ชีวิตหลังความตาย เรื่องที่ ๑ ตายหลอก…ตายจริง
มีคนหนึ่งเคยบวชเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ แล้วสึกออกไปเลี้ยงดูพ่อแม่ วันหนึ่งเขามาหาหลวงปู่ ขอให้ช่วยต่อชีวิตให้กับหลานชายเขา เมื่อสองเดือนที่แล้วหลานชายเขาที่ชื่อ สมชาย ไปผ่าตัดสมองที่โรงพยาบาลจุฬาฯ พอกลับมาบ้านนอนอยู่ดีๆ เลือดก็ไหลออกมาจากแผล ซึ่งเย็บสนิทแล้ว พ่อแม่เด็กก็รีบพาส่งโรงพยาบาลอาการค่อนข้างโคม่า หลวงปู่ถามไปว่าเด็กอายุเท่าไร เขาบอก 10 ขวบ พอถามวันเดือนปีเกิดหลวงปู่ก็เลยรู้ว่า เด็กคงจะไม่รอดแล้ว แต่ก็บอกว่าให้เขาลองไปเอาผมเอาเล็บของเด็กมาให้ดูหน่อย เขาก็รีบไปจัดการมา พอหลวงปู่ดูผมกับเล็บแล้วก็บอกเขาไปว่า เด็กคนนี้ตายไปแล้วตายตั้งแต่วันแรก ที่เข้าโรงพยาบาล แต่ที่ยังหายใจอยู่เพราะหมอเขาปั๊มหัวใจให้มันเต้น แต่วิญญาณน่ะหลุดจากร่าง แล้วเร่ร่อนไปทั่วแต่อีก 3 วันจากนี้ ครบวันเกิดของมัน มันจะตายจริงๆ เลยบอกให้เขาเตรียมโลง เตรียมจองศาลาไปเลย แม่เด็กก็ร้องไห้ไม่ยอมเชื่อหาว่าหลวงปู่ไปแช่งลูกเขา แต่พออีก 3 วันต่อมาหัวใจก็หยุดเต้นปั๊มไม่ได้แล้วทีนี้ก็ตายจริงๆ เพราะตายหลอกน่ะตายตั้งแต่วันแรกแล้ว แม่เด็กเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนวันที่สองที่ลูกเข้าโรงพยาบาล ลูกยังมาเรียกแม่ตอนตี 3

"แม่แม่เปิดประตูรับชายหน่อยชายอยากเข้าบ้าน"

ฝ่ายแม่ซึ่งเป็นแม่ค้าขายผัก ต้องตื่นแต่ตี 3 - ตี 4อยู่แล้ว ตอนนั้นกำลังเตรียมจัดผักเพื่อไปขาย ได้ยินเสียงลูกหันมาเห็น ก็ตกใจร้อง
"ตายแล้วใครปล่อยลูกเราออกมาหรือว่าหมอเขามาส่ง" เพราะลูกสวมชุดคนป่วยและ มีผ้าโพกศีรษะอยู่เลยร้องบอกลูกไปว่า

"เดี๋ยวนะแม่จะเปิดประตูให้" ความที่มัวแต่ถอดกลอนประตู ก็ไม่ได้ดูลูกพอเปิดประตูไปปรากฎว่าไม่เห็นลูกแล้วมองหาเท่าไหร่ๆก็ไม่เห็น ก็เลยคิดว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่าแต่ก็ไม่น่าใช่ พอตอนสายๆลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งซึ่งเป็นพี่ชายของแม่สมชาย ก็กดโทรศัพท์มาบอกว่า

เมื่อคืนนี้สมชายไปหาลูกของเค้า ไปนอนเล่นกันอยู่จนถึงเที่ยงคืน เพราะลูกชายมาบอกว่า

"พ่อๆเมื่อคืนนี้สมชายมาเล่นกับหนูด้วยล่ะ" พ่อก็แปลกใจเพราะว่ากลับบ้านดึก เลยไม่รู้ว่าน้องสาวเอาหลานมาทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถามใครๆก็บอกว่าไม่มีใครเห็น ทราบภายหลังว่าสมชายเข้าโรงพยาบาลเลยรีบมาหาหลวงปู่เพื่อขอให้ช่วยชีวิตของหลาน

หลวงปู่เลยใช้เลือดของตัวเองเขียนยันต์สวัสดิกะติดไว้ที่เทียน และเขียนคาถาที่แผ่นใบไม้ ให้แม่เอาไปอ่านให้ลูกฟัง บอกกับแม่เด็กว่าพรุ่งนี้ลูกจะมาหาอีก ให้เอาเทียนไปจุดไว้ที่หัวนอนเด็กที่บ้าน

แม่ก็ไปทำตามพอเทียนที่จุดไว้ดับ ลูกก็มา แม่ก็ถามสารทุกข์สุขดิบ ลูกบอกว่าสามวันที่ต้องตกระกำลำบาก ไม่ได้กินอะไร ยืนอยู่หน้าโรงพยาบาลแต่ไม่มีใครเห็นขอน้ำใครกินก็ไม่มีใครใส่ใจ กลางคืนฝนตกก็หนาวมาก ไม่มีใครเรียกเข้าบ้าน แม่ฟังแล้วน้ำตาไหลจึงอ่านคาถาให้ลูกฟัง เด็กฟังแล้วก็ไปเจอพระองค์หนึ่งมาจูงมือหนูตอนที่หนูนั่งร้องไห้อยู่ที่หน้าโรงพยาบาล พระองค์นี้จูงมือเดินขึ้นฟ้าไปเลยแล้วพระองค์นั้นก็บอกว่า

ไปลาแม่ซะก่อนหนูก็เลยมาหาแม่ "แม่ๆหนูไปแล้วนะ"

ที่เป็นอย่างนี้เพราะสมชายมันยังไม่หมดกรรม เพราะยังไม่ถึงเวลาตายจริงๆร่างกายมันยังไม่สิ้น มันยังมีชีวิตอยู่อีก 3 วัน แต่วิญญาณมันออกจากร่างเร็ว พอออกมาเร็วก่อน 3 วันมันก็เลยไม่ได้กินอะไร เพราะยังไม่มีใครรู้ว่ามันตายมันจึงอดๆอยากๆ ไปเคาะประตูเรียกแม่ แม่ก็ไม่ได้ยินแม่ต้องตื่นขึ้นมาเห็นเองและถ้าแม่ไม่เรียกเข้าบ้านก็เข้าไม่ได้

ชีวิตหลังความตาย เรื่องที่ ๒ ตายทรมาน
สถาปนิกคนหนึ่งเรียนจบแล้วพึ่งทำงานได้ 2 เดือน ไปตรวจงานที่กำลังก่อสร้างอยู่ ขณะที่กำลังยืนดูเขาตอกเสาเข็ม หัวน๊อตที่ขันปั้นจั่นหลุดลงมาโดนกระหม่อมสมองยุบต้องนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ 3เดือน พ่อแม่ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยมาขอให้หลวงปู่ช่วยหลวงปู่ก็เลยบอกให้เอาเทียนที่ให้ไว้ไปจุดไว้ที่ปั้นจั่นอันนั้นแล้วนำเทียนกลับมาที่โรงพยาบาลที่ลูกนอนอยู่ พยายามอย่าให้เทียนดับเพื่อนำวิญญาณลูกมาเข้าร่าง เขาก็ทำตามที่บอกจนเรียบร้อย พอรุ่งเช้าลูกก็ฟื้นลืมตาปริบๆ เรียก "แม่" แล้วบอกว่า "ผมไปเฝ้าเสาเข็มอยู่ 3 เดือน" แค่นั้นแหละแล้วก็ตาย แม่เขาบอกว่าทำใจได้แล้ว เพราะเห็นสภาพลูกเป็นอย่างนั้นก็ขอให้ลูกตายสบายเถอะ
เห็นมั๊ย นี่คือเรื่องจริง ลูกพูดเพื่อจะเตือนให้แม่รู้ว่า ที่เขาไม่ฟื้นเพราะเขาไม่ได้อยู่ในร่าง แต่ไปเฝ้าเสาเข็มพอหัวน๊อตที่ปั้นจั่นหล่นมาโดนศรีษะปั๊บ ความตกใจบวกกับความเจ็บปวดและความกลัว เป็นพลังผลักดันฉุดกระชากวิญญาณให้หลุดออกไปจากร่าง

ชีวิตหลังความตาย เรื่องที่ ๓ วิญญาณวนเวียน
หมอปัญญาที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่เขาเล่าว่า ขับรถไปส่งเพื่อนที่สนามบิน กลับจากสนามบิน ประมาณตีหนึ่งกว่า ขากลับรถมาติดไฟแดงแถววิภาวดีรังสิต ตอนนั้นฝนตกพรำๆมีเด็กคนหนึ่งมาเคาะกระจกรถเรียก พอไขกระจกลงเด็กบอกว่า "น้าๆช่วยซื้อพวงมาลัยหนูหน่อยซิ พวงสุดท้ายแล้วหนูจะกลับบ้าน" หมอปัญญาสงสารจึงควักสตางค์ส่งให้เด็กก็ยื่นพวงมาลัยส่งให้ พอดีไฟเขียวก็เตรียมออกรถ หันมาอีกทีเด็กหายไปไหนไม่รู้ มารู้ทีหลังเมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาว่า มีเด็กขายพวงมาลัยโดนรถชนตายแถวนั้น ขณะที่ในมือเหลือพวงมาลัยพวงสุดท้าย

ทุกคนตายแล้วตกอยู่ในสภาพเดียวกัน

เห็นไหมว่าชีวิตหลังความตายไม่ใช่เรื่องตลก ไม่ใช่เรื่องที่หัวเราะกันได้ง่ายๆมันทรมาน อย่านึกว่าที่ทำๆอยู่นี้พอแล้ว มีครอบครัว มีสมบัติ มีรถคันใหญ่ มีบ้านหลังโต มีเงินใช้ พอเราตายก็ไม่มีอะไรติดตัวไปได้ แม้แต่เงินใส่ปากสัปเหร่อยังงัดเอาไปเพราะฉะนั้นบอกให้ฟังว่า ถ้าพวกเราเห็นว่าชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไรพวกเราคงไม่กล้าเหลวแหลกเป็นแน่ คงไม่กล้าทำอะไรที่เป็นเหตุให้เมาประมาทขาดสติพวกเราทั้งหลายนี้ตายไปแล้วมีสภาพเดียวกัน

คือเป็นวิญญาณที่จะต้องล่องลอยไปตามยถากรรม คือกรรมนำไป

การมีชีวิตขอให้คิดว่ามันเป็นเรื่องยาก เพราะกว่าจะได้มาต้องต่อสู้ฝ่าฟันผ่านกระบวนการถือกำเนิดเกิดขึ้น อีกทั้งยังชักนำให้สรรพชีวิต สรรพสิ่ง สรรพธรรมชาติรอบข้างได้รับผลกระทบทั้งโดยตรงและโดยอ้อม สุขทุกข์ เจ็บปวด เปลี่ยนแปลงเจริญเติบโต สมหวัง ผิดหวัง

นอกจากนี้แล้วชีวิตที่ได้มายังเป็นภาระธุระให้ต้องบริหารจัดการ ซึ่งก็เริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆใกล้ตัว และเรื่องใหญ่ๆ ที่อยู่ไกลตัวทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่จะกลับกลายเป็นแรงกดดัน ที่ทำให้ชีวิตนี้มีปัญหาและเป็นภาระอันหนักอึ้ง ที่ต้องแบกรับเอาไว้จนบางขณะทำให้ผู้
ที่เป็นเจ้าของชีวิตเองมีความรู้สึกว่า ทรมานเหลือเกิน หนักเหลือเกิน ลำบากเหลือเกิน เหนื่อยเหลือเกิน เจ็บปวดเหลือเกิน เศร้าเหลือเกิน และทุกข์เหลือเกิน สุดท้ายสิ่งที่ได้รับก็คือความตาย

อีกทั้งไม่มีอะไรติดตัวเราไป แม้กระทั้งลูก เมีย ผัว ทรัพย์สมบัติ ญาติมิตร และศัตรู ข้าทาสบริวารหญิงชาย ฐานะหน้าที่การงาน ยศถาบรรดาศักดิ์ เมื่อตายไปในที่สุดทำได้อย่างดีก็แค่มานอนให้เขาไหว้เรา แล้วก็ไม่แน่ใจว่าเขามาไหว้เราจริงหรือเปล่า เราจะได้อะไรจากการไหว้ครั้งนี้บ้าง
จงอยู่อย่างมีประโยชน์

พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสวาจาสุดท้ายก่อนจะดับขันปรินิพานว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด" ประโยชน์ก็คือ ทำส่วนที่ดีให้แก่ตนเอง ทำให้ตัวเองลุถึงความฉลาด สะอาด สว่าง และสงบ แม้ในขณะที่กำลังประกอบกิจกรรมการงานทั้งส่วนตน และคนอื่นอย่างสันติสุข

ส่วนประโยชน์ตนก็คือ การทำหน้าที่อย่างไม่บกพร่องถูกต้องในสถานะที่มี เป็นผัวก็ทำหน้าที่ผัวให้ดี เป็นพ่อก็ทำหน้าที่พ่อให้ดี เป็นเมียก็ทำหน้าที่เมียให้ดี เป็นแม่ก็ทำหน้าที่ให้เหมาะสมกับเป็นแม่ที่ดีของลูก เป็นลูกก็เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เชื่อถ้อยฟังคำ ซื่อสัตย์ กตัญญูรู้คุณ และตอบแทนคุณของบิดามารดา เป็นครูก็ต้องทำตัวให้น่าเคารพศรัทธา เป็นศิษย์ก็ขวนขวายแสวงหาวิชาให้มีปัญญารักษาตัวรอด

เมื่อบุคคลทุกผู้ทุกนามในสังคมนี้ถูกต้องไม่บกพร่องต่อหน้าที่ ทำพูดคิดมีแต่เรื่องดี เช่นนี้ถือได้ว่ากำลังดำเนินตามวิถีที่พระพุทธเจ้ามี และทรงสั่งสอน ซึ่งเราก็จะเห็นได้จาก ตัวอย่างที่ พระพุทธเจ้า พระอริยะเจ้า และบุคคลสำคัญๆได้ทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิต เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ และสังคม ให้ได้อยู่ร่วมกันเป็นสุข

พระพุทธเจ้าตายไปแล้วตั้ง 2000 กว่าปี แต่ความดีของท่าน ยังคงที่ไม่มีเสื่อมคลาย ตลอดเวลาที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่ พระองค์ทำการงานเพื่อผู้อื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ เราจะเห็นได้ว่าวิถีชีวิตของพระองค์เป็นครูผู้ยิ่ง ใหญ่ ถูกต้อง ทำตามคำสอนของพระองค์เอง ที่สอนแก่บุคคลอื่นว่าจงยังประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาท

เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าทั้งชีวิตของพระองค์สามารถนำเอามาเป็นแบบอย่าง ในการดำรงอยู่ของชีวิตได้ทุกโอกาส พระองค์ทรงสอนให้คนอื่นรู้จักโลกและสังคม ว่าทุกสิ่งในโลกเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ในท่ามกลาง แล้วก็แตกสลายในที่สุด อย่าไปยึดถือและตกเป็นทาสของมัน เราจะได้ไม่คิดเบียดเบียนเขา ไม่คิดจะขโมยของของเขา ไม่คิดจะฆ่าเขา ไม่คิดจะโกงเขา เพราะสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้น ชั่วคราวและก็หมดไปในที่สุด ไม่มีอะไรคงที่ ทุกวินาทีที่มีชีวิตอยู่ เปลี่ยนแปลง เสื่อมโทรม แตกสลายแล้วก็ดับไป

ความตายเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่พระพุทธเจ้าเองยังต้องดับขันธ์ปรินิพพาน เพราะฉะนั้นเรื่องความตายนี้พูดไปแล้วก็เป็นเรื่องปกติ ในแผ่นดินนี้ทุกตารางนิ้วมีที่ไหนบ้าง ไม่มีการตายการพรากจาก ถ้าไม่มีการตายเลย หลวงปู่เชื่อแน่นอนว่าพวกเราคงไม่มีที่ว่างพอ ให้ได้เหยียบยืนและเป็นอยู่ คนที่เกิดก่อนเราคงไม่ยอมให้เรามาอยู่ แล้วคนก็จะล้นโลกเยอะแยะไปหมด ต่างคนต่างคอยแก่งแย่งกัน ขนาดมีเกิด แก่ เจ็บ ตายแตกสลายกันทุกนาที ไม่วายที่จะเบียดเบียนรบราฆ่าฟัน ยื้อแย่งแผ่นดินทรัพยากรและวัตถุธาตุที่มีในพื้นที่นั้นๆ เอารัดเอาเปรียบกัน ทะเลาะกัน กัดกันไม่เว้นแต่ละวัน ถ้าเกิดแล้วไม่ตายคิดดูเถอะว่ามันจะวุ่นวายขนาดไหน บางคนคิดว่าความตายเป็นสิ่งห้ามกันได้ จึงมีการสอนกันว่าให้ไปเสริมมงคลชีวิตต่อชะตา ผูกดวง เพื่อทำให้ชีวิตยืนยาว แต่สิ่งเหล่านี้มันไม่จริง
ความตายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือ เวลา อาการ สถานที่ตาย

ความมีอยู่ว่า ใน ธีฆลัมพิกนคร มีพราหมณ์ที่เป็นสหายกันอยู่สองคน ออกบวชในศาสนาพราหมณ์ บำเพ็ญตบะอยู่ด้วยกันเป็นเวลายาวนาน ต่อมาพราหมณ์ผู้หนึ่งในสองเกิดความคิดขึ้นมาว่า หากเราฝืนขืนบวชอีกต่อไปสกุลของเราก็จะเสื่อมสูญ เพราะเราเป็นบุตรโทนของครอบครัว คิดดังนี้แล้วจึงศึกออกไปมีครอบครัว เมื่อตอนมีอายุมากจึงทำให้มีลูกยาก เลยพาภรรยาไปบวงสรวงขอพรจากเทวดา และสิ่งศักดิ์สิทธิที่ตนนับถือเพื่อให้ได้ลูกมาสืบสกุล

ต่อมาไม่นานภรรยาของพราหมณ์ก็ตั้งครรภ์ และคลอดบุตรเป็นชายสมความปรารถนา สองสามีภรรยาพราหมณ์เฒ่าก็ช่วยกัน เฝ้าดูแลประคบประหงม เลี้ยงดูด้วยความรักทะนุถนอม จนบุตรชายเจริญเติบใหญ่พอรู้เดียงสา วันหนึ่งสหายของพราหมณ์เฒ่าผู้ยังถือ บวชอยู่ได้จาริกมาพักยังสำนักพราหมณ์ที่ตั้งอยู่ ใกล้เรือนของสามีภรรยาผู้เป็นเพื่อน พราหมณ์สองผัวเมียเมื่อได้ทราบข่าว จึงพาบุตรของตนเข้าไปเยี่ยมหาเพื่อถวายของบูชา อันควรแก่สมณะวิสัย เมื่อสั่งสนทนากันเป็นที่พอควรระลึกถึง พราหมณ์สองผัวเมียก็กราบลา ขอพรเพื่อกลับสู่เคหาของตน พราหมณ์ผู้เป็นนักบวชจึงให้พรทั้งสองผัวเมีย ให้เป็นผู้มีอายุยืนยาว วรรณะผ่องใส แต่สำหรับลูกชายพราหมณ์ผู้เป็นนักบวชนั้นกลับนิ่งเฉยไม่ให้พรอันใด

พราหมณ์เฒ่าผู้พ่อจึงกล่าวถามขึ้นว่า
"ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ ทำไมท่านจึงนิ่งเฉยอยู่ล่ะ มิให้พรกับหลานหรอกหรือ"

พราหมณ์นักบวชนั้นจึงกล่าวตอบว่า
"อันตรายของชีวิตเด็กน้อยนี้มีอยู่"

ฝ่ายพราหมณ์ทั้งสองผัวเมียได้ฟังดังนั้น ก็เกิดความตระหนกตกใจเลยพากัน ละล่ำละลักถามว่า
"อันตรายมีอย่างไร"

พราหมณ์นักบวชจึงตอบว่า "มีถึงชีวิต"

สองผัวเมียเมื่อได้ฟัง ก็ยิ่งร้อนรนทนไม่ได้ จึงร้องถามว่า
"อันตรายเหล่านั้นจะเกิดขึ้นแก่ชีวิตบุตรของข้าพเจ้า เมื่อไร"

พราหมณ์นักบวชนั้นจึงตอบว่า
"คะเนว่าน่าจะภายใน 7 วันต่อจากนี้"

สองพราหมณ์ผู้เฒ่าเมื่อได้ฟังดังนั้นก็พากันกรรแสงโศกเศร้าแล้วก็ถามว่า
"จะหาวิธีป้องกันได้อย่างไร จะมีหรือไม่"

พราหมณ์นักบวชนั้นจึงได้ตอบว่า
"ดูกรสหาย ขอจงได้ระงับความโศกเศร้า แล้วฟังเราให้ดีถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถปกป้องชีวิตบุตรของท่านได้ แต่ผู้ที่สามารถช่วยเหลือบุตรของท่านได้นั้นมีอยู่"

พราหมณ์สองผัวเมียเมื่อได้ฟังคำปลอบประโลมของเพื่อนนักบวชนั้นก็หยุดโศกเศร้ากรรแสง แล้วก็เริ่มแสดงอาการมีความหวัง จึงละล่ำละลักถามขึ้นอีกว่า
"ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐขอจงเกิดเมตตาในดวงจิต เห็นแก่ชีวิตหลานน้อยที่เพิ่ง จะเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ได้ไม่นาน และเห็นแก่ไมตรีที่มีแด่ข้าพเจ้าเป็นเวลายาวนาน โปรดประทานคำชี้นำว่าบุคคลผู้รู้วิธีช่วยชีวิตบุตรของข้าพเจ้าเป็นใครและอยู่ที่ไหน"

พราหมณ์ผู้เป็นนักบวชจึงได้บอกว่า
"ท่านผู้สามารถช่วยชีวิตบุตรชายของท่านได้ ก็เห็นจะมีเพียงแต่พระสมณะโคดม พระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งท่านก็พักไม่ไกลจากที่นี่เท่าไร ขอสหายทั้งสองจงพาบุตรชายไปหา" แล้วก็บอกหนทางให้พราหมณ์สองผัวเมีย เข้าไปเฝ้าพระสมณะโคดม
กาลต่อมาพราหมณ์เฒ่าสองผัวเมีย ได้พาบุตรชายอันเปรียบดังดวงใจของตน เดินมาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่ๆพระองค์ทรงประทับ เมื่อมาถึงจึงแจ้งความต้องการของตนแก่พระอานนท์ พระมหาเถระก็จัดให้เฝ้าแต่โดยดี พราหมณ์ทั้งสองได้ทัศนาเห็นพระรูปพระโฉมและพระวรกายขององค์พระศาสดาก็เกิดความชื่นชมโสมนัส เลื่อมใสศรัทธา ทำการสักการะบูชา ณ เบื้องพระยุคลบาทพระศาสดาด้วยเศียรเกล้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตรัสอวยพร ให้พราหมณ์เฒ่าทั้งสองเป็นผู้มีอายุยืน แต่ทรงนิ่งเมื่อลูกชายของพราหมณ์ทั้งสองเข้าไปกราบบาท

พราหมณ์สองผัวเมียจึงทูลถามว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทำไมมิให้พรแก่บุตรน้อยของข้าพเจ้าเล่า"

องค์สมเด็จพระศาสดาจึงทรงพยากรณ์ชีวิตเด็กน้อยนั้นว่า
"ดูกรพราหมณ์ บุตรชายของท่านทั้งสองจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินอีก 7 วันข้างหน้านับแต่นี้"

พราหมณ์สองผัวเมียจึงร้องไห้อ้อนวอน ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
"จะมีวิธีใดที่จะทำให้อายุไขแห่งบุตรของตนยืนยาวต่อไปได้"

พระผู้มีพระภาคได้ทรงทิพจักษุสำรวจตรวจดูพฤติกรรมตั้งแต่อดีตของเด็กน้อยจึงทราบว่า ถ้าเราช่วยชีวิตเด็กน้อยให้รอดพ้นจากความตายครั้งนี้เด็กคนนี้ก็จะมีวาสนาได้ศึกษาสมณะธรรมจนบรรลุอรหันต์ผลได้ในชาตินี้ ทรงคิดดังนั้นแล้วจึงเมตตาตรัสตอบไปว่า
"ดูกรพราหมณ์ ที่จริงลูกชายท่านคนนี้จะมีอายุยืนยาวถึง 120 ปี แต่เหตุเพราะอดีตชาติเขาทำกรรมอันหนักไว้ และกรรมอันนั้นก็ติดตามตัดรอนทำให้เขาต้องตายก่อนหมดอายุไข อุบายวิธีให้ลูกท่านนั้น พ้นจากความตายครั้งนี้มีอยู่ ถ้าท่านทำตามเราบอก"

สองผัวเมียเมื่อได้ฟังดังนั้นก็แสดงความดีใจ ยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตาแล้วหยุดร้องไห้ พร้อมกับถามว่า
"ขอได้โปรดพระองค์ผู้เจริญ ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ ประดุจเปรียบดั่งพื้นพสุธาที่สัตว์ทั้งหลายได้อยู่อาศัย ทรงเมตตาเห็นแก่สัตว์ผู้ยาก ช่วยปลดเปลื้องทุกข์หนักที่ท่วมท้นทับอกของข้าพุทธเจ้าทั้งสอง ด้วยการบอกอุบายวิธี ทำชีวิตให้ลูกน้อยของข้าพเจ้ายืนยาวตลอดไปด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงดำรัสตรัสตอบพราหมณ์ทั้งสองว่า
"ดูกรพราหมณ์ท่านทั้งสองจงพาลูกของท่านกลับไปที่บ้าน แล้วจัดสร้างมณฑปที่หน้าบ้านท่าน แต่งตั้งปูลาดอาสนะสำหรับพระสงฆ์สาวกของเรา ให้ได้นั่งล้อมวงรอบกายบุตรของท่าน แล้วสาธยายเจริญพระปริตรตลอด 7 วัน 7 คืนไม่หยุดพักนับตั้งแต่วันนี้ ชีวิตบุตรของท่านก็จะรอดพ้นจากน้ำมือมัจจุราชในที่สุด"

พราหมณ์สองผัวเมีย เมื่อได้ฟังดังนั้นก็แสดงอาการลิงโลดยินดี ซบพักตร์เหนือฝ่าพระบาทของพระศาสดา แล้วลุกขึ้นเวียนประทักสินา วนขวา 3 รอบ ด้วยอาการเคารพสูงสุด เสร็จแล้วเดินทางกลับไปยังบ้านของตน เพื่อจัดเตรียมปะรำพิธีตามที่พระศาสดาทรงมีพระบัญชาตรัสสั่ง

ครั้นพราหมณ์สองผัวเมียพาลูกน้อยกลับไปยังบ้านของตนแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตรัส สั่งกับพระอานนท์ว่า ให้นำพระภิกษุจำนวน 8 รูปเดินทางไปยังบ้านพราหมณ์เฒ่าสองผัวเมียในเย็นวันนี้เพื่อสวดพระปริตร โดยทรงสอนพระปริตรนั้นแก่พระผู้จะไปสวดสาธยาย แล้วบอกถึงวิธีการนั่งล้อมรอบตัวเด็กและวิธีผลัดเปลี่ยนพระผู้สวดเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่าง จนทำให้มัจจุราชชำแรกแทรกเข้าไปเอาชีวิตเด็กได้ พร้อมกับทรงสำทับว่า ต้องทำทุกวิธีการที่ทรงสอนอย่างเคร่งคัด

พระอานนท์และภิกษุทั้งหลาย เมื่อได้รับพระบัญชาจากสมเด็จพระศาสดาแล้ว ก็ได้พากันออกมาจัดพระเวรเพื่อจะผลัดเปลี่ยนกันไปยังบ้านของพราหมณ์สองผัวเมีย เพื่อทำการเจริญสาธยายพระปริตร ตามที่พระศาสดาทรงสั่งสอนอย่างเคร่งคัดไม่ขาดตกบกพร่อง

กาลต่อมา วันที่ 7 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่มัจจุราชจะมาคร่าชีวิตเด็กนั้นไปให้ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบกลอุบายของมัจจุราชนั้น จึงชวนพระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก พร้อมพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เสด็จไปยังบ้านของพราหมณ์สองผัวเมียเพื่อทำการสาธยายเจริญพระปริตรด้วยพระองค์เอง

เมื่อพระศาสดาเสด็จพระดำเนินด้วยพระองค์เองเหล่าเทวดาทั้งหลายที่มีอยู่ในจักรวาล ก็พากันมาประชุมห้อมล้อมเพื่อสดับตรับฟังพระปริตรที่พระผู้มีพระภาคทรงสาธยายซึ่งผู้ที่ใกล้ชิด พระวรกายของพระศาสดาก็มีตั้งแต่ ท้าวมหาพรหมผู้ยิ่งใหญ่ ถัดออกไปก็เป็นพญาองค์อินทราธิราช และเทวดาผู้ใหญ่ผู้มียศมีเดช มีศักดิ์และมีอำนาจ จนกระทั่งถึงท้าวจาตุมหาราช และเหล่าพญามารรวมถึงยักษ์ทั้งปวง

เมื่อพระพุทธเจ้า พระมหาสาวก มหาเทพ พรหม เทวดาและมารทั้งปวงมาแห่ห้อมล้อมรอบเด็ก ดังนั้นมัจจุราชที่มีนามว่าอวรุณฆกยะผู้มีศักดิ์อันน้อยมีเดชน้อยมีวาสนาน้อยที่จะมาจ้องจับเด็กกิน ก็ต้องถ้อยห่างออกไปอยู่ปลายสุดจักรวาล ไม่สามารถเข้าใกล้ที่จะมาเอาชีวิตเด็กได้ เป็นเช่นนี้จวบจนเวลาล่วงเลยถึงวันที่ 8 เด็กน้อยบุตรของพราหมณ์เฒ่าทั้งสองก็รอดพ้นจากอันตราย

พราหมณ์เฒ่าสองสามีภรรยาจึงตั้งชื่อบุตรว่า อายุวัฒนะกุมาร แปลว่ากุมารผู้มีอายุยืน เมื่อกุมารนั้นเติบใหญ่ก็ได้ศึกษาสมณะธรรมจนบรรลุอรหัตผล พร้อมกับมีภิกษุบริวารถึง 500 ดังนี้เป็นต้น
 

หลวงปู่ได้เขียนบทโศลกขึ้นมาบทหนึ่งว่า

"ลูกรัก เจ้าเคยชมจันทร์ในกระจกเงาบ้างไหม
เจ้าเคยเด็ดดอกไม้ในอากาศบ้างหรือเปล่า"


ความหมายของบทโศลกนี้บอกเรื่องราวของความว่างเปล่าในการมีชีวิตว่างเปล่า เหมือนกับมองจันทร์ในกระจกเงา เหมือนกับเด็ดดอกไม้ในอากาศแล้วไม่ได้อะไร ชีวิตหลังความตายก็เหมือนกับ ที่เราพูดกับกระจก กระจกไม่ได้พูดกับเรา เราเห็นรูปได้ แต่สัมผัสไม่ได้ ชีวิตหลังความตายนั้นถ้าพวกเรารู้หรือได้เห็นก็จะเห็นว่ามันแสนจะทุกข์ทรมาน จะไปพูดกับญาติก็พูดไม่ได้ จะคุยกับใครก็คุยไม่ได้ พออดอยากขึ้นมาไปขอข้าวน้ำใครกินก็ขอไม่ได้ มันเหมือนกับเราอยู่กับกระจกแต่กระจกก็ไม่ได้พูดกับเรา

เพราะฉนั้นชีวิตหลังความตายถ้าไม่ได้รู้จักเตรียมกันไว้บ้างมันก็น่าสมเพชเสียยิ่งกว่าอะไรๆทั้งหมด เราเห็นสัตว์ที่มันอดอยากและนอนเป็นขี้กลากอยู่ข้างถนนยังไม่ทุกข์ระทมเท่ากับชีวิตหลังความตาย ที่ไม่มีอะไรติดตัวไปเลย
กรรมนี้มีผล

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อจะเตือนพวกเราว่า จงอย่าประมาทกรรมนี้มีผล โลกหลังความตายมีจริง จงพยายามสร้างพฤติกรรมที่เป็นกุศล อย่าเอารัดเอาเปรียบใคร มีจิตใจโอบอ้อมอารี มีไมตรีเอื้ออาทร ช่วยเหลือเผื่อแผ่อุดหนุนจุนเจือเขา เมื่อเราตกระกำลำบากจะได้มีคนช่วยเราบ้าง

การที่หลวงปู่ช่วยคนนั้นคนนี้ เพราะในอดีตพวกนี้เคยช่วยคนอื่นไว้ แต่ถ้าพวกเราไม่เคยช่วยใครเขาเลย ก็คงไม่มีใครมาช่วยเรา ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบถ้าเราไม่เคยไหว้ใคร ใครที่ไหนก็ไม่ไหว้เรา เราไม่เคยให้ใคร ใครก็จะให้เราไม่ได้ เราไม่เคยช่วยใคร พอเราลำบากยากแค้นแสนเข็ญ เลือดตาแทบกระเด็นอย่างไรก็นอนตายเหมือนหมาอย่างนั้น แล้วจะมาพูดว่าคนรอบข้างช่างไม่มีเมตตาไม่ได้พระพุทธเจ้าทรงบอกว่านั่นเป็นกรรมของเขาช่วยไม่ได้

เพราะฉะนั้นพยายามช่วยตัวเองให้มากๆก็แล้วกัน อย่ามาหวังเกาะชายจีวรหลวงปู่เลย ถ้ามาเกาะกันเป็นพรวนอย่างนี้ หลวงปู่คงขึ้นสวรรค์ไปแบบไม่น่าดู เพราะจีวรยิ่งเปื่อยๆอยู่ พยายามสร้างที่พึ่งที่บริสุทธิ์พึ่งได้ตลอดเวลา จากตัวเอง ด้วยตัวเอง
ความดีเท่านั้นที่ติดตัว

เมื่อทำความเข้าใจรู้จักสนิทสนมจนยอมรับได้ว่า มีเกิดก็ต้องมีตาย ความตายเป็นสิ่งที่ตามมาตั้งแต่เกิด ญาติที่แสนสนิทใกล้ชิดกับเรามากที่สุดยิ่งกว่าญาติอื่นใดก็คือ ความตาย คราใดที่เราเห็นความตายเกิดขึ้นต่อครอบครัวเรา ต่อญาติพี่น้อง พ่อแม่ ลูกหลาน เราจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา พอคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว ความรู้สึกเศร้าโศก โศกาอาดูร ก็จะไม่เกิด เมื่อสิ่งเหล่านี้ไม่เกิด อำนาจ สมาธิ สมอง กำลังใจ และความสามารถที่เรามีอยู่ ก็มีพลังที่จะบริหารกิจการงานได้อย่างปกติ

หลวงปู่อยากฝากไว้ให้พวกเราทั้งหลายได้เพียรพยายามทำดี พูดดี คิดดี สลัด ตัดให้ หลุดและห่างไกลความอัปรีย์ อย่าปล่อยให้ชีวิตมัวเมาประมาทขาดสติ เพราะสิ่งที่เอาไป ได้ตอนตายก็คือความดี คุณธรรมความดีที่เราบำเพ็ญมาชั่วชีวิต จะติดตัวเราไป ถ้าจะมา รอจนแก่แล้วค่อยทำความดี เราอาจจะไม่มีโอกาสทำดีก็ได้ เพราะความตายจะมาหาเมื่อ ไหร่ก็ไม่รู้ เพราะสิ่งที่ติดตัวตามเราไปได้หลังความตาย มีอยู่ด้วยกัน 2 อย่างคือ ความดี กับความไม่ดี คนฉลาดที่มีใจอารีย่อมปรารถนาทำพูดคิดดี ให้มีผลแก่ตัวเอง