Print
Hits: 2409

24 มี ค 56   13.10 น. (1) ธรรมะสัปดาห์ที่ 4 แสดงธรรม โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ (กราบ) เจริญธรรม เจริญสุข เอ้า พิธีกร ยังไม่มาเหรอ ...หา ใกล้จะถึง หรือ อีกไกลกว่าจะถึง ร้อนไม๊ ที่จริง มันต้องเปิดเอาไว้สักชั่วโมงหนึ่ง มาเปิดเอาตอนหลวงปู่เข้าศาลา ไอร้อนมันก็จะอบอวล โลกเรา มันจะอยู่ยากขึ้นแล้ว ลูก พอดี เมื่อ 2 วัน หลวงปู่ไปเชียงใหม่ ไปดูพื้นที่ที่วัดเค้าขอสตางค์ไปถมที่ ขอตังค์มาซื้อดิน 300 คันรถ ให้ตังค์ไปแล้ว ก็เลยตามไปดูหน่อยว่า เค้าเอาตังค์เราไปถมดินหรือเปล่า เลยขึ้นไปบนภูเขา บนป่า มันน่าเศร้า ตอไม้ตอใหญ่ๆ เท่าเสาเนี่ย ตัดแล้วเผาทิ้ง ที่ไม่ใช่ไร่ สองไร่ บนภูเขา เป็นเนินสูงๆ ไม่ต่ำกว่า 20 กว่าเนิน ก็ร่วมๆ เป็นพันๆ ไร่ เผากันเป็นล่ำเป็นสัน เป็นเรื่องเป็นราว ก็ไม่เห็นมีใครไปว่าอะไร ทั้งๆ เป็นที่ป่าสงวน เอ๊อ แล้วก็มาบ่นว่า ควันตลบอบอวล แต่อ้ายตรงที่หลวงปู่ไปพัก ตอนที่ไปอยู่นั่น ตอนเย็นๆ นี่ 7 องศา อุณหภูมิยังหนาวอยู่ ตอนกลางวัน ก็ประมาณ 23, 25 องศา แต่ก็ หมอกก็มันเต็มไปหมด รับปากกับพวก อบต. พวกนั้นว่า จะเอาต้นไม้ไปลง จะขอที่ชาวบ้านเค้าแบบหัวหินน่ะ ที่ถ้ำไก่หล่นสมัยก่อน ก็หัวโล้นอย่างนี้ ชาวบ้านก็ไปรุก ตัดไม้ เผาถ่าน ปลูกสับปะรด ก็ขอคืนมาได้ซักประมาณ 800 กว่าไร่ แล้วก็ปลูกป่าให้กับแผ่นดิน เดี๋ยวนี้ รอบๆ ถ้ำไก่หล่นนี่ เขียวชะอุ่ม เข้าไปก็เย็น สมัยก่อนนี้ หัวโล้น ต้นไม้ก็หายาก คนก็มาไล่ยิงสัตว์ตัดไม้กันให้หลึ่มทั้งวัน นี่ว่า จะไปเตรียมตัว ใครมีกล้าไม้อะไร ก็เพาะๆ เอาไว้บ้าง เดี๋ยวเข้าพรรษา ฝนตก แล้วว่าจะเอาไปปลูกป่า ขอเค้าไว้ซัก ว่าปลูกได้เท่าไหร่ ก็เท่านั้น พยายามปลูกให้ได้มาก เตรียม ต้นนนทรี ต้นดอกเหลืองๆ ต้นอะไรวะ เอ่อ ต้นคูน หาพะยุง พะยอมมั่ง หาไม้มะค่า ไม้สัก ไม้เต็งรัง อะไรไปปลูกมั่ง งั้น เดี๋ยว ใกล้ๆ วันเข้าพรรษา มีรายการทอดผ้าป่า ต้นไม้กันหน่อย ลูก หาต้นไม้ไปลง ตั้งใจไว้ว่า งานชิ้นสุดท้ายของชีวิต จะไม่สร้างอะไร แต่จะปลูกป่าอย่างเดียว ไล่ปลูกป่าไปเรื่อย ตรงไหนมันมีให้ปลูก ไม่มีที่ให้ปลูก ก็ปลูกริมถนน ปลูกต้นไม้เยอะๆ ปลูกให้ คน นก หนู หมู หมา กา ไก่ ได้อยู่อาศัย ได้พึ่งพาบ้าง เราอยู่ใต้หลังคานี่ มันไม่มีออกซิเจน ไม่มีความเย็น แต่ไปอยู่ใต้ต้นไม้ เราจะรู้ว่า คายออกซิเจน เราจะรู้สึกเย็น เย็น แล้วก็ร่มรื่น แต่เราก็ชอบตัดต้นไม้ แปลก อ้ายพวกตัดต้นไม้ หลวงปู่ขึ้นไปดูน่ะ เวลาแดดร้อน มันก็เข้าไปซุกอยู่โคนต้นไม้นะ ทั้งๆ ที่มันก็ไล่ตัดต้นไม้ แต่แดดร้อน มันก็ไปซุกอยู่โคนต้นไม้ หลวงปู่ยังนึกในใจ ถ้ากูเป็นรุกขเทวดา กูจะเยี่ยวรดหัวมันเลย มึงมาอาศัยกูทำไม มึงมาไล่ตัดกูอยู่หยกๆ มาอาศัยอะไรต้นไม้ ถุยน้ำลายรดมันเลย แปลก มนุษย์นี่ ทำร้ายตัวเอง ไม่มีใครทำร้าย มนุษย์ชอบทำร้ายตัวเอง ยิ่งนับวัน ยิ่งร้อนมากขึ้นๆ ที่วัดนี่ก็ว่า ต้นไม้เยอะแล้วล่ะนะ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ต่ำกว่า 30 กว่าองศาขึ้นนะ เพราะว่า ในกรุงเทพฯ นี่ร่วมๆ 40 ทางอีสานนี่ 40 กว่า พายุฤดูร้อนก็เริ่มพัดกระหน่ำ แล้วยิ่งร้อนมากขึ้น พายุก็พัดแรงขึ้น อากาศอย่างนี้นี่ พวกเราช่วยได้  ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ก็คือ ปลูกต้นไม้เยอะๆ ตอนนี้ก็อยากปลูกต้นไม้ พอถึงหน้าฝน ชวนใคร ก็ไม่อยากปลูก เพราะว่า มันเย็นแล้ว อ้างว่า มันเย็นแล้ว แต่พอหน้าร้อนนี่ หน้าแล้งนี่ นึกถึงต้นไม้ขึ้นมาทันที อยากมีต้นไม้ อยากปลูกต้นไม้ อยากอยู่โคนต้นไม้ อยากได้ต้นไม้ พอหน้าฝน ก็ไล่ตัดต้นไม้ ไปเห็นทางเหนือ แล้วก็น่าตกใจ ที่มันมีหมอกหนาทึบทั้งวัน ก็เพราะว่า เค้าเผา เผาทิ้ง เสียดายมาก ต้นสักต้นใหญ่ๆ ใหญ่ๆ เท่าเสาเนี่ย มันก็เผาทิ้ง เผาทิ้งน่ะ เอาขวานไปถากรอบๆ ให้มันยืนแห้งตาย แล้วก็เอาไฟสุม เผา ถามว่า เอ้า ทำไมไม่เลื่อย, เลื่อย ก็โดนจับ, อ้าว แล้วเผาไม่โดนจับ, เผา เค้าไม่เห็น ตอนเผา เค้าไม่เห็น เหมือนกับเจ้าหน้าที่จะไม่ค่อยใส่ใจหรือเปล่า เพราะว่า มันมีงบดับไฟ ถ้าไฟไม่ไหม้นี่ เบิกงบฯ ไม่ได้ งั้น ก็ต้องปล่อยให้ไฟไหม้ เดี๋ยวจะได้เบิกงบฯ เอามาดับได้ ถามชาวบ้าน คนงาน หน้านี้ หายาก ทำไมล่ะ หน้าแล้ง มันน่าจะหาง่าย เค้าบอกว่า เข้าป่า พวกชาวบ้านก็เข้าป่า พวกแรงงานก็เข้าป่า เข้าไปทำอะไร อันดับต้น ก็คือ ไปเผาป่า, เผาป่า เพื่อหาสัตว์ป่า หาของป่า กับเผาป่า เพื่อรับจ้างเผา รับจ้างเผาป่านี่ ได้วันหนึ่ง 500 บาท มีคนรับจ้างเผาป่า มันเป็นอะไรที่เน่าสนิทน่ะ เมืองไทย พอรับจ้างเผาป่า ต่อมา ก็มีคนรับจ้างดับไฟป่า เงินค่าจ้าง ก็เป็นเงินงบประมาณ ตั้งเอาไว้เรียบร้อยแล้วไง งบประมาณมันได้ตั้งเอาไว้แล้วล่ะ ถ้าไม่มีการเผา มันก็ไม่มีการดับ เมื่อไม่มีการเผา ไม่มีการดับ มันก็ไม่มีการเบิก งบประมาณก็ไม่ถูกใช้ แล้วจังหวัดหนึ่งๆ นี่หลายสิบล้านนะ 50 ล้าน 20 ล้าน 30 ล้าน เงินไม่น้อย ปีๆ หนึ่ง มันก็เผาไม่หยุด กรุงเทพมหานคร นี่มันไม่มีงบฯ ดับไฟป่านี่ ใช่ไม๊ มันก็เลยไม่มีใครอยากเผา ลองกรุงเทพฯ ลองมีงบฯดับไฟป่าดูบ้าง อาจจะมีคนรับจ้างเผาป่า เผาบ้านเผาเมืองก็ได้ ฮึ ที่ผ่านมา เค้าเผากันไปแล้วนี้ คุณมนัส      เผาไปแล้วฮะ พวกเผาตึก หลวงปู่      อ๊อ นี่เค้าเผาตึก คุณมนัส      ป่าคอนกรีต หลวงปู่      มาช้าไปหน่อยนะ คุณมนัส     ครับ หลวงปู่        เอ้าๆ ดื่มน้ำก่อนก็ได้ คุณมนัส       ดื่มแล้วครับ รู้สึกผิดฮะ ปกติก็เผื่อเวลา แต่ว่า ไม่รู้ว่า เค้าทำทาง ผมมาทางนพวงศ์ เข้าบางเลน กำแพงแสน ปรากฏว่า เค้าซ่อมผิวจราจร เสียไป 1 เลน ก็เลยคลายมาประมาณ 40 กิโลเมตร ทำเวลาช่วงปลายๆ นี่แหละฮะ หลวงปู่    ทำไมนะ ธรรมกายเหรอ คุณมนัส     คลานมา หลวงปู่     อ๋อ คุณมนัส     ทำเวลา หลวงปู่      นึกว่า ธรรมกาย ออกอีกแล้ว คุณมนัส      พูดถึงหน้าร้อน ฮะหลวงปู่ มันร้อนจริงๆ ฮะ หลวงปู่      หน้าร้อนนี่ เออ ไม่ใช่หน้าหนาว ก่อนที่จะเข้าเรื่อง เมื่อคืนนี้ ฝัน ฝันว่า มีอาคันตุกะแปลกหน้ามาถามปัญหา เรื่อง การฝึกสติ เค้ามาถามว่า มีหลายสำนักในแผ่นดินนี้ ที่สอนว่า สติ ไม่จำเป็นต้องฝึก เพราะมันมีอยู่แล้ว เดิม มากับชีวิต ติดมากับจิตวิญญาณ แล้วก็กับตัวเอง เราก็เลยรู้สึกว่า อ้ายสำนักไหน ที่มันสอนอุบาท ชาติไม่ค่อยดี พวกนี้ ไม่ค่อยเข้าใจวิถีชีวิตของพุทธศาสนา ไม่เข้าใจวิถีธรรม วิถีพุทธ ก็เลยบอกว่า ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าคงไม่สอน เรื่อง หลักสูตร มหาสติปัฏฐาน 4 คงไม่สอนให้ชาวกาลามชน ฝึกสติปัฏฐาน 4 ตอลดเวลา ในมหาสติปัฏฐาน 4  ก็บอกไว้ชัดว่า มีกาย มีจิต มีเวทนา แล้วก็ มีธรรม เรียกว่า กาย เวทนา จิต และธรรม คือมีสติในกาย มีสติอยู่ในเวทนา มีสติอยู่ในจิต แล้วก็ มีสติอยู่ในธรรม ขนาดมีสติอยู่ในกาย นี่ยังแยกออกเป็น 6 ชนิด 6 อย่าง เรียกว่า 6 บรรพ เริ่มต้นจาก อานาปานสติบรรพ มีสติในลมหายใจ อิริยบถบรรพ ก็คือ มีสติในอิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง หรือ นอน อย่างนี้เป็นต้น ให้มีสติอยู่ตลอดเวลา สัมปชัญญบรรพ ก็มีสติในการ ยืดแขน หดแขน จับของ หยิบของ ยกของ อย่างนี้ คือ มีสติทุกขณะ แม้กระทั่ง กินข้าว เคี้ยวข้าว ตักข้าวใส่ปาก อย่างนี้ เค้าเรียกว่า สัมปชัญญะบรรพ แล้วก็ จตุธาตุววัฏฐาน 4 ก็คือ มีสติพิจารณาความเป็นไปภายในกาย ภายใน แล้วก็ ภายนอกว่า ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม แล้วก็ ธาตุไฟ แล้วก็ นวสีวถิกาบรรพ มีสติพิจารณาป่าช้า 9 อย่าง พิจารณาความตาย ตายวันแรก ตาย 2 วัน ตาย 9 วัน ตาย 20 วัน ตาย 3 เดือน สุดท้าย เหลืออะไร อย่างนี้เป็นต้น ให้มีสติพิจารณา เพราะงั้น จะเห็นว่า สติ นี่ต้องฝึก ต้องฝึก ต้องศึกษา ต้องสั่งสม ต้องอบรม ต้องเรียนรู้ ถ้าไม่ฝึก ไม่ศึกษา ไม่สั่งสม ไม่อบรม ไม่เรียนรู้ มันจะเป็นสัมมาสติไม่ได้  มันจะเป็นสติที่ได้รับการอุปถัมภ์บำรุง เรียกว่า มีสติ คนที่มีสติ เค้าเรียกว่า ผู้มีผู้อุปถัมภ์ เหมือนกับพระสารีบุตร ท่านกล่าวไว้ว่า สติ สัมปชัญญะ เหมือนดั่งบิดาและมารดา ผู้อุปถัมภ์บุตร เลี้ยงดูบุตร ส่งเสริม สนับสนุน ป้องกันภัยแก่บุตร อย่างนี้เป็นต้น งั้น สติ สัมปชัญญะ ถ้าไม่ฝึก ไม่ศึกษา ไม่สั่งสม แม้เราจะบอกว่า เราเกิดมา ก็มีสติแล้วเนี่ย เรายังไม่รู้ว่า มันเป็น สัมมาสติ หรือว่า มิจฉาสติ แล้วถ้าบอกว่า มีสติที่กล้าแข็งพอแล้ว เราก็ต้องยอมรับว่า ท่านผู้นั้น น่าจะเป็นอรหันต์มาเกิด หรือว่า มีวิสัยพระอรหันต์มาเกิด ในลักษณะจิต 3 อย่าง ก็คือ  กุศลจิต อกุศลจิต อัพยากฤตจิต มันมีจิตที่เป็นมหาสติ เรียกว่า โสภณ(โสภะณะ)จิต แค่ 8 ดวงเอง อ้าย 120 ดวง 118 ดวง มีแค่ 8 ดวง เท่านั้น ที่เป็นมหาสติ ที่เหลือนอกนั้น มันเป็นกุศล เป็นอกุศล และอัพยากฤต ก็คือ เฉยๆ งั้น เราท่านทั้งหลาย เวลาไปศึกษา ไปสั่งสม ไปอบรม เรียนรู้ กับสำนักใดๆ ถ้าเค้าสอนอะไร ต้องเอามาเทียบเคียงกับหลักธรรม หลักวินัย อย่าฟังโดยเชื่อง่าย อย่าเข้าใจแบบเอาเอง เค้าเรียกว่า อัตโนมัติ คือ เชื่อเอาเอง คาดเดาเอาเอง ต้องมาเทียบเคียงว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร ถ้าสติมันมีอยู่แล้ว ไม่ต้องฝึก แล้วพระพุทธเจ้าจะสอนมหาสติปัฏฐานสูตรทำไม จะสอนไว้ทำอะไร เรื่อง สติในกาย ขยับมาเป็นสติในเวทนา ก็ยิ่งแล้วใหญ่ สุขก็มีสติ ทุกข์ก็ต้องมีสติ จะเศร้าโศกเสียใจ จะอาลัยอาวรณ์ จะโศกาอาดูร ทุกอย่างต้องใช้สติ แล้วสติเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว อ้ายความเศร้าโศก ร่ำไรรำพัน เศร้าโศกเสียใจ โศกาอาดูร อาลัยอาวรณ์ มันก็จะบรรเทาเบาบางลง สติ จะเป็นเครื่องระงับ ความเศร้าโศก ทุกข์ระทม แล ะเสียใจ อาลัยอาวรณ์ ในขณะเดียวกัน จิตนี้ก็ต้องประกอบด้วย เพราะว่า ถ้าจิตนี้ไม่ประกอบไปด้วยสติ เพราะเค้าจะมีอาการของจิตอยู่ 4 อย่าง คือ รับอารมณ์ จำอารมณ์ รู้อารมณ์ และ คิดอารมณ์ ถ้ารับเข้ามา อย่างไม่มีสติ เราก็จะรับเอาแต่ของเน่าๆ เข้ามา แต่ถ้ามีสติ คัดกรอง กลั่นกรอง เราก็จะเลือกว่า อะไรดี อะไรเน่า เอาแต่ของดี ของเน่าไม่เอา อย่างนี้เป็นต้น เพราะมีสติพิจารณาอยู่ในจิต จิตนี้ มีสติพิจารณาอยู่เนืองๆ ตาเห็นรูป พิจารณาว่า สิ่งที่เห็นนั้น เป็นของจริง หรือ ของเท็จ, ของโกหก หรือ ของแท้ แล้วก็ ของอัปมงคล หรือ ของมงคล อย่างนี้เป็นต้น อัปมงคล ในที่นี้ มันหมายถึง อัปมงคลในชีวิต มันทำให้ชีวิตคลาดเคลื่อน และปราศจากความจริงของชีวิต ถ้าอย่างนี้ ก็ถือว่า เป็นอัปมงคล งั้น สติ จึงจำเป็นสำหรับ เรื่อง จิต จิตนี้ ต้องประกอบไปด้วยสติ ถ้าเมื่อใดที่จิตนี้ ไม่มีสติกำกับดูแล เราก็จะรับอารมณ์ จำอารมณ์ คิดในอารมณ์ แล้วก็ รู้ในสิ่งที่ผิดๆ, รับ จำ คิด รู้, รับ จำ คิด รู้ ในสิ่งที่ผิดๆ อยู่อย่างนี้ มาตลอดเวลา จนกระทั่ง ทำให้เราต้องทุกข์ระทม ต้องเศร้าโศก เสียใจ งั้น สติ จึงเป็นความจำเป็น พระสารีบุตร พระอริยเจ้า ท่านจึงกล่าวว่า ทำเครื่องอุปการะ เป็นอุปการะคุณ แล้วมีอุปการะมากต่อชีวิตของสรรพสัตว์ และ จิตวิญญาณ ก็คือ สติสัมปชัญญะ สติ จำเป็นต้องฝึก ฝึก ฝึกให้แกร่ง ให้กล้า ให้เก่ง ให้องอาจ ให้สง่างาม ในมหาสติปัฏฐาน 4 ไม่มีวิถี ว่า จะทำยังไงให้บรรลุมรรคผล ด้วยเหตุผลว่าอะไร ก็เพราะว่า เมื่อใดที่เรามีสติไปเรื่อยๆๆ ทางตาเห็นรูป ทางหูฟังเสียง ทางจมูกดมกลิ่น ทางลิ้นรับรส ทางกายสัมผัส และใจรู้อารมณ์ เพราะมีสติไปเรื่อยๆ มันจะห้าม มันจะห้ามภพชาติไปเอง มันจะห้ามความทุกข์ระทมไปเอง มันจะห้ามความเศร้าโศกเสียใจไปเอง มันจะห้ามความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจออกไปเอง เพราะมันเลือกได้ไง มันคัดกรองได้ มันจัดสรรได้ เค้าเรียกว่า ธรรมะจัดสรรอย่างเหมาะสม เมื่อมีสติไปเรื่อยๆๆ จนเป็นมหาสติอย่างยิ่ง แล้วเนี่ย ไม่ต้องกลัวว่า จะต้องตกนรกหมกไหม้ แล้วไม่ต้องกลัวว่า นิพพานอยู่ไกล ในหลักมหาสติปัฏฐาน 4 สอนเอาไว้ชัดว่า ไม่มีวิธีคิดอื่น ไม่มีวิถีปฏิบัติอื่น ที่จะทำให้บรรลุมรรคผลเท่ากับ มหาสติปัฏฐาน 4 แล้วท่านถึงขนาดพยากรณ์ไว้ว่า อย่างดีที่สุด ฝึกมหาสติปัฏฐาน 4 ก็ 7 วัน, อ้าว ไม่ได้ 7 วัน ก็ 7 สัปดาห์, ไม่ได้ 7 สัปดาห์ ก็ 7 เดือน, ไม่ได้ 7 เดือน ก็ 7 ปี , ไม่ได้ 7 ปี ก็ 7 ชาติ, ไม่ได้ 7 ชาติก็ ปู๊น อะไรไปเรื่อยแหละ แต่ฝึกไปเรื่อยๆ สั่งสมไปเรื่อยๆ ศึกษาอบรมไปเรื่อยๆ เพราะงั้น สำนักไหนสอนว่า ไม่จำเป็นต้องฝึกสติ แค่มานั่งนิ่งๆ เฉยๆ ภาวนาไปเรื่อยๆ บางทีนิ่งๆ เฉยๆ ภาวนาไปเรื่อยๆ เนี่ย ถ้าทำโดยไม่มีสติ มันก็แยกไม่ได้ว่า อะไรถูก อะไรผิด, อะไรใช่ ไม่ใช่, ได้หรือเสีย แล้ว สติ หน้าตามันเป็นยังไง มัน คือ ตัวอะไร รู้ไม๊ สติ มันตัวอะไร สติ คือ ความรู้สึกตัวไง ตอนนี้ หลายคนกำลังหมดสติล่ะ หมดสติ อ้ายอย่างนี้ เค้าเรียก หมดสติล่ะ งั้น ถ้าเมื่อใดที่เรา ตื่นตา ตื่นตัว ตื่นใจ ตื่นประสาทสัมผัสเฉพาะหน้า ตื่นตา ตื่นตัว ตื่นใจ ตื่นประสาทสัมผัส รับรู้เฉพาะหน้า นั่นเค้าเรียกว่า การทำงานของสติ แม้ที่สุด ตื่นตา ตื่นตัว ตื่นใจ ตื่นประสาทสัมผัส รู้ภายในกายตัวเอง นั่นคือ การทำงานของสติ แต่ถ้าเมื่อใดที่เราอยู่เรื่องเฉพาะหน้า แล้วเรา มึน ตึง ไม่รู้เรื่องอะไร อย่างนี้ เค้าเรียกว่า มีสติไม๊ ขาดสติ นั่งหัวห้อย หัวหัก อะไรอย่างนี้ อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ขาดสติ เออ มึงห้อย เดี๋ยวกูก็ห้อยบ้าง ผลัดกันห้อย ต่างคนต่างห้อย อะไรอย่างนี้ เออ ต่างคนต่างขาดสติ เหมือนๆ กับที่เค้า มีเรื่องเล่าว่า อาจารย์สอนกรรมฐาน อาจารย์ พอให้กรรมฐานจบปุ๊บ ก็นั่งเข้าฌาน นั่งเข้าท่าไหนก็ หัวทิ่มไปอย่างนี้ ลูกศิษย์ชำเลืองเห็นอาจารย์ เอ่อ นั่น เข้าฌาน หรือ หลับวะ ถ้าจะหลับ มีเสียงกรนด้วย เอ้า กูเอามั่ง, ลูกศิษย์ไป, อาจารย์ไปก่อนนี่ หลับก่อนก็เลยตื่นก่อน, พอตื่นก่อน เฮ้ย ทำไมมึงนั่งหลับ, ฮึ ผมไม่ได้หลับ, อ้าว ทำไมไม่หลับ, ก็ผมไปเฝ้าพระโพธิสัตว์ ผมเห็นอาจารย์ไป ผมก็เลยไปบ้าง, ฮึ ประมาณนี้ พระโพธิสัตว์ มันดันคนละองค์ ก็เลยไม่ค่อยเจอหน้ากัน เพราะฉะนั้น อยากบอกว่า สติ นี่มันเป็นเรื่องอะไร ที่มันจำเป็นต้องฝึก ลูก ใครบอกว่า สติ ไม่จำเป็นต้องฝึก มีอยู่แล้ว ถ้ามีอยู่แล้ว ก็เป็นอรหันต์แล้ว มนุษย์ก็ไม่ต้องศึกษา สั่งสม อบรม อะไรแล้ว เมื่อมันมีอยู่แล้ว ก็ดีอยู่แล้ว มันจะต่างอะไรกับเด็กอยู่ในท้องแม่ หรือ  คนพิการ ง่อยเปลี้ย เสียขา ไม่ต้องทำอะไร ก็นั่งเฉยๆ นิ่งๆ ก็เป็นอรหันต์ได้เหมือนกัน งั้น อย่าเข้าใจอะไรผิด พักนี้ จะมีสำนักแปลกๆ ขึ้นมาสอนอะไรอย่างนี้ บ่อยๆ มาก สอนอะไรก็สอนเฮอะ แต่ อย่าทำลาย หลักการของพระพุทธศาสนา อย่าทำลาย รากฐานของพระสัจจธรรม อย่าทำลาย แก่นแท้ของวิมุติธรรม เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น มันกลายเป็น อนันตริยกรรม ก็คือ ทำให้พระศาสนามัวหมอง เรียกว่า บิดเบือนพระพุทธศาสนา เป็นกรรมอันหนัก ตกนรกหมกไหม้ ไม่รู้จักผุดจักเกิด เพราะทำให้คนเข้าใจผิด คิดดิด หลงผิด เลยสุดท้ายตัวเอง คนเค้าเข้าใจผิด 1 ครั้ง ก็ถือว่า เป็ยชาติภพนะ แล้วมันนั่งอยู่นี่ เข้าใจผิดกี่คนล่ะ ก็กี่ชาติกี่ภพ ก็ต้องใช้หนี้เก่า ถ้าทำ 1 ครั้ง, รู้ 1 ครั้ง, คิด 1 ครั้ง, ฟัง 1 ครั้ง, เข้าใจ 1 ครั้ง, เข้าใจผิด 1 ครั้ง ก็ 1 ชาติภพ ถ้าทำ 2 ครั้ง 3 ครั้ง, 5 ครั้ง รู้, 7 ครั้ง, 9 ครั้ง, 10 ครั้ง ก็เป็น 9 - 10 ชาติภพไป นับไป ตามเหตุตามปัจจัย เค้าเรียกว่า ต่างกรรมต่างวาระ งั้น เรื่องเป็นบาปหนัก งั้น ฝากท่านที่รักทั้งหลายว่า จะไปเรียน ศึกษา สั่งสม อบรม อะไร ก็ไปเฮอะ ถ้าเค้าทำให้เรามีสติปัญญา แต่ถ้าเมื่อใดที่ปฏิเสธการฝึกให้เกิดสติปัญญาแล้ว นั่นไม่ใช่วิถีพุทธแน่ จบ

24 มี ค 56   13.50 น.  (2) ช่วงปุจฉา วิสัชนา รายการ วิถีธรรม วิถีไทย แสดงธรรม โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ คุณมนัส     เข้ารายการนะครับ หลวงปู่     จบแล้ว คุณมนัส      ครับ ก็สวัสดี ท่านญาติธรรม ทุกท่านนะครับ ต้อนรับเข้าสู่การบันทึกเทป รายการวิถีธรรม วิถีไทย ซึ่อออกอากาศทาง ททบ. 5 ทุกวันศุกร์ เวลา 5.00-5.30 นาฬิกา อย่างที่ท่านหลวงปู่มีคำถามๆ ไปกับทีมงานว่า เอ๊ ทำไมเวลา 30 นาที เวลาออกอากาศจริงๆ มันเหลือแค่ 25 นาที เดี๋ยวสัปดาห์หน้าจะมีคำตอบให้ เพราะตอนนี้ ที่ช่องเอง ก็มีการเปลี่ยนหัวหน้า เพราะฉะนั้น คนที่จะตอบคำถาม ผมเช็คให้แล้วนะครับ เค้ายังไม่มีคำตอบให้ เพราะมันหายไป 5 นาทีที่ท่านหลวงปู่ตั้งข้อสังเกตุไว้ เดี๋ยวตามเรื่องนี้ให้ จะแจ้งไปทางทีมงาน หลวงปู่       เอ้อ หายไป 5 นาที แล้วทำไมเงินไม่หายล่ะ คุณมนัส     เดี๋ยวผมตามเรื่องนี้ให้ครับ ทราบเรื่องตั้งแต่วันพฤหัสแล้วครับ หลวงปู่      มันเป็นเดือนแล้วนะ มันหายไปเป็นเดือนแล้ว เวลาเราจ่ายเงิน จ่ายครบ แต่เวลาขายเวลา ขายให้เราไม่ครบ คุณมนัส       ครับ หลวงปู่      งั้น ต้องคิดย้อนหลังสิ เออ ไม่งั้น ฟ้องสำนักงานผู้ควบคุมบริโภคนะ คุณมนัส      เพิ่งเปลี่ยนนายฮะ หลวงปู่      หา คุณมนัส     ช่วงเปลี่ยนนาย จะเป็นอย่างนี้ครับ มันจะมีอะไรประหลาดๆ ออกมา เดี๋ยวผมตามเรื่องนี้ให้ สัปดาห์หน้าเดี๋ยวผมแจ้งมาที่ หลวงปู่          งั้น เดี๋ยวชั้นเปลี่ยนสมภารบ้าง จ่ายตังค์ครึ่งหนึ่ง อะไรอย่างนี้ นี่ เมื่อเช้า จะเปลี่ยนสมภารอยู่ละ รู้ไม๊ ทำไง คุณมนัส      เปลี่ยนทำอะไรฮะ หลวงปู่        เอ้า เตรียมฟางไปใส่ไว้ในกุฏิสมภารละ ทำสมภารอบฟาง คุณมนัส     ไม่ใช่ไก่อบโอ่งนะครับ หลวงปู่       เออ ทำสมภารอบฟาง ไม่เชื่อ ไปดู หน้ากุฏิน่ะ เต็มไปหมดเลย ฟาง กองเบ่อเร้อเลย เตรียมหาไฟแช็คละ ไม่รู้หน้าที่ คุณมนัส        หลวงปู่ เดือนเมษายน มีงานสงกรานต์ที่วัด จัดทุกปี หลวงปู่        เอ้อ ใช่ วันที่ 15 เมษาฯ คุณมนัส     งานมีตั้งแต่วันที่ 14 หลวงปู่         14 เค้ามี คุณมนัส      ลงทะเบียนก่อพระเจดีย์ทราย หลวงปู่       ใช่ ก่อพระเจดีย์ทราย คุณมนัส      คุณสมบัติอะไร ยังไงครับ ใครจะเข้าประกวดได้บ้าง หลวงปู่      ก็ไม่พิการ มือไม่กุด คุณมนัส       แล้วไปเอาทรายมาจากไหนล่ะครับ หลวงปู่           เค้าเตรียมทรายไว้ให้ คุณมนัส      อ๋อ หลวงปู่     เมื่อสมัยก่อนนี้ ประเพณีก่อพระเจดีย์ทราย ส่วนใหญ่เค้าจะทำกัน วัดริมแม่น้ำ  เนี่ย ช่วงฤดูแล้ง เค้าก็จะไปโกยทราย ถือโอกาส ลอกคูคลองไปด้วย เอาทรายเข้าวัด ถมที่วัดให้แผ่นดินมันสูงขึ้น คนโบราณเค้าถือว่า เข้าวัด แล้วก็ไปเหยียบดิน เหยียบทรายติดเท้าติดมือกลับเข้าบ้าน เป็นเสนียด เป็นอัปมงคล ก็ถือว่า ใช้หนี้วัด ใช้หนี้ธรณีสงฆ์ ใช้หนี้พระศาสนา ก็ไปขนหิน ขนดินขนทรายเข้าวัด ถึงเวลาเค้าเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ฤดูแล้งแล้ว ท้องนาน้ำแห้งแล้ว ในคลองก็น้ำหาย น้ำเหือด แล้วก็ไปลอกเอาคูคลอง แล้วเอามาถมที่วัด ก็เลยเป็นที่มา มาทำกิจกรรมก่อเจดีย์พระทราย วัดที่ไม่ใช่อยู่ริมแม่น้ำ ก็คิดกันว่า เป็นประเพณีที่เป็นประโยชน์ต่อพุทธศาสนา อาจจะใช้ทรายมาทำการก่อสร้างถาวรวัตถุในพุทธศาสนา ก็หาอุเท่ห์ หรือ หาอุบาย ทำให้เกิดการก่อเจดีย์พระทราย ก่อแล้วก็มีการประกวดประชันขันแข่ง มีประเพณีนิยมของพื้นถิ่นชาวบ้านแต่ละภูมิภาค แต่ละท้องถิ่น เดี๋ยวนี้ มันจะเลือนๆ หายไปหมดแล้ว ก่อเจดีย์พระทราย เดี๋ยวนี้ เค้าไปทำกันที่ไหนล่ะ ชลบุรีเหรอ คุณมนัส       ครับ ตามชายหาด หลวงปู่         ตามชายหาด ซึ่งไม่มีวัด ก็ถือว่า ทำเป็นเรื่อง กิจกรรมท่องเที่ยวไป คุณมนัส       แล้วที่วัดอ้อน้อย จัดตรงไหนครับ หลวงปู่        หน้าโรงเจพอคุณธรรมฟ้า เค้าจะได้เอาทรายมาถม ทำถนน คุณมนัส      เห็นบอกว่า จะมีการประกาศรางวัลตอนเย็นเลย ใช่ไม๊ครับ หลวงปู่          ใช่ เค้าก็มีการประกวดชิงรางวัลกันทุกปี หลวงปู่ก็ไม่ค่อยได้ไปร่วมกับเค้าหรอก นานๆ ทีจะได้เดินไปดูเค้าสักที ปีที่ผ่านมา ก็ไม่ได้ไปดู เพราะว่า รู้สึกจะป่วย นี่ อากาศมันอย่างนี้ เลือดมันจะหนืด คุณมนัส      ครับ แต่ฝนตกวัดอ้อน้อย หลวงปู่      อ๋อ ชั้นให้มันมีน้ำระบายความร้อน ชั้นยังนึกอยู่ว่า เดี๋ยวติดโซล่าเซลล์ทั้งวัด เสร็จแล้ว ชั้นจะทำสเปรย์ทั้งวัดเลย มันไม่เสียค่าไฟ น้ำเรามีเยอะ ดูดขึ้นไปพ่นในอากาศ ทำให้เป็นหมอก มันจะได้เย็น คุณมนัส       แล้วของบฯ ดับไฟป่า หลวงปู่       ไม่ต้องหรอก ไม่ชอบ เดี๋ยวจะหาว่า เราเบียดบังเค้า ใครกินก็กินไปเฮอะ พวกนี้เกิดมาตายแล้ว ก็ไม่ได้เป็นมนุษย์หรอก ลูก คุณมนัส      มีงานวันที่ 14 นะครับ ส่วนงานวันที่ 15 เมษายน ก็จะมีใส่บาตรทองเหลือง ทองแดง หลวงปู่     เอ่อ ใส่บาตรทองเหลือง ทองแดง คุณมนัส     ร่วมสร้างพระนาคปรกต่อเนื่องกันไป ตอนนี้ นมัสการ ถามความคืบหน้า ถึงไหนแล้วครับ หลวงปู่      ก็องค์พระก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือแต่ประกอบเข้าที่ แล้วก็ยกพระเกศขึ้น ซึ่งยกพระเกศก็ต้องไว้หลังสุด ต้องหาช่างที่จะมาปั้นพญานาค หล่อ หาช่างยากมาก ใครช่วยประกาศทีว่า ใครมีช่าง เอาช่างที่จบใหม่ก็ได้ เดี๋ยวมาฝึกให้ นักศึกษาที่จบคณะปฏิมากรรม รับสมัคร 10 คน เดือนละ 20,000 บาท รายได้ดีนะ กินอยู่เสร็จ เอ่อ รับเงินเดือนอย่างเดียว ให้มีหน้าที่ปั้นพญานาค แล้วไปหลอม ไปหล่อ มีช่างหล่อต่างหาก คุณมสัส      เดี๋ยวให้ทีมงานขึ้น เป็นตัวซ้อนไว้แล้วกันนะฮะ รับสมัคร หลวงปู่       รับสมัครมาหลายรอบละ ไม่ได้ออกประกาศซักที ก็จะเร่งทำให้จบๆ ไป ปั้นรูปพญานาค แล้ววันที่ 27 เมษาฯ ปกติจะไปเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯในสัปดาห์ที่ 3 คือ เสาร์ที่ 3 เดือนเมษาฯนี้จะเลื่อนเป็น วันที่ 27 เพราะว่า ช่วงเด็กจะไป พระใหม่เณรใหม่ เค้าจะต้องไปถือธุดงค์ ที่ทองผาภูมิ ก็เลยต้องใช้เวลา อยู่ในที่ธุดงคสถาน นานพอสมควร จะออกมาอีกที ก็ประมาณ 25-26 ก็ 27 จะได้เดินทางไปเจริญพระพุทธมนต์ที่โรงพยาบาลศิริราช คุณมนัส      ......  ท่านใดที่ไม่ติดงานสงกรานต์ที่ไหน ก็เรียนเชิญที่วัดอ้อน้อยนะครับ หลวงปู่         ปีนี้ เค้าจัดที่หน้าองค์พระใหญ่ สรงน้ำพระ พระเค้าจัดหน้าองค์พระใหญ่ กว่าจะสรงเสร็จก็ปาเข้าไป 4-5 โมงเย็นแล้ว แถวยาว คุณมนัส       ปีนี้ สงกรานต์หยุดยาวนะครับ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 12 เมษายน ไปจนถึงวันอังคารที่ 16 เมษายน รัฐบาลประกาศแล้ว หลวงปู่       5 วันเหร๊อ คุณมนัส        5 วัน ครับ หลวงปู่         ก็เห็น 5 วัน ทุกปี, ทุกปีก็ 5 วัน ทุกปี, ปีนี้ วันครอบครัว วันที่ 13 ใช่ไม๊, ปีนี้ วันเถลิงศก ก็น่าจะตรงกับวันที่ 14 ถ้าจำไม่ผิดนะ คุณมนัส        15 ก็เป็นวันผู้สูงอายุ ก็เรียนเชิญที่วัดอ้อน้อยนะครับ.....หลวงปู่มีปุจฉาเข้ามา... ปุจฉา         พุทธภูมิ และ สาวกภูมิ คือ อะไร วิสัชนา      พุทธภูมิ ก็คือ วงศ์ หรือ ภูมิ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ที่จะไปตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คล้ายๆ กับพระบรมโอรสาธิราชฯ ถ้าเทียบ ต่างจากคณะรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี คุณมนัส      เหมือน ครม. หลวงปู่        เอ้อ เหมือนกับ ครม. กับ ผู้สืบสันติวงศ์ ราชสกุล พุทธภูมิ ก็เปรียบเหมือนกับสืบสันติวงศ์ เป็นราชสกุล, สาวกภูมิ ก็เปรียบเหมือนพวก ครม. พวกนายกฯ ไม่สามารถจะพัฒนาเข้าไปสู่ผู้สืบสันติวงศ์ได้ ข้อแตกต่าง จบ คุณมนัส       ก็ทำหน้าที่ต่างกันเลย หลวงปู่       เอ่อ พุทธภูมิ ก็เป็นพระศาสดา สาวกภูมิ ก็มาเป็น สาวกรับฟังคำสอน มาปฏิบัติตามคำสอน ปุจฉา        คำสอนของท่านหลวงปู่ที่บอกว่า คนโง่ถูกกิเลสใช้ แต่คนฉลาดใช้กิเลส คำว่า ใช้กิเลส มันหมายความว่า อย่างไร วิสัชนา        อืม สงสัยต้องแกล้งโง่ ใช้กิเลสก็ไม่เห็นยากอะไร ตังค์อยู่ในกระเป๋าหรือเปล่าล่ะ มีตังค์ไม๊ล่ะ ตังค์เป็นกิเลสไม๊ (เป็น)  เอ้อ ถ้ารู้จักใช้ตังค์ให้ถูก มันก็จะรู้ว่า จะเอาตังค์ไปใช้ประโยชน์อะไร มันมีเด็กวัด มีตังค์ เค้าจะไปผ่อนรถมอเตอร์ไซด์ แทนที่บ้านก็ต้องไปเช่าเค้าอยู่ ระหว่างไปผ่อนบ้านกับไปผ่อนรถมอเตอร์ไซด์ อันไหนเป็นประโยชน์กว่ากัน หา (ผ่อนบ้าน) ก็คนโง่ มันผ่อนรถมอเตอร์ไซด์ อ้าว เห็นไม๊ คนฉลาด ผ่อนอะไร ผ่อนบ้าน ทั้งๆ ที่บ้านยังจ่ายค่าเช่าบ้าน เช่าเค้าอยู่เป็นเดือนๆ ผ่อนรถมอเตอร์ไซด์ ก็เดือนละ 3,000 วันละ 100, ผ่อนบ้าน ก็เดือนละ 3,000 ก็ตกวันละ 100 งั้น คนโง่ ก็จะผ่อนรถมอเตอร์ไซด์ อ้ายคนฉลาด ก็ผ่อนบ้าน งั้น ความฉลาด มันทำให้คนรู้จักบริหารจัดการทรัพยากรให้มันเหมาะสม และคุ้มค่า ประหยัดสูง ประโยชน์สุด อ้ายคนโง่เขลาน่ะ ก็บอกว่า อยู่บนหอคอย ก็อาจจะหล่นมาอยู่กระต๊อบก็ได้ อ้ายคนฉลาด อยู่ในกระต๊อบ ก็พัฒนา ให้เป็นหอคอยงาช้างก็ได้ งั้น อ้าย เรื่องความฉลาด นี่ มันเป็นอะไรที่เป็นอริยทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ ฝึกไปบ่อยๆ ก็จะรู้จักวิเคราะห์ รู้จักคิด สมัยก่อน หลวงปู่เด็กๆ รับจ้างทำงานวันหนึ่งเพิ่งจะ 7 บาท วันหนึ่ง 7 บาทนะ สมัยก่อนนั้น ที่แถว ลาดกระบัง มีนบุรี มันตารางวาละ 200 บาท ทองบาทหนึ่ง 400 กว่าบาท หลวงปู่ทำงานทั้งเดือน กูเอาตังค์ไปผ่อนที่ ได้ 200 ตารางวา ตอนนั้นอายุเท่าไหร่ อายุเพิ่งจะ 10 กว่าขวบ ก็มีตังค์แล้วไม่ใช้ไง เพราะใช้ไม่เป็น ก็ทั้งเนื้อทั้งตัว ก็ไม่เคยตัดเสื้อผ้าใส่ ชาวบ้านเค้าให้ แล้วก็ไม่รู้จะเอาตังค์ไปใช้อะไร เราก็มานึกว่า เอ้อ ถ้าอย่างนั้น ก็ซื้อที่เอาไว้ สำหรับทำประโยชน์ อย่างน้อยก็ได้ให้ญาติ ให้ตัวเองอยู่อาศัย ไม่ต้องไปอัดอยู่ในที่คับแคบ อย่างนี้เป็นต้น ตอนนั้นก็ไม่ได้เช่าบ้านอยู่นะ เพราะชีวิตไม่เคยเช่าบ้านอยู่ ถ้ารู้จักใช้ของเนี่ย ทุกอย่างมีประโยชน์หมดน่ะ ลูก ถ้าไม่รู้จักใช้ของ อะไรมันก็ ไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ แล้วทั้งหมดที่เป็นประโยชน์กับไร้สาระ นี่มันมาจากปัญญา มาจากสติปัญญา ถ้ามีปัญญา อะไรๆ มันก็ได้ประโยชน์ แต่ถ้าไม่มีปัญญาน่ะ ทองก็กลายเป็นขี้ ไม่มีคุณค่า จบ คุณมนัส        ที่เค้าเคยพูดกันเอาไว้ ผมอ่านหนังสือเจอว่า กิเลส ตัณหา อุปาทาน กิน กาม เ กียรติ อะไรพวกนี้ มันยั่วยวน เป็นมารผจญ เพราะงั้น ถ้างดได้ ก็งดซะ เป็นพุทธบูชา ก็น่าจะดีกว่า ใช้กิเลสแล้วมันงดไม่ได้ ก็เลี่ยง หรือไม่ก็ บริหารจัดการอย่างที่หลวงปู่บอก ก็ดี หลวงปู่        ก็ โดยธรรมชาติของมนุษย์น่ะ ลูก ถ้าถามว่า งดกิเลส ก็ต้องแก้ผ้าเดินละ อ้ายที่ใส่อยู่นี่ สวยไม๊ (สวย) สวยเป็นกิเลสไม๊ (เป็น) เอ้อ ตัวนี้ ผ้าเนื้อนิ่ม เป็นกิเลสไม๊ (เป็น) แหม ตัวนี้สีสวยดี  เป็นกิเลสไม๊ (เป็น) อ้ายนี่ สะอาดนะ อันนี้ ขาวนะ เป็นกิเลสไม๊ เป็น เป็นทั้งนั้นแหละ ถ้าอยากจะทำลายกิเลส ก็ให้ระเบิดโลกทิ้งไป เอ้อ เพราะงั้น ทุกเรื่องของเรา มันเป็นกิเลสทั้งนั้นแหละ อ้ายที่นั่งร้อน ปัดอยู่เนี่ย เป็นไม๊ เอ้อ มันร้อนน่ะ ตัวตนจริงๆ แล้ว ไม่มีกิเลส คืออะไร ไม่มีกิเลส ก็คือ ไม่มีตัวกู เมื่อไม่มีตัวกู ก็ไม่มีตัวร้อน แล้วเอาตัวร้อน เอามาจากไหน ที่มันร้อนอยู่ ก็เพราะ ตัวกู มีไง กูก็เลยนั่งร้อน ถูกไม๊ กิเลสไม๊ กิเลสทั้งนั้นล่ะ งั้น จะมองว่า มันเป็นกิเลส ก็เป็นกิเลสทั้งหมด แล้วเราต้องอยู่กับกิเลส ทำไมไม่บริหารจัดการกิเลส ทำไมปล่อยให้กิเลสมันบริหารจัดการเรา ที่จริง อ้ายบทโศลกบทนี้ หลวงปู่เขียนตั้งแต่สมัยอยู่กับหลวงปู่โต๊ะ อยู่ใกล้ๆ กันน่ะ ท่านอยู่ถ้ำสิงโตทอง หลวงปู่อยู่ถ้ำรังเสือ ราชบุรี เย็นๆ ก็เดินมา คุยกัน เพราะมันห่างกัน แค่นี้ก็ประมาณสี่แยกกระทิงแดง เดินมาคุยกัน คนละเขา คนละลูกเขา แล้วก็มีอ้ายไร่มัน ไร่อ้อย กางกั้น ก็เดินข้ามทุ่งมาท่านก็จะให้เณรมาเรียก ไปฉันน้ำร้อนน้ำชา หลวงปู่เป็นคนไม่ฉันน้ำชา ก็ไปนั่งคุยกับท่าน หลังจากกลับมา ก็มานั่งเขียนบทโศลก คนฉลาดใช้กิเลส ลูกรัก คนโง่โดนกิเลสใช้ ถ้าเมื่อใดที่เราเป็นคนมีสติปัญญาชาญฉลาด เราก็จะรู้ว่า กิเลสทั้งหมดเนี่ย คุณมาที่นี่ ก็มาด้วยอะไร (กิเลส) เอ๊อ แต่มา เพื่อให้มันได้ความดีกลับไป ก็ถือว่า เราใช้กิเลสต่อกุศล ใช้กิเลสต่อคุณงามความดี ใช้กิเลสต่อบุญ ใช้กิเลสต่ออริยทรัพย์ แต่อีกคนๆหนึ่ง มันไม่ได้มาวัด มันไม่ได้มาที่นี่ มันไปไหนก็ไม่รู้ ไปไหน ก็ ไปบาร์ ไปผับ หรือไม่ ก็ออกจากบ้าน ไปเหมือนกัน อ้าว เมียมาวัด ผัวไปห้าง สองไปนี่ อันไหนกิเลสเลวกว่ากัน เพราะฉะนั้น อ้ายไปห้าง มันได้ประโยชน์อะไร ได้เย็น คุณมนัส     ได้อาหารตา หลวงปู่       ได้เย็นๆ อากาศเย็น ได้อาหารตา อะไรก็ว่าไป อาหารตา มันก็ได้จ่ายตังค์ด้วย ได้อาหารตาด้วย ได้จ่ายตังค์ด้วย แต่มาวัด ได้อะไร คุณมนัส      ได้อาหารกาย หลวงปู่        ได้อาหารใจ ได้บุญ ได้ฝึกตัวเอง ได้สั่งสมบารมี กิเลสเหมือนกัน แต่สิ่งที่ได้ แตกต่างกัน เพราะมันออกจากบ้านเหมือนกัน เพราะงั้น 2 คนผัวเมีย ใครฉลาดกว่ากัน (เมีย) เอ๊อ ส่วนใหญ่เมียฉลาดทั้งนั้น เมียโง่ เก็บเงินไม่อยู่หรอก คุณมนัส     แสดงว่า ใช้กิเลสไม่เป็น อย่าให้กิเลสมันใช้ หลวงปู่      เอ้อ คุณมนัส        กิเลสมันใช้เมื่อไหร่ มันโง่ทันทีเลย หลวงปู่      ใช่ เมื่อใดที่เราโดนกิเลสใช้ เราจะโง่ทันทีเลย จบ ปุจฉา        ทำอย่างไร เราจึงจะหลีกพ้นผิดศีลข้อที่ 3 ได้ หลวงปู่     ฮึ คุณมนัส        ศีลข้อที่ 3 ว่าไงครับ กาเมฯ, ทำอย่างไร เราจึงจะหลีกพ้นผิดศีลข้อที่ 3 ได้ เพราะอีกฝ่ายหนึ่งนับถือศาสนาอิสลาม และไม่ยอมจบ แสดงว่า กำลังผิดศีลอยู่แน่ๆ ก็เลยปุจฉานี้มา เพื่อจะหยุดไง หลวงปู่ นี่เค้ากำลังมีสติแล้วนะ เค้าดึงตัวเองกลับมาได้ละ ทำยังไงจะไม่ผิด นี่วิเคราะห์นะ เค้าถึงได้จดหมาย มาว่าผมตลอดเลย อย่าเอาความเห็นส่วนตัวมาถามเด็ดขาด หลวงปู่        ก็ตอบสิ คุณมนัส     เค้าถามหลวงปู่ ไม่ได้ถามผม ผมพยายามให้นึกภาพออกไง หลวงปู่ ไม่ได้อยู่ในโลกีย์อย่างผม ผมก็ช่วยให้เห็นภาพ หลวงปู่     ก็อธิบายมาตั้งเยอะขนาดนี้ ก็ตอบไปเล๊ย ปุจฉา      ทำยังไงจะหลีกพ้นได้ ข้อ 3 วิสัชนา         เอ๊อ เวรกรรม, บวช คุณมนัส       หา หลวงปู่        บวช คุณมนัส       แล้วถ้าเค้าเป็นผู้หญิง หลวงปู่       อ้าว บวชชี คุณมนัส       ถ้าเป็นผู้ชาย หลวงปู่      บวชพระ คุณมนัส     หลวงปู่รับเหรอ หลวงปู่        เอ้า เค้ามีคำกล่าว  บวชชีเพราะหนีรัก คุณมนัส        แล้วบวชพระ หลวงปู่        อกหักเพราะรักชี ก็แยกกันไปบวชคนละวัด คุณมนัส        อยู่ใกล้กันไม่ได้ บวชหน้าวัดกับท้ายวัดด้วยนะ หลวงปู่     เอ้อ จริงๆ แล้ว เรื่องพวกนี้ มันอยู่ที่ตัวเรา ตลบมือข้างเดียวในอากาศ มันไม่ดังอยู่แล้ว อย่ามาอ้างนู่นอ้างนี่ เลอะเทอะ มันไม่เกี่ยว อยู่ที่ตัวเรา เราจะยอมให้เค้า หรือไม่ยอมให้เค้าเท่านั้นแหละ ถ้าเราไม่ยอม ก็คือ ไม่ยอม ยกเว้นมันข่มขืนเอา งั้น มันอยู่ที่ตัวเรา อย่าไปอ้าง โทษคนอื่น คุณมนัส         ถ้าในปัจจุบัน เค้าตัดสินเด็ดขาดแล้วว่า จะไม่ยุ่ง มันเกี่ยวกับเรื่องของอดีตกรรมด้วยไม๊ฮะ หลวงปู่          เอ้อ กรรม นี่มันต้องมีคู่กรณี คุณมนัส ถ้าหากมันไม่มีคู่กรณี ให้พยายามยังไง มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องคู่กรรม มันต้องมีคู่กรณี เพราะงั้น หนึ่งในคู่กรรมนั้น ไม่สมยอม ไม่โอ้โลมปฏิโลมด้วย ไม่ยินยอมด้วย มันไม่มีสิทธิ์หรอก อย่าไปโทษคนนั้นคนนี้ ศาสนานู้น ศาสนานี้ ไปกระเทือนเค้า เอาตัวเรานั่นแหละ เป็นประมาณ คุณมนัส       เอาให้เด็ดขาดไปเลย หลวงปู่        เอ้อ จบ คุณมนัส       ทำไม่ได้ ก็มาบวช หลวงปู่          โอ๊ สมัยก่อน ชั้น ยิ่งกว่านี้อีก คุณมนัส      โอ้โห เนื้อหอม หลวงปู่        ฮู๊ ประมาณว่า นัดไปหลังสวน แล้วก็โดดกอดคอ หอมแก้มเลยล่ะ คุณมนัส       จริงเหรอ หลวงปู่      จริ๊ง เจอ อีดอก เข้าไปล่ะ ไปเลยล่ะ ชั้นผลักอกมันลงไปนั่งก้นจ้ำบ้ำ อีดอก มึงทำงี้ได้ไง มันไปเล๊ย เห็นไม๊ ตลบมือข้างเดียว ไม่ดังหรอก คุณมนัส     ต้องเด็ดขาด หลวงปู่        เอ๊อ ขนาดเช้าเนี่ยนะ นี่เย็นๆ ป่านนี้ โอเลี้ยงมาแล้ว แขวนหน้าบ้าน คุณมนัส      ครับ หลวงปู่       เช้า ก็มาแล้ว ข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง มาแขวน เอ่อ เย็นๆ ดึกๆ ก็เดี๋ยว ก๋วยเตี๋ยวมาแขวนละ ทำเราเป็นอ้ายนั่นเลยล่ะ เป็นศาลเจ้าเลยล่ะ มันไม่กล้ามาให้ตรงๆ นะ แต่เป็นที่รู้กันว่า ของใคร เราก็ไปเดินเก็บเอาทุกวันๆ ไหนๆ เค้ามีน้ำใจ ก็กินเค้าซักหน่อย แต่กินอย่างเดียวละ ไม่สนใจ จบ คุณมนัส      ไม่น่าเชื่อว่า จะเนื้อหอม จำได้ว่า หลวงปู่เคยเล่าให้ฟัง ตอนหนุ่มๆ ตอนเด็กๆ จะใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ กางเกงสีหมากสุก เสื้อสีอะไรนะฮะ หลวงปู่ฮะ ใส่ไปใส่มา ไม่น่าจะเนื้อหอม หลวงปู่          ใส่ครั้งเดียว คุณมนัส        มีชุดเก่งอยู่ชุดเดียว หลวงปู่         ก็ตัดมาชุดเดียว แล้วหมาเห่า ก็เลิก อุ๊ย สมัยก่อนชั้น ไม่อยากคุย คุณมนัส      เอา พอล่ะๆ จะคุยเรื่องเก่ามาก เดี๋ยวเค้าว่าเอา ปุจฉา       หน้าที่ของจิต 4 อย่างที่หลวงปู่บรรยายว่า รับ จำ คิด รู้ มันเป็นตัวเดียวกันกับ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือไม่ อย่างไร วิสัชนา         เวทนา มันเป็นอารมณ์ คือ ผู้ถูกรู้ เวทนา มันเป็น ผู้ถูกรู้ หรือ สิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่รับรู้ แต่สภาพของจิต หรือว่า ลักษณะของจิต รับ จำ คิด รู้  มันเป็น ผู้รู้ ผู้รู้ ไปสัมผัส ผู้ถูกรู้ หรือ สิ่งที่ถูกรู้ จึงเกิด ความรับรู้ มันคนละชนิดกัน จบ ปุจฉา        สังขาร กับ เจตสิก ต่างกันหรือไม่ วิสัชนา       สังขาร คือ การปรุงแต่ง, เจตสิก นี่มัน เครื่องปรุงจิต เฉยๆ สังขาร มันคือ การปรุงแต่งอารมณ์ ปรุงแต่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ เป็นองค์ประกอบของสังขารรวมตัวกัน แต่อ้าย เจตสิก เป็นเครื่องปรุงจิต เป็นอารมณ์แห่งจิตอย่างหนึ่ง มันไม่เหมือนกัน จบ ปุจฉา        การแต่งทำนองบทสวด บารมี 30 ทัศ ว่า ต้องแต่งตามทำนองของหลวงปู่ สามารถแต่งทำนองใหม่ได้หรือไม่ ให้เข้ากับบทสวด ตัวอย่าง อิงทำนองดนตรีจีนได้หรือไม่ วิสัชนา     ได้ แล้วแต่ใครจะแต่ง ไม่ได้เสียหายอะไร บทสวด ก็ไม่ใช่บทสวดของหลวงปู่ เป็นแต่เพียงว่า หลวงปู่มาใส่ทำนอง เป็นของเก่าดั้งเดิม จบ ปุจฉา         อยากทราบว่า ดวงของคนเรา มีมาไม่เหมือนกัน แต่มีอยู่ดวงหนึ่งที่รู้จัก ก็คือ ดวงที่ผู้อื่นได้แล้วดีใจ อันนี้ คือ ดวงของเค้าแบบนี้ ใช่หรือเปล่า เพราะไม่เห็นเค้าจะเป็นอะไร ก็เลยอยู่สุขสบายดี แบบนี้ เรียกว่า คนดวงดี ใช่หรือเปล่า หลวงปู่        อะไรนะ คุณมนัส        สรุปง่ายๆ ก็คือว่า ดวงคนเรา มีมาไม่เหมือนกัน มีอยู่ดวงๆ หนึ่ง เค้ามาแล้ว ไม่เป็นอะไรเลย สุขสบายดี แบบนี้ เรียกว่า เป็นคนดวงดี ใช่หรือเปล่า หลวงปู่       ไม่รู้จัก ดวง อ๋อ อีดวง มันทำ คุณมนัส        ดวงที่โกงผู้อื่น อ๋อ ผมอ่านผิดเอง ดวงที่โกงผู้อื่นได้ แล้วเค้าดีใจ อันนี้ เค้าเรียกว่า มาเพราะดวงแบบนี้ ใช่หรือเปล่า หลวงปู่       คือ เรียก ดวง มันไม่น่าจะถูกนะ ไม่ใช่วิถีคิดของพุทธนะ วิถีคิดของพุทธ เค้าเรียก กรรม อ้าย ดวง นี่ เป็นวิถีคิดของพวกพราหมณ์ พวกฮินดู พวกที่เชื่อลัทธิไสยเวท แต่เดี๋ยวนี้ นักบวชในศาสนาพุทธ ก็ดันเอาวิธีคิดของพราหมณ์ ของฮินดูมาใช้ ก็เลยเรียก กรรม กลายเป็น ดวง ซึ่งมันก็ไม่น่าจะถูกต่อคำสอน ต่อหลักคำสอน เดี๋ยวนี้ นักบวชในพุทธศาสนา ระดับ เจ้าคุณฯ ระดับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง ก็ใช้คำว่า ดวง นำหน้าไปหมดแล้ว แม้กระทั่งบางที ตั้งรูปเทวลัย ตั้งสถานที่เคารพของฮินดู เดี๋ยวนี้ นักบวชในพุทธศาสนาไปไหว้อะไรล่ะ ไหว้พระพิฆเณศ อะไรต่ออะไร เยอะแยะมากมาย พระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้ ไม่ไหว้ละ พระศาสนา พระพุทธ  พระธรรม พระสงฆ์ นี่ ไหว้ไม่ได้ งั้น มันก็เลยบิดเบี้ยวไปหมดไง ต่อมา มันก็เลยลามไปถึงคำสอนว่า สติ ไม่ต้องฝึก อะไรประมาณนั้น มันเลอะเทอะไปใหญ่ละ ที่จริง คำสอนของแต่ละศาสนา ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่มันต้องเล่นให้ถูกที่ถูกฝา ให้ถูกบทบาท ถูกลักษณะ เวลานี้ มันเล่นไม่ถูกที่ถูกฝา ไม่ถูกบทบาท ไม่ถูกลักษณะ อ้ายคำว่า ดวง เนี่ย ศาสนาพุทธไม่มี ลูก มีแต่คำว่า กรรม กุศลกรรม อกุศลกรรม นั่นแหละ มี, ดวง นี่มันอยู่ในคัมภีร์ไสยเวท แล้วไสยเวท นี่มันเป็นศาสนาอะไร ฮินดู ศาสนาพราหมณ์ งั้น เค้าไม่ได้เรียกขานกัน โดยภาษาวิถีของความเชื่อในพุทธ และในคำถามที่ว่า อ้ายคนที่ดวงขี้โกง แล้วทำไมมันยังโกงได้อย่างสุขสบาย ยังอยู่อย่างสุขสบาย ก็ต้องเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า อ้ายคนที่มันทำกรรมชั่ว แล้วมันโกงบ้านโกงเมือง โกงเค้า ทำไมมันยังอยู่สุขสบาย ก็แสดงว่า อดีตกรรมของเค้า มันทำสั่งสมไว้ดี มนุษย์ นี่มันโดนกรรมหล่อเลี้ยง เรามีกรรมเป็นพันธุ มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย และอ้ายกรรมเนี่ย มันมีอดีตกรรม มีปัจจุบันกรรม แล้วก็ มีอนาคตกรรม อดีตกรรม มันอาจจะทำไว้อย่างมโหฬาร ดีมาก จนทำให้ส่งผลปัจจุบันกรรม ไม่ว่า จะทำชั่วกี่ครั้ง ทำเลวสักกี่หน ก็ดูเหมือนไม่สะทกสะเทือน  ไม่สะทกสะท้าน นั่นก็แสดงว่า อดีตกรรม เค้าทำมหากุศลกรรมมาเยอะ ต้องใช้คำว่า อย่างนั้น คุณมนัส       เค้ากำลังเสวยบุญเก่า หลวงปู่        เอ้อ กำลังเสวยบุญเก่า มันก็เลยทำให้คนๆ นี้ ทำชั่ว แล้วดูเหมือนไม่ได้รับความชั่ว แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ได้หายไปไหนนะ หลังจากที่บุญเก่ามันหมดไป อ้ายบาปใหม่ที่มันทำเอาไว้ มันก็จะพรั่งพรูเข้าไปหา มันจะบ่าเข้าไปหา ทีนี้ มันจะแย่ยิ่งกว่าเก่าอีก งั้น ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัว ใครมันจะปล้น ล้างผลาญ มันจะกินบ้านกินเมือง ใครมันจะทำร้ายทำลายใคร สุดท้าย กรรมมันตามสนองมันเอง ไม่ช้าก็เร็ว มันต้องได้รับแน่ล่ะ ทีนี้ มันอาจจะรับไม่ทันใจเรา เราก็เลยรู้สึกอึดอัด กระฟัดกระเฟียด ขวนขวาย กระวนกระวาย ทุรนทุราย ไป แล้วกว่ากรรมมันจะให้ผล ก็พอดี เจ๊งพอดี ไม่มีตังค์จำนำข้าวอีกแล้ว จะเอาข้าวไปทิ้งไว้ไหน อะไรอย่างนี้ กว่ากรรมมันจะให้ผล ก็ ไม่ต้องกังวลไป สุดท้าย มันก็ต้องให้ผลอยู่ดี จะช้าจะเร็ว ก็ขึ้นอยู่ว่า กุศลกรรมในอดีตเค้า ยังหล่อเลี้ยงเค้าอยู่มากน้อยแค่ไหน เพราะ กรรมนี่มันมี อุปถัมภกกรรม อุปฆาตกรรม อุปรียกรรม แล้วก็ชนกกรรม ชนกกรรม คือ กรรมที่แต่งให้เกิด, อุปถัมภกกรรม คือ กรรมที่เลี้ยงดู อ้ายกรรมที่เป็นอุปถัมภกกรรม มันก็มีทั้ง กุศลกรรม แล้วก็ อกุศลกรรม บางคนมีชนกกรรมแต่งให้เกิดเป็นมนุษย์ แต่มีอุปถัมภกกรรมที่ไม่ดี ดันไปเกิดเป็นลูกไพร่ ลูกขอทาน ลูกยาจก ลูกคนพิการ ลูกคนชั้นต่ำ อย่างนี้แสดงว่า มีชนกกรมแต่งให้เกิดเป็นมนุษย์ แต่อุปถัมภกกรรม คือ เลี้ยงดูไม่ดี ส่งเสริมไม่ดี แล้วอุปรียกรรม คือ กรรมที่ตัดรอน หรือ กรรมที่สนับสนุน มีทั้งตัดรอนด้วย แล้วก็สนับสนุนด้วย ตัวอย่างเช่น คนที่ส่งลูกเรียน จนกระทั่งรับปริญญาเอก พอได้รับปริญญา วันฉลอง ตาย อย่างนี้ แสดงว่า มีอุปฆาตกรรม และอุปรียกรรม ให้ผลในทางที่ไม่ดี มันเข้ามาตัดรอนซะ เพราะงั้น เรื่องของกรรม นี่มันอธิบายได้โดยเหตุโดยปัจจัย อย่างนี้ แต่เรื่องดวง มันไม่มีที่มาที่ไป คุณมนัส        หลวงปู่ครับ อุปรียกรรม กับ อุปฆาตกรรม ต่างกันอย่างไร หลวงปู่       อุปฆาตกรรม คือ กรรมที่มาตัดรอนอย่างหนัก คุณมนัส       มันเกี่ยวกับ กาละมรณะ หลวงปู่       อุปรียกรรม มันเป็นกรรมที่เลี้ยงดูในระดับหนึ่ง แล้วก็ดึงให้หยุดในระดับหนึ่ง แล้วก็เลี้ยงต่อไปอีกระดับหนึ่ง แล้วก็ดึงให้หยุดอีกระดับหนึ่ง อะไรอย่างนี้ เหมือนๆ กับ แหม อ้ายห่า ถูกไป 6 ตัว อีกตัวเดียวเท่านั้น แหม ทำไมไม่ถูก เนี่ย แสดงว่า อ้ายนี่ มันมีอุปรียกรรม เค้าเรียกว่า บุญมันมี แต่กรรมมันมาบังเสีย คุณมนัส     อ๋อ คืออย่างนี้นี่เอง หลวงปู่     แต่อ้ายดวงนี่ อธิบายไม่ได้นะ ไม่มีที่มาที่ไป มันว่าของมันเรื่อยเปื่อยไป ดวง มันเอามาจากไหน ก็เอามาจากลักษณะของคน ลักษณะของสัตว์ ลักษณะของมนุษย์ ลักษณะของสิ่งของ ลักษณะของสถานที่ เอามาเป็นเรื่องการทำนายทายทัก ซึ่งอ้ายลักษณะพวกนี้ มันคงที่ไม๊ ไม่คงที่ เราบอกว่า อ้ายคนนี้ หน้า สี่เหลี่ยมๆ ตอนนี้ มันอายุขณะนี้ 20, 35 หน้าสี่เหลี่ยม แต่ลอง 80 ดูสิ มันจะเหลือเหลี่ยมมาให้ดูไม๊ คุณมนัส       เหลี่ยมมันหมด หลวงปู่       เอ้อ หมดเหลี่ยมแล้ว อ้ายนี่ ตาเยิ้ม ตางาม ตาสวย ตาเป็นช้าง ตากลม หน้าตาอย่างนี้ ตาแบบนี้ ต้องเป็นตาผู้มีบุญมาเกิด ลองอายุซัก 5-60 สิ อย่างนี้นี่ มันจะเหลืออะไรไม๊ คุณมนัส     เดี๋ยวเค้าก็ไปร้อยไหมทอง หน้าเด็งเหมือนเดิม หลวงปู่         ไหมทอง คือ อะไร อ้ายนี่ ไปร้อยมาเหรอ คุณมนัส       ไม่ได้ร้อย เค้าเรียกว่า เป็นเวชกรรมคลีนิค หลวงปู่      เหรอ คุณมนัส     เสริมความงาม สาวๆ เค้าชอบ หลวงปู่        คนไทยเราเนี่ย ฝรั่งอายเลยนะ ทั้งตัวแก่หมด เหลือหน้าอย่างเดียวที่ยังเด็ก หน้ากับสมอง คุณมนัส      ร้อยไหมทอง ก็คือ เหมือนกับร้อยไหม หลวงปู่     เข้าใจๆ เอ้อ คนไทยเนี่ย จะเห็นว่า บางทีทั้งตัว เดินถือไม้เท้า เดินเงิกงักๆ แต่หน้านี่ อ่อนมาก รวมทั้งสมอง อ่อน ปัญญาอ่อน เอ๊อ นี่คือ คนไทย, ฝรั่ง นี่เค้าดูแลรักษาตีนมากว่าหน้า ไทยเรานี่ ดูแลหน้ามากกว่าตีน จบ คุณมนัส      ฝรั่ง เหยียบเท้าไม่ได้ เหยียบตีนไม่ได้ หลวงปู่      เอ้อ ใช่ คุณมนัส       เค้าถือว่า เท้าสำคัญสุด หลวงปู่        เพราะ เท้าพาไปหากินไง แต่ไทยเรา ใช้หน้าหากิน คุณมนัส       ไทย ตบหัวไม่ได้ ปุจฉา      เมื่อวาน นั่งอยู่กับน้องสาวหน้าร้านขายน้ำข้างทาง อยู่ๆ มีวัยรุ่นผู้หญิง อายุ 20 ปี มาจ้องหน้า แล้วก็ชี้หน้าว่า คนๆ นี้แหละเป็นคนทรง เป็นร่างทรง แล้วก็ทักว่า มีผู้ชายอยู่ข้างหลังด้วย เค้ามาคอยดูแล อยากทราบว่า ผู้หญิงคนนี้ เค้าเป็นอะไร วิสัชนา       บ้า คุณมนัส       แล้วยังทักว่า มีผู้ชายอยู่ข้างหลังจริงๆ หลวงปู่      แหม มาทักกูหน่อยไม่ได้ จริงๆ วะ ใครมาทักกูหน่อย ต้องเป็นอายุประมาณ 20 นี่ด้วยนะ พอทักปุ๊บ เข้าปุ๊บเลย กระโดดปล้ำเลย ให้มันรู้สึกซะบ้าง อ้าว ว่าเราไม่ได้ เราทรงไง แล้วทำกูทำไม กูไม่รู้เรื่อง แหม คนบ้าพันธุ์นี้ เยอะมาก ลูก คุณมนัส        แล้วมีจริงไม๊ครับ หลวงปู่ เรื่องของเทพ ทรงเจ้า องค์มาประทับอะไรอย่างนี้ หลวงปู่        มีจริง หมายถึงอะไร คุณมนัส        เรื่องมันเชื่อได้ไหม สำนักทรง อะไรอย่างนี้ คือ พระพุทธเจ้าไม่ให้ไปยอมรับ เชื่อเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ มันเกี่ยวโยงกันไม๊ครับ ท่านหลวงปู่ หลวงปู่        คุณมนัส สมัยก่อน ชั้นสร้างวัดใหม่ๆ มีสมภารวัดชั้นนี่แหละ เค้าเป็นนักศึกษาแพทย์ เป็นหมอแล้ว เรียนจบแล้ว เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล แล้วเค้าเป็นโรค แล้วให้ชั้นรักษา หายแล้ว เค้าก็ลยบนบวช บวชแล้ว ชั้นก็เลยยกวัดให้เค้าอยู่ ให้เป็นสมภาร แล้วญาติเค้าก็ไปยุ่งเกี่ยวกับอ้ายพวกทรง สุดท้าย ก็มาเผยแพร่ให้เค้า อุ๊ย ชั้นกลับมาจากป่า นี่เค้ามา 2 คนพี่น้องนะ พี่เค้านุ่งขาวห่มขาว อ้ายตัวพระเป็นน้องชาย มาถึง องค์หนึ่ง ก็เป็น พระศิวะ อ้ายตัวน้องชาย ก็เป็นพระล่ะนะ เป็นพระอุมา อุ๊ย มาทั้งคู่เลย ทั้งผัวทั้งเมียเลยนะ ตอนนั้น ชั้นนอนอยู่ที่กุฏิ เป็นกุฏิไม้ไผ่ล่ะนะ ตอนนั้น วัดสร้างใหม่ๆ ก็เป็นแต่ไม้ไผ่ทั้งนั้น ตอนนั้น ไม่ค่อยสบาย เค้ามาถึง มาเยี่ยม เราก็ อ้าว มาทำไมล่ะ ท่าน, ทีแรกก็มาดีๆ ทำไปทำมา ชัก เริ่มสั่น เริ่มเข้า เราก็เลย อ้าว เป็นอะไรล่ะ ทำตาขวางๆ, มาเยี่ยมท่านแหละ, อ้ายตัวพี่ชาย ทำเสียงใหญ่ๆ อ้ายตัวน้อง ก็ทำเสียงเล็กเสียงน้อย เป็นเสีบงผู้หญิง เอ้า ตายแล้ว เจ้ามาแล้ว ขออภัยๆ นั่งๆๆๆ คุณมนัส       ประทับก่อน ใช่ไม๊ฮะ หลวงปู่       เอ้อ เชิญเก้าอี้ก่อน เณร ต้มน้ำร้อน เดี๋ยวๆๆ นะเจ้า รอเดี๋ยว อย่าเพิ่งไปไหน เดี๋ยวๆ เลี้ยงน้ำ เลี้ยงท่า แหม เจ้ามาทั้งที ไม่มีน้ำให้ อู้หู รีบกุลีกุจอ ซักพักหนึ่ง เณรมา น้ำมาเดือดๆเลย เอ้า เจ้านิมนต์ เชิญๆ ฉันน้ำๆ ทานน้ำ เหวยๆ น้ำก่อน ว่าแล้ว ก็เทเลย คุณมนัส      เท ใส่อะไรฮะ หลวงปู่         ใส่ตักเจ้า เจ้าออก คุณมนัส      เสด็จออก หลวงปู่      เสด็จออกเลย ร้อน เจ้าสะดุ้ง เจ้าออกหน้าต่างไม่พอ ประตูมันแคบๆ องค์หนึ่งออกประตู องค์หนึ่งออกหน้าต่าง อ้าว ไปไหน เจ้า มากินน้ำก่อน, วิ่งออกมา กวักมือเรียก ทิ้งกา คว้าไม้เท้า ไล่หวดเจ้า กระโดดข้ามน้ำ จ๋อมๆ เลย เช้าขึ้นมา หมดแรง ไล่ตีไปครึ่งชั่วโมง ไล่ตีเจ้า หวดวนรอบวัดเลยล่ะ แหม มาชนะเอาอีตรงเนี่ย เจ้าหมอบอยู่ตรงนี้ ตีซะหมอบ คุณมนัส      หลวงปู่ ใจร้ายอ่ะ หลวงปู่       อ้าว ตีเจ้า พอเจ้าออกแล้ว ก็ อู้หู นี่ ท่านไม่เจ็บใช่ไม๊ ผมตีเจ้านะ ผมไม่ได้ตั้งใจตีท่านนะ เป็นบาปเป็นกรรม ผมตีเจ้า หัวปูด ท่านไม่เจ็บใช่ไม๊ๆ ตั้งแต่นั้น เจ้าหายไปเลย คุณมนัส      ไม่เสด็จอีกเลย หลวงปู่       ไม่เด็จเลย แล้วมันก็ไปทั้งเจ้า ทั้งร่างทรงเลย หนีไปเลย โอ้โห เจอมาเยอะแล้ว เจ้า คุณมนัส     เรื่องจริง เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หลวงปู่      สอนให้รู้ว่า เจ้าเจออาตมาไม่ได้ ยังมีมาอีก มาจากนู่นเลย พระประแดง เค้าไปนู่นเลยนะ ไปหาหลวงพ่อเกตุ วัดเกาะหลัก อะไรนู่น ไปนู่นเลยนะ ไปวัดไหนๆ ไปมาทั่วล่ะ มาถึงนี่ ก็ประมาณจะ 6 โมง ใกล้ทุ่มแล้วล่ะ อ้ายรถ 2 แถวใหญ่ล่ะนะ อ้ายรถ 6 ล้อนะ รถ 4 ล้อยาว มาทั้งคันรถ หลวงปู่กำลังนั่งทำอะไรอยู่ตรงข้างหน้าหอฉัน ตรงนี้ศาลายังไม่มี โบสถ์ก็ยังไม่เสร็จ ก็นั่งทำอะไรอยู่หน้าหอฉัน เค้ามาจอดเทียบ หลวงพี่ๆ หลวงปู่อยู่ไม๊, ถาม ทำไมอ่ะ, จะให้ท่านช่วยไล่ผีให้หน่อย, หลวงปู่ไม่อยู่หรอก แต่ชั้นพอช่วยไล่ได้ เอาไม๊ล่ะ, เอ๊อๆ ช่วยหน่อยเถอะ หลวงพี่ ผมน่ะ ไปมาทั่วแล้วเนี่ย พามันไปเนี่ย มันผีเข้า เข้ามาตั้งหลายวันแล้ว ไม่รู้จักออก ไปหาหมอ หาพระ หาอะไร เค้าบอกว่า ต้องหาคนเก่งวิชา โอ๊ ได้เลยๆ เรียกลงมาๆ, อ้ายรัช เอาไดโว้มา คุณมนัส     เอาอะไรนะฮะ หลวงปู่      ไดโว้ เครื่องดูดน้ำไง คุณมนัส       เอามาทำไมล่ะ หลวงปู่       เอ้า ต่อสายยาวๆ เว้ย, ถาม ทำอะไร, มึงไปเปิดถังส้วม, ว่าแล้ว ก็จับอย่างดี อ้ายรัช เสียบปลั๊ก โอ้โห ฉีด, ฉีดหน้าผี ไม่ได้ฉีดหน้าคน ฉีดเข้าหน้าเลยนะ, ผีออก, ผีวิ่ง ไล่, หอบกันทั้งผีทั้งพระเลย, กลัวแล้วจ้ะ ไม่เอาแล้วจ้ะ เลิกแล้ว คุณมนัส       เหม็นจ้ะ หลวงปู่      ก่อนที่จะฉีด ตกลงกับญาติมันก่อน มึงไปอยู่ห่างๆ นะ เดี๋ยวผีออก มันจะเข้ามึง มึงอย่ามาร้องอะไร ห้ามมาโวยวาย ห้ามมายุ่งเลยนะ จบ เรียบร้อย คุณมนัส      ไม่ต้องไปเรียนที่ไหนเลย หลวงปู่     ไม่ต้องเลย อ้ายน้ำขี้ นี่ศักดิ์สิทธิ์กว่าน้ำมนต์อีก อาตมานี่ไล่มาหลายแล้ว อีกคนมาจากนู่น ปาดังฯเลยนะ นั่งรถไฟมาเลย มาลงอ้ายสถานีนครปฐม ผีเข้า นั่นเป็นนักศึกษาทนายนะ เรียน นิติศาสตร์ พ่อพามา ผีเข้า โวยวาย ตอนนั้นโบสถ์ยังไม่สร้าง เราให้พาไปริมๆ น้ำ เย็นๆ น่ะ ซัก 5-6 โมงเย็น ไปยืน เฮ้ยๆ มึงผีเข้าเหรอ, มึง อย่ามายุ่งกับกู, พูดมึงพูดกูเลย, เอ้อๆ ไม่ยุ่งก็ได้, ตามกูมาหน่อย จูงมือมันแล้วไปยืนอยู่ริมน้ำ เนี่ย ตรงนี้ กูจะสร้างโบสถ์ มึงเห็นไม๊ เอ่อ อันนี้ น้ำใสมากเลยนะ มีปลาเยอะด้วย, เอ่อ เสร็จแล้ว เราก็เดินมาข้างหลัง (ถีบ) โป๊ก ผีตกน้ำ อ้าว ผีตกน้ำ ขึ้นไปฝั่งนู้น  แฮะๆ คุณมนัส     ผีออกแล้ว หลวงปู่      ผีออกแล้ว จบ เพราะงั้น มาเถอะ, รับ, รับกำจัด เจ้า กับ ผี ที่นี่ เจอมาเยอะแล้ว คุณมนัส     ยังไม่จบ หลวงปู่ มีอีก หลวงปู่    ว่า ปุจฉา       มีเด็กเกิดใหม่ 3 ขวบ บอกว่า ระลึกชาติได้ เค้าบอกว่า เทวดาให้กินผลไม้ แค่อมไว้แล้วก็คายออก สามารถจำอดีตของตัวเองได้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่ วิสัชนา       อืม อันนี้จริง อันนี้เคยเจอ สมัยก่อนอยู่วัดคลองเตยใน มันมีเด็กคนหนึ่ง พ่อแม่มันพามา มันบอกกับพ่อกับแม่ว่า ชั้นน่ะไม่ใช่ลูกแก บ้านชั้นน่ะ อยู่สำโรง แล้วชั้นไปเล่นน้ำ แล้วก็จมน้ำตาย แล้วก็มาเกิดเป็นลูกแก งั้น ช่วยพาชั้นไปหาแม่หาพ่อ พ่อแม่มันอยู่คลองเตย อยู่ใกล้ๆ วัดชั้น แล้วพ่อแม่มันก็พามา ทีแรกพ่อแม่มันนึกว่า ลูกมันบ้า พามาให้รดน้ำมนต์ ไล่ผี เอาก็ เอ๊อ มันไม่ใช่นะ อ้ายเด็กคนนี้ มันถ้าจะระลึกชาติได้ เอ้า ไหนมึงพากูไปดูซิ ยอมเรียกรถสามล้อไปสำโรง ตอนนั้น เรียกรถ 3 ล้อพาไป มันก็พาไปถูกบ้านนะ มันทัก นี่ ยาย, นี่ น้า, นี่ อา, นี่ ลุง, นี่ พ่อ, นี่ แม่ มันทักได้หมด แล้วพ่อแม่มันก็จำได้ เอ้อ ลูกเค้าตาย แล้วก็ มีปานอยู่ที่ไหนๆ บอกได้หมด อันนี้ อ้ายเรื่องระลึกชาติได้น่ะ มีจริง แต่อ้ายเรื่องเจ้า นี่ ไม่ค่อยเจอ จบ ปุจฉา        ก่อนที่จะตัดสินใจ ขจัดคนที่เป็นภัยต่อสังคมโดยใช้คุณไสย ซึ่งการตายของเค้า ตำรวจไม่สามารถจับได้ แต่ข้องใจว่า ไม่ได้ทำเอง แต่จ้างเขาทำ จะมีบาปหรือไม่ คนๆ นี้ เคยบวชกับหลวงปู่มาแล้วด้วย คนจึงเชื่อสนิทว่า เค้าไม่ใช่นักต้มตุ๋น วิสัชนา       ไม่รู้สิ กูก็บวชพระ มาถึงวันนี้ เป็นหมื่นคนแล้วนะ เลยไม่รู้ว่า หน้าตาใครบ้าง ใครมาบวชไม่บวช แต่อยากบอกว่า ทุกคนน่ะ มีกรรมเป็นของตน จะไปคิดแค้นจนฆ่าเค้า มันไม่ถูกต้อง มันเป็นบาปของตัวเอง ก่อนเค้าตายน่ะ เราตายก่อนนะ อ้าว มึงนึกดูสิ มานั่งแค้น กูจะฆ่ามึงๆ อ้ายคนที่โดนจะถูกฆ่า มันไม่รู้สึกอะไรนะตอนนั้น แต่เราตายก่อนละ ความรู้สึก ความสุข ความเป็นอยู่ของเรา มันโดนกัดกร่อนไปด้วยความอาฆาตแค้นพยาบาท อ้ายอย่างนี้ อันตรายนะ ชีวิตแบบนี้ อันตราย ตายข้ามภพข้ามชาติไปแล้ว ก็ไม่ได้อยู่เป็นสุข งั้น อย่าไปคิด ไม่ต้องฆ่า มันก็ตาย แล้วจะไปคิดฆ่ามันทำไม ไม่ใช่ว่า มันจะอยู่ค้ำฟ้าเมื่อไหร่ คนยิ่งชั่วมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งตายง่ายมากเท่านั้น อย่าไปหาเรื่องใส่ตัว ลูก จบ ปุจฉา       พ่ออายุ 67 ปี เป็นนิ่วในไต เคยผ่าตัดเอานิ่วในไตออกข้างหนึ่ง หลายปีก่อน ข้างที่ผ่าเอานิ่วออก ไตมันฝ่อ ไม่ทำงาน ตอนนี้มีไตข้างเดียวที่ยังทำงานอยู่ ปัญหาคือ เวลานอนกลางคืน มักจะปวดตามแขนตามขา และเป็นตะคิวที่น่องเป็นประจำ ควรจะทำอย่างไร วิสัชนา         อายุมากๆ บางทีความดันในหลอดเลือดมันไม่ดี ไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป เวลาเรานอนทับ เหมือนกับไปทับสายยาง น้ำมันไม่เดินไปปลายสาย งั้น แนะนำให้กินยาบำรุงสมอง กับ ยาขยายหลอดเลือด วันนี้ ก็มีคนไข้ หลายเดือนก่อนเค้าไม่รู้เรื่องเลย เป็นผู้หญิงอายุมากละ 80 กว่า คือ ไม่รู้สึกตัว จำใครไม่ได้ นี่วันนี้ ลูกสาวพานั่งรถมา เจอหน้าหลวงปู่ ร้องไห้ จำได้ ให้กินยาบำรุงสมอง กับ ยาละลายลิ่มเลือด ประมาณ 2 เดือนกว่า เช้า 2 เม็ด เย็น 2 เม็ด คุณก็กินได้นะ ยา ไม่จำเป็นต้องแก่ อายุมาก เพราะ สมองเราเนี่ย มันตาย วันหนึ่งเป็นพันๆ เซลล์สมอง กินไว้มั่งก็ดี เช้า 2 เม็ด เย็น 2 เม็ด กินแล้ว สมองมันจะสดชื่น อดนอนมาก ก็ไม่รู้สึก สมองมันจะตื่นตัวอยู่ตลอด ลองกินดู จบ ปุจฉา       ประสาทหูข้างขวาเสื่อม รักษาโดยวิธีฝังเข็มแล้วมันไม่หาย รักษาแพทย์แผนปัจจุบัน ก็ไม่หาย อยากทราบว่า มียาสมุนไพรของหลวงปู่รักษาหรือไม่ วิสัชนา       พวกนี้ ชอบเล่นโทรศัพท์ แล้วมันก็ทำลายประสาทหู บางทีไม่ใช่โทรศัพท์อย่างเดียว ฟังซาวเบ๊าท์ เสียงจากข้างนอก มันใช้เวลาในการเดินทาง มันกรองมาจนกระทั่งเหลือพอที่ประสาทหูรับได้ อ้ายเสียงที่มันออกมาจากสาย แล้วทิ่มเข้าหูเลยเนี่ย มันไม่มีเวลาเดินทาง เข้าไปก็ทะลุทะลวงและทำร้ายประสาทหู คนมันชอบทำลายตัวเอง คุณมนัส       มียาแก้ไม๊ฮะ หลวงปู่         ก็มันต้องกันที่เหตุก่อน อย่าไปทำเหตุแบบนี้บ่อยๆ ถ้ามันเป็นไปแล้ว ก็ต้องใช้ยาบำรุงปลายประสาท กับยาแก้ปลายประสาทอักเสบ เค้ามีอยู่ ครั้งละ 2 เม็ด จบ คุณมนัส       เดี๋ยว ผมต้องไปหากินบ้างแล้วล่ะ หลวงปู่       อ้อ แสดงว่าเป็น คุณมนัส        แต่บางคนมันเป็นหน้าที่ อย่างผมอ่านข่าว ผมจะมีหูฟังไว้ฟังตลอดเวลา แล้วผมฟังมาอย่างนี้ 9 ปีแล้วนะฮะ เพราะต้องสื่อสารกับข้างบน หลวงปู่     ก็เปลี่ยนข้างสิ คุณมนัส     ก็เปลี่ยนข้าง มาใช้ข้างนี้ แล้วก็กลับมาข้างนี้อีกเหมือนเดิม หลวงปู่       คือ ต้องสลับหู คุณมนัส         ตอนนี้กลายเป็นเวลาอยู่ธรรมดา รีโมทที่บ้านเรา เปิดทีวิ เสียงประมาณ 17 ผมว่า มันดังแล้วใช่ไม๊ฮะ ผมเนี่ย คนเดียว หลวงปู่       25 คุณมนัส       27 คุณแม่บอก ฮะ ทำไมฟังดังขนาดนี้ เค้าได้ยินกันหมด ผมไม่ได้ยินแล้ว หลวงปู่       เอ้อ ชักเริ่มแล้วล่ะ คุณมนัส      เค้าบอกว่า อยากให้หาย ก็เลิกอ่านข่าว ก็จะดี หลวงปู่      ไม่ใช่ แก้ได้ เปลี่ยนได้ ก็คือ ปรับ ใช้ให้มันเกิดสมดุลย์ทั้ง 2 ข้าง วันนี้ ขวา,พรุ่งนี้ ซ้าย อะไรอย่างนี้ ทำได้ ไปหายาบำรุงปลายประสาท กับยาแก้ปลายประสาทอักเสบ คุณมนัส     ครับ ปุจฉา       ชายอายุ 58 ปี เป็นหวัดและไอ กินยาไข้หวัดมาแล้ว 3 อาทิตย์ กิน 7 วัน แล้วก็หยุด 3 วัน แล้วก็อมขี้ผึ้งเทพโอสถ แล้วก็น้ำมันมนต์ อยากทราบว่า ต้องเพิ่มยาอะไรอีกบ้างหรือไม่ วิสัชนา       ไม่หายเหรอ คุณมนัส     ไม่หายครับ กินมาแล้ว 3 อาทิตย์ กิน 7 วัน หยุด 3 วัน หลวงปู่        ยาแก้ไอเหรอ คุณมนัส      ยาแก้ไข้หวัด อมขี้ผึ้งเทพโอสถด้วย และน้ำมันมนต์ด้วย หลวงปู่        ไอ เนี่ยนะ คุณมนัส     ต้องไปตรวจปอดไม๊ครับ หลวงปู่         อืม เดี๋ยวอาทิตย์ต้นเดือน มาให้ตรวจดูหน่อย คุณมนัส     อาทิตย์ที่ 2 ของเดือน หลวงปู่จะมีจ่ายยาขยายหลอดเลือด และบำรุงปอด แล้ววันจันทร์จะไปโรงพยาบาล ตรวจ หมอบอกเป็นมะเร็งที่ปอด หมอไม่รับรักษา และเป็นมะเร็งที่ปอด ต้องใช้ยาตัวไหน หลวงปู่       ยัง ยังไม่เชื่อหรอก วันอาทิตย์ต้นเดือน มาดูหน่อย จบ ปุจฉา         การป้องกันครอบครัวแตกแยก อยากให้หลวงปู่อบรมจิตใจผู้ครองเรือน โดยเฉพาะผู้ชาย ว่า หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติต่อครอบครัว จะต้องช่วยเหลือภรรยาอย่างไร เพราะปัจจุบัน ชายหญิงต้องทำงานเท่าเทียมกัน วิสัชนา        อืม หาใหม่ ลูก คุณมนัส     ธรรมะการครองเรือน หลวงปู่         ก็เนี่ย หาใหม่ คุณมนัส     หาใหม่เลยเหรอฮะ หลวงปู่         ก็ถามอย่างนี้ ก็แสดงว่า มันเบื่อกันแล้ว คือ มันเริ่มมองกันด้วยความรู้สึกเบื่อแล้วไง เอ่อ มึงชักเริ่มเหม็นล่ะ อ้ายนี่มันชักเริ่มน่ารังเกียจแล้ว มันมองกันไปมองกันมา เดี๋ยวมันก็ไป หาใหม่เฮอะ ไปกันด้วยดี หรือไม่ ก็แยกกันอยู่สักพัก แล้วค่อยกลับมาเจอกันใหม่ อ้ายคนมันจะไม่อยู่ด้วยกัน แล้วพยายาม ทำยังไง คุณมนัส       ตอนนี้มองในแง่ดีนะ คิดบวก เค้าอาจจมาด้วยกันก็ได้ หลวงปู่ หลวงปู่      มาด้วยกัน ก็ดีสิ ก็จะบอกเลยว่า หาใหม่ ไปเลย ต่างคนต่างไป คุณมนัส     ปรองดอง ให้ปรองดอง หลวงปู่     ปรองดองอะไร ก็มันดองจนเน่าแล้วไง เออ มันไม่ใช่ดองอย่างเดียว มันหมักเลยล่ะ ถึงได้บอกไง ก่อนจะแต่งงานกัน ผู้หญิงผู้ชาย เวลามาหาหลวงปู่ หาฤกษ์แต่งงานเนี่ยนะ มึงแต่งเพราะอะไร, รัก, ไม่ได้ อย่างนั้น ยังแต่งไม่ได้ ไม่มีฤกษ์ ตราบใดที่มึงยังไม่เห็นเลวของกันและกัน ยังแต่งไม่ได้ ต้องไปเจออ้ายเลวของกันและกันก่อน แต่งเพราะโอ้ น้องเค้าเป็นคนนิสัยดี พูดเพราะ มีมารยาท สะอาด สะอ้าน เนี่ย ดีทั้งหมดเลย มันตอแหลก็ไม่รู้ ก็ดีไง มันทำดี อ้าว แล้วมึงแต่งกับเค้า, พี่เค้าเป็นคนรับผิดชอบ ดูแลดี มีน้ำใจ รักครอบครัว ดีทั้งหมดเลย มันโกหกก็ไม่รู้  พอลับหลังมาเจอกัน แฮะๆ มึงไม่เอาอะไรเลย มึงปล่อยกูทำคนเดียว เลยอยู่กันไม่ได้ เพราะงั้น ไม่เอา มาหาหลวงปู่ มึงอย่าไปเห็นความดีของกันแล้วจึงแต่ง ต้องเห็นความอัปรีย์ของกัน แล้วยอมรับได้ แล้วจึงแต่ง ไม่งั้น ไม่ต้องมาถามเลย ยืดแน่ เออ อันนั้นมันก็ไม่ดี ตดก็เหม็น หัวก็ล้าน หน้าตาก็น่ารังเกียจ ดู นอนก็กรน เอ้อ แล้ว ทำไมกูอยู่กับมัน กูชอบแบบนี้ อ่า อย่างนี้ อยู่กันไปเฮอะ ไม่มีใครหรอก ไปจีบกันแล้วมันเอาขี้ทาหน้า มันก็ต้องเอาทองแปะหน้าทั้งนั้นแหละ ฟังอย่างนี้ เข้าใจไม๊ คือ มันต้องทำดี ให้แก่กันดูทั้งนั้นแหละ ถ้าวันไหน ใครมันเอาขี้ทาหน้า แล้วไปจีบใคร อ้ายคนนั้นน่ะ น่าเอามา ก็แสดงว่า มันจริงใจ แต่ถ้าแต่งไปแล้ว มันยังมีขี้เต็มหน้าอยู่เนี่ย แสดงว่า บ้าแล้วอ้ายนี่ อ้ายคนไปเอามันก็ปัญญาอ่อนละ คือ คนเรามันจะอยู่ด้วยกัน มันจะแชร์ชีวิตเท่ากันและกัน มันต้องยอมเปิดใจให้แก่กัน ต้องรู้ว่า เอ้อ เรามีข้อบกพร่องอะไรนะ เจียระไนไปเลย เขียนเลย ชั้นนอนกรน ตดเหม็น เอ้อ ปากเหม็น กลิ่นตัวแรง ขี้เกียจหลังยาว เอ้อ ไม่เอาอ่าว ไม่ชอบทำงาน ไม่มีใจรับผิดชอบ สันดานไม่ดี จู้จี้ จุกจิก อะไรก็ว่าไป เนี่ย รับกูได้ไม๊ คุณมนัส      เขียนเป็นสัญญาเลย หลวงปู่      เขียนไปเลย รับมันได้ไม๊ แล้วมันว่าไง ต่างคนต่างไป ว่า มึงเลวได้ขนาดนี้ กูไม่รู้จะอยู่กับมึงทำไม เพราะฉะนั้น อ้ายเวลาที่คนเรารักกัน ไม่มีใครบอกความชั่วของตนให้ใครฟัง แต่ไปอยู่แล้ว มีชั่วไม๊ มี๊ แล้วอยู่ชั่ว แล้วรับได้ไม๊ รับไม่ได้ แล้วก็มาเรื่องหย่าร้าง เพราะงั้น ไม่ถูก อย่างนี้ไม่ถูก งั้น จะรักใครชอใคร อย่าไปมองความดีของมัน จงหาความชั่วมันให้เจอ เห็นว่า หางมันยาวกี่ศอกกี่เมตร แล้วจึง เอ๊อ นี่มันก็ไม่ยาวมากไปกว่านี้แล้วนะ คุณมนัส     ยาวพอๆ กัน หลวงปู่       เอ๊อ มึงกับกูก็ยาวพอกัน พอได้ อ้ายอย่างนี้ พอไปได้ แต่ถ้าไม่รู้ของกันและกัน เดี๋ยวมันโผล่หางเข้ามา อ้าว ผิดหวังนี่ แล้วก็มานั่งโวยวาย เดือดร้อนพระอีก จบ คุณมนัส       ไม่แต่งล่ะ ผมอ่ะ ปุจฉา       คุณพ่ออายุ 80  เป็นเก๊าส์ อยากทราบว่า จะให้ท่านทานยาอะไร ท่านมีความดันฯ สูง วิสัชนา        คุมอาหารก่อน คุมอาหาร แล้วก็พยายามดื่มน้ำปรับธาตุไปสักเดือนหนึ่ง น้ำปรับธาตุมันจะทำให้เลือดสะอาด แล้วละลายไขมันในเลือด เสร็จแล้วจึงจะมากิน ยาฟอกเลือด กับ ยาแก้โรคเก๊าส์ จบ ปุจฉา         มนต์ชื่อ อาลัมภาย คือ มนต์ไว้ทำอะไร พระโพธิสัตว์ภูริทัต วิสัชนา       ไม่เคยได้ยิน ไม่มี มีแต่อารัมภบท เค้าก็ เริ่มต้น อาลัมภายนี้ ไม่มีหรอก จบ มันไม่มีนี่ คุณมนัส     ท่านใดมีคำถาม มีปุจฉา เพิ่มเติมไม๊ครับ หลวงปู่       ไม่มี ก็เลิก คุณมนัส       ผมมีคำถามจากตัวผมเอง ได้ไม๊ฮะ 2 คำถาม หลวงปู่      ว่า คุณมนัส       เดี๋ยวกลับไป พรุ่งนี้ต้องไปทำงาน ก็เลยอยากได้ข้อมูลบ้าง อยากทราบมุมมองของท่าน เรื่อง พรบ. เงินกู้ หลวงปู่      เอาแล้วไง คุณมนัส      2.2 ล้านล้านบาท แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง การแก้รัฐธรรมนูญ รายมาตรา 3 มาตรา 190 237 117, 3 มาตรานี้ครับ หลวงปู่       อ้าย 3 มาตรานี้ มันเกี่ยวกับอะไรบ้าง คุณมนัส      3 มาตรานี้ เอาสั้นๆ เลย เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ยกเลิกการยุบพรรค 237 นะครับ, แล้วก็เพิ่มข้อ 68 เข้าไปด้วย, 68 ก็คือ แก้ไขบางเรื่องใส่เข้าไปอีก แต่ว่า 190 ก็คือ ยกเลิก หรือไม่ให้เอาความตกลงระหว่างประเทศ มาขออนุมัติในที่ประชุมรัฐสภา, 117  ส.ว 200 เก้าอี้ ต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น แล้วก็อยู่ได้ไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนส.ส หลวงปู่      อืม คุณมนัส      เค้าจะเอาเข้าสภา วันที่ 1 และ2 เมษายน และเชื่อว่า หลายกลุ่มก้อนทางการเมืองก็จะออกมาเคลื่อนไหวอีก หลวงปู่      ไม่ มันต้องดูว่า วัตถุประสงค์ที่เราเลือกผู้แทนฯ เข้าไป ผู้แทนราษฎร คือ ส.ส เราเลือกเพื่อไปทำอะไร ทำอะไรให้ใคร ถ้าเราเลือกผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส ไปทำอะไรเพื่อเรา ก็ต้องถามว่า สิ่งที่เค้าทำ เพื่อเราหรือเปล่า ถ้ามันไม่ใช่เพื่อเรา ก็แสดงว่า เค้าทำหน้าที่ผิดประเภท ผิดวัตถุประสงค์ เพราะกฏหมายที่เค้าจะทำ มันไม่ใช่กฏหมายที่เป็นประโยชน์ เพื่อชาวบ้าน เพื่อประชาชน หรือ เพื่อคนที่เลือกเขาเข้าไป แต่มันเป็นกฏหมายที่เพื่อประโยชน์ตน เพื่อพวกพ้องของตน เพื่อพรรคตน เพื่อกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง แสดงว่า ไม่ใช่ล่ะ มันผิดวัตถุประสงค์ ชั้นไม่รู้เป้าหมาย เค้าจะคิดอะไรมากไปกว่านี้ แต่รู้ว่า หน้าที่เค้า คือ อะไร ต้องถามตรงนี้ก่อน เราเลือกผู้แทนฯ ก็เพื่อจะออกกฏหมายให้เราได้อยู่ เรียกว่า บำบัดทุกข์บำรุงสุข อยู่ดีมีสุข แล้วก็ทำให้ชีวิตรุ่งเรืองเจริญ คือ พวกเรา รุ่งเรืองเจริญ ไม่ใช่เขารุ่งเรืองเจริญ เราเลือกเขาไปทำงานแทนเรา ไม่ใช่เลือกเขาไปทำงานให้กับเขา ซึ่งมันก็ชัดเจนโดยหน้าที่ ก็บอกชัด งั้น มันก็ต้องมาดูว่า เมื่อเค้าไม่ได้ทำหน้าที่ มันมีกฏหมายไม๊ว่า คุณไม่ได้ทำหน้าที่ให้ชั้น คุณไปหน้าที่ให้พวกคุณอย่างนี้ ต้องถอดได้ไม๊ ต้องปลดได้ไม๊ คุณมนัส     ถอดถอนได้ครับ หลวงปู่        เอ๊อ ต้องถอดถอนได้ไม๊ เพราะว่า หน้าที่คุณ คุณยังไม่ได้ทำเลย เนี่ย ข้าวก็ยาก หมากก็แพง แผ่นดินก็แล้ง รวมทั้งพืชผลทางเกษตรก็ตกต่ำ คนก็ทุกข์ยากเดือดร้อน คุณยังไม่ได้ทำอะไรให้ชั้นเลย แต่คุณไปทำแต่เรื่องของคุณ อย่างนี้ ถอดถอนได้ไม๊ เหมือนกับ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปัญหาของเรา ก็คือ เราสับสนไง เราพยายามจะให้เค้ามาจูงจมูก แล้วเชื่อว่า สิ่งที่เค้า เพื่อเรา เอ่อ ยุบพรรคการเมือง มันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ คุณจะมีข้าวกิน เพราะว่า ได้รับการยุบพรรคการเมือง หรือว่า ไม่มีข้าวกิน เพราะว่า ได้รับการยุบพรรคการเมือง หรือไง ส.ส  ส.ว จะเลือกตั้ง ไม่เลือกตั้ง นี่มันเกี่ยวอะไรกับเรา เอาว่ากันจริงๆ มันเกี่ยวอะไรกับเรา เกี่ยวทางตรง เกี่ยวทางอ้อม เกี่ยวโดยปฏิสัมพันธ์ เพราะว่า ส. ว โดยหลักแล้ว ก็คือ ผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของ ส.ส ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายการเมือง งั้น หน้าที่ของ ส.ว ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องมีคุณลักษณะพิเศษ ต้องไม่เกาะเกี่ยวกับการเมือง แต่ความเป็นจริง ณ. วันนี้ ส.ว ที่นั่งอยู่ในสภาที่ได้รับการเลือกตั้งมาเนี่ย มันสังกัดพรรคการเมืองทั้งนั้น ถูกไม๊ แล้วมันจะไปตรวจสอบการเมืองได้อย่างไร อ้าว จริงๆ เอาของจริงมาพูด  ไม่ต้องไปเอาของโกหกหลอกลวง งั้น ก็ไม่รู้ว่า วิธีคิด เค้าคิดอะไร รวมทั้งอ้ายเรื่องขอฉันทามติ มติในสภา เพื่อจะไปตกลงระหว่างประเทศ ข้อตกลงระหว่างประเทศ ถูกไม๊ คุณมนัส      ใช่ครับ หลวงปู่       ซึ่งมันเป็นผลประโยชน์ของชาติ มันก็จำเป็นต้องเอาเข้ามาสู่ส่วนกลางเพื่อให้ได้ร่วมกันพิจารณา ถ้าอะไรมันเป็นผลประโยชน์ของชาติ แล้วคุณไปงุบงิบ ไปเลือกที่รักมักที่ชัง ไปเซ็นต์โดยที่ไม่ได้รับรู้รับเห็นจากสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่ มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่า คุณจะทำเพื่อประโยชน์ของใครก็ได้ เดี๋ยวนี้ มันทำได้กันทั้งนั้นแหละคุณ งั้น ก็เลยไม่เข้าใจว่า วิธีคิด คิดอะไร ถ้าถามชั้น ชั้นพูดแบบตรงไปตรงมาอย่างนี้ล่ะ หน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร ทำงานให้ใคร หน้าที่ของ ส.ว มีหน้าที่ทำอะไร กฏหมายในการขออนุญาตสภาผู้แทนราษฎร เพื่อไปทำการตกลงระหว่างประเทศ หรือ MOU อะไรก็แล้วแต่เถอะ มันทำเพราะต้องการอะไร ต้องการความโปร่งใส ต้องการความเห็นชอบ ต้องการความร่วมมือ ต้องการฉันทามติ หรือ ต้องการเพียงแค่ความเห็นของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ถ้าอย่างนี้ ก็แสดงว่า เรามอบอำนาจประเทศนี้ แผ่นดินนี้ ให้กับคนกลุ่มนี้เท่านั้น โดยไม่ใส่ใจคนที่เป็นตัวแทนของเราที่เลือกเข้าไป ซึ่งมันก็ไม่น่าจะใช่ เพราะผลประโยชน์ของชาติ มันไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของใครที่จะมาตกลงได้ ยกเว้นตัวแทนของทุกคนที่เข้าไปทำหน้าที่ตกลงแทนเรา ซึ่งกฏหมายเค้าก็วางไว้ดีแล้ว หลวงปู่มองว่า น่าจะเป็นความเที่ยงธรรมละ เป็นการรับผิดชอบโดยองค์รวม ถ้ามีปัญหา ก็สภาผู้แทนราษฎรรับผิดชอบ แล้วสภาผู้แทนราษฎร ก็มาจากปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ ก็ถือว่า ต้องยอมรับ แต่ณ. วันนี้ มันเข้าใจอะไรกันคลาดเคลื่อน และพยายามทำให้เราเข้าใจผิด คิดผิด หรือเปล่า ส่วน พรบ. กู้เงิน ก็ได้ยินว่า สมัยก่อนนั้น ประชาธิปัตย์มากู้เงิน เค้าก็บอกว่า เอาแต่กู้ ไม่ยอมหา ใช่หรือเปล่า เดี๋ยวนี้ มันก็มากู้เหมือนกัน ไม่มีรัฐบาลไหนไม่กู้เลย ก็เห็นเค้ากู้กันทุกรัฐบาล แล้วเราก็มีหน้าที่ใช้เงิน ใช้หนี้ ไม่ใช่ใช้เงิน ว่ากันจริงๆ ประชาชนมีหน้าที่ใช้หนี้ คณะรัฐมนตรี กับนักการเมือง มีหน้าที่กู้เงิน ใช้เงิน แล้วประชาชนก็มีหน้าที่ใช้หนี้ มันเป็นวิถีของประชาธิปไตย ลูก คุณมนัส     ครับ หลวงปู่      เข้าใจไม๊ คุณมนัส      เข้าใจครับ หลวงปู่      นี่แหละ วิถีประชาธิปไตย มันเป็นอย่างนี้ ลูก บอกชัดๆ แล้วห้ามไปตัดด้วยว่า ประชาชนมีหน้าที่ใช้หนี้ คณะรัฐมนตรีมีหน้าที่กู้และใช้เงิน คุณมนัส      แต่คนใช้หนี้ คือ ประชาชน หลวงปู่     ใช่ ประชาชนมีหน้าที่ใช้หนี้ คณะรัฐมนตรีกับนักการเมือง มีหน้าที่ใช้เงินอยู่แล้ว เราก็ให้เค้าไปใช้เงินไม่ใช่เหรอ อ้าว ก็เราเลือกเค้าไป เค้าก็ต้องอ้างว่า ก็คุณไม่ให้เงินชั้น แล้วชั้นจะไปทำงานยังไง เค้าก็ต้องอ้างว่า อย่างนั้นก็ต้องหาเงิน หาเงินไม่ได้ ก็ต้องกู้ แล้วใครเป็นคนใช้หนี้ ใครเลือกเค้ามาล่ะ อ้าว ใครเลือกชั้นเข้ามาล่ะ ก็ใช้ไปซิ สมน้ำหน้า ก็มันจะต้องทำน่ะ เค้าจะต้องทำ อันนี้ เป็นหน้าที่ของเค้านะ เราก็ไม่ว่าเค้า มันเป็นหน้าที่ คุณมนัส      ครับ มีโครงการหลายโครงการที่เค้ากำลังประกาศ โครงสร้างพื้นฐาน หลวงปู่      ใช่ เค้าไม่ทำ เราก็ว่าเขา ถูกไม๊ พอเค้าทำ จะเอาเงินที่ไหน เค้าทำ จะเอาเงินที่ไหน ก็ต้องเอาเงินจากเรา เราไม่มีเงินให้ เค้าก็ต้องกู้ แล้วกู้ ใครจะเป็นคนใช้ เราก็ต้องใช้ แล้วจะมาบ่นทำไม ใช้ไปเถอะ อย่ามาบ่น คุณมนัส     พูดเหมือนไม่บ่นเลยนะ หลวงปู่     สมน้ำหน้า ไม่รู้ว่า อีก 10 ปีข้างหน้า จะใช้หนี้หมดหรือเปล่า คุณมนัส      ไม่หมดครับ หลวงปู่      เอ๊อ ก็เห็นลูกพี่ใหญ่เค้าบอกว่า เค้าเข้ามาบริหารบ้านเมือง จะไม่กู้เงินไง รัฐบาลเก่าเอาแต่กู้ รัฐบาลเดิมของเค้า มีแต่หา มีวิธีหาเงิน ก็ว่ากันไป ตามเหตุตามปัจจัย คุณมนัส       ปิดท้ายสักเรื่องหนึ่งครับ หลวงปู่ เรื่องของภาคใต้ หลวงปู่       แหม รู้สึกมาแต่ละเรื่อง นี่หนักๆ ทั้งนั้นเลยนะ คุณมนัส       ทิ้งท้ายหน่อยฮะ ทิ้งท้ายหน่อย หลวงปู่      เออ คุณมนัส     เรื่องภาคใต้หน่อยครับ หลวงปู่ครับ หลวงปู่       ว่า คุณมนัส       แนวทางการเจรจา การเข้าไปคุยกับกลุ่มปฏิบัติการ อย่างที่ออกมาเป็นข่าวตอนนี้ หลวงปู่      ชั้นมองอย่างนี้นะ ชั้นมองอยู่ 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรก จริงๆ ชั้นว่า น่าจะเป็นเรื่อง ไทยพีบีเอสนะ เอ้อ ทำไมไม่ปิดท้ายเรื่องนี้ล่ะ คุณมนัส     เดี๋ยวค่อยต่อไป หลวงปู่     เรื่องภาคใต้ คุณมนัส     ก็เห็นหลวงปู่เอง ก็ลงพื้นที่อยู่แล้ว หลวงปู่         ชั้นว่า ถ้าทำยังไงให้มันสงบ ถ้าเค้าทำได้ อย่าเอาแต่คุยเลยนะ ทำไปเฮอะ สงบแล้วไม่ต้องเสียดินแดน ทำไปเฮอะ เค้าจะคุยกับใคร จะยกฐานะอะไร ยังไง แต่อย่ายกประเทศ ยกบ้านเมืองให้มัน ก็ใช้ได้ล่ะ ทำไปเฮอะ ถ้าให้พี่น้องประชาชน อยู่กันอย่างสันติสุข สงบ ร่มเย็น ข้าราชการไม่ต้องอกสั่นขวัญหาย ผู้คนไม่ต้องล้มตาย บ้านเมืองอยู่ได้สบาย พระบิณฑบาตรได้อย่างผ่อนคลาย แต่ละศาสนา ก็ทำกิจของตนได้ มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ไม่เป็นไร ทำไปเฮอะ ไม่ได้ว่าอะไร จะเจรจากันกี่ฝ่ายกี่พรรคกี่พวก กี่ระดับ ขอให้มันถูกตัวถูกฝา และใช่ ไม่ใช่มาทำภาพให้มันดูเหมือนจะเป็น แล้วก็ ตุ้มๆๆ  เจรจาเช้า ระเบิดเย็น, เจรจาเช้า ระเบิดเช้า มันดูเหมือนกับว่า มันแปลกๆ มันทำให้คนสงสัยได้ว่า เอ๊ นี่มันไปเจรจาให้ระเบิด หรือ เจรจาให้หยุดระเบิด มันทำให้สงสัยได้ เพราะเจรจาครั้งใด ระเบิดทุกที มันเลยทำให้งงว่า ไปเจรจาอะไรกัน อะไรอย่างนี้ เค้าก็อ้าง จริงๆ มันก็ไม่ใช่คำกล่าวอ้าง มันเป็นความจริง ที่มันมีหลายฝักหลายฝ่ายมากในภาคใต้ เพราะเราก็ไปใต้บ่อยๆ แล้วก็มีลูกศิษย์ที่อยู่ทางใต้เยอะมาก แล้วทำให้รู้ว่า ภาคใต้ นี่มันไม่ใช่มีแค่กลุ่มที่จะแบ่งแยกดินแดนอย่างเดียว มันมีทั้งกลุ่มค้าของเถื่อน กลุ่มขายน้ำมันเถื่อน กลุ่มของหนีภาษี กลุ่มขโมยทรัพยากร กลุ่มขายยาเสพติด แล้วก็กลุ่มโจรเรียกค่าไถ่ อ้ายกลุ่มพวกนี้ มันเป็นกลุ่มผลประโยชน์ ที่จะต้องหาวิธีว่า ทำยังไงให้มันยิ่งไม่สงบ มีระเบิด มีความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน พวกนี้มันจะหากินอยู่ได้ แต่ถ้าเมื่อใดที่สงบแล้ว ข้าราชการว่าง เจ้าหน้าที่บ้านเมืองว่าง ก็จะมาตรวจสอบคนพวกนี้ มีเวลาจะมาตรวจสอบ เวลานี้ ถ้าจะไปแจ้งกันว่า มีการปล้นกันนะ ถ้า 6 โมงไปแล้ว รอไปพรุ่งนี้เช้า เพราะตำรวจ เจ้าหน้าที่ไม่กล้าไป ไม่กล้าไปติดต่อ ใครจะยิงกันตาย ฆ่ากันตาย ใกล้ๆ มืด โพล้เพล้ รอตายไปคืนหนึ่งล่ะ เช้าถึงจะไป แล้วจะไป นี่ต้องมีหน่วยหน้า หน่วยหลัง ตรวจสอบว่า ลับ ลวง พราง อะไรยังไงหรือเปล่า โอย พอดี พวกค้าของเถื่อนก็ใช้จังหวะนี้ คุณมนัส        ครับ ขน หลวงปู่      อ้าว ก็ตำรวจไม่กล้ามาไง เมื่อไม่กล้ามา จะเอาผ่านสายไหนล่ะ เอ้า สายมาลัยแมนเหรอ เอาซัก ตุ้ม ตอน 6 โมงเย็น อ้าว พอทุ่มหนึ่ง กูก็เอารถขนของไป คุณมนัส       มาลัยแมน แถวนี้ ไม่ใช่เหรอฮะ หลวงปู่      อ้าว ใช่, อ้าว ทุ่มหนึ่ง 2 ทุ่ม รถขนของไป, อ้าว เจ้าหน้าที่ไม่มี ใครจะกล้ามา ก็มันตุ้มตอน 6 โมงเย็น ขืนมา เดี๋ยวอาจจะตุ้ม 2 ตุ้ม 3 ทีนี้ ก็ง่ายต่อการขนของละ ง่ายต่อการขายยาเสพติดโอย มันเป็นกรรมวิธีหลากหลาย คือ เจ้าหน้าที่พูดความจริงหรือเปล่า พูดจริง แล้วพูดหมดไม๊ ถ้าพูดให้หมด ก็จะรู้ว่า อ้ายคนกลุ่มพวกนี้ ไม่ใช่ใครอื่นเลย ส่วนใหญ่มันก็คือ เครือข่ายนักการเมือง มันลูกน้องลิ่วล้อ ส่วนใหญ่ทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ว่าส่วนน้อยเลย มันคนรู้จักกันทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่คนไกลตัวเลย  เค้ารู้กัน เป็นที่รู้กันแหละ เอ้า จะระเบิดมาก ระเบิดน้อย ก็ว่ากันไป แล้วอีกอย่างหนึ่ง มันก็มาจากการทำงานของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเอง เพราะถ้าขืนเงียบๆ ก็เหมือนกับทางเหนือแหละ ถามว่า ทางเหนือ ทำไมหมอกไม่รู้จักหยุด ควันไม่รู้จักหาย ก็เพราะว่า มันมีงบฯ ดับไฟไง มันมีงบฯ ดับไฟ มันก็มีการจ้างจุดไฟ อ้าว จุดไฟแล้วมันก็ต้องดับ ถ้าไม่ดับแล้ว คือถ้าไฟไม่ติด มันจะเบิกงบฯไม่ได้ ก็ต้องหากรรมวิธี แล้วงบฯ แต่ละจังหวัดนี่ 30 ล้าน 50 ล้าน ไม่น้อยแต่ละปี ถ้าขืนไม่มีไฟดับ ปีหน้ามึงอดงบฯ ก็ต้องดับกันเป็นอาจินต์ ดีไม่ดีก็ มึงจุดเตาให้มันไฟสุมๆ เยอะๆ ไม่รู้จะไปดับไฟที่ไหน ก็ดับไฟในเตา คุณมนัส      สุดท้ายครับ หลวงปู่ ตอบโจทย์ จะตอบสังคมอย่างไร     หลวงปู่        เรื่อง พีบีเอส ครับ หลวงปู่      อ๊อ ชั้นก็ยังยึดถือ ท่านผบ.ทบ.ว่า มึงลำบากนัก ก็ไปหาที่อยู่อื่น คุณมนัส     อึดอัดมาก ก็ไป หลวงปู่      เอ๊อ มึงไปหาแผ่นดินอื่นอยู่ อย่ามาอยู่แผ่นดินนี้ แผ่นดินนี้ เป็นแผ่นดินที่เค้าอยู่กันมาแบบนี้ 200 กว่าปี โคตรเหง้าบรรพบุรุษ เค้าก็ยอมรับกันอย่างนี้ เค้าก็อยู่เป็นสุขกันมาตลอด ไม่ทุรนทุราย ถ้ามึงอยู่แล้วทุรนทุราย มึงก็ไป๊ เออ มึงอย่ามาทรมานอยู่อะไรกับแผ่นดินที่มึงดูแล้ว มันไม่มีอิสระ ไม่สมบูรณ์ โดนครอบงำ ไม่เป็นเสรีชน เอ้า มึงอยากได้ มึงไปหาแผ่นดินอื่นอยู่ ไปตามลูกพี่มึงน่ะ ไปทางนู้นอ่ะ คุณมนัส      ลูกพี่ มาแถวทวายละ ใกล้ๆ ละ  หลวงปู่      เอ้อ  มึงจะไปไหนก็ไป อย่ามาอยู่แผ่นดินนี้ เราก็ไม่อยากบอกว่า แผ่นดินนี้เป็นของกูหรอก แต่ใช้คำว่า แผ่นดินนี้ เค้าอยู่กันอย่างนี้มาเนิ่นนาน เป็นร้อยๆ ปี เค้าก็อยู่กันได้อย่างไม่เห็นต้องอนาทรร้อนใจ ได้รับพึ่งพระบรมโพธิสมภารมาตลอด 200 กว่าปีที่ผ่านมา ก็ไม่ได้ทำให้ประชาชีเดือดร้อนเสียหาย ตรงกันข้าม ชาวบ้านกลับไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารกับท่านเสียอีก ท่านบริจาคปีหนึ่งเป็นร้อยๆ เป็นพันๆ ล้าน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน แล้วถ้ามึงอยู่แล้วมึงลำบาก มึงไปหาที่อื่นอยู่ไป๊ คุณมนัส     เค้าจะได้กลับมาไม๊ครับ เค้าจะได้กลับมาอยู่ไม๊ครับ หลวงปู่         เอ๊า คุณมนัส     หรือ ผมพูดเร็วไป หลวงปู่        ก็ไล่ให้มันไปไง ก็มันอยู่แล้ว มันลำบาก ก็ให้มันไปอยู่ที่อื่น เอ้า คนส่วนใหญ่เค้าอยู่ เค้าอยู่สบาย สบายไม๊ (สบาย) เอ้อ เราไม่ได้ลำบากนี่ มึงอยู่ลำบาก มึงก็ไป อ้าย 2 ตัวนั่น ที่มาพูดออกโทรทัศน์ อยู่ลำบาก มึงก็ไป๊ ไปหาที่อยู่ใหม่ ไม่เห็นจำเป็นต้องอนาทรร้อนใจอะไร เพราะ ตัวหนึ่งก็แก่ใกล้ตายล่ะ อีกตัวก็ใกล้ๆ ตายเหมือนกัน ก็ไม่ได้อะไรมากมายนักหนา คุณมนัส      เดี๋ยวพรุ่งนี้ โฟนอินหลวงปู่ดีกว่า หลวงปู่       เอาได้เลย ถ้าประเด็นล่ะ ได้เลย, ตี 1 ก็ยังลุกขึ้นมาให้สัมภาษณ์ คุณมนัส    เอาละครับ เชื่อว่า วันนี้ได้อรรถรส ทั้งหลักธรรม ทั้งเรื่องของสุขภาพ การบ้านการเมือง.......... หลวงปู่         ให้ทุกท่านที่รับชมรายการวิถีธรรม วิถีไทย จงรุ่งเรือง เจริญ มีสุขภาพที่แข็งแรง อายุยืนยาว เดินทางไปกลับโดยสวัสดิภาพ ปลอดภัย เจริญธรรม (สาธุ) วันนั้น ดูอะไรล่ะ รายการเสื้อแดงน่ะ เค้ามีพระ อ้ายนักบวชองค์หนึ่งมาพูด โอ้โห ฟ้ากำลังจะเปิด อะไรนะ เปลี่ยนรัฐธรรมนูญใหม่ ฟ้าจะสดใส ต่อไปนี้ แผ่นดินจะสุขสบาย มีเสรีภาพทั่วถึง อะไรไม่รู้ เรามีความรู้สึกว่า เอ๊ นักบวชนี่มันไม่ใช่ คือ จริงๆ แล้ว เราก็ว่าเค้าไม่ได้นะ เพราะว่า เรายังเลือกที่จะพูดในส่วนที่เราเห็นชอบ เค้าก็อาจจะมีสิทธิ์เลือก แต่มันต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และครรลองคลองธรรม ทำนองคลองธรรมว่า แผ่นดินนี้ เค้าสร้างมาด้วยอะไร ถ้าเราไม่ได้อาศัยพระบารมีปกเกล้า เราก็คงไม่สามารถจะใช้คำว่า ประเทศไทย ไม่ว่าจะรัชกาลแต่ละรัชกาลที่ขึ้นมา ก็หาวิธีปกป้องแผ่นดินมาตลอด สมัยที่ต่างชาติมาล่าอาณานิคม ถ้าไม่ได้พระบารมีปกเกล้า ปกแผ่นดิน เราก็คงไม่รู้เป็นเมืองขึ้นของประเทศไหน รัชกาลที่ 5 ต้องตะลอนๆ ไปทั่วยุโรป ไปหาพันธมิตร ไปสร้างภาพให้เห็นว่า ไทยไม่ใช่เป็นคนขี้ไก่ ไม่ใช่เป็นประเทศด้อยพัฒนา มีมหามิตร เป็นพันธมิตรต่อกันและกัน ไปพึ่งพระเจ้าซาร์ ไปพึ่งพระเจ้าหลุยส์ ไปเยอรมัน เพื่อให้อังกฤษ ให้ฝรั่งเศสเห็นว่า เราไม่ใช่อยู่เดียว หัวเดียวกระเทียมลีบ มันไม่ได้มอง อ้ายพวกนี้มันไม่ได้มอง มันมองเฉพาะวันนี้ คือคนมันอายุสั้น มันเพิ่งจะเกิด เอ่อ แล้วมันก็อยู่ได้ไม่กี่วัน ปล่อยมันเถอะ ชั่งมัน จบ แหม พูดเรื่อง ไม่อยากหยุด เดี๋ยวมาต่อซิ มาอีก 2 ชั่วโมงก็ได้ ไป พัก ลูก กราบพระ แล้วไปพัก เข้าห้องน้ำห้องท่า (กราบ) ไปยอมมันได้ไง เดี๋ยววันที่ 27 ไปกันเยอะๆ เดี๋ยวไปจัดรายการนี้ ที่โรงพยาบาลนะ ศิริราช พวกนี้ มันเหิมเกริม

24 มี ค 56   15.15 น. ระหว่างปฏิบัติธรรม โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ (เดินขั้นที่ 1 ภาคที่ 1, 2, 3 ใช้วิชาปราณโอสถ ปรับสมดุลย์ภายในกาย ปราณร้อน ปราณเย็น) เตรียมปฏิบัติธรรม ลูก (กราบ) ขั้นที่ 1 ภาคที่ 1 .................... ขั้นที่ 1 ภาคที่ 2 .................. ขั้นที่ 1 ภาคที่ 3 ................. มีวิธี ปรับปราณ อยู่ภายในตัวเอง เรียกว่า ไล่สมดุลย์ ลองดูซิ ถามว่า ทำยังไง ใช้วิชาปราณโอสถ เดิน ให้เย็นภายใน ให้มีไอเย็นออกจากจมูก ทำให้ภายในเย็น นั่นคือ มี สติ อยู่ภายในกาย ก้าว อย่าง มีสติ มีสติ รู้ ทุกขณะที่ก้าว รู้ จังหวะ แล้ว ผ่อนลม ในขณะที่ก้าวทุกก้าว ทั้ง เข้าและออก อย่างผ่อนคลาย ความร้อน ภายในกาย  ก็จะถูกขับไล่ออก จนเกิดสมดุลย์ ข้างในเราจะ รู้สึกเย็น สบายขึ้น หน้าอกหน้าใจ จะเย็นขึ้น ............... ลองทำดูซิ ............... แม้อากาศภายนอกจะร้อนเร่า ทุรนทุราย แต่เราจะอยู่ได้ เพราะภายในเรา เย็น ท้องจะเย็น หน้าอกจะเย็น ลมหายใจจะเย็น จะรับรู้ได้ แต่นั่นต้องหมายถึงว่า จิตต้องสงบ ไม่พลุ่งพล่าน พลังงานภายในไม่เผาผลาญ จนเกิดมลภาวะ นั่นก็แสดงว่า เซลล์ ต่างๆ ในร่างกาย อวัยวะทั้งหลาย ต้องทำงานน้อยมาก เพราะถ้าทำงานมาก มันก็จะบดขยี้ ทำให้เกิดความร้อน การเผาผลาญมีมาก ก็จะมีความร้อนมากขึ้น งั้น ต้องเดินจนกระทั่ง จิตสงบ แล้วภายใน จะเย็น ................ ใจไม่สงบ ก็ไม่พบความสุข ใจไม่นิ่ง ก็ทุรนทุราย เร้าร้อน ใจต้องสงบ จึงจะพบความสุข เรียกว่า เย็นอกเย็นใจ เย็นกายเย็นใจ ทำจนกระทั่ง ไอเย็น ออกมาจากรูจมูก ให้รู้สึกให้ได้ .................. แต่ทั้งหมดนี้ มันต้องได้มาจาก สงบภายใน ชีพจรไม่ทุรนทุราย ไม่เต้นเร็ว เลือดไม่พลุ่งพล่าน ลมไม่ขัดกัน เสียดแทง .............. ทำทุกอย่างให้สงบ เรียกว่า คุมธาตุทั้ง 4 ให้ได้ ทั้งหมด มันมาจาก ใจสงบ ตัวเดียว ............... ใจสงบ ได้ ก็ต่อเมื่อมี ความเพียรมาก ความเพียร ทำได้ ก็ต่อเมื่อ ใจ ต้องรวมกับ สิ่งที่ทำ และสิ่งที่ทำ ก็คือ กรรมฐาน ใจ กับ กรรมฐาน ต้องรวมกันเป็นหนึ่ง  .................. อย่าเพิ่งเชื่อว่า ทำให้เย็นได้ แต่ต้องลองดู ................. จะรับรองผล เฉพาะคนที่ทำได้ .................. ใครที่มีใจพลุ่งพล่าน ก็จะไม่สามารถสัมผัสความเย็น เย็นกาย เย็นใจ หน้าอกหน้าใจ จะไม่มีสิทธิ์เย็น ................ ธรรมะพระผู้มีพระภาคเจ้า พิสูจน์ได้เสมอนะ ลูก ถ้าเราทำได้ เราจะไม่ทรมาน ต่อบรรยากาศโลกที่เร่าร้อน ทุรนทุรายเลย จะเดินแบบ เย็นอกเย็นใจ ................ วิชาปราณโอสถ เมื่อบรรยากาศข้างนอกหนาว ก็เดินปราณไฟ เรียกว่า ปราณร้อน ถ้าบรรยากาศข้างนอกร้อน ก็เดินปราณน้ำ เรียกว่า ปราณเย็น ไฟ กับน้ำ ไม่ใช่อยู่ที่อื่น แต่อยู่ในตัวเราอยู่แล้ว ถ้าเราให้ความสำคัญกับมัน ..................  เย็นจมูก เย็นลมหายใจ จมูกเย็น ช่องท้องเย็น ลำตัวเย็น อวัยวะภายในเย็น ต้องทำให้ได้ .................. หยุดอยู่กับที่ หลับตา สำรวจ ดูลมหายใจตัวเองซิ .............. จิตกับกาย รวมเป็นหนึ่ง จิตกาย รวมเป็นหนึ่งหรือยัง .................. เย็นมากๆ จนกระทั่ง บางคนนี่ มีความรู้สึก เหมือนตัวเองเป็นตู้เย็น อุณหภูมิรอบกาย ก็จะเย็นตามไปด้วย มันทำได้ ลูก ไม่ใช่เรื่องยาก ................ เรื่องง่ายๆ สำคัญอยู่ที่จิต จิต ต้องสงบ จิตกับกาย ต้องรวมเป็นหนึ่ง ............. ให้ จิต อยู่ภายในกาย เมื่อจิต หยุดนิ่ง สงบ ชีพจร ก็จะสงบ เซลล์ อวัยวะต่างๆ ก็จะสงบ การเผาผลาญพลังงานภายในกาย ก็จะน้อยลง ปกติ ร่างกายเรามีน้ำถึง 7-80 % อยู่แล้ว มันทำให้เกิดความเย็นเหมาะสมอยู่แล้ว แต่ที่มันเร่าร้อน ทุรนทุราย เพราะว่า มันเกิดกระบวนการเผาผลาญ ................. เส้นผมก็มีน้ำ เส้นขนก็มีน้ำ ผิวหนังก็มีน้ำ มันมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ................ งั้น เมื่อเราหยุดการเผาผลาญ มันก็จะเย็นลงเองแหละ การเผาผลาญ ก็ได้มาจากจิตที่ทุรนทุราย หายใจที่ฟืดฟาดๆ ไม่สุขุม เรียกว่า หายใจไม่สุภาพ .................. ลืมตาขึ้น ค่อยๆ นั่งลง ด้วยความเย็นสงบ .................. ยังอยู่กับ ตัว ................. สูดลมหายใจเข้า ตามดูลมว่า สุดแค่ไหน ............... แล้ว หายใจออก ให้แผ่วเบา ผ่อนคลาย  ไล่ ความร้อน ออกมากับ ลมหายใจที่ออก .................. แล้วสูดเข้าไปใหม่ ออกซิเจน ที่มันเย็น, คาร์บอน ที่มันร้อน สับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน  ให้ชัดเจน ตามดูลม ................. ลมเข้า ตามดู สุดแค่ไหน .............. เมื่อ ลมออก ตามดู หมดอย่างไร ลืมตา อย่าหลับตา .................. ทีนี้ หายใจเข้า ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวง จงเป็นสุข .............. หายใจออก ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวง จงพ้นทุกข์ ................... สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม หายใจออก เบา ยาว หมด ผ่อนคลาย ยกมือไหว้พระกรรมฐาน แล้วเข้าที่ ลูก ................. ถ้าไม่เกรงใจ กูอยากจะฝึกถึง 2 ทุ่ม ............... เย็นไม๊ หา เย็นสิ มึงกินน้ำ ต้องเย็นถึงขนาด ออกตา ออกหู ออกจมูก เย็นถึงขนาด ออกที่เส้นผม จึงจะเรียกว่า ใช้ได้ เรารู้ ปราณร้อน ที่พุ่งออกจากกลางกระหม่อมได้ ก็ต้องรู้ ปราณเย็น ที่พุ่งออกจากกลางกระหม่อมได้ เหมือนกัน สำหรับอากาศอย่างนี้ เหมาะที่จะฝึก ปราณเย็น มากกว่าฝึก ปราณร้อน วิชาปราณโอสถ มันทำได้ทั้ง 2 อย่าง เรียกชื่อเต็มๆ ว่า ปราณสุริยะ กับ ปราณจันทรา แต่จริงๆ แล้ว มันก็คือ จิต ตัวเดียว นี่แหละ จิตที่สงบ กับ จิตที่ว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน งั้น ต้องฝึก ให้จิตสงบ ให้ จิต กับ ลม, จิต กับ กาย รวมกันให้แนบแน่น เป็นหนึ่งเดียว สนิท ไม่ว่า ฟ้าจะถล่ม แผ่นดินจะทะลาย ก็ต้องแยกออกไม่ได้ ทีนี้ ก็จะทำ ปราณ ได้ดั่งใจปรารถนาละ ทำให้ร้อนก็ได้ เย็นก็ได้ ข้างขวาร้อน ข้างซ้ายเย็น ก็ยังได้ สามารถทำได้ แต่อย่าเชื่อ ต้องพิสูจน์ ต้องทำเอง เราจะทำได้อย่างนี้ สำคัญ ต้องสงบ เราจะสงบได้ ก็ต่อเมื่อ งานที่ทำ คือ กรรมฐานที่ทำ จิตกับกรรมฐาน ต้องรวมเป็นหนึ่ง ก็อย่างที่บอกว่า ร่างกายเรา ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม แล้วก็ ไฟ ที่จริง จิตมีอำนาจ ควบคุมธาตุทั้ง 4 ได้ ไม่ใช่ควบคุมไม่ได้ เพราะว่า มันเป็นเพียงเครื่องอยู่ของจิตเท่านั้น งั้น จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว อ้าย ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นกาย งั้น เมื่อเราเป็นนาย เราต้องคุมบ่าวได้ ที่ผ่านมา เราคุมไม่ได้ เพราะนายไม่มีกำลัง นายอ่อนแอ นายกลายเป็นผู้พิการ เลยคุมบ่าวไม่ได้ ทีนี้ มันจะกำเริบเมื่อไหร่ ก็ตามแต่อัธยาศัยมัน ตามแต่อารมณ์ของมัน อย่างนี้ ไม่ใช่ สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องฝึกให้หนัก ต้องสั่งสม อบรม สติ ให้เยอะขึ้น ไม่งั้น เราจะไม่มีสิทธิ์คุมบ่าว เรารู้ ปราณร้อน ที่พุ่งจากบนศีรษะ บนกลางกระหม่อม ในฝ่ามือ ปลายนิ้ว ก็ต้องรู้ ปราณเย็น และปราณเย็น สำคัญที่สุด, ปราณร้อน นี่ยังไม่เท่าไหร่ ปราณเย็น นี่จะทำได้ยาก คือ จิต จะสุขุมกว่า จะละเอียดกว่า เพราะมันต้องหยุดการเผาผลาญภายในอวัยวะ เผาผลาญอวัยวะภายใน ต้องหยุด เลือดต้องเย็น ลมต้องเย็น เส้นเอ็น พังผืดภายใน ต้องเย็น ชีพจร ก็จะเต้นน้อยลง การเผาผลาญภายใน ต้องลดลง ลดลงจนเกือบ ที่มัน เค้าเรียกว่า ไฟเย็น น่ะ เหมือนไม่มีควัน ไม่มีแสงให้เห็น มันต้องเย็นให้ได้ขนาดนั้น เรียกว่า เย็นจน ตาเย็น หูเย็น จมูกเย็น ชีพจร ก็สงบ นิ่ง แล้วมันจะอยู่ในโลกใบนี้ได้ ที่ทุรนทุรายน่ะ มันจะอยู่ได้ ไม่ทรมาน ไม่ทุรนทุราย เอ้า วันนี้ เอาแค่นี้ อาทิตย์หน้า มีหรือเปล่าเนี่ย (มีเจ้าค่ะ) ทำไม มันมีทุกอาทิตย์เลยวะ อ๊อ อาทิตย์หน้า สิ้นเดือน 30 มันเป็นวันเกิดเจ้าแม่กวนอิม ไม่ใช่เหรอ 30 วันอะไรล่ะ (วันเสาร์ค่ะ) เอ้อ เดี๋ยว วันเกิดเจ้าแม่ฯ จะปฏิบัติธรรม ถวายพระโพธิสัตว์ ไปเจริญมนต์ ที่อาคารพระโพธิสัตว์ นุ่งขาว ห่มขาว วันนั้น กินเจสักวัน ลูก อุทิศให้พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เดี๋ยวเค้าจัด คุณสุภาฯ เค้าจัดอาหารเจ มาเลี้ยง เค้าจะเปลี่ยนเครื่องทรงเจ้าแม่ฯ บ่ายๆ ต้องรอให้บวชพระบวชเณรก่อน แล้ว ตอนกลางวันทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษ ไปทำที่อาคารพระโพธิสัตว์ พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ เอ้า ว่า นะโม 3 จบ ถวายทาน ................ (กราบ) ปัจจัยลาภ และสิ่งของที่ลูกหลานถวาย หลวงปู่รับแล้วนะ ลูก ยกให้เป็นสมบัติของวัด และมูลนิธิฯ เพื่อใช้ในกิจกรรมบวชพระบวชเณร ถวายพระราชกุศลในภาคฤดูร้อน ขอท่านทั้งหลาย อนุโมทนา (สาธุ) ตั้งใจ กรวดน้ำ ว่าตาม แล้วรับพร ลูก ................. ตั้งใจรับพร ................ (สาธุ) โชคดี ธรรมะรักษา ให้ร่ำรวย รุ่งเรือง เดินทางโดยสวัสดิภาพปลอดภัย ทุกคน ลูก (สาธุ) ยังเย็นอยู่ไม๊ (เย็นค่ะ) เอ้อ  (กราบ) เค้ามีคำว่า ทรงจิต ทรงฌาน ทรงสมาธิ ปราณ นี่ จะดำรงค์ตั้งมั่นอยู่ได้ เป็นยาอันวิเศษ เรียกว่า เป็นโอสถ ต่อเมื่อสภาพจิตเราไม่เปลี่ยน เมื่อใดที่เรามีเจตสิกในส่วนที่เป็นอกุศล เข้ามาแทรก ปราณ ก็จะเปลี่ยน งั้น ต้องทรงอารมณ์ ทรงจิต ทรงตบะ ทรงสมาธิ ทรงสติ เอาไว้ให้คงที่ มากได้เท่าไหร่ เย็น ก็จะอยู่ได้นานเท่านั้น กราบลาพระ อะระหัง สัมมา ............... (กราบ) ได้ยินว่า ไฟไหม้ที่แม่ฮ่องสอน คนตายตั้ง 3-40 คน จะเอาอ้ายรถครัวไปช่วยเค้าทำอาหาร มาดู อ้าว ครัวยังไม่เสร็จ มีแต่ตัวถัง กับล้อ ใครที่รู้จักโรงงานต่ออ้ายรถบัสเนี่ย ช่วยติดต่อให้มันมาลากไปทำห้องครัว ห้องน้ำ เดี๋ยว เค้ามีที่ไหน เค้าเดือดร้อน จะได้ไปทำครัวให้เค้า ดูโรงงานใกล้ๆ ราชบุรี นครปฐม ที่ไหนเค้ามีทำ ติดเครื่องครัว เตาหุงข้าว เตาผัดกับข้าว มีห้องน้ำในตัว เผื่อแม่ครัวมันไปขี้เยี่ยว แล้วก็มีถังเก็บน้ำ ลองดูซิ ใครรู้จักบริษัทไหนบ้าง รับจ้างทำ เดินทางปลอดภัย ลูก (สาธุ) (กราบ)