเกล้าฯ

ถวาย เวลาเจริญพระพุทธมนต์ จบ ทุกครั้ง ก็จะมีคนถวายสตางค์ หลวงปู่ก็จะรวบรวมนำ

ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ให้พระองค์ได้ใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย หรือ พระราชทานให้กับ

โรงพยาบาลศิริราช เพื่อเป็นกองทุนของผู้ป่วยอนาถา ซึ่งโรงพยาบาลยังขาดแคลนอยู่เยอะ

มาก
อันนี้ ก็เล่าให้ฟัง แล้วก็เชิญชวนว่า ใครมีโอกาส บ้านไม่ไกลนัก ก็เชิญไปที่โรงพยาบาลศิริ

ราชในวันเสาร์ที่ 3 ของเดือน ทุกเดือนตอนบ่ายโมง ไปถึงนั่นประมาณซักบ่ายโมง แล้ว

มาร่วมเจริญพระพุทธมนต์กัน เมื่อเดือนที่แล้ว เดือนนู้น เจริญพระพุทธมนต์อยู่ ฝนตก เรา

ก็พูดให้ชาวบ้านรู้ว่า ทำดี แล้วมีอุปสรรค แล้วตั้งใจทำ ทำได้สำเเร็จน่ะ เป็นยอดดี ถ้าไม่หนี

แต่ใครไม่สู้ ทนไม่ไหว ก็หลบไปหาที่ร่ม ที่มุง ที่บัง หลบฝนได้ ก็ไม่เป็นไร
วันนี้ เค้าให้มาพูดเรื่องอะไร ยังไม่รู้เลย
หา พิธีกร ทราบไม๊ ไปไหนแล้วล่ะ
เค้าให้มาคุยเรื่องอะไร
...............
แล้วแต่จะเมตตา ก็จบแล้ว เมตตา
วันนี้ ก็เมตตาแล้ว
มีใครอยากจะคุย อยากจะถามอะไรไม๊ล่ะ ใครจะสนใจ มีปัญหา อยากถาม ก็เขียนหนังสือ

ฝากพิธีกรมา เค้ามีแจกเศษกระดาษหรือเปล่า
เอ้า แจกกระดาษ ใครเขียนปัญหาถาม ถาม ฝากพิธีกรมาช่วยถามได้ เค้าจะถ่ายทอด เอา

ไปออกสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 แล้วก็ UBCในทุกวันศุกร์ แล้วก็ เคเบิ้ลทีวีอีก 2-3 สถานี
เอ้า เชิญ ใครอยากถามปัญหา
ปุจฉา      ถ้าทำผิดกับพ่อแม่ไว้ จะขอโทษอย่างไร จึงจะพ้นจากโทษอันนี้
วิสัชนา        ทำดีก่อน ทำดี ทำดีให้เป็นที่ประจักษ์ นั่นคือ วิธีการขอโทษ ที่ดีเยี่ยมที่สุด ไม่

มีพ่อแม่คนไหนที่เห็นลูกทำดีแล้วจะโกรธ ไม่มีพ่อแม่คนไหน ที่เห็นลูกทำดีแล้วจะรู้สึกเคือง

ขัดเคือง ขุ่นเคือง หรือ อาฆาตพยาบาท หรือ โหดร้าย
งั้น เริ่มต้นจากการที่เราจะขอขมาพ่อแม่ ก็เริ่มต้นจากตัวเราเอง ทำดี, ทำดี พูดดี คิดดี ทำ

ให้ความดีของเรา เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของพ่อแม่ นั่นคือ วิธีการขอโทษที่ดีเยี่ยมที่สุด
แล้วก็จำไว้ว่า เรารักคนอื่นทั้งแผ่นดิน เรารักได้ แต่ต้องไม่ลืมที่ต้องรักพ่อแม่ก่อน แล้ว

ความรักที่เรามีต่อพ่อแม่ ต้องเป็นความรักที่ทำให้ท่านพึ่งได้ ไม่ใช่ว่า แอบรักอยู่ลึกๆ
เดี๋ยวนี้ คนวัยรุ่นยุคปัจจุบัน ชอบบอกรักคนอื่น แต่เวลาบอกรักพ่อแม่นี่ กระดาก กลัวดอก

อะไรมันจะหลุดออกจากปากก็ไม่รู้ คือ พูดไม่ออก บอกไม่ได้ มันเขิน มันขัด มันเคือง

อะไรก็ไม่รู้
งั้น ไม่จำเป็น เราบอกรักก็ได้ แต่ใช้วิธีการกระทำ ห่วงใย อาทร ใส่ใจ
เช้าๆ หลวงปู่บิณฑบาตเสร็จ หลวงปู่ก็ต้องแบ่งอาหารให้แม่ เพลก็แบ่ง เช้าก็แบ่ง เสร็จแล้ว

ตอนเย็นไม่มีอาหาร เราก็ต้องเข้าไปที่บ้าน คือ ที่พักแกอยู่ในวัด ก็ไปที่พักแก ก็ไปทำกับ

ข้าวให้ ไปดูเค้ามีของเก่า ก็อุ่นให้ ถูบ้าน กวาดพื้น ทำเท่าที่ทำได้
นั่นคือ สุดยอดของความดีที่ควรจะกระทำให้พ่อแม่ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า นิมิตตัง สาธุรู

ปาณัง กตัญญู กตเวทิตา แปลเป็นใจความว่า เครื่องหมายของคนดี ต้องกตัญญู รู้คุณ

กตเวทิตา ตอบแทนคุณ เราอยากจะเป็นคนดี แล้วไม่กตัญญู ไม่สำนึกในบุญคุณคน โดย

เฉพาะคุณพ่อแม่ แล้วเราจะบอกว่า เป็นคนดีต่อคนอื่นน่ะ ไม่ใช่ดี อย่างนั้น เค้าเรียก อัปรีย์

ไม่ดีจริงๆ จบ
ปุจฉา       บุญอันสูงสุด คือ บุญที่ทำอย่างไร ทำด้วยอะไร ถ้าทำสังฆทานแล้ว ได้บุญอย่าง

ไร
วิสัชนา         บุญอันสูงสุด ก็คือ บุญที่เราทำดี พูดดี คิดดี บุญสูงสุด บุญที่หัวใจที่เอื้ออารี

เป็นดีที่มีอยู่ในหัวใจ ไม่ต้องลงทุนอะไร ดีทุกเวลานาทีน่ะ บุญสูงสุดล่ะ ทุกลมหายใจเข้าออก

มีจิตใจเมตตา มีสติ มัปัญญา มีสมาธิ แล้วก็เป็นผู้ที่ไม่เบียดเบียนตน และไม่ทำให้ผู้อื่น

เดือดร้อน
เหล่านี้ เป็นบุญอันสูงสุดที่อยู่ในหัวใจเราตลอดเวลา ทำได้วันนี้ เดี๋ยวนี้ ก็เป็นบุญสูงสุดละ มี

จิตใจตั้งมั่น ไม่กระเพื่อมไปตาม ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้อง

สัมผัส ใจรับรู้อารมณ์ มีสติยั่งยืนอยู่ในตัวเอง ไม่ตกอยู่ในอำนาจการครอบงำของรูป รส

กลิ่น เสียง สัมผัส อย่างนี้ก็เป็นบุญอันสูงสุด
และสูงที่สุด ก็คือ มีปัญญา รู้เท่าทันสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง มีปัญญา รู้

สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง เหมือนที่เค้านิมนต์หลวงปู่ไปเทศน์ที่วัดสังฆทาน

สมภารวัดสังฆทานเค้าสิ้น เค้ามรณภาพ เค้านิมนต์ให้ไปเทศน์ ก็บอกเค้าว่า ความสูญเสีย

และความล่มสลาย ความสูญหาย และความฉิบหายเนี่ย มันเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องสามัญ

และเป็นเรื่องธรรมดา
อ้ายคนที่มองเห็นความสูญเสียแล้วเสียใจน่ะ ผิดปกติ ตั้งแต่เกิดมาท้องแม่นี่ เราเสียมา

ตลอดนะ ไม่เคยได้นะ ที่มานั่งอยู่ตรงนี้เพราะเสียมาเหมือนกันนะ
เริ่มต้นเกิดจากท้องแม่ เสียมาอย่างไร
ก็อ้ายเส้นผมที่ออกจากท้องแม่มานี่ มันเส้นนี้ที่ไหน หนังหน้าที่อยู่บนหน้าเราปัจจุบันนี้ มัน

หนังเดียวกับหนังอ้ายที่ออกมาจากท้องแม่ที่ไหนล่ะ ใช่ไม๊ เล็บมือเล็บเท้าที่ออกมาจากท้อง

แม่ มันเล็บนี้ที่ไหน ลำตัวเรา ชีวิตเราที่ตั้งอยู่ทุกวันนี้ เซลล์ชีวิตที่ดำรงค์อยู่ แล้วรวมเป็นร่าง

กายเราทุกวันนี้ มันเป็นเซลล์เดียวที่ออกจากท้องแม่ที่ไหน
อ้ายเซลล์เก่ามันตายไป อ้ายเซลล์ใหม่มันสร้างมา มันถึงจะได้โตถึงทุกวันนี้ได้
งั้น เราเสียมาตลอดนะ เราไม่มีได้หรอกนะ ถ้าเข้าใจความหมายนี้แหละ เป็นบุญอันวิเศษล่ะ

เค้าเรียกว่า มีปัญญา รู้ทันสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง อย่างนี้ เราก็จะไม่หลง

ไม่ยึดติด ไม่ตกเป็นทาส ไม่อยู่ในอำนาจของการครอบงำแห่ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

แล้วก็ไม่พูดชั่ว ทำชั่ว คิดชั่ว เพราะเหตุปัจจัยของความอยาก ตะกรุมตะกราม ตะกละ และ

เห็นผิดทำนองคลองธรรม จบ
ปุจฉา       เนื่องจากตอนนี้เป็นเทศกาลกินเจ ถ้าเรากินเจอยู่ แต่ใจอยากจะทานเนื้อสัตว์ อัน

นี้ถือว่า อันไหนบาป อันไหนบุญ กว่ากัน
วิสัชนา         อันนั้นเค้าเรียก เจจำใจ, เจจำใจ เจจองจำ เมื่อเช้านี้ หลวงปู่บิณฑบาตร มัน

มีคนเค้าถวาย ที่จริง ที่วัดก็มีกินเจนะ เดี๋ยวก็ต้องรีบกลับไป เพราะว่า จะต้องไปพาพวกที่

เค้ามารับทาน ที่วัดแจกทานทุกวันในเทศกาลกินเจ แล้วก็เย็นๆ อย่างนี้ บ่ายๆ ซัก 3 โมง  

4 โมง เค้าจะมีครอบครัวยากจน มา วันหนึ่ง 200 กว่าครอบครัว มารับทาน เราก็จะ

แจกข้าวสาร 5 โล น้ำมันโลหนึ่ง น้ำมันพืชขวดใหญ่โลหนึ่ง แล้วก็ น้ำตาลโลหนึ่ง
แล้วหลวงปู่บิณฑบาตรได้ เค้าใส่สตางค์มา ก็เอาสตางค์มาใส่ซองให้เค้า คนละร้อย แต่มีข้อ

แม้ว่า คุณต้องมาสวดมนต์ก่อนนะ คุณจะมารับทาน คุณต้องมาสวดมนต์ก่อน ถ้าใครไม่มา

สวดมนต์ ก็ไม่ได้ซอง คือ ไม่ได้ตังค์กลับไป
งั้น พวกเค้าก็จะมารอที่จะสวดมนต์ ทุกเย็น หลวงปู่ก็ 4 โมง 3 โมง 4 โมง ก็จะนำเค้า

สวดมนต์
งั้น เดี๋ยวเสร็จแล้วก็จะรีบกลับไปนำเค้าสวดมนต์ แล้วแจกทาน
ทีนี้ การกินเจนี่ มันต้องเล่ายาวว่า มันคงสืบเนื่องเรื่องมาจากความเชื่อ และคำสอนที่ว่า สัตว์

โลกเนี่ยหมุนวนอยู่ในไตรวัฏฏะ เมื่อมันหมุนวนอยู่ในไตรวัฏฏะ มันก็อาจจะ มีเกิด มีแก่ มี

เจ็บ มีตาย แล้วในวัฏฏะนั้น ก็มีสุคติภพ ทุคติภพ และเหตุปัจจัย ของสุข ของทุกข์ มันมา

จากกรรมชั่ว กรรมดี
ด้วยความหมายเหล่านี้ บางครั้ง มนุษย์คนหนึ่งเกิดมาตายแล้ว ก็ไม่ได้หมายถึงว่า ต้องไป

เกิดเป็นมนุษย์ต่อ อาจจะต้องไปเกิด เป็นวัวบ้าง เป็นควายบ้าง เป็นเป็ดบ้าง เป็นไก่บ้าง

เป็นหมู เป็นปลา เป็นปู เป็นกุ้งบ้าง แล้วมนุษย์เหล่านั้นก็ บางคนก็เป็นพ่อเรา บางคนก็เป็น

แม่เรา  บางคนก็เป็นญาติเรา บางคนก็เป็นพี่เป็นน้องเรา แล้วมันหมุนวนอยู่อย่างนี้ หมูบ้าง

หมาบ้าง เป็ดบ้าง ไก่บ้าง วัวบ้าง ควายบ้าง แล้วเราก็มา กินหมูบ้าง กินหมาบ้าง กินเป็ด กิน

ไก่ กินวัว กินควาย เป็นเนื้อของเราบ้าง
สรุปแล้ว ก็คือ เราก็กินเนื้อญาติเรา
ด้วยความเชื่อของการเวียนเกิด เวียนตาย และคำสอนในโพธิญาณบวกกับคำสอนของพระ

โพธิญาณหรือ พระโพธิสัตว์เจ้า ท่านจะสอนว่า มนุษย์อยู่ได้ เพราะการกินเนื้อญาติ สัตว์

โลกทั้งปวงเป็นญาติกัน เมื่อเรากินเนื้อญาติ ก็แสดงว่า เราเจริญเติบโตอยู่ได้ด้วยเนื้อญาติ

เค้าเชื่ออย่างนั้น
เค้าเชื่ออย่างนั้น ถ้าอย่างนั้น ปีหนึ่งก็หยุดกินเนื้อญาติซัก 10 วันไม๊ เรามากินผักกันซัก

10 วัน
ทีนี้ พอกินผักแล้วเนี่ย สมัยนี้ มันไม่ได้กินผักให้มันเป็นผัก ไม่ได้กินเต้าหู้ให้มันเป็นเต้าหู้

มันดันทำผักทำเต้าหู้ให้มันเป็นขาหมู เป็นปลา อ้ายอย่างนี้ เค้าเรียกว่า เจตอแหลนะ อ้าว

จริงๆ มันทำให้ตอแหลนะ มันทำให้เกิดความรู้สึกว่า เจ นี่มันกิน เพราะว่า เราไม่อยากกิน

เนื้อ ถูกไม๊ ใช่ไม๊ แล้วเรายังไปปั้นให้มันเป็นเนื้อทำไม แล้วไปปั้นยังไม่พอนะ ยังไปใส่

กลิ่นมันอีกนะ ยังใส่รสให้มันเหมือนอีกนะ
อ้ายอย่างนี้ เค้าไม่เรียกว่า เจตอแหล แล้วจะเรียกว่า เจอะไร
งั้น ถ้ากินเจตอแหล แล้วอย่าไปกินเชียวนะ คุณ มันบาปในหัวใจอย่างยิ่ง
กินเจ ก็คือ กินผัก มันจะต้ม มันจะแกง มันจะหุง มันจะผัด มันจะย่าง มันจะนึ่ง ก็ขอให้มัน

เป็นเจ ไม่ใช่ไปปั้นให้มันเป็นรูปสัตว์ รูปปลา เมื่อเช้า เจอ ขาหมูพะโล้ เจ แต่มันปั้นเป็นขา

หมูพะโล้ โอ๊ย บอกมันเจ อาไร เราไปเขี่ยๆ ดู ไม่ฉันล่ะ อ้ายเจตอแหลอย่างนี้ ไม่ฉัน เลือก

ฉันผัก
งั้น ก็เลยอยากบอกว่า ถ้าจะกินเจ ก็อย่ากินเจจำจอง อย่ากินเจจำใจ กินเจให้มันออกมาจาก

หัวใจ กินเพราะความสำนึก ละอายชั่ว กลัวบาป หรือ กลัวว่า เราจะไปกินเนื้อญาติเรา เนื้อ

พ่อเรา เพราะว่า มนุษย์ ถ้าตาย
มีคนไปถามพระพุทธเจ้าว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระศาสดาผู้เจริญ มนุษย์เนี่ย

ตายไป แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์หมดไม๊ พระพุทธเจ้าบอก ไม่
แล้วมนุษย์ตายไป ไปเกิดเป็นเทวดาทั้งหมดไม๊, ไม่
มนุษย์ตายไป ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย ใช่ไม๊, เป็นได้ทั้งหมด
มนุษย์ ไม่ใช่ตายไป แล้วต้องไปเกิดเป็นมนุษย์ อาจจะเกิดเป็นหมู เป็นหมา เป็นวัว เป็น

ควาย  ไปเป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน และสัตว์นรก แม้ที่สุด เป็นเทวดา เป็นพรหม ก็ได้

อยู่ที่บุญบาปที่ตัวเองกระทำ
งั้น ไม่แน่ว่า พ่อเรา ปู่เรา ตาเรา ญาติเรา แม่เรา ลูกเรา หลานเรา บรรพบุรุษโคตรเหง้าเรา

คนใดคนหนึ่ง มันอาจจะเกิดมาเป็นหมูที่เรากำลังนั่งแทะอยู่ก็ได้ อาจจะเกิดมาเป็นวัว เป็น

ควาย เป็นเป็ด เป็นไก่ ที่เรากำลังนั่งเคี้ยวอยู่ก็ได้
นี่คือ คำสอนของพระโพธิญาณ หรือว่า พวกมหายาน เค้าจะสอนกันอย่างนี้
พอสอนอย่างนี้ เค้าสอนอะไรต่อ อย่างนั้น ก็หยุดกินซะ อย่าไปกินมัน เมื่ออย่าไปกินมัน
แล้วกินอะไร ก็กินอาหารที่มันไม่ใช่เป็นเนื้อ ปีหนึ่งซัก 10 วัน ก็ดีกว่าที่จะไม่หยุดกินเลย
กินมันก็ดีนะคุณ มันทำให้ร่างกายมันเบาสบาย ถ่ายสะดวกและตัวเบาขึ้น นอนหลับสนิท

ไม่ทุรนทุราย มันฝันร้าย คลอเลสเตอรอลก็ไม่สูง ไขมันมันก็ไม่อุดตันเส้นเลือด แล้วก็ขับ

ถ่ายง่ายด้วย น้ำตาลก็ไม่สูง เบาหวานก็ไม่สูง
อ้ายคนกินเจ ส่วนใหญ่จะเป็นโรคไต เพราะเอะอะ อะไรก็เค็ม ใส่เค็มเข้าไว้ เพราะมีแต่ผัก

มันก็เลยใส่เค็มเป็นหลัก งั้น ก็ต้องระวัง อย่าให้เค็มมากนัก
รวมๆ สรุป ก็คือ การกินเจ อย่ากินเจจำใจ อย่าเจจำจอง เห็นเค้ากิน ก็กินตามเค้า แล้วก็มา

คุยอวดกันอะไรอย่างนี้ อย่างนั้น ก็ไม่ได้ประโยชน์ อีกอย่างหนึ่ง อย่าคิดว่า การกินเจ ทำให้

เรากลายเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะว่า ถ้ากินเจแล้วบริสุทธิ์เนี่ย ควายมันบริสุทธิ์กว่าเรา วัวกับ

ควายมันบริสุทธิ์กว่าเรา เพราะไม่เคยเห็นวัว ควาย มันกินหมู กินหมาเลย มันกินหญ้า มัน

กินผักมาตลอด มันก็ยังเป็นวัว เป็นควายอยู่
เพราะงั้น อย่าไปคิดว่า การกินทำให้เราบริสุทธิ์ บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าบอกว่า

สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง ความบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ มันรู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่รู้ได้โดยการกิน
แล้ววิธีรู้ได้ด้วยตัวเอง ก็คือ ลงมือกระทำ ทำดี พูดดี คิดดี จึงจะเรียกว่า ทำจิตนี้ให้บริสุทธิ์

ไม่ใช่ด้วยการกิน อย่าคิดว่า การกินแล้วมันทำให้เราบริสุทธิ์ ไปเกิดบนสวรรค์ เป็นเทวดา

มันไม่ใช่
มันอยู่ที่หัวใจเรา ใจเรายึดถือมากน้อยแค่ไหนอย่างไร
งั้น สำคัญ เข้าใจความหมายอย่างนี้ แล้วถ้าใครบอกว่า กินผัก กินหญ้า แล้วจะทำให้บริสุทธิ์

ไปเป็นพระอรหันต์ อ้ายอย่างนั้นน่ะ ไม่ใช่ละ อย่างนั้น วัวควาย มันเป็นอรหันต์มากกว่าเรา

มันเป็นมาตั้งแต่เกิดแล้ว บรรพบุรุษ มันก็ต้องอรหันต์ทั้งหมดละ จบ
ปุจฉา        หากเราทำบาปแล้ว เราสามารถทำบุญ เพื่อที่จะไปล้างบาปได้หรือไม่
วิสัชนา       อืม ไม่ได้ล่ะมั๊ง มันเหมือนผ้าขาว มันโดนสีดำทำให้ด่าง แล้วมันก็คงจะไป

ล้างออกไม่ได้ แต่ว่า บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป
จิตที่เป็นบาปน่ะ มันตายไปแล้ว แล้วผลก็ได้แล้ว วิบากมันได้ละ
ส่วนจิตที่เป็นบุญน่ะ มันเป็นจิตอีกคนละดวง
ในขณะจิตหนึ่งขณะจิตหนึ่ง คือ พริบตา 1 ครั้งเนี่ย จิตเกิดดับถึง 7 ดวง แล้วจิตเกิดดับ 7

ดวงน่ะ มันมีกุศลจิต อกุศลจิต และอัพยากฤตจิต
ในขณะที่มีอกุศลจิต ก็คือ ทำบาป อ้ายจิตที่ทำบาป มันตายไปตั้งแต่นาทีที่แล้วละ ที่เหลือ

อ้ายนี่ จิตทำบุญ แล้วมันตายไปนาทีที่แล้ว
แล้วบาปมันอยู่ไหนล่ะ บาปมันก็อยู่ในจิตที่ตาย มันเป็นวิบากละ ต้องมาตามใช้ละ
อ้ายจิตที่ทำบุญ ก็เป็นอีกจิตหนึ่งละ มันคนละจิตที่ทำบาปละ
เราทำบุญไปแล้วตาย มันก็ตายไปในนาทีที่แล้ว ก็เป็นอีกวิบากชนิดหนึ่ง เรียกว่า บุญกุศล

วิบาก อกุศลวิบาก
งั้น มันขึ้นอยู่กับว่า ใครจะสะสมจิตดวงไหน ระหว่างกุศลวิบาก หรือ อกุศลวิบาก ได้

มากกว่ากัน จึงเรียกว่า ท่านผู้มีบุญ หรือ ท่านผู้มีบาป
มันเหมือนกับคนเดิน เก็บอะไร เก็บตัวเลข เก็บคะแนน ใครเก็บได้มาก ขยันเก็บ
ส่วนจะเก็บคะแนนฝ่ายดี หรือฝ่ายเลว ก็สุดแล้วแต่ สุดแท้แต่ คนโง่ก็เก็บคะแนนฝ่ายเลว

อ้ายคนฉลาดก็เก็บคะแนนฝ่ายดี
งั้น มนุษย์ในโลกใบนี้ หลวงปู่ เขียนบทโศลกไว้ว่า มันไม่ได้มีหลายชาติ มันมีแค่ 2 เผ่า

พันธุ์ 2 ชาติเท่านั้น คือ ชาติโง่ กับชาติฉลาด
เมื่อใดที่มนุษย์โง่ ก็จะทำแต่เรื่องผิดพลาด ชั่วช้าเสียหาย
เมื่อใดที่มนุษย์ฉลาด ก็จะทำแต่เรื่องดีงาม เป็นบุญเป็นกุศล จบ
ปุจฉา      ทุกวันนี้ มีเพื่อนร่วมงานที่มีปัญหา ชอบโวยวายคนอื่น โดยไม่มีใครร่วมงาน

จะทำอย่างไรที่จะลดนิสัยเหล่านี้ของเค้าได้ เพราะตอนนี้ ทุกคนอดทนเพื่อคนๆ เดียว แล้ว

ต้องทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นจากคนแบบนี้ได้
วิสัชนา         อืม อาศัยพระด่าเพื่อน เอ๊อ เผอิญท่านรองอธิบดีฯท่านลุกหนีไปเสียแล้ว เออ

อาศัยพระด่าเพื่อน ก็ไปอย่างนี้ ก็ทุกงานล่ะ วันนั้น ไปกระทรวงมหาดไทย ก็อาศัยพระด่า

เพื่อนอย่างนี้ เฮอะ ไม่รู้จะระบายกับใคร ก็อาศัยพระระบาย
เออ ที่จริงล่ะนะ ตาเค้า ปากเค้า ตีนเค้า ตูดเค้า ตัวเค้า มันอยู่ที่เค้า ถ้าเราไม่เอาใจเราไปรอง

ตีน รองปาก รองตา รองตูดเค้า มันก็คนละคนกันนะ คุณว่า จริงไม๊ เออ ถ้าเค้าจะเดิน แล้ว

เห็นหน้าเรา แล้วเดินกระแทกเท้า เท้าก็เท้ามัน ตีนก็ตีนมึง ไม่ใช่ตีนกู รองเท้าก็รองเท้ามึง

มึงจะรองเท้าสึก ก็เรื่องของมึง มึงจะเดินกระแทก มองค้อน ก็ตามึง ไม่ใช่ตากู
เราไม่เอาใจไปรองตีน รองตาเค้า มันก็ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนอะไร อ้ายที่เราเดือดร้อน ก็

เพราะเราเอาใจไปรับเค้ามา คุณว่าไม๊ ใช่ไม๊ เอ๊อ เอาใจไปรับเค้ามา
เอ้า จะทำงานร่วมกัน งานก็ส่วนงาน ไม่เห็นเกี่ยวกับอารมณ์ แยกให้ออกระหว่างงานกับ

อารมณ์
นี่คือ งาน บอกเค้าให้รู้ว่า ชั้นทำงาน ไม่ใช่ประกอบด้วยอารมณ์ มันคนละเรื่องกัน
รวมๆ แล้วเนี่ย คนไทยชอบทำงานพร้อมอารมณ์ ทำงานแล้วต้องมีอารมณ์ ต้องใส่อารมณ์

แล้วต้องให้เกิดอารมณ์ แล้วอารมณ์เหล่านั้น ไม่ใช่อารมณ์ที่เกี่ยวเนื่องด้วยการงานเลยนะ

มันเป็นอารมณ์โกรธ อารมณ์อิจฉา อารมณ์พึงใจ อารมณ์ไม่พอใจ อารมณ์โลภ อารมณ์

อคติ สารพัดน่ะ ใส่เข้าไปเฮอะ แล้วสุดท้าย ทำให้งานเหลือน้อย แต่อารมณ์มีมาก
ถ้าชั้นเป็นนายจ้าง ชั้นไม่จ้างหรอกนะ คนพันธุ์นี้ เพราะมีแต่อารมณ์ มันไม่มีผลงานให้

ปรากฏไง
เพราะงั้น ถ้าจะมีผลงานปรากฏ มันต้องทำงานโดยปราศจากอารมณ์ อย่าให้อารมณ์มันมา

เหนือเหตุผล เหนือหน้าที่การงาน นั่นคือ สิ่งที่ถูกต้อง จบ
ปุจฉา        อยากทราบว่า การทำบุญให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง และ

ญาติจะได้รับบุญจริงหรือเปล่า
วิสัชนา      ญาติคุณชื่ออะไร เดี๋ยวชั้นเจอ แล้วจะถามให้ เออ ก็ทำตามๆ เค้าน่ะ เค้ามีพิธี

เปรตพลี ทำบุญอุทิศอะไรอย่างนี้ ก็อย่างที่เค้าทำๆ กันนั่นแหละ ส่วนจะถึงไม่ถึง เอาไว้เจอ

แล้วจะถามให้ หรือ ถ้าคุณอยากรู้ ก็ลองไปถามดู ตามไปถามดูว่า ได้หรือยัง ส่วนจะกลับ

มาที่เก่า กลับถูกหรือไม่ ก็ว่ากันตามเหตุปัจจัย จบ
ปุจฉา        การสวดมนต์และการภาวนา อานิสงส์ ต่างกันอย่างไร
วิสัชนา       สวดมนต์ ก็เป็นการภาวนา, ภาวนา ก็อาจจะไม่เรียกว่า สวดมนต์ เพราะว่า

ภาวนา นี่หมายรวมไปถึง การทำจิตให้สงบระงับโดยไม่มีบทท่องอะไรเลย ก็ถือว่า เป็นการ

ภาวนา
ภาวนานี่ มันแปลว่า ทำให้เจริญ ทำให้จิตนี้เจริญ ภาวนา นี่มันเป็นการงานของจิต การสวด

มนต์ ถ้าสวดแบบชนิดที่ กายใจรวมกับมนต์ ใจรู้มนต์ มนต์อยู่ในใจ ใจกับมนต์รวมเป็นหนึ่ง

อย่างนี้ จึงเรียกว่า ภาวนา แต่ถ้าปากสวดมนต์แล้วใจ เอ๊ วันนี้ละครตอนสุดท้าย กูจะไปดี

หรือเปล่าวะ หลวงพ่อเอาแค่ 3 จบ พอละ หรือไม่ ก็เหลือจบเดียวแหละ ตอนสุดท้ายด้วย

พระเอกนางเอกมันจะได้กันไม๊ ไม่แน่ใจ อ้ายอย่างนี้ ไม่เรียกว่า สวดมนต์ แล้วก็ไม่เรียกว่า

ภาวนา
แต่ถ้าเมื่อใดที่บทที่สวด มันเป็นหนึ่งเดียวกับใจ อันนั้นน่ะ ภาวนา
แล้วการภาวนาที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องสวด ไม่จำเป็นต้องสาธยาย แค่จิตสงบระงับ

ปราศจากอารมณ์เข้ามาครอบงำในใจ ในใจไม่มีอารมณ์ใดๆ เข้ามาครอบงำ จิตรวมเป็นหนึ่ง

อย่างนี้ ก็ถือว่า เราภาวนาแล้ว จบ
ปุจฉา       หากเราได้เจอเหตุการณ์ที่คิดว่า เหนือธรรมชาติในที่ทำงาน อย่างเช่น ได้ยิน

เสียงเดิน หรือว่า ได้ยินเสียงเอกสาร หรือ ได้ยินเสียงเปิดลิ้นชัก ทำให้เราเกิดความกลัว ทั้งๆ

ที่ไม่เคยกลัวมาก่อน จะทำอย่างไร ให้ความกลัวนี้หายไป
วิสัชนา         หาพระประธานมาแขวนคอ หลวงพ่อองค์จะเล็กไป เล่นพระประธานเลย

หรือไม่ไหว ถ้าเอาไม่อยู่ ก็มาทั้งโบสถ์แหละ เออ ลมมันพัดหรือเปล่า เก๊ะมันเสียไม๊ คนเค้า

อาจจะเดินข้างบนดังก็ได้ อยู่ในตึกห้องแอร์ มันไม่มีทางระบาย มันอาจจะสะท้อนเสียงก็ได้

คิดมากไปหรือเปล่า คนขี้กลัวน่ะ อะไรมันก็กลัวไปหมดล่ะ อ้าว จริงๆ เห็นเงาตัวเองก็ยังกลัว

เลย อุ๊ย กลัวๆ
ไปดู อ้าว เงากูนี่หว่า อู้หู นี่ขนาดเงากู ยังน่ากลัวขนาดนี้ แล้วตัวจริงๆ เป็นๆ กูจะขนาดไหน

เนี่ย ประมาณนี้ งั้น คนมันขี้กลัว มันกลัวไปหมดแหละ ขี้กลัว นี่ไม่ใช่กลัวธรรมดานะ มันขี้

กลัว แล้วขี้วิตกกังวลด้วยนะ มันถึงจะนำพาจิตนี้ไปให้กลัวได้ ปรุงแต่งไปเรื่อยแหละ
เออ บรรยากาศมันก็น่าให้นะ เออ ดูวิโวกวังเวงโหวงเหวงเหมือนกันนะ ถ้าอยู่คนเดียวใน

ตึกแบบนี้นะ
งั้นก็ มีสติไว้มากๆ แล้วกัน พอมีสติ แล้วมันจะทำให้เกิดปัญญา แล้ววิเคราะห์ได้ว่า เสียงที่

ปรากฏ สิ่งที่เห็นนั้น มันเป็นของจริง หรือ ของอุปาทาน จบ
ปุจฉา     อยากทราบว่า ถ้าเราทำบุญกับคนหนึ่ง แล้วคนนั้นไปทำเรื่องไม่ดี เช่นทำบุญให้

ขอทาน แล้วขอทานนำไปซื้อสิ่งเสพติด อยากทราบว่า เราจะได้บุญไม๊
วิสัชนา         เค้าไม่เรียกทำบุญหร๊อก อาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชลี กะระณีโย อนุตตะรัง

ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า เพราะฉะนั้น

ที่ให้ขอทานน่ะ ไม่ใช่ว่า ทำบุญ เค้าเรียก ให้ทาน
แล้ววิธีคำนวณว่า จะได้บุญหรือไม่ได้บุญ มันคำนวณที่ศีล ขอทานมีศีลกี่ข้อ เออ เมื่อมัน

ไม่มีศีล ก็ไม่ได้บุญ ระหว่างให้ขอทานกับให้เดรัจฉาน เค้าถือว่า ให้ขอทานดีกว่าให้

เดรัจฉาน เพราะอย่างน้อยขอทานมันก็พูดภาษามนุษย์รู้เรื่อง เค้าเอาภาษา เอาการสื่อ และ

เอาคุณธรรมเป็นหลัก
ระหว่างขอทานกับสามเณร สามเณรมีศีลไม๊ อย่างน้อยมันก็ต้องมีบ้างล่ะ ซักข้อหนึ่งล่ะ ถ้า

มันขาดๆ เกินๆ ยิงนกตกปลา วิ่งเล่น อย่างน้อยมันก็ต้องมีละ ข้อไม่กินข้าวเย็น หรือไม่ก็

ไม่จับเงินจับทอง หรือไม่ ก็ไม่เสพเมถุนล่ะ มันต้องมีซักข้อหนึ่งล่ะ อ้าว อย่างน้อย มันก็เป็น

เนื้อนาบุญล่ะ
เพราะงั้น เนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า เค้าเอาศีลเป็นประมาณ ให้เฉพาะผู้มีศีล
แล้วขอร้อง อย่าพูดผิด ไปไหนมา ไปทำบุญ ทำที่ไหน ทำขอทาน อ้ายนั่น มันทำทาน ไม่

ใช่ทำบุญ
แล้วทำขอทานเท่าไหร่ จึงจะได้บุญ
ก็คิดดูแล้วกันว่า ทำกับพระนี่ ศีล 227 ทำครั้งหนึ่งจึงจะได้บุญ แล้วขอทาน มันมีศีลนับ

ได้กี่ครั้ง กว่าจะได้ 227 ข้อ ต้องทำขอทานกี่คนจึงจะได้ 227 ข้อ หรือถ้าเอาว่า เลวๆ

กะเลวกะลาด พระท่านอาจจะไม่ครอบ 227 ยังไง ศีลก็ยังมากกว่าขอทานอยู่ดี ถูกไม๊
เพราะงั้น ยังไงๆ นักบวช ก็ยังเป็นเนื้อนาบุญของโลก เราเป็นคนสวดเองนี่ แล้วเราก็แปล

จากคำสวดที่พวกเราสวดกันว่า อาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชลี กะระณีโย อนุตตะรัง ปุญญัก

เขตตัง โลกัสสาติ พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่าแล้ว มีแต่ผู้ทรงศีลเท่านั้น จึงจะเป็นเนื้อนาบุญของโลก
เพราะงั้น ถ้าถามว่า ไปทำบุญ หรือว่า บริจาคให้กับคนที่เอาเงินเอาทองเราไปทำชั่ว ไป

ประพฤติชั่ว ก็ถือว่า เราไปทำให้โจรแข็งแรง นอกจากไม่ได้บุญ แล้วยังเป็นบาปด้วยซ้ำ ถ้ารู้
คำว่า ในหลักหัวใจสำคัญของพุทธศาสนา เค้ามีสอนเอาไว้นะ พวกคุณไม่เข้าใจความหมาย

เอง
การไม่ทำบาปทั้งปวง, การทำกุศล, กุศล แปลว่า ความฉลาด, การทำกุศลให้ถึงพร้อม

หมายถึง ทำความดีด้วยความชาญฉลาด แล้วให้เงินกับขอทาน แล้วขอทานไปกินเหล้า ไป

เสพยาเนี่ย มันฉลาดไม๊ ไม่ได้ฉลาด แสดงว่า คุณทำไม่ถูก ไม่ฉลาดที่จะทำบุญ ไม่ฉลาดที่

จะทำทาน
งั้น เมตตาเกินประมาณ อันธพาลก็จะเต็มเมือง จบ
ปุจฉา         จะสอนคนที่หลงผิด ให้คิดได้อย่างไรในสังคมวัตถุนิยม เช่น สมัยนี้ วัยรุ่นมัก

จะติดแฟนหรือ ติดเพื่อนก่อนวัยอันควร ขอแนวคิดหลวงปู่ในการสอนให้เด็กพวกนี้ กลับ

มามีสติคิด
วิสัชนา        ก่อนจะสอนใคร ก็ต้องนึกถึงตัวเราสมัยที่อายุเท่าเค้าก่อน ต้องคิดก่อนนะว่า ตัว

เราสมัยที่อายุเท่าเค้าเนี่ย เรามีพฤติกรรมเช่นนี้ไม๊ สิ่งเร้า เครื่องล่อ รอบตัวเราสมัยนั้น มัน

มีไม๊ แล้วถ้ามันไม่มี หรือ ถ้ามันมี แล้วเราจะทำตัวแตกต่างกับเด็กในยุคปัจจุบันซึ่งอายุเท่า

เราสมัยนั้นไม๊
ถ้ามันแตกต่าง อันนี้ มันจะมีคำสอนที่ดีบอกเค้า แต่ถ้าไม่ได้แตกต่างเลย แต่เราพยายามจะ

ดัน จะดึง จะทึ้งเค้าให้มันมีความคิด ให้มีวิธีคิด วิถีชีวิตเหมือนกับวิธีที่เราวาดหวังเอาไว้เนี่ย

อย่างนั้นคงยาก
งั้น รวมๆ สรุป ก็คือ บางทีบางครั้ง เด็กที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ มันเกิดจากผู้ใหญ่ใจร้าย ทำร้าย

เค้าน่ะ เด็กไม่มีปัญญาจะไปสร้างบาร์ สร้างเทค สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก สร้างอะไร

สารพัดสร้างเยอะแยะมากมาย มีแต่ผู้ใหญ่ป้อนให้เด็ก ยัดให้เด็ก ไปแสวงหาให้เด็ก แล้ว

ก็ทำให้เด็กเห่อเหิม ทะเยอทะยาน
เด็กมันก็ไม่ต่างอะไรกับสำลี ที่มันอยู่ใกล้ถ่าน มันก็ซึมถ่ายเข้า มันอยู่ใกล้น้ำ มันก็ซึมน้ำเข้า

มันแยกไม่ได้ ถ้ามันมีปัญญา มันคงไม่เป็นเด็ก
ทีนี้ มันเป็นเด็ก เพราะมันไม่มีปัญญา มันไม่มีความรับผิดชอบ หรือเรียกว่า ไม่มีสามัญ

สำนึก ไม่มีวิจารณญาณ ไม่มีการใคร่ครวญ พินิจพิจารณาอย่างถ่องแท้เหมือนผู้ใหญ่
งั้น หน้าที่ของครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ก็ต้องให้วัคซีนแก่เด็ก สอนให้เด็กรู้จักคิดตั้งแต่เล็กๆ

รู้จักแยกแยะระหว่างมิตรกับศัตรูที่แท้จริง รู้จักว่า อะไรเป็นมิตรแท้ อะไรเป็นมิตรเทียม

อะไรควรเสพ และอะไรไม่ควรเสพ
สำคัญที่สุด พ่อแม่อย่าสอนให้ลูกโตเพื่อเสพ โตด้วยการเสพ แต่สอนให้ลูกเจริญเติบโตด้วย

การสร้างสรรค์ แสวงหา ด้วยความรู้ ความสามารถของตน ไม่ใช่ แม่! ขอตังค์! ถาม

เอาไปทำอะไร ซื้อโทรศัพท์, อ้าว เอาไป, พ่อ! ขอตังค์ ถาม ไปทำอะไร ซื้อรถ

จักรยาน, อ้าว เอาไป
อย่างนี้ เค้าเรียกว่า สอนให้ลูกเสพ โตแล้วก็ให้เสพ, รำคาญ เอาไปเฮอะ ให้ๆ มันไป๊ มัน

จะได้ไม่ต้องมารบกวนเรา อ้ายพันธุ์นี้แหละ ทำร้ายลูกล่ะ พ่อแม่ทำลายลูก ทำร้ายลูก แล้ว

ทีนี้ ก็เดือดร้อนละ มันก็จะย้อนกลับมาหาตัวเอง
งั้น ถ้ารู้จัก อยากได้ใช่ไม๊ หารายได้เอง แล้ววิธีทำให้ถูกต้อง บอกให้ลูกได้รู้ แล้วลูกจะได้รู้

สำนึกว่า เออ เงินแต่ละบาท แต่ละสลึง ที่หามาเนี่ย มันไม่ใช่ง่าย จะใช้อะไร ก็ต้องรู้จักคิด
อยากได้เสื้อใหม่ใช่ไม๊ การบ้านทำหรือยัง ผลการเรียนเป็นอย่างไร งานบ้านได้ช่วยบ้าง

หรือไม่ รอบตัวเรา ทำตนให้เป็นต้นแบบที่ดีกับน้องไม๊ สังคมพึ่งเราได้แค่ไหน ไม่ใช่เกิดมา

แล้วจะมาเรียกร้องเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วเราก็ยัดเยียดให้ แล้วสุดท้าย ก็กลายเป็นว่า คุณทำไม

เอาไม่พอเสียที แล้วเราก็มาโวยวายว่า ทำไม ลูกเราเสพติดวัตถุ
อ้ายที่ลูกเสพติดวัตถุ นี่มันได้มาจากผู้ใหญ่ใจร้าย สอนให้ลูกเสพเอง ไม่ใช่คนอื่นสอน จบ
ปุจฉา        เราควรเตรียมตัว เตรียมอย่างไร ก่อนจะไปตามรอยพระพุทธเจ้า ณ.ที่สังเวช

นียสถาน ประเทศอินเดีย
วิสัชนา     จะเจอเหร๊อ ท่านนิพพานไปตั้ง 2,000 กว่าปีแล้วนะ หา ยังไปเจอรอยท่าน

เหรอ
อย่างดี ก็จะไปเจอแต่เรื่องเล่าละมั๊ง เรื่องเล่า แล้วก็สิ่งที่ปรากฏเป็นหลักฐาน อย่างนั้น เค้า

เรียก ตามรอยหรือเปล่า ไม่แน่ใจนะ รอยผิด รอยถูก ก็ไม่แน่ใจอีกเหมือนกัน
ที่จริง การไปก็เป็นเรื่องดี ทำให้จิตใจเรามีศรัทธามากขึ้น ชั้นก็ยังเคยไป
พระพุทธเจ้าก็สอนให้เรา เวลาที่พระองค์จะปรินิพพาน พระอานนท์ทูลถามว่า บุคคลที่ควร

เคารพบูชาหลังพระศาสดานิพพานแล้ว หรือ สถานที่ มีอะไรบ้าง
พระองค์ทรงตรัสว่า มี สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน แล้วก็ แสดงธัมมจักรฯ เรียกว่า

สังเวชนียสถาน 4 ตำบล เป็นสถานที่ที่ควรเคารพบูชากับบุคคลชนทั้งหลาย มนุษย์

พราหมณ์ เทวดา ควรทำความเคารพบูชา
เพื่ออะไร
เพื่อให้เกิดพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ และสีลานุสติ เป็นอนุสติเตือนใจ เพื่อยังให้

ศรัทธาตั้งมั่น คนเราเมื่อมีศรัทธาในคุณงามความดี มันก็จะทำให้ไม่ทำชั่ว ไม่พูดชั่ว ไม่คิด

ชั่ว ในขณะหนึ่งๆ ได้ อย่างนั้น ก็ถือว่า เป็นเรื่องดี
แต่เค้ามีวลี เรียกขานกันว่า จะตามรอย ตามเลย เนี่ย มันจะเทียบชั้นมากไปหรือเปล่า เรา

คงไม่เจอหรอก อย่างดีก็ไป รู้เรื่องราวที่พระองค์ทรงทำอะไร อยู่ที่ใด ทรงแสดงอะไร

อย่างนั้นแหละ จบ
แต่ถามว่า เตรียมตัวยังไง
ก็เตรียมเสื้อผ้าไป อย่าแก้ผ้าไปแล้วกัน เดี๋ยวเค้าจะหาว่า เป็นนักบวชพวก ชฎิล อ้อ ยังมีอยู่

นะ พวกที่ไป จะไปเจอพวกแก้ผ้า เค้ามาอาบน้ำที่แม่น้ำคงคา ถ้าคุณไปก็จะเห็นล่ะ หนวด

เครายาวรุ่มร่ามๆ เป็นชีเปลือย แก้ผ้า เดินโทงๆ ไม่มีใครเค้าสนใจกันหรอก
แต่ว่าพวกไทย เนี่ย ชอบ แปลก ไปถ่ายรูป เออ ฝรั่งกับไทย ชอบ ไปเต๊ะท่าถ่ายรูปกับพวก

ชีเปลือย แต่คนอินเดียไม่มีใครสนใจหรอก เค้าถือว่า เห็นจนชินตามา 2,000 กว่าปีแล้ว

ไม่มีใครสนใจหรอก ต่างคนก็ต่างปฏิบัติ หาวิโมกศักดิ์ของตนในความเชื่อที่ตนมี
วิโมกข์ ก็คือ ความหลุดพ้น นั่นแหละ จบ
ปุจฉา          ถ้าเราพูดปด พูดเท็จ เพื่อให้คนอื่นไม่เดือดร้อน หรือว่า เพื่อให้คนอื่นสบายใจ

การพูดปดนี้ ถือว่าผืดศีลหรือไม่
วิสัชนา        พูดปด ก็คือ พูดปด จะมาอ้างว่า คนนั้นไม่เดือดร้อน คนนี้ไม่สบายใจ ยังไง

มันก็พูดปด ถ้าเค้าเชื่อในสิ่งที่เราพูด แล้วเห็นตามที่เราพูด แล้วก็ทำให้ผู้ฟังได้รับ ว่า สิ่งที่

พูดนั้นเป็นความจริง อย่างนี้ ก็ถือว่า พูดปดล่ะ ไม่ว่าด้วยเจตนาอะไร ก็เป็นการพูดปดทั้ง

นั้นแหละ จบ
ปุจฉา        บางครั้ง พ่อและแม่ พูดจาไม่ดีกับเราก่อน แล้วเราพูดจาไม่ดีกับท่านตอบ จะ

เป็นบาปหนักหรือไม่
วิสัชนา       เกิดชาติหน้า ก็ไปเป็นเปรตปากเท่ารูเข็ม เม็ดข้าวเม็ดเดียว ยังติดปาก แล้วหิว

จนตาย ไม่มีเหตุปัจจัยอะไรต้องไปเถียงพ่อแม่
โยมหลวงปู่นะ ถ้าแกพูดผิด หลวงปู่จะนิ่ง จะไม่เถียง เอาไว้เมื่อแกอารมณ์ดี แล้วค่อยไป

อธิบาย แล้วอย่างดี แกก็จะบอกว่า ท่าน ก็ว่าไป เออ แกก็จะพูดแบบนี้ เราจะไม่เถียง

เพราะถือว่า ถ้าเถียงพ่อแม่ นี่มันเป็นไฟ ปากจะเน่า ฉีกเข้าไปถึงหู
งั้น อย่าไปหาเหตุ มีปาก อย่าไปสร้างนรก ไปค้อนพ่อแม่ ไปตำหนิติว่าพ่อแม่
พ่อแม่เนี่ย เป็นเจ้าของชีวิตเลือดเนื้อเรานะ น้องหนูให้รู้ไว้ว่า ถ้าไม่ได้ชีวิต ไม่ได้เลือดเนื้อ

ของพ่อแม่ ไม่มีตัวเราหรอกนะ แล้วเค้าจะทำอะไรในสิ่งที่เราไม่สบายใจ เราเคืองจิตใจบ้าง

ก็ไม่น่าจะต้องไปถือโทษโกรธมากมาย ถึงเวลาท่านหายโกรธ แล้วค่อยไปอธิบายให้ฟัง
สำคัญว่า พ่อแม่ ตำหนิติว่าเรา เค้าไม่ได้เกลียดเรา แต่เค้าห่วงเรา เค้าต้องการให้เราได้ดี

เราต้องสำรวจพฤติกรรมตัวเราเองว่า เราทำอะไรให้พ่อแม่ต้องว่า ไม่ใช่ไปว่าพ่อแม่ว่า มา

ว่าหนูทำไม มาว่าชั้นทำไม ต้องถามตัวเราเองว่า เราทำอะไรให้พ่อแม่ต้องว่า ทำไมพ่อแม่

ถึงต้องว่า เพราะว่า พ่อแม่รักลูกไม๊
จะบอกว่า ไม่รัก ก็ตายไปตั้งนานแล้ว พ่อแม่ทุกคนรักลูก ถ้าไม่รัก ป่านนี้เอา โอ้โห ขี้แห้ง

ทาตูดตายแล้ว ตอนเด็กๆ น่ะ ร้องตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ร้องเกือบทุกชั่วโมง แบเบาะ

เดี๋ยวก็ขี้ เดี๋ยวก็เยี่ยว ถ้าไม่รักนี่ ไม่เช็ดขี้ เช็ดเยี่ยว ป่านนี้ไม่เหลือหรอก ตายไปหมดแหละ
เพราะรักน่ะ ต้องตื่นมาดึกๆ ดื่นๆ ก็มาคลำ เอานมป้อน เอาผ้าอ้อมเปลี่ยน มาล้างขี้ล้างเยี่ยว

ดูแลเอาใจใส่จนถึงวันนี้ แล้วแค่แกผิดนิด พลาดหน่อย ก็ไม่ถือโทษโกรธ อย่างนี้มันไม่ถูก

ต้อง
ทีเราผิดเราพลาดมาแต่เล็กๆ ทำไมพ่อแม่ไม่อาฆาตเราบ้าง เราทำแก้วแตก ทำของแตก

เสียหาย ไปโรงเรียนขาดๆ เกินๆ ทำเงินหาย ใช้เงินเปลือง ทำสิ่งของหล่น ทำให้ท่านทุกข์ใจ

ทำไมท่านยังให้อภัยเราได้ตลอดเวลา
อ้ายทีเรา พอท่านผิดนิดผิดหน่อย ถือโทษโกรธ จะเป็นจะตาย อู้หู ไม่พูดไม่จา งอน

อ้ายอย่างนี้ มันเด็กๆ มันน่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากให้ตายไปซะ อยู่ไปก็รกโลก
เคยได้ยินไก่ขันตอนเช้าไม๊ น้องหนู (เคยค่ะ) มันขันว่าไง ลูก (เอ๊กอีเอ๊กๆ) ไม๊ อันนั่น

มันไก่บ้านหนูสิ อ้ายเอ๊กๆ น่ะ มันไก่กะเทย ไก่กะเทย ไก่ตุ๊ด ถ้าไก่ตัวผู้ เค้าก็จะต้องขันว่า

โอ๊กอีโอ๊กๆ แปลเป็นภาษาไทยว่า อยู่ไปก็รกโลก เออนั่น ประมาณนั้นแหละ จบ
ปุจฉา        หากเห็นว่า ผู้บังคับบัญชาของเรา ทำในสิ่งที่ผิด
หลวงปู่      เค้าไปแล้ว ถามช้าไปแล้ว ถามช้าไป ให้กลับใหม่ แล้วค่อยถาม เก็บไว้ก่อนๆ
พิธีกร        เรามีหน้าที่ๆ จะเป็นสื่อกลาง
หลวงปู่        ไม่ๆ เก็บไว้ก่อน เดี๋ยวเค้าขึ้นมาใหม่ ค่อยถามใหม่
พิธีกร     ผู้บังคับบัญชาไม่มาด้วย ขออนุญาตถามต่อนะคะ หากเห็นว่า ผู้บังคับบัญชาของ

เรา ทำในสิ่งที่ผิด หรือว่า ไม่ทำตามกฏ เราจะปฏิบัติตัวอย่างไร ในเมื่อเราต้องทำตามคำสั่ง

แต่รู้ทั้งรู้ว่า เป็นสิ่งที่ผิด
หลวงปู่     อืม แต่มันก็พูดยากนะ เราทำตาม ก็ผิดจริยธรรมในจิตใจ ผิด มโนธรรม

สามัญสำนึกในใจ ถ้าไม่ทำตาม ก็อาจจะอยู่ไม่รอด ไม่ปลอดภัย อยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ดี อยู่อย่าง

ไม่มีความสุข
เอ่อ มันน่าคิดเหมือนกันนะ ระหว่างจริยธรรม กับความอยู่รอด
เอามันไปด้วยกันได้ไม๊ล่ะ หาวิธีเอามันไปด้วยกัน หาวิธีที่จะนำพามันกับเรา คือ จริยธรรม

กับความอยู่รอดให้มันอยู่ร่วมกันได้ ค่อยๆ กล้อมแกล้มกลืน นำพามันไปด้วยสติปัญญา

มันต้องมีทางเลี่ยงบ้างน่ะ มันต้องมีทางหลบบ้างน่ะ มันต้องมีทางพบกับพระบ้างน่ะ ไม่ใช่

วันทั้งวัน จะพบแต่หน้าซาตานตลอด เพราะถ้าผู้บังคับบัญชาเราไม่ดี ก็ไม่ต่างอะไรกับ

ซาตาน ถูกไม๊ มันต้องมีโอกาสพบพระได้บ้างล่ะ เออ มันต้องรู้จักที่จะสงบใจ สงบจิต มีสติ

ปัญญาหาวิธีคิด วิเคราะห์ ว่า แค่ไหนควร ไม่ควรอย่างไร ค่อยๆ ผ่อนปรน ทำไปโดยไม่

ผิดมโนธรรม มันน่าจะทำได้
สมัยก่อนนี้ หลวงปู่เป็นเจ้าคณะปกครอง ผู้บังคับบัญชา มีคำสั่งที่มันผิดธรรม ผิดวินัย
วิธีของหลวงปู่ง่ายมาก ลาออก อ้าว จริ๊ง ออกเลย ออก ไม่ทำ ลาออก เพราะถือว่า มัน

ผิดมโนธรรม แต่อย่าไปทำตามนะ เดี๋ยว ลูกอด เออ เดี๋ยว ลูกอด เดี๋ยวเครียด เดี๋ยวกลับบ้าน

ตกงานอีก
งั้น มันแตกต่างกันแหละ แต่มันขึ้นอยู่กับว่า เราจะยึดอะไรเป็นหลัก แต่อยากจะให้เลือกว่า

เอาทั้ง 2 อย่างรวมกันไปจะได้ไม๊ หลวงปู่ก็ไม่มั่นใจว่า จะมีคำตอบที่ทำให้เป็นทางเลือก

เอก หรือทางเลือกเดียวที่เราจะเดินได้ แต่มนุษย์เรามันจะหาถูกทั้งหมด มันคงไม่มีล่ะ ลูก

มันต้องมีพลาดบ้าง มันต้องมีผิดบ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งชาติ ผิดมาตลอด อ้ายนั่นไม่ใช่มนุษย์แล้ว
มันต้องมีกรรมวิธีผ่อนปรนไปเรื่อยๆ ไม่ใช่หลบเลี่ยง แต่ใช้วิธีผ่อนปรน ใช้สติปัญญา เรารู้

ว่า เรามีมโนธรรม มีจิตสำนึก มีผิดรู้ชอบ แยกแยะได้
ก็เลือกทำในสิ่งที่มันผิดน้อยที่สุดก็แล้วกัน ถ้าจำเป็นต้องผิด จบ
ปุจฉา       ระหว่างผู้หญิงที่ทำแท้ง สามี แล้วก็ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง อยากทราบว่า ใครที่

บาปมากกว่ากัน บาปมากที่สุด
วิสัชนา        คนที่ฆ่า คือ คนที่บาปที่สุด ยินดีเค้าฆ่า ตั้งใจฆ่า เจตนาเพื่อฆ่า นั่นแหละ คือ

คนที่บาปที่สุด เราบอก ทำแท้ง ลูกอยู่ในท้องเรา เรายินดีให้เค้าตายไม๊ล่ะ เราตั้งใจทำให้เค้า

ตายไม๊ล่ะ เรามีเจตนาที่จะฆ่าเค้าตายไม๊ล่ะ
ถ้าตั้งใจ มีเจตนา แล้วต้องการ สำเร็จประโยชน์ นั่นแหละ บาปที่สุด คือ ทำร้ายชีวิตสัตว์ให้

ตกล่วง แล้วเมื่อความตายมันปรากฏขึ้นแล้วเนี่ย มันยากนะ คุณ
เคยมีตำรวจกับแฟนเค้ามาหา เค้าอยู่ชัยนาท สมัยตอนที่เป็นนักเรียนตำรวจ เค้าได้กัน แล้ว

ก็ผู้หญิงก็ยังเรียนอยู่ แล้วก็เลยไปทำแท้ง เพราะว่า ผัวก็ยังไม่จบ เมียก็ยังไม่จบ ก็เลยไป

ทำแท้ง ถึงเวลา เค้าจบมาเป็นสารวัตรแล้ว แต่อยากมีลูก กลับไม่ได้ลูก
ทุกครั้งที่เมียท้อง เมียก็จะฝันว่า เด็กมาชี้หน้าด่าว่า หนูไม่อยู่กับแม่หรอก แม่เป็นคนโหด

ร้าย อยู่ไปเดี๋ยวก็ตาย แล้วรุ่งขึ้น ก็แท้ง เค้าบอก ท้อง -6 ครั้ง ก็แท้งหมดทุกครั้ง แล้วก็

จะฝันแบบนี้ทุกครั้ง
เออ เด็กมันอาฆาตน่ะ มันพยาบาท
แล้วสุดท้าย ผัวมันก็มาหาหลวงปู่ หลวงปู่ก็เลยบอก ถ้างั้น มึงก็ลาบวชซะ ซักเดือนหนึ่ง

อุทิศส่วนกุศลให้ลูก แล้วผู้หญิงก็มาบวชพราหมณ์ไป ตอนนี้มันมีลูกหรือยัง ก็ไม่รู้ล่ะ ไม่ได้

ตามผลมันว่า มันมีหรือยัง แต่ที่รู้ๆ ก็คือ มันเป็นกรรมนะ ลูก ถ้าไม่จำเป็น ก็อย่าไปทำมัน
ถ้าไม่มีใครเลี้ยง ไปปล่อยวัดอ้อน้อยก็ได้ อ้าว จริงๆ วัดอ้อน้อยรับเลี้ยงให้ เออ ถ้ามัน

ลำบากนัก ก็ไปปล่อยวัดอ้อน้อย เคยมีคนเอาเด็กมาปล่อย มาทิ้งไว้ให้เลี้ยง จนเดี๋ยวนี้โต

เป็นหนุ่มเป็นสาวละ ส่งเรียน เรียนเข้ามหาวิทยาลัย คนขายล๊อตเตอรี่ เค้าเดินไปเจอเข้า ที่

ราชบุรี ไม่รู้ เข้าไปในวัด แล้วก็ เด็กมันนอนแบเบาะอยู่ที่ศาลาเมรุ
เค้าก็ได้ยินเสียงเด็กร้อง เค้าก็ตาบอด มีลูกสาวจูงมือขายล๊อตเตอรี่ในวัด ได้ยินเสียงเด็กร้อง

ก็นั่งรอ เอ๊ พ่อแม่เด็กมันอยู่ไหน หรือมาวางไว้แล้วไปทำธุระ รออยู่ครึ่งวัน ก็ยังไม่มี สุด

ท้ายก็เลยอุ้มเอามาให้ เด็กผู้ชาย เลี้ยงจนกระทั่งโต แล้วก็ส่งมันเรียน เข้ามหาวิทยาลัย

เดี๋ยวนี้เรียนจบ
งั้นก็ อย่าไปทำเลย ฆ่าสัตว์ มันบาป จบ    
ปุจฉา
หลวงปู่        เมื่อไหร่จะเลิก จะ 3 โมงแล้วนะ เดี๋ยวจะไปสวดมนต์ แจกทาน อีก 2 ข้อ
พิธีกร      ทราบมาว่า หลวงปู่เป็นหมอ อยากถามเรื่องสุขภาพ บวกกับเรื่องกรรมค่ะ คือ มี

อาการเวียนหัว ปวดหัว หน้ามืด โดยไม่ทราบสาเหตุ ตรวจแล้ว หมอก็ยังไม่ทราบสาเหตุ จึง

รู้สึกไม่สบายใจ อาจจะเป็นเพราะกรรมที่เราทำไว้หรือเปล่า อยากถามว่า กรรมนั้น คือ

กรรมอะไร แล้วเราสามารถทำให้หลุดพ้นจากกรรมนั้นได้อย่างไร
หลวงปู่       มันมาจากหลายสาเหตุนะ ปวดหัว หน้ามืด บางที มันมาจากลมขึ้นเบื้องบน ก็

ทำให้ปวดหัว ลมในช่องสมองมากไป ก็ทำให้ปวดหัว เออ เส้นเลือดหดตัวอย่างรุนแรงและ

เร็ว ก็ทำให้ปวดหัว  บางทีบางครั้ง ก็หลอดเลือดอุดตัน แล้วเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ก็ทำ

ให้ปวดหัว ในบางกรณี บางทีก็นอนน้อย พักผ่อนน้อย เครียด ก็ทำให้ปวดหัว ติดเชื้อในร่าง

กายก็ทำให้อาการอักเสบ เป็นไข้ขึ้น ปวดหัวได้ มันหลายสาเหตุมาก มีอาการเยอะมาก
บางที ตา นั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานๆ ก็ทำให้ปวดหัว มันหลายสาเหตุมาก

บางที อ่านหนังสืออยู่ แล้วตาเราต้องเพ่งมากๆ แล้วเราไม่ยอมตัดแว่นตา แล้วก็อยู่ในแสง

ที่มันไม่เหมาะสมกับการที่จะใช้สายตา ก็เป็นเหตุปัจจัยทำให้ปวดหัว บางทีเป็นโรค หู ตา คอ

จมูก เช่น เป็นโพรงไซนัสอักเสบ ก็ทำให้ปวดหัว มันหลายสาเหตุมาก ต้องเช็ค ต้องตรวจดู
อาทิตย์ต้นเดือน กับอาทิตย์กลางเดือน ชั้นจะตรวจไข้ สัปดาห์ที่ผ่านมา งั้น ก็ต้องรอต่อไป

อีกอาทิตย์ต้นเดือนหน้า อาทิตย์กลางเดือนหน้า ต้องไปแต่เช้า เค้าต้องรอคิว เพราะว่า บาง

คนเค้ามาไกลๆ ต้องมารอบัตรคิว เพราะชั้นตรวจตั้งแต่ 8โมงครึ่ง จนถึง 11 โมง ก็จะมี

หมอจากโรงพยาบาลศิริราช จากสมุทรปราการ แล้วก็พวกพยาบาลมาตรวจเบื้องต้น แล้วก็

บันทึกประวัติ แล้วก็ถึงเวลา ชั้นก็จะวินิจฉัยโรค วางยา ก็จะใช้สมุนไพร
ยาที่วัดก็มีอยู่ประมาณ 80 กว่าพิกัด มีสารพัดโรค ตั้งแต่ยาโรคสมอง โรคหัวใจ โรคเบา

หวาน ความดัน ไขมัน อะไร เก๊าส์ รูมาตอย โรคเลือด ก็ลองไปตรวจดูก็ได้ จบ
ปุจฉา      คำถามสุดท้าย ทำไมพุทธศาสนิกชน ถึงเรียกหลวงปู่ ว่า หลวงปู่ ทั้งที่เป็นหลวงพี่

ก็น่าจะได้
วิสัชนา       จะจีบพระอีกแล้ว อย่ามายุ่งกับชั้นเลยน่ะ เค้าเรียกอะไร ก็เรื่องของเค้าเฮอะ

ปล่อยให้ชีวิตชั้นเป็นอย่างที่ชั้นควรจะเป็น ชั้นเลือกเป็นในสิ่งที่ชั้นจะเป็น ไม่ใช่จะเป็นในสิ่ง

ที่คนอื่นให้เป็น
นั่นคือ ชีวิตชั้น คุณรู้จักชั้นเฉพาะที่ชั้นแสดงธรรม แล้วธรรมที่ชั้นแสดง มันทำให้คุณ

ฉลาดขึ้น พอและ อย่ารู้เยอะกว่านี้ มันไม่มีประโยชน์อะไร แล้วมันไม่เห็นจะเกิด

ประโยชน์อะไรกับคนรู้
เอาเป็นว่า ชั้นทำให้คุณฉลาด หรือ สอนให้คุณเข้าใจ รู้จักตามสภาพธรรมที่ปรากฏ มีสติ

ปัญญาตั้งมั่น ใช้ได้ล่ะ แค่นั้นพอ เอาธรรมเป็นใหญ่ อย่าเอาบุคคล อย่าเอาวัตถุเป็นใหญ่  จบ
ขอบคุณมากที่ทน อุตส่าห์ฟัง อีหนู ชักทนไม่ค่อยได้แล้ว คุยกันไปคุยกันมา
น้องหนู รู้ไม๊ ฟังพระแล้วคุยกัน นี่มัน บาปนะ ลูก วันหลังนี่ เกิดมา โง่ 500 ชาติเลยนะ
อ้าว จริงๆ จุลบัณฑก เค้ามีประวัติ ลูก พระอรหันต์มีนามว่า จุณบัณฑก สมัยก่อน พระ

พุทธเจ้าองค์ก่อนนู้น พระมหากัสสป จุลบัณฑก นี่ เกิดเป็นเณร พระพุทธเจ้าเทศน์สอน จุล

บัณฑกที่เป็นสามเณรไม่ยอมสนใจฟัง นั่งเล่นกันกุ๊กกิ๊กๆ ตายจากนั้น ไปตกนรกหมกไหม้
จนกระทั่งแผ่นดินสูงมา 5 กิโล จึงจะมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วเกิดมาก็โง่ นะโม ตัสสะ 3

จบนี่ ใช้เวลา 3 เดือนท่อง โง่มาก สอนอะไรไม่รู้เรื่อง ซ้ายไม่รู้ ขวาไม่รู้ทั้งนั้น เหตุผลก็

เพราะว่า เวลาที่ชาวบ้านเค้าต้องการปัญญา เราดันส่งเสียงไปทำลายปัญญาของชาวบ้าน คือ

ไปนั่งคุยกัน
ฟังธรรม นี่มันเป็นการฟังเอาปัญญานะ สุสสูสัง ละภะเต ปัญญัง การฟังด้วยดี ย่อมเกิด

ปัญญา
งั้น คนข้างๆ เค้าตั้งใจฟัง เพื่อต้องการปัญญา เราดันไป จุ๊กจิ๊กๆ ทำให้คนข้างๆ เค้ารำคาญ

ไม่ได้ปัญญา เราก็บั่นทอนปัญญาตัวเราด้วย บั่นทอนปัญญาเค้าด้วย ภพชาติต่อๆ ไป 500

ชาติ น้องหนูจำไว้เฮอะ เป็นบาปน่ะ
 งั้น อย่าไปทำ หลับเสียดีกว่า ดีกว่าไปนั่งคุยกันระหว่างพระมาเทศน์ บาปกรรม ลูก
คนโบราณเค้าถึงอาศัยตามกกเสา ไม่รู้จะคุยกับใคร ก็เคี้ยวหมากไป อย่างนั้นสบายใจกว่า

อย่าไปทำ ลูก บาปกรรม ไหนๆ ลงทุนฟังธรรมแล้ว ให้มันได้บุญกลับไป จบ
พิธีกร         .......
หลวงปู่      ดูไม่ผิดหรอก อยากกลับแล้ว อีหนูมันไม่อยากฟังแล้ว มันคุยกันจุ๊กจิ๊กๆ
พิธีกร      พอดีมันยังมีคำถามอยู่อีก
หลวงปู่       คำถามอะไร ถามอะไรนักหนา หา ก็ไหนบอกเมื่อกี้ คำถามข้อสุดท้ายแล้วไง
พิธีกร          ..........
หลวงปู่     รีบ เอ้า ให้อีก 2 ข้อ
ปุจฉา        มีคนพูดว่า คนที่ได้เป็นข้าราชการ ถือว่า ได้บุญ มีวาสนา แล้วถ้าเป็นอย่างอื่น

ถือว่า ไม่ได้บุญหรือ
วิสัชนา     ใครเป็นคนบอก เป็นข้าราชการได้บุญ
พิธีกร       มีค่ะ เพราะว่าปัจจุบัน มีผู้คนมากมาย ที่พยายามจะบรรจุเข้ารับราชการ แต่ว่า

ไม่ได้ผล
หลวงปู่     ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับเป็นข้าราชการแล้วได้บุญ หรือว่า มีบุญ บางคนทำข้า

ราชการ ลาออก มานั่งขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดก็มี มันขึ้นอยู่กับสถานภาพ แล้วก็หน้าที่ ตำแหน่ง

ที่อยู่หรือเปล่า ทำให้คนคิดว่า เออ กูนี่ มีวาสนาเหลือเกิน ไม่ได้ไม่ดี ก็ปีละ 2 ขั้นวะ อะไร

อย่างนี้ หลับๆ ตื่นๆ ก็ อะไรล่ะ ทำงานทั้งวันได้พันห้า เดินไปเดินมาได้ 2 ขั้น อะไรอย่างนี้

มันก็อาจจะคิดได้ว่า เออ กูได้ 2 ขั้นทุกปีๆ กูก็เป็นผู้มีบุญ
อย่ามัวแต่มานั่งกินบุญเก่า ถ้าบุญใหม่ไม่สั่งสม เดี๋ยวก็หมดบุญ ก็มี๊ งั้น มันขึ้นอยู่กับความ

รู้ความสามารถ และการกระทำที่แสดงออก
ข้าราชการนี่ ต้องตระหนักสำนึกระลึกรู้ภาระกรรมและหน้าที่ของเรา เรามีหน้าที่ที่จะต้อง

ทำอะไร ทำงานสนองเบื้องยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับใช้ประชาชนอย่างตรง

ไปตรงมา อย่างซื่อตรง อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ผู้มีบุญ ผู้ทำบุญ ผู้เจริญบุญ
แต่ถ้าทำแบบ วันๆ ขอไปที ให้มันจบๆ แล้วก็รอเบี้ยหวัด บำนาญ ก็เสร็จล่ะ อย่างนั้นก็ถือว่า

ไม่ได้บุญล่ะ กินบุญเก่าแล้ว แล้วก็หมดบุญไปในที่สุด
งั้น ทุกอาชีพ ถ้ามันทำให้เจริญรุ่งเรืองได้ ก็ถือว่า เรา เจริญแบบถูกต้อง ก็ถือว่า เราได้บุญ

เป็นผู้มีบุญ แต่ถ้าหากว่า เจริญแบบผิดพลาด เสียหาย รวมทั้งไม่ยอมทำหน้าที่ถูกต้อง
เพราะคำว่า ทำหน้าที่ถูกต้อง มันอยู่ในบุญกิริยาวัคถุ 10 อย่าง ก็คือ ข้อว่า ทำหน้าที่ของ

ตนให้ถูกต้อง เป็นผู้เจริญบุญ เช่น พ่อมีหน้าที่เป็นพ่อที่ดี มีหน้าที่เป็นผัวที่ดี มีหน้าที่เป็น

ประชาชนที่ดี มีหน้าที่เป็นแม่ เป็นครู เป็นอาจารย์ที่ดี
ถ้าทำหน้าที่อย่างนี้ คนในครอบครัวก็จะภูมิใจ สุขกายสบายใจ ที่แต่ละคนในบ้านทำหน้าที่

ถูกต้อง ก็ถือว่า เป็นวิธีสั่งสมบุญอย่างหนึ่ง
คงจะเป็นเรื่องตรงนี้ล่ะมั๊ง เลยเป็นที่มาว่า เป็นข้าราชการ เป็นผู้มีบุญมาก
ที่จริง ชาวนาก็ได้บุญมาก แต่ไม่รู้ว่า ต่อไปนี้ ชาวนาจะบุญมากหรือไม่ เพราะอีก 2 ปี

ข้างหน้า ชาวนาอาจจะหมดบุญเสียก็ได้  เพราะตอนนี้ ก็เริ่มใช้สนามบินเก็บข้าว ใช้ค่าย

ทหารเก็บข้าว
ปีหน้าอาจจะเอาข้าวมาทำพื้นถนน ก่ออิฐสร้างบ้านก็ได้ เพราะไม่รู้ใครจะมาซื้อข้าว คุณ ก็

ไม่แน่ใจเหมือนกัน จะลำบากหรือเปล่า ไม่แน่ใจ เพราะว่า เท่าที่รู้ ชั้นไปช่วยน้ำท่วมทาง

ปราจีนบุรี อ้ายพื้นที่ตรงนั้น มันปลูกมันทั้งนั้น แต่ก็มีโกดังเก็บข้าว เพราะมันอยู่ใกล้ชาย

แดนเขมร
ข้าวเขมร ปีนี้ ขายได้ ร้อยกว่า %  110 กว่า % จากของเดิมนะ เพิ่มมาอีก ร้อยกว่า %

แล้วร้อยกว่า % มันไปขายใคร ประเทศไหน ขายประเทศไทย แล้ววิธีของเค้าก็คือ
แล้วถามกำนัน มันเอามายังไง โธ่ หลวงปู่ ไม่ยาก มันก็ใส่รถมอเตอร์ไซด์ กระสอบ เทินๆๆๆ

รถลากมา ข้ามแดนมา ไม่ต้องเสียภาษี ไม่ต้องอะไร ข้าราชการชานแดน ก็ทำ เอาหูไปนา

เอาตาไปไร่ ไม่ใส่ใจอะไรอย่างนี้ ก็ในเขมร เกวียนหนึ่งมันเพิ่งจะ 5,000, 6,000

เพราะว่า ค่าแรงเขมร ผู้หญิงเค้า 30 บาท ผู้ชาย 60 บาท เอามาเมืองไทย ได้เกวียน

หนึ่ง 15,000 ใครก็เอา คุณเอาไม๊ล่ะ เอ๊า
เพราะฉะนั้น เราก็ไม่รู้ว่า เนี่ย มันจะไปถึงไหน ปีหน้ามันจะไปยังไง เอ่อ ชาวนาไทยได้

เท่าไหร่ เกวียนหนึ่ง ชาวนาไทยได้เต็มที่ก็ซัก หมื่นกว่าบาท
ถามว่า หมื่นห้า ถึงไม๊, ไม่ถึงหร๊อก
ถามว่า ทำไมไม่ถึง
ก็เดิมที ถามว่า เค้าได้ไม๊ ได้ เค้าได้ เพราะเดิมที ขาย 7,000, 8,000,

6,000 ความชื้นมีมากก็ 7,000, 6,000 ถ้าได้เพิ่มประมาณซัก 9,000,

10,000 ก็ถือว่า ได้ เค้าไม่ได้คิดอะไรมาก เค้าได้ละ เค้าพอละ ส่วนที่เหลือ ส่วนต่าง

จะไปไหน ก็ไปตามเหตุตามปัจจัย
แล้วตอนนี้ จากข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลก ไทยส่งออก เดี๋ยวนี้ลดลงมาเป็นอันดับที่ 3 ที่ 4

ต่อไปก็ที่ 5 ที่ 6 เพราะมันไม่มีใครจะซื้อ ทั่วโลกเค้าซื้อกันเกวียนหนึ่ง 8,000,

7,000 นี่ 15,000
15,000 แล้วใครจะมาซื้อคุณ ทั้งๆ ที่คุณภาพก็ไม่ได้ดีกว่าเค้า คุณภาพก็แย่กว่าเค้า

ด้วยนะ เพราะ ข้าวไวต่อแสงเนี่ย เส้นใยและความแข็ง มันเก็บไว้ไม่นาน ที่วัดชั้นทำนา

ชั้นรู้ นี่กำลังจะเกี่ยว เพราะว่า เราแจกทานทั้งปีไง ที่วัดมีตั้งโรงทาน แล้วก็มีสินค้าราคาถูก

ข้าวสารถุงหนึ่งร้อยกว่าบาท 5 โล ไม่ถึงร้อยมั๊ง 90 กว่าบาท เราให้กับคนยากคนจนมา

ซื้อ
ข้าวไวแสง มันเก็บได้ไม่นาน ถ้าเก็บนานแล้วมันจะเป็นแป้งไปหมด ไปอัดเก็บเอาไว้ แล้ว

ถ้าความชื้นมาก ก็ยิ่งกลายเป็นราไปเลย ก็ลำบาก ชาวนาเอาข้าวไปโรงสี เอ่อ โรงสีก็ทำเล่น

แง่ว่า ไม่มีที่เก็บ มีที่เก็บก็ตังค์ยังไม่มา จะเอาตังค์ก่อนไม๊ ถ้าเอาตังค์ก่อนเนี่ย ก็คงไม่ได้ล่ะ

นะ 15,000 เพราะว่า รัฐบาลยังไม่ออก ก็เอาไปแค่ 7,000, 8,000 แต่ถ้า

จะเอาตังค์ตามเวลาที่รัฐบาลออก ธกส.ให้ ก็ต้องรอไปอีก 3 เดือน หรือ 2 เดือน
ใครที่ไหน ขายข้าวแล้วไม่อยากใช้ตังค์ ก็ต้องยอม เอ้า ผีถึงป่าช้าแล้ว เอ๊า แปดพันก็แปดพัน

เถ้าแก่ ได้ไป 8,000 แล้วก็ไปจำนำรัฐบาล 15,000 ใครได้ล่ะ โอ๊ย รวยมหาศาล

เออ เนี่ย คือ วิธีคิด
อันนี้ เป็นของจริง เพราะชั้นอยู่กับชาวนา ชั้นทำนา แล้วรอบๆ ก็นาทั้งนั้น ไม่มีบ้านไหนได้

ครบ 15,000 หรอก ไม่มี แล้วซื้อเข้าทุกปีๆ แล้วเวลาออก ก็ออกน้อยลงๆ
น้องหนู วันหลังก็คงจะต้องใช้ข้าวทำเสื้อผ้า ใช้ข้าวทำอิฐ ทำปูน ปูพื้นถนน อะไรก็เรื่อย

เปื่อยไป เพราะมันเยอะเข้าไง มันเยอะเข้า งั้น อันตราย
ก็ยังไม่รู้อนาคตประเทศเป็นยังไง แต่ที่รู้แน่ๆ ข้าราชการเป็นที่พึ่งในระดับสุดท้ายของ

ประชาชน ระดับแรกจนถึงระดับสุดท้าย ถ้าข้าราชการตรงไปตรงมา ซื่อตรง แล้วทำหน้าที่

อย่างถูกต้อง ประชาชน และโดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านก็จะอุ่นพระทัย

ท่านก็จะเป็นสุขว่า มีข้าราชการที่ซื่อตรง ได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง
แต่เวลานี้ มันก็เอียงไปตามเหตุตามปัจจัย แล้วแต่ เพื่อความอยู่รอด ทีใครทีมัน
ชั้นไปเหนือเนี่ย ใต้เค้ากำลังจะเริ่ม เมื่อวาน ท่าน ผบ. กองกำลังทหารพรานมา เป็นลูก

ศิษย์เค้ามาไหว้ เพราะเค้ากลับมาจากใต้ เค้าเล่าให้ฟัง เฮ้ย ไหนว่า มึง เค้าว่า อ้ายผู้ก่อการ

มันออกมามอบตัวแล้ว ทำไมมันระเบิดได้ทุกวั๊นทุกวันๆ ละ 3 เวลาวะ
เค้าบอก หลวงปู่ อ้ายที่มันมามอบตัวน่ะ แก่ๆ ทั้งนั้น มันยุคเก่าละ มันต้องมอบตัวสิ เพราะ

นี่มันใกล้เดือนตุลาฯ แล้ว ถ้าไม่มีผลงาน ก็จะไม่ได้เลื่อน ก็ต้องหาวิธีสร้างผลงาน คือไป

เกณฑ์อ้ายพวกแก่ๆ มาทำเรื่องให้มอบตัว และอ้ายมอบตัวเช้า ระเบิดเย็น มอบตัวกลางวัน

บ่ายระเบิด อะไรอย่างนี้ ก็มันก็อยากแสดงให้เห็นว่า กูยังไม่ได้มอบตัว อ้ายที่มอบตัวน่ะ

มันแก่แล้ว
นี่คือ วิธีไง วิธีที่เค้าทำกันอยู่ทุกวันนี้ ก็ทำไปเรื่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ แล้วก็เค้าก็อยากให้เหมือน

กับประเทศฟิลิปปิน คนในพื้นที่เค้า เผอิญชั้นส่งพระไปอยู่ที่นั่น ไปอยู่ที่เขื่อนบันนังสตาร์

ตรงที่ที่ผู้กองแคนโดนยิงตาย ก็ที่นั่น มันมีชุมชนชาวพุทธอยู่ประมาณซัก 200 กว่าครัว

เรือน แล้วก็ไม่มีโบสถ์ มีวัดก็วัดร้าง เราก็เลยให้พระไปอยู่ ให้ไปเป็นกำลังใจ ไม่งั้น เค้าจะ

หนีหมดไง เพราะว่า มุสลิมรุกเข้ามาซ้ายขวา แล้วเค้าอยู่ตรงกลาง ตรงที่ผู้กองแคนตาย

เป็นหมู่บ้านชาวพุทธ
แล้วเค้าก็เลยต้องการพระ แล้วพระไปอยู่ที่นั่น บิณฑบาตรก็ต้องมีปืนอาก้า คือ ไปเป็นครึ่ง

กองร้อยล่ะ สุดท้าย ชาวบ้านบอก อย่าบิณฯเลย เดี๋ยวเอาข้าวมาส่งที่วัด
ทีนี้ เวลาเค้าทำสังฆกรรม ก็ต้องออกไปที่อำเภอ เดินทางครึ่งวัน แล้วต้องใช้กำลังพลครึ่ง

กองร้อยที่จะคุมพระ เราก็เลยไปลงทุนสร้างโบสถ์ให้ สร้างโบสถ์ไว้หลังหนึ่ง นี่ ก็จวนจะ

เสร็จแล้ว เดี๋ยวปีนี้ทอดกฐินให้เค้าอีกปี ก็น่าจะจบ
ทำให้รู้ว่า เค้าอยากให้เป็นรัฐอิสระ เค้าเรียกว่า รัฐอิสระ คนในพิ้นที่น่ะ เค้าถือว่า พุทธเนี่ย

เป็นพวกนอกรีต หรือ พวกที่เข้าไปแทรกเป็นยาดำที่เค้าไม่ต้องการ
งั้น คนในพื้นที่ ก็พยายามรวมตัวกับนักการเมืองบางคน ที่จะปลดเปลื้อง 3 จังหวัดชาย

อดนให้เป็นรัฐอิสระโดยปกครองตนเอง
ชั้นไปเหนือมา เค้าก็กำลังรวมตัวกันนะ กำลังร่างกฏหมายเอง เพื่อจะรวมตัว เพราะอ้าง

ประวัติศาสตร์ 700 กว่าปี สมัยอาณาจักร หริภุญชัย เพื่อจะรวมตัวกัน ขอปกครองเอง

ตัวเอง
อีกหน่อย มันก็แบ่งกันเป็นอีสาน เหนือ ใต้ ตะวันออก ก็ว่ากันไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะ

จะมีกฏหมายของตัวเอง จะประกาศเป็นรัฐอิสระ
แต่ว่า ถามว่า ไม่ขึ้นอยู่กับประเทศไทย เค้ายังมีการทหารกับการต่างประเทศ ให้ขึ้นอยู่

ส่วนกลาง แต่ขอปกครองเอง ได้ยินว่าอย่างนั้นนะ เพราะว่า ชั้นเผอิญได้ไปฟังเค้าเสวนากัน

แล้วก็เผอิญ เค้าก็กำลังเดินขบวน รณรงค์เรียกร้องสิทธิ์ฟื้นฟู เอาอาณาจักรหริภุญชัย ให้ฟื้น

เติบโตขึ้นมาใหม่ มันก็จะไปแบบที่อย่างที่เห็นนั่นแหละ
บ้านเมืองมันก็จะเป็นแบบนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระราชินี ท่านก็ จะ

บอกว่า ไม่วางพระทัย ก็ไม่ได้ เพราะท่านอายุมากแล้ว
คุณ ข้าหลวงฯ มาที่วัด ก็เล่าให้ฟังว่า ท่านตรัสกับคนใกล้ชิดว่า ก็คงจะเป็นเหมือนประมาณว่า

ยุคของเรา มันหมดเสียแล้ว ประมาณนี้ ยุคของเรา มันหมดเสียแล้ว ต่อไป มันก็เป็นยุค

อะไรๆ ไปเปลี่ยนตามเหตุตามปัจจัย
งั้น ก็น่าเป็นห่วง เพราะที่เราอยู่กันได้ ก็เพราะว่า สถาบันฯ หลายอาณาจักรรวมกันได้ก็

เพราะว่า เรามีสถาบันฯ เป็นศูนย์กลาง ที่ผ่านมา สถานภาพของสถาบันฯ มันโดนกระบวน

การทำลายให้ขาดความศรัทธา ความเชื่อถือ
ทีนี้ ก็เลยเป็น ขั้นที่ 2 ก็มาเขียนธรรมนูญของตัวเอง มาเขียนกฏหมาย มาแบ่งแยก เค้าจะ

เรียก แบ่งแยกดินแดนหรือเปล่า ไม่แน่ใจล่ะ แต่เค้ากำลังจะทำกันอยู่
อันนี้ คือ เรื่องจริงนะ พวกข้าราชการทั้งหลายได้สำเหนียกบ้างหรือเปล่า ไม่รู้ล่ะนะ แต่นี่

เผอิญหลวงปู่ได้ไปมาทั้งแผ่นดินน่ะ ก็เลยทำให้รู้ มันมีสถานภาพแบบนี้อยู่
งั้น พวกคุณก็ต้องคิดได้ละ ต้องรู้ว่า เราจะวางตัวแบบไหนอย่างไร
ต่อไปก็จะเกิด อาณาจักรหริภุญชัย อาณาจักรอะไรล่ะ รัฐปัตตานี แล้วก็ ภูมิภาคอีสาน

อาณาจักรอีสาน เค้าก็ถือว่า เป็นชนกลุ่มหนึ่งของเค้า ซึ่งเค้ามี รัชกาลที่ 4 ส่งพระราชโอรส

ไปเป็นผู้สำเร็จราชการ แล้วสร้างเมืองอุดรฯ แล้วก็รวมเอาอาณาจักรแถวเขตภาคอีสาน ให้

เป็นเมือง ขึ้นกับภาคกลาง ซึ่งสมัยก่อนก็เป็นรัฐของเค้า เป็นเมืองของเค้าในภาคอีสาน ก็ยัง

ติดต่ออยู่กับฝ่ายลาว เพราะลาวก็ นครจำปาสักสมัยนั้น ก็ยังเป็นอาณาจักรของไทย แต่ก็มี

ชนกลุ่มน้อยปกครอง แล้วตอนหลังก็เสียให้กับฝรั่ง คือ ฝรั่งเศส
รัชกาลที่ 4 ก็เลยต้องส่งพระราชโอรสเข้าไปต้านทัพ ป้องกันไม่ให้ฝรั่งเศสข้ามแม่น้ำโขง

มา ก็ไปรวมไพร่พลจากชนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ให้มารวมเป็นเมือง เมืองแรก คือ เมืองอุดรฯ

สร้างขึ้น แล้วสุดท้าย พวกไพร่พลพวกนี้ก็กำลังจะรวมตัวกัน ชนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยก็จะ

ประกาศรัฐเอกราช อะไรขึ้นมา
มันจะมีอะไรเล่นไปเรื่อยๆล่ะ ถ้าคุณไม่รีบหนีตายไปเสียก่อน เดี๋ยว ก็คงจะได้เห็นภาพ

ประเทศไทย มันมีสถานภาพอย่างไรไป
ก็เล่าให้ฟัง ถ้ามองในมุมของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ทุกอย่างมัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ ดับ

ไป ตามเหตุตามปัจจัย
อย่าไปแบกมันไว้ แบกเดี๋ยวปวดหัวตาย เห็นมันเป็นสภาพ
เราก็เพียงแต่เล่าสู่กันฟัง แล้วก็ทำตัว อย่างไร
ก็ทำให้เป็นประโยชน์ที่สุด ประโยชน์ตนแล้วก็ประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม
อย่าเอาแต่ประโยชน์ตน แล้วประโยชน์ท่านไม่ได้ แล้วเราจะอยู่ไม่ได้ ให้เข้าใจความหมายนี้
ประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ก็ต้องทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาท อย่าเอาแต่

ประโยชน์ตน แล้วประโยชน์ท่านอยู่ไม่ได้ ก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน
อ้าว เมื่อกี้นี้ เห็นว่า มีคำถาม ตอนนี้ นายมาแล้ว
เอ้า เปิดโอกาสให้ถามเลย เมื่อกี้ ชั้นไม่ให้เค้าถาม เพราะคุณไม่อยู่ไง ตอนนี้ คุณอยู่ อ้าว

ถามเลย
พิธีกร        คำถามนั้น จบแล้วค่ะ หลวงปู่
หลวงปู่      อ้าว เหรอ เอ้า จบแล้วเหรอ จบแล้วก็จบ ไม่กล้าถามหรือเปล่า
พิธีกร       จบไปแล้วค่ะ เดี๋ยวจะเป็นการถามซ้ำค่ะ หลวงปู่
หลวงปู่      อ๋อ คุณถามไปแล้วเหรอ
พิธีกร      หนูเป็นตัวกลางค่ะ ที่นำคำถาม
หลวงปู่        เอ้า เข้าใจๆๆ
พิธีกร        เดี๋ยว จะเป็นการถามซ้ำค่ะ อันนี้ หลวงปู่ เมตตาอีกหนึ่งคำถามใช่ไม๊คะ
หลวงปู่        เอ้า
ปุจฉา       สืบเนื่องจากที่
หลวงปู่        จะถามอะไร ก็มองหน้านายก่อนนะ ถ้าเกี่ยวกับนาย ก็อย่าถาม
ปุจฉา        สืบเนื่องจากที่หลวงปู่เล่าให้ฟังถึงความขัดแย้ง อยากให้หลวงปู่แนะว่า เราควร

วางตัว วางจิตอย่างไร ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความขัดแย้ง แก่งแย่ง แข่งขันกัน ให้มีจิตที่

สมดุลย์
วิสัชนา      เอาประโยชน์ของประเทศชาติ ประโยชน์ของส่วนรวม อย่าเอาประโยชน์ของ

พวกพ้อง ของญาติ แต่ใช้ประโยชน์ของส่วนรวม สีแต่ละสีเนี่ย สีเหลือง สีแดง สีสารพัดสี

เนี่ย มันก็มีทั้งถูกและผิด แล้วแต่ละสี มันก็มีทั้งประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน แต่ต้องถามว่า

ประเทศชาติได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน
งั้น เอาประโยชน์แผ่นดิน ประโยชน์ประเทศชาติ ประโยชน์มหาชน ยั่งยืนด้วยนะ วงเล็บว่า

(ยั่งยืน) เหมือนกับทุกวันนี้ ที่บอกว่า ชาวนาได้ เค้าก็ได้ ไม่มีใครปฏิเสธว่า ไม่ได้

เพราะจาก 6,000 ขึ้นมาเป็น 8,000 อย่างนี้ ก็ถือว่า เค้าได้, จาก 8,000

ขยับมาเป็น 10,000 ก็ถือว่า ได้ ไม่มีใครบอกว่า ไม่ได้
แต่มันยั่งยืนไม๊ ประโยชน์นี้ มันจะอยู่ได้ยั่งยืนไม๊ ขึ้นอยู่กับว่า สายป่านยาวไม๊ ถ้าสายป่าน

คุณยาว มีตังค์ไปซื้อได้เยอะๆ อยู่ได้เป็น 10 ปี แล้วเอามาหมักไว้ ก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าสายป่านไม่ยาว มันก็จะไม่ยั่งยืน ประโยชน์มันก็จะไม่ยั่งยืน ขึ้นอยู่กับว่า ภาษีพวกคุณ

จะเสียเพิ่มขึ้น เยอะขึ้นหรือเปล่าที่จะไปทำให้สายป่านของประเทศยาว ที่จะไปรับเอาสินค้า

เกษตรมาตุนเก็บเอาไว้เยอะๆ
แล้วมันก็จะเหมือนกับอีรอบเดิม ที่สมัยเมื่อ 3 ปีที่แล้ว หรือ 2 ปีที่ผ่านมา เอาลำใย

แสนกว่าตัน ไปถมที่ ที่รับจำนำลำใยเอาไว้ แล้วก็เอาไปถมที่ เท่าไหร่นะ 60,000 หรือ

70,000 ตัน
ชั้นน่ะ เสียด๊าย ทำไมมันไม่เอามาทิ้งวัดอ้อน้อย เราจะได้มาทำปุ๋ย ลงทุน กรมวิชาการเกษตร

ทำเครื่องบดลำใยให้แหลก ให้เป็นวิธีกำจัดมัน โอ้โฮ ลงทุนอีกมโหฬาร นั่นน่ะ ประมาณ

นั้นน่ะ
อีกหน่อย เราก็จะได้มี ข้าวเปลือกถมที่ ข้าวเปลือกทำถนน ข้าวเปลือกทำอะไรต่ออะไร พอ

เฮอะ
ลูกศิษย์ชั้นเป็นโรงสี ลูกศิษย์ชั้นเป็นเจ้าของโรงสีอยู่หลายโรง เค้าก็อยู่ ถ้าอยู่แบบซื่อตรง

จะอยู่ไม่ได้ เพราะว่า ขายก็ไม่ได้ไง ด้วยเหตุปัจจัยว่า รัฐบาลขายเอง ซื้อเอง ชงเองหมด ก็

ขายข้างนอกก็ไม่ได้ เพราะว่า รัฐบาลขายถูกกว่าเค้า เค้าก็จะต้องไปฮั้วกับรัฐบาล ยอมที่จะ

ให้โรงสี กลายเป็นโกดังเก็บข้าวของรัฐบาล
เพราะว่า ถ้าเค้าจะทำหน้าที่ขายเองเหมือนสมัยก่อน ก็ขายไม่ได้ เพราะว่า ราคาสู้เค้าไม่ได้

มันลำบาก มันก็แล้วแต่มุมมองของคน ถ้ามุมมองชาวนานี่ ได้แน่ๆ ได้แน่ๆ จาก 7,000

ได้ถึง 9,000 ก็ได้
แต่ถามว่า ชาวนาคนไหน ได้ 15,0000
โอ๊ย ชั้นกล้าเอาหัวเป็นประกัน ไม่มีชาวนาคนไหนได้ครบ 15,000 มันจะหักความชื้น

หักค่าสารพัดค่า สุดท้าย ถ้าอยากได้เงินเร็ว ถ้า 3 เดือนรอไม่ได้ ก็หักดอก เอาเงินไปก่อน

ก็ไม่เป็นไร ก็หักดอก ก็หักไปเรื่อย เป็นวิธีคิด ลำบากเหมือนกันนะ
งั้น ก็ บ้านเมืองเรา ถ้าข้าราชการไม่แข็งแรง ไม่เข้มแข็ง พวกคุณนั่นแหละ ประเทศชาติ

หวังพึ่งพวกคุณ พวกคุณต้องเป็นแรง เป็นกำลัง เป็นแขนเป็นขาให้กับ เพราะว่า ระดับ

ปฏิบัติการ ต้องถือว่า เป็นพวกคุณ เป็นระดับปฏิบัติการ
ปรชาชนทั่วไป อย่างดีก็เป็นเพียงแค่องค์ประกอบของการปฏิบัติการ ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ปฏิบัติ

การจะทำหน้าที่อะไร จังหวัดชั้นน่ะ คุณ ได้งบประมาณคอมพิวเตอร์มา 70 ล้าน

คอมพิวเตอร์แทปเลตเนี่ยนะได้มา 70 ล้าน คอมพิวเตอร์แจกตามโรงเรียน 70 ล้าน

คนที่เอางบประมาณเข้ามา กินไปเหนาะๆ ซะ 40 อันนี้ วงในเลยนะ หึ กินเหนาะๆไป

40, แล้วเหลือเท่าไหร่ล่ะ หา ก็เอามาจิ้มที ก็เจ๊งเลย จิ้มแล้วเจ๊งเลย ประมาณนี้ แล้ว

โรงเรียนมีทั้งจังหวัดกี่โรงล่ะ เหลือเงินเท่าไหร่ ก็มันกินเปล่าไปซะ 40 แล้ว ฐานะที่กูเป็น

คนเอางบประมาณเข้าจังหวัด คุณจะว่ายังไงล่ะ
เออ มันพูดยาก ลูกศิษย์ชั้นเผอิญเป็นเจ้าของ เป็นคนรับเหมา บริษัททำถนน รับเหมาชาว

บ้านทำถนน งานคุมงาน คนที่คุมโปรเจค เป็นวิศวะคุมของกรมโยธาฯ อะไรก็แล้วแต่ ต้อง

หารถให้เค้านั่งนะ แล้วกำหนดสเปคให้เสร็จเลยนะ รถต้อง 4 ประตู ขับเคลื่อน 4 ล้อ

แล้วไม่ใช่รถเก่านะ ต้องรถป้ายแดงด้วย สเปคเขียนเอาไว้เสร็จเลย
อ้ายคนที่เหมางาน ก็ต้องเผื่อเอาไว้ว่า กูจะต้องเอาเงินไปซื้อรถแจกกี่คัน แล้วงานระดับ

โครงการ 2-3 กิโล นี่มันใช้คนคุมไม่น้อยกว่า 5 คน รถก็ต้องซื้อ 5 คัน เหนาะๆ เลย

ล่ะ นี่ ยังไม่ได้มองถึงอ้าย 30 % อีกนะ แล้วถนนมันจะเหลืออะไรล่ะ ก็มันถึงได้ทรุด

เอาๆ อย่างที่เห็นไงล่ะ เดี๋ยวก็ทรุด เดี๋ยวก็ร้าว อะไรอย่างนี้ไง ก็ซ่อมกันไป
ถนนเมืองไทยเนี่ย ถ้าทำแล้วไม่ซ่อม อ้ายคนรับเหมามันบอกชั้นนะ ถ้าทำแล้วไม่ซ่อม ไม่

มีสิทธิ์รับงานหลวงต่อแล้วนะ อ้าว คุณ เพราะว่า ถ้าทำแล้วซ่อม จึงจะมีสิทธิ์รับ
เหตุผลก็เพราะว่า เอ้า เจ้าของงาน ขึ้นอยู่กับกรมไหนล่ะ เจ้าของกรมฯ ก็จะได้เบิกงบซ่อมได้

ถ้าขืนมึงทำ แล้วไม่ซ่อม กูเบิกไม่ได้ แล้วกูจะกินอะไร เค้าก็ต้องบอกอย่างนี้กัน
งั้น ต้องให้ซ่อมเร็ว อย่างน้อย 6 เดือน มึงต้องทำยังไงก็ได้ให้ได้ซ่อมแล้วกัน เค้าไม่ได้ทำ

เพื่อไม่ให้ซ่อมนะ ถนนน่ะ เค้าทำเพื่อให้ได้ซ่อม คุณรู้หรือเปล่า ข้าราชการ ไม่รู้ ก็รู้ซะ นี่

พระเอามาบอก เค้าทำให้ได้ซ่อม
น้องหนูฟังไว้ด้วยแล้วกัน ลูก แล้ว อย่า เวลาใครเค้ามาถามน้องหนูว่า เออ ให้มันโกงไปเฮอะ

ขอให้เราได้ประโยชน์
อย่าไปทำอย่างนั้นเชียว ลูก ถ้าอย่างนั้น ก็แสดงว่า เราตบหน้าครู และด่าโคตรเหง้าเราเอง

เพราะว่า แสดงว่า ครูไม่สอน โคตรเหง้าไม่สั่ง
ไม่สอนอะไร
ไม่สอนคุณธรรม ไม่สอนจริยธรรม ไม่สอนสำนึกของมนุษย์ที่เราต้องรับผิดชอบต่อสังคม
แสดงว่า ตระกูลเราเลว เราถึงได้ออกมาบอกว่า มึงกินๆ ไปเฮอะ ให้กูได้ประโยชน์ก็แล้วกัน

แสดงว่า ตระกูลมึง นี่ กินมาตลอดเลยล่ะ อ้ายคนที่เขียน หรือที่มาบอกว่า ยอมให้มึงกินได้

เนี่ย เออ มึงก็ฉ้อราษฎร์บังหลวง คดโกงแผ่นดินมาตลอด
อย่างนั้น แสดงว่า ประกาศตัวเองว่า เป็นคนเลวในตระกูลวงศ์
อย่าไปทำอย่างนั้นเชียวนะ ลูก เอ่อ มันด่าโคตรเหง้าตระกูลวงศ์ตัวเองเลยล่ะ
ถ้าหากว่า ครูบาอาจารย์ใส่จริยธรรม ใส่สำนึกมนุษย์ให้กับลูกหลาน โดยเฉพาะ พวกนัก

เรียน นักศึกษา เค้าจะโตขึ้นมาอย่างมีศักดิ์ศรี มีสำนึก แล้วเค้าก็จะรู้ว่า อะไรควร ถูกผิด
แต่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่ แสดงว่า ครูบาอาจารย์ไม่สั่งสอน พ่อแม่ไม่อบรม มันถึงได้โตมา

อย่างไร้สำนึก ขอให้กูได้เถอะ ใครจะชิบหาย ชั่ง
อ้ายอย่างนี้ ไม่ถูกล่ะ ลูก อย่างนี้ ประเทศชาติจะเหลืออะไร ไม่เหลืออะไร
ไม่รู้ว่า อีก 10 ปีข้างหน้านี่ มันจะเหลืออะไร ตอนนี้เนี่ย ถ้าเราเปิดเสรีให้ลาว เขมร พม่า

เข้ามาเนี่ย เดี๋ยวนี้ มีการลงทุนในประเทศนี่ ไม่ใช่ว่า เพิ่มขึ้นนะ คุณ มันลดลงนะ
ถามว่า เพราะอะไร
ก็ เขมร ค่าแรงผู้ชายมันเพิ่งจะ 60 ผู้หญิง 30, พม่า ลาว นี่ สูงสุด 120 ค่าแรง

ช่าง, พม่านี่ ก็เต็มที่ 80, 120, ไทยนี่ ก็ยังสูงโด่เด่อยู่เนี่ย 300, 300 กว่า

400 แล้วแต่เถอะ
งั้น ไม่มีนักลงทุนคนไหนหรอก อยากให้ต้นทุนตัวเองเพิ่ม ก็ต้องไปหาอ้ายประเทศที่ต้น

ทุนต่ำ
ถูกไม๊ ถ้าคุณจะเป็นคนลงทุน
แล้วมันจะไปเหลืออะไรล่ะ บ้านเรา
ก็เหลือแต่อาศัยว่า ตอนนี้เศรษฐกิจหลัก ก็คือ การเกษตร
การเกษตร ก็ตอนนี้ก็ใช้สนามบินเก็บข้าวแล้ว ถ้ามันขายได้ มันจะมาเก็บสนามบินทำไม จะ

เอามาเก็บไว้ในค่ายทหารทำไม มันก็เป็นเรื่องน่าคิดเหมือนกันนะ
นี่ ชั้นมาชวนคุณเครียดหรือเปล่าเนี่ย
ก็คุณอยากรั้งให้ชั้นอยู่อ่ะ ชั้นจะไปตั้งนานแล้ว ไม่ยอมให้ไป
อ่ะ พอ จบ