19 ก ย 56  อลัสชี   14.43 นาที

เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนไอทีที่รักทุกท่าน
วันนี้เป็นวันพระใหญ่ วันขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันที่พี่น้อง

ชาวจีนเค้าถือกันว่า วันไหว้พระจันทร์ ที่วัดเค้าก็คุณ

สุภาฯ เค้าก็มาจัดกิจกรรมไหว้พระกวนอิมอะไรของเค้า

ตามความเชื่อประเพณีนิยมของพี่น้องชาวจีน  
เมื่อเช้า หลวงปู่บิณฑบาตรเสร็จแล้วก็ ทุกวันพระใหญ่

ในช่วงเข้าพรรษาของทุกปี ก็จะใส่บาตร เมื่อเช้าก็

ชวนย่ากับลูกหลานใส่บาตรพระทั้งวัด 40 กว่ารูป  ก็

แบ่งบุญให้ทุกท่านได้ร่วมอนุโมทนาด้วย
หลังจากที่ฟังข่าวที่เป็นบุญเป็นกุศลแล้วก็ ขอพูดถึง

เรื่องข่าวอกุศลที่มันเกิดขึ้นในสังคมศาสนาพุทธ

หลายท่านก็คงจะทราบดี ข้อมูลเกี่ยวกับมีพวกอลัสชี

หรือว่าพวกสมี หรือว่าพวกทุศีล ทำเรื่องเลวร้ายแก่

พระศาสนา อีกทั้งก็เป็นถึงเจ้าคณะปกครองระดับชั้น

เจ้าคณะอำเภอด้วยซ้ำ
ที่จริง เรื่องอย่างนี้ มันไม่ใช่เพิ่งมี มันมีมานานละ แต่

อาจจะเป็นเพราะว่า สมัยครั้นพุทธกาล ก็คงไม่มีสื่อสาร

ไม่มีไอที internet อีกทั้งสมัยครั้งพุทธกาล เค้า

รู้เข้าเนี่ย ภิกษุทั้งหลายเค้าก็จะตั้งข้อรังเกียจ แล้วก็

โจทยน์อาบัติแก่ภิกษุผู้อลัสชี หรือว่าผู้ที่เป็น

นอกรีตนอกรอยนั้น ภิกษุผู้ทำละเมิดพระธรรมวินัย

นั้นในท่ามกลางสงฆ์ หรือแก่คนผู้เป็นสมณะด้วยกัน

เพื่อตั้งข้อรังเกียจ แล้วก็ขับออกจากหมู่คณะ
ซึ่งจะแตกต่างกันก็ตรงนี้ ข้อแตกต่างระหว่างสมัยก่อน

กับสมัยนี้ ก็คือ สมัยก่อนไม่มีไอที internet ไม่

มีสื่อสารมวลชน ไม่มีวิทยุ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์
ข้อแตกต่างที่ 2 ก็คือ สมัยก่อนนั้นพระภิกษุทั้งหลาย

เมื่อรู้ว่า ผู้ใดที่ต้องหรือละเมิดอาบัติ ก็จะประจานตัวเอง

หรือไม่ ผู้อื่นมาประจาน เรียกว่า โจทย์เธอด้วยอาบัติ

นั้นๆ เพื่อให้หยุดพฤติกรรม และในขณะเดียวกัน ถ้า

เป็นอาบัติร้ายแรง ก็ขับออกจากหมู่คณะ  
แต่สมัยนี้ ไม่มี ไม่มีการประจาน ก็ใช้คำว่า ปลงอาบัติ

ก็ไม่ถือว่า เป็นการโจทย์ด้วยอาบัติร้ายแรง สมัยนี้ก็

ถือว่า ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ ด้วยการกล่าวปลง

อาบัติในโบสถ์ในการทำสังฆกรรม หรือก่อนทำ

สังฆกรรม
แต่เรื่องที่จะโจทย์ด้วยอาบัติร้ายแรงในท่ามกลางสงฆ์

ภิกษุโจทย์ภิกษุด้วยกัน เราจะไม่ค่อยเห็น ไม่มี จะมีก็

คือ มีหลวงปู่บ้าอยู่คนเดียว บ้าที่รักษาธรรมเนียม บ้า

ที่รักษาพระวินัย มีแต่จะช่วยกันปกปิด ปกปิดอาบัติ

ของกันและกันเอาไว้ เรียกว่า ภิกษุปกปิดอาบัติชั่ว

หยาบ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเค้าก็คง

ไม่สนใจละ อาบัติปาจิตตีย์ เพราะสิ่งที่เค้ามีชีวิตอยู่ มัน

เลยอาบัติไปละ
อ้ายที่ต้องเล่าเรื่องนี้ ก็เพราะว่า มันจะต้องเกิดอย่างนี้

ขึ้นอีกนาน อีกบ่อย อีกเยอะ อีกมาก วันนี้เราอาจจะเจอ

เจ้าคณะตำบลก็เจอมาแล้ว เจ้าคณะอำเภอก็เจอมาแล้ว

วันหน้าเราอาจจะเจอเจ้าคณะจังหวัด หรือไม่ก็เจ้า

คณะภาค หรือไม่ก็ชั้นสมเด็จ รองสมเด็จ อะไรก็ว่าไป

ตามเหตุตามปัจจัย ขึ้นอยู่กับว่า เค้ามีคำกล่าวว่า ช้าง

ตายทั้งตัว เอาใบบัวไปปิด มันจะมิดแค่ไหน
แต่เดี๋ยวนี้ สมัยนี้ใบบัวมันใบใหญ่พอสมควร อาจจะใช้

ใบบัวทั้งคันรถ 10 ล้อปิด ก็อาจจะเป็นไปได้ มันถึงได้

บางทีบางครั้ง ความผิดชั่วหยาบก็ตายตามตัวบุคคลผู้

กระทำความผิดไปโดยไม่มีใครรับรู้ หรือว่ารู้แบบ

ชนิดที่รู้อยู่ในใจ
ส่วนจะอาศัยตุลาการฝ่ายสงฆ์ ให้มาโจทย์ หรือฝ่าย

พระศาสนาให้มาชำระสะสางเรื่องเลวร้ายเสียหายใน

พุทธศาสนา คงจะเป็นเรื่องยาก เพราะไม่เคยมีกิริยา

หรือพฤติกรรมอย่างนี้อยู่ในพระศาสนาเลยเท่าที่ผ่าน

มา ที่หลวงปู่อยู่ในพุทธศาสนามา 30 กว่าปีเนี่ย
จะมี ก็มีแต่หลวงปู่บ้าอยู่คนเดียว ที่โจทย์คนนั้นโจทย์

คนนี้ สาเหตุที่โจทย์ก็เพราะว่า มันเป็นวินัยที่บัญญัติ

เอาไว้ แล้วเราก็อยากให้สังฆมณฑลสะอาดบริสุทธิ์
ทีนี้ เมื่อเราพึ่งตุลาการฝ่ายสงฆ์ไม่ได้ พระพุทธเจ้า

ทรงสอนพวกเราไว้ฝากเป็นวินัยกรรมว่า ภิกษุบริษัท

ทั้ง 4 มีหน้าที่จะดูแลพุทธศาสนา แล้วภิกษุบริษัท 4

มีใครบ้าง ก็ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก แล้วก็ อุบาสิกา
เราจะเห็นว่า ไม่ว่ากรณีนายคำ กรณียันตระ กรณีพุ

ทโธ กรณีใครต่อใครเยอะแยะมากมาย มันไม่ใช่เป็น

การกระทำที่เกิดจากการโจทย์ของพระภิกษุด้วยกันเอง

ยกเว้นหลวงปู่เป็นผู้กระทำ ตัวอย่างเช่น กรณีนายคำ

หรือว่า กรณีนิกรอรปวีณา ยันตระ หลวงปู่โจทย์มา

ตลอด แต่ก็ไม่มีใครเชื่อถือ อาจจะอ้างว่า เราอิจฉาตา

ร้อน อะไรก็ว่าไปตามเหตุตามปัจจัย แต่เรารู้ว่า เรา

กำลังทำอะไรอยู่
งั้น ที่นำเรื่องนี้มาพูด ก็อยากจะเรียกร้องให้พวกเรา

ในฐานะศาสนิกชน เป็นภิกษุบริษัท หนึ่งในบริษัท 4

ก็คือ อุบาสก และอุบาสิกา ออกมารณรงค์ทำหน้าที่ปก

ป้องพระพุทธศาสนา  
อย่าไปหวังพึ่งตุลาการฝ่ายสงฆ์ หรือภิกษุด้วยกันที่จะ

มาโจทย์อาบัติชั่วหยาบแก่กันละกัน เพราะพวกนี้ ก็

อย่างที่กล่าวว่า อาจจะมีบางคนที่ไม่อยากยุ่ง บางท่าน

ไม่อยากใส่ใจ ปล่อยไปตามกรรม ตามยถากรรม หรือ

บางท่านก็อาจจะเป็นเพราะว่า อวกเดียวอัน อะไร

ประมาณนี้ เป็นพวกเดียวกัน ก็ปกปิดกัน หรือช่วย

เหลือกัน  
เพราะฉะนั้น พวกแรกๆ อาจจะเป็นๆไม่อยากยุ่ง

ปล่อยเป็นไปตามยถากรรม ก็ถือว่า ไม่เอื้อเฟื้อพระ

ธรรมวินัย ก็ต้องอาบัติเหมือนกันในสัปปาณวรรค ก็

กำหนดไว้ชัดว่า ภิกษุไม่เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย

ต้องอาบัตปาจิตตีย์
เพราะฉะนั้น เราก็อาศัยไม่ได้ รวมสรุปก็คือ จะอาศัย

พระสงฆ์ดูแลสังฆมณฑลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ได้  
ถามว่า เพราะอะไร  
ก็เท่าที่ผ่านมา สถานการณ์มันก็ปรากฏเด่นชัด ยิ่ง

เป็นพระสงฆ์ ยิ่งเป็นภิกษุผู้อยู่ในตำแหน่งใหญ่โต มี

ฐานาใหญ่โต มียศฐาบรรดาศักดิ์ใหญ่โต มีเงินมีทอง

มีอำนาจราชศักดิ์บาตรใหญ่ มีลูกศิษย์ลูกหาใหญ่โต ก็

ยิ่งอหังการ มมังการ ดำรงสมณะเพศ หรือ ดำรงความ

เป็นนักบวชหลอกชาวบ้านเค้าไปวันๆ
ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวงนี่ มันมาจากความที่พระภิกษุ

ด้วยกันไม่เอื้อเฟื้อพระธรรมวินัย เพราะเหตุแห่ง

ความไม่เอื้อเฟื้อพระธรรมวินัย จึงทำให้พวกนี้มา

อาศัยหาอยู่หากินในพุทธศาสนา สะสมแก้วแหวนเงิน

ทอง อำนาจราชศักดิ์ แล้วก็ใช้แก้วแหวนเงินทอง

อำนาจราชศักดิ์นั้น สร้างฐานะของตนในสังคมสงฆ์

ขณะเดียวกันก็ทำชั่วไปด้วย ทำสิ่งที่เลวร้าย เป็นการ

ทำลายตระกูลสงฆ์ ทำลายพระศาสนา แล้วก็ทำลาย

ศรัทธาชาวบ้านไปด้วย
งั้น จึงอยากจะวิงวอนเรียกร้องแก่บรรดาญาติโยม

พุทธบริษัท รวมทั้งอุบาสกอุบาสิกา ซึ่งถือว่า เป็นหนึ่ง

ในภิกษุบริษัท ให้ช่วยกันออกมารณรงค์นำเอาสังคม

พระสงฆ์ หรือ สังฆมณฑล หรือ ภิกษุบางรูปที่เป็น

อลัสชี เป็นพวกนอกศาสนา เป็นพวกละเมิดพระ

ธรรมวินัยเป็นอาจินต์ ออกมาตีแผ่
เราจะเห็นว่า เรื่องราวทั้งหลายมที่ออกมาเนี่ย มันมา

จากสื่อ มันมาจากการตีแผ่ มันมาจากการประจาน มัน

มาจากการกล่าวโจทย์ สังฆมณฑลโดนแรงบีบไม่ได้ก็

เลยไปจัดการ
เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เวลานี้หลวงปู่มีข้อมูลที่เค้าส่งมา

ทุกวัน วันนี้ก็มีจดหมายส่งมา พูดถึงว่า วัดนั้น เจ้า

คณะอำเภอ หรือไม่ก็เจ้าคณะตำบล หรือไม่ก็เจ้าคณะ

จังหวัด ในจังหวัดนั้นๆ เสพเมถุน ต้องปาราชิกเพราะ

ยักยอกเงิน คดโกงเงินของวัด ของประชาชน อย่างนี้

เป็นต้น
แล้วเรื่องพวกนี้มันจะอาศัยใครล่ะ ก็ต้องอาศัยพวก

ญาติโยมแหละ ช่วยกันออกมาเปิดโปง เปิดเผย ตีแผ่

แล้วก็ปกป้องพระพุทธศาสนา การเปิดโปง เปิดเผย ตี

แผ่ นี่ไม่ใช่เป็นการทำลายศาสนา แต่มันคือการปก

ป้องคนดีให้อยู่ได้อย่างปลอดภัย ผ่อนคลาย แล้วคนไม่

ดีก็จะถูกกำจัดไป ต้องได้รับการกำจัดออกไป
พูดถึงเรื่องการปกป้องคนดีเนี่ย เมื่อเช้าหลวงปู่เพิ่งจะ

ได้รับจดหมายจากผู้หวังดี เค้าเขียนมา เดี๋ยวอ่านให้

พวกคุณฟังสักนิดก็ได้ เนี่ย จดหมายเค้าเป็นอย่างนี้ (

จดหมายแนบ) แต่ว่า อย่าไปออกชื่อเค้า
หลวงปู่พุทธะอิสระ ระวังจะเสียชีวิตจากนาย.....(

เว้นเอาไว้ล่ะนะ) เพราะเขาเคยฆ่ามาแล้วด้วยอาวุธ

ปืน จาก คนกลัว
เค้าเขียนมาอย่างนี้ ในนี้เค้ามีชื่อด้วยว่า จากนายอะไร

ก็คงไม่ต้องไปบอก
เพราะฉะนั้นก็ อยากจะบอกว่า คนดีเวลานี้ในสังคม

ศาสนาจะอยู่ยาก คนที่ทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาพระ

ธรรมวินัย ปกป้องพุทธศาสนาจะอยู่ลำบาก จะต้องได้

รับอันตราย ข่มขู่คุกคาม จดหมายนี้ก็มองได้ 2

ประเด็น
ประเด็นแรก ก็อาจจะมองว่า เค้าหวังดี เอ็นดู อยากจะ

เตือนเราให้ระมัดระวัง
ประเด็นที่ 2 ก็อาจจะมองว่า เป็นการข่มขู่คุกคาม

แล้วก็แสดง เรียกว่า สงครามประสาทก็ได้ คือ มันมอง

ได้หลายแง่ แต่ที่แน่ๆ คือ ต้องขอบใจผู้ส่งจดหมายที่พูด

ที่เตือน  
แล้วต้องบอกว่า ลูกหลานเค้าก็ระวังอยู่ล่ะ โดยเฉพาะ

หลวงปู่ก็บอกแล้วว่า ชีวิตหลวงปู่ ถ้าให้เลือกอยู่

ระหว่างมิตรกับศัตรู หลวงปู่ชอบอยู่กับศัตรูมากกว่า

มิตร เพราะเหตุผลว่า มันจะทำให้เรามีสติมากๆ มี

ปัญญาเยอะๆ เพื่อจะดำรงชีวิตอยู่รอดปลอดภัยให้ได้
งั้นก็ อยากจะใช้สถานการณ์เหล่านี้มาสร้างวีรบุรุษ คือ

พวกคุณทุกคนสามารถเป็นวีรบุรุษได้
วีรบุรุษอย่างไร
ก็แค่มาปกป้องคนดี รักษาคนดี แล้วก็ช่วยกันกำจัดคน

ชั่ว หรือทำให้คนชั่วมันหมดไปจากแผ่นดินและ

ศาสนานี้ หรือไม่ก็กันคนชั่วออกจากคนดีซะ ไม่งั้น

คนดีก็จะโดนรังแก โดนรังควาน และทำร้ายทำลายข่ม

ขู่คุกคามไม่จบสิ้นจากคนชั่ว ซึ่งเค้าก็ต้องมองว่า คน

ชั่วก็ต้องมีความเดือดร้อน เดือดเนื้อร้อนใจอยู่เป็น

ปกติธรรมดา เพราะมันมีข้อเปรียบเทียบกันชัดเจน

ระหว่างคนดีกับคนชั่ว มันแตกต่างกันอย่างไร
งั้น เค้าก็อยากทำให้สังคมนี้มันกลมกลืนกับเค้า ก็เลย

ต้องกำจัดคนดีให้พ้น เพื่อจะให้สังคมคนชั่วมันกระจาย

ไปทั่วแล้วก็กลมกลืนกัน จะได้ไม่เห็นข้อแตกต่าง
งั้น ในฐานะที่พวกคุณเป็นพุทธบริษัท เป็นผู้ได้รับ

วินัยกรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ให้ช่วยกันดูแล

พุทธศาสนา พวกคุณก็อย่าละเลย อย่าเพิกเฉย อย่า

ดูดาย หรือว่า ธุระไม่ใช่ ชั่วชั่งชี ดีชั่งสงฆ์ ไม่ใช่ตัวของ

เรา ถ้าเราทุกคน 60 กว่าล้านคนที่เป็นพุทธบริษัท

ช่วยกันคนละไม้คนละมือคนละนิดคนละหน่อย เห็น

อะไรไม่ดี ตำหนิติเตือน ติง ชี้แจงแจ้ง แล้วก็ออกมา

ประจาน มาโจทย์ เพื่อให้คนเหล่านั้นได้แพ้ภัยตัวเอง

เหมือนอย่างอดีตเจ้าคณะอำเภอของจังหวัดกระบี่ที่

ผ่านมา อย่างนี้เป็นต้น ไม่ใช่เกิดจากการกระทำของ

คณะสงฆ์ ที่แพ้ภัย แต่เกิดจากการกระทำของสื่อสาร

ไอที internet ที่เอาความชั่วของเค้าออกมา

ประจานจนเป็นที่ประจักษ์ แล้วสุดท้ายก็ต้องยอม หนี

ไป หลักไป ถ้าหากว่าไม่ทำอย่างนี้ ไม่รู้ว่าป่านนี้ได้

สร้างทายาทความชั่วอีกสักกี่คน เพราะตัวเองเป็นเจ้า

คณะอำเภอ สามารถเป็นพระอุปัชฌาย์ได้ บวชพระได้

แล้วก็ถ้าเพื่อความอยู่รอด ก็ต้องสร้างเครือข่าย สร้าง

สมัครพรรคพวก แล้วสมัครพรรคพวกหรือเครือข่าย

นั้น ก็จะได้มาป้องกันตัวเอง มันก็เป็นธรรมเนียม

เป็นธรรมดา ที่โจรก็ต้องอยู่กับพวกโจร
งั้น ถ้าพวกเราไม่ช่วยกัน มันก็จะมีโจรเต็มบ้านเต็ม

เมือง แล้วก็มีโจรเต็มพระศาสนา ก็ฝากเรื่องพวกนี้

เอาไว้ด้วย
ก็ขอให้ทุกท่านรุ่งเรืองเจริญ มีความสุขสมบูรณ์ มีสติ

ปัญญาตั้งมั่น
เจริญธรรม