การพัฒนาจิตเจริญปัญญา
โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ
ณ สถาบันราชภัฏ นครปฐม วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๔๓


..... เจริญพรบรรดาคณาจารย์และคณะนักศึกษาที่รักทั้งหลาย โดยเฉพาะท่านพิธีกรทั้ง 2 ท่านผู้ใฝ่ในธรรม ตัวอย่างเช่น ท่านพิธีกรผู้หญิงเมื่อครู่นี้ ขออภัยที่ไม่ได้รู้จักนามโดยตรง เหตุผลก็เพราะปกตินิสัยไม่เคยถามชื่อใคร ก็ได้แต่รู้ว่าท่านเป็นผู้ใฝ่ธรรม เพราะเคยปรารภธรรมร่วมกันมา คำว่าปรารภธรรมก็คือเคยไปสอนวิปัสสนาจารย์ทั้งประเทศในหอประชุมพุทธมณฑลแห่งนี้ แต่ไม่ใช่ที่นี่ คือประชุมใหญ่ แล้วท่านก็เชิญมาร่วมอภิปราย เค้ามีเวลาให้พูดแค่ 3 นาที 5 นาที ก็พูดเป็นช่วงๆ ท่านพิธีกรท่านนี้ก็ทำหน้าที่คอยตัดเวลาคือ คอยเตือนบอกว่าจะหมดเวลา เหลือเวลาเท่าไหร่ งั้นก็เลยพูดสั้นๆ อาจจะห้วนๆไปบ้าง ที่มานั่งอยู่ตรงนี้ได้ก็เพราะท่านเป็นคนแนะนำให้เชิญมา ให้นิมนต์มาเพื่อให้ได้มาพูดถึงมหาสติปัฎฐาน ได้ทราบจากคณะครู คณะท่านอาจารย์ บอกว่าการอบรมครั้งนี้ คือการอบรมครู อบรมผู้ที่จะไปฝึกสอน อบรมผู้ที่จะไปเป็นครูเค้า คงจะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ถ้าอบรมผู้ที่จะไปเป็นครูเค้าเนี่ย เพราะครูหรือคุรุ แปลว่า ผู้หนัก อันดับแรกก็ต้องหนักในการเป็นผู้นำ หนักในการกระทำ หนักในความหมายของคำว่า ทำดีให้เค้าดู เป็นครูให้เค้าเห็น คนทั้งหลายมองเราแล้วจะได้ทำตามเป็น นั่นคือความหมายของคำว่า คุรุ หรือครู

..... เมื่อครู่นี่สังเกต…ฉันอาจจะเป็นคนช่างสังเกตเกินไปหรือเปล่าไม่แน่ใจ… เห็นพวกคุณที่นั่งๆอยู่แล้ว…หลายท่านถามจริงๆเถอะสมัครใจมาหรือเปล่าเนี่ยะ…ส่ายหน้า หือ..เพราะว่าก็เคยไป อบรมมาก็หลายมหา’ลัยแล้ว ธรรมศาสตร์ก็ไป จุฬาก็ไป หอการค้าก็ไป ราชภัฎก็ไป แต่มาเที่ยวนี้ที่นี่รู้สึก…พวกคุณเมื่อคืนนอนดึกหรือเปล่า ดึกเหรอ? กี่ทุ่มคุณ? ทำอะไร? กรี๊ดกันอยู่หรือไง? รออาบน้ำ อ๋อ! รอคิวอาบน้ำ อะไรมันจะเวรกรรมขนาดนั้น แต่ฉันว่าคนที่นั่งหลับนี่จะเป็นคนอาบคนแรกนะ…คนที่นั่งหลับเนี่ยจะเป็นคนอาบแรกๆ คนที่อาบตีหนึ่งน่ะไม่ได้นั่งหลับหรอก…งั้นก็เลยคิดว่าน่าเห็นใจพอสมควร นั่นแหละคือตัวธรรมะแหละคุณ เพราะการที่คุณจะไปสอนสั่งลูกศิษย์คุณตามโรงเรียนต่างๆ หรือเป็นครูฝึกสอนเนี่ย คิดหรือว่าโรงเรียนเค้าก็ไม่ได้จัดห้องน้ำสวยหรูไว้รอรับคุณ คุณอาจจะไปรอคิวต่อคนสุดท้ายของเด็กก็ได้ในการใช้ห้องน้ำ เพราะงั้นก็เตรียมใจเอาไว้ ฉันว่ามันเป็นวิธีการฝึกให้เราเป็นคนอดทนอดกลั้นต่อสถานการณ์ วันนี้ก็ผลัดเวรกันสิใครอาบสุดท้ายก็ให้ไปอาบพวกแรก และก็พวกแรกก็ไปอาบพวกสุดท้าย หรือไม่ออกไปจากนี่ก็วิ่งแข่งกันไปเข้าห้องน้ำก็จองคิวไว้ก่อนเลย

..... จะคุยเรื่องอะไร…เค้าให้พูดเรื่องมหาสติปัฎฐาน ถามกลับไปว่าคุณเข้าใจคำว่า มหาสติปัฎฐานแค่ไหน? เข้าใจหรือยัง? ไม่รู้เรื่องเลย แล้วรู้ไหมว่าจะเอาไปทำอะไรได้เนี่ยะ? เวรกรรมๆ แล้วจะอบรมอีกกี่วันเนี่ย…แล้ว 4 วันนี่จะรู้เหรอ? เบื้องต้นยังไม่รู้เลย เอ่อ...แล้วมันจำเป็นด้วยหรือเปล่าที่ต้องมาเรียนรู้? ห๋า! ไม่รู้แล้วจะจำเป็นได้ไง เมื่อคุณยังไม่รู้แล้วจะเรียกได้ไงว่าจำเป็น จะไปสอนวิชาสติปัฎฐานกับเด็กๆเหรอ…หรือไง? ไม่ได้เอาไปสอน…แต่เอาไปทำอะไร? ไปใช้อย่างไรหล่ะ? ไม่รู้จะไปใช้อย่างไร? ไม่รู้จะเอาไปใช้ยังไงเหมือนกัน อืม...น่าเห็นใจ…น่าคิดเหมือนกันนะคุณ…น่าคิด เป็นเรื่องน่าคิด… เราเรียนอยู่จะเป็นครูเค้าแล้ว ยังไม่รู้ว่ามหาสติ ปัฎฐานหน้าตาเป็นยังไง แล้วก็ไม่รู้จะใช้อย่างไร รู้แต่ว่าต้องมาเรียนมารู้เพื่อพยายามนำมันเอาไปใช้

..... จริงๆ แล้วมหาสติปัฎฐานไม่จำเป็นต้องมานั่งตรงนี้แล้วรู้…คุณ มหาสติปัฎฐานของพระพุทธะ ผู้รู้ตื่นและเบิกบาน ไม่จำเป็นต้องมาอยู่ห้องนี้แล้วรู้…คุณออกจากท้องแม่ร้องอุแว้แล้วคุณขี้แล้ว ดิ้นหนีจากขี้ คุณเยี่ยวแล้วขยับร้องเรียกแม่ให้มาเปลี่ยนผ้าอ้อมคุณ หรือไม่ก็…คุณใส่เสื้อเป็นเสื้อ ใส่กางเกงเป็นกางเกง คุณรู้ว่าคุณกำลังนั่งอยู่ตรงนี้ หรือไม่ก็คุณทราบว่าตัวคุณกำลังทำอะไรในขณะนี้ หรือไม่ก็…ที่ผ่านมาคุณเรียนหนังสือตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงประถม มัธยม ถึงมหา’ลัยเนี่ย ทั้งหลายทั้งปวงนี่เป็นความหมายของมหาสติทั้งนั้นแหละคุณ เป็นการใช้สติทั้งนั้น ถ้าคุณไม่มีสติ คุณต้องใส่เสื้อเป็นกางเกง คุณต้องใช้กางเกงเป็นเสื้อ คุณไม่มีสติคุณต้องเอากางเกงในไว้ข้างนอก กางเกงนอกไว้ข้างใน คุณไม่มีสติคุณต้องไม่รู้ว่าผมจะหวีอย่างไร คุณไม่มีสติคุณก็เห็นใบไม้ลอยมา แล้วก็นั่ง อุ๊ย...ตกแล้วๆ ตกแล้วๆ แล้วก็ตีมือหัวเราะเมื่อใบไม้ตกถึงพื้น หรือไม่ก็ไปเดินแบบซันตาคลอส คุณเคยเห็นไหม? ซานตาคลอสผมยาวๆข้างถนน แล้วหิ้วถุงปุ๋ยอะไรงั้น นั่นแหละคือคนไม่มีสติ นั่นแหละคือความหมายของคนไม่มีสติ เพราะงั้นสติเนี่ย อยู่กับบุคลที่…อะไร? คนประเภทไหน ? ยังไม่ชัดพูดต่อไป แล้วคุณจะรู้ว่าสติจะช่วยอะไรคนได้บ้าง? ห๋า…คนปกติ…ก็น่าจะใช่คนปกติ…อืม…ก็ยังไม่สมบูรณ์นัก อ้าว...ใครตอบได้เดี๋ยวให้ทอฟฟี่… สตินี่มันเป็นเครื่อง…คนที่มีสติคือคนที่มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้อย่างมีสมรรถนะสร้างสรรค์ประสิทธิภาพ ทำให้เกิดประสิทธิผล ในขณะที่เรามีชีวิตทุกย่างก้าว ทุกลมหายใจเข้าออก ใครก็ตามถ้าบอกฉันไม่มีสติและฉันไม่จำเป็นต้องมีสติแล้วฉันก็ไม่รู้จักแม้กระทั่งคำว่าสติ…นั่นไม่ใช่คน เพราะฉะนั้นคนไม่มีสติก็คือคนที่ไม่ใช่คน เพราะงั้นคนที่ไม่ใช่คนก็คือคนอย่างที่บอก คือต้องแบกถุงปุ๋ยอยู่ข้างถนนนั่น เค้าเรียกคนไม่ใช่คน เพราะว่า…ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

..... เพราะงั้นการที่คณาจารย์ทั้งหลายเค้าคิดว่า…เชิญพวกคุณมา…จะบังคับก็ตามหรือจะ ขู่เข็ญก็ตามหรือจะอย่างไรก็ตาม เพื่อขอให้คุณมานั่งตรงนี้เนี่ย คณาจารย์ทั้งหลายเค้าต้องการให้คุณเข้าใจความหมายของคำว่าคนต้องเป็นคน เพื่อให้คุณไม่ต้องโดนใครมาจับคุณคน แล้วคุณจะต้องเป็นคนเหนือคน แถมยังต้องเป็นคนที่ต้องไปสอนคน คนที่เหนือคน คนที่ไม่โดนคน คนที่ต้องไปสอนคนเนี่ย ต้องถือว่าเป็นคนพิเศษ เพราะคนพิเศษชนิดนี้แหละ พระศาสดาจึงเรียกคนพิเศษอย่างนี้ว่า คุรุ ผู้เจริญ ผู้หนัก ผู้นำ ผู้ที่คนทั้งหลาย…ควรทำตาม เพราะฉะนั้นความหมายของการฝึกสติก็คือ การฝึกสิ่งที่มีอยู่แล้วให้มันกล้าแข็งและแกร่งขึ้น เพื่อจะอุปการะกายนี้ วาจานี้ จิตนี้ ให้เป็นผู้ที่มีสมรรถนะให้ดีขึ้น สูงขึ้น เยี่ยมยอดขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น มีอำนาจครอบงำ ครอบคลุมพฤติกรรมให้ไปสู่เป้าหมายและวิถีทางของผู้เจริญ เพราะงั้นการมาฝึกสติไม่ใช่การมา สร้างขึ้นมาใหม่ แต่มันก็คือการค้นทางของเก่าและก็ทำให้มันมีประสิทธิภาพ จนกลายเป็นประสิทธิผลของการทำพูดคิด…และถ้าหากว่าเราจะไปเป็นครูเขาแล้วไม่รู้จักความหมายของคำว่าสติ ยิ่งแย่ใหญ่เลย เราจะกลายเป็นคนที่ไม่ใช่คนและเป็นคนที่โดนคน และเป็นคนที่ใครๆก็มองดูว่าเราไม่มีสิทธิ์จะไปสอนคน งั้นก็เลยเป็นที่มาของวันนี้ที่ท่านทั้งหลายต้องมายืนรอเข้าคิวเพื่อจะอาบน้ำถึงตีหนึ่งอะไรอย่างงี้ ก็ผลัดๆกันแล้วกัน คนเข้าครั้งแรกก็อาบซัก 3 ขัน ก็รีบๆออกมา…จริงๆแล้วทำแบบทหารก็ดีนะคุณ ทำแบบทหารยังไง เค้าเข้าไปในห้องน้ำปุ๊บรดน้ำเสร็จก็วิ่งออกมาจากห้องน้ำ แล้วถูสบู่ คนต่อมาก็วิ่งเข้าไปรดน้ำแล้ววิ่งออกมาถูสบู่ สลับกันอย่างนี้ สุดท้ายใช้เวลาน้อยมาก

..... ทีนี้ก็เลยอยากบอกท่านทั้งหลายว่า การที่พวกคุณมานั่งอยู่ตรงนี้เนี่ย ฉันว่าพวกคุณเป็น เอกลาภ…เป็นลาภที่ประเสริฐ ถ้าเป็นฉัน ฉันจะดีใจมากๆเลย… ดีใจที่มีใครคนใดคนหนึ่งในโลกนี้ที่ยังรักเราสุดชีวิตจิตวิญญาณที่กล้าจะให้สิ่งดีมีสาระเรียกว่าประทานความหมายของคำว่า “คน” ให้เราอย่างสมบูรณ์หรือมอบความหมายของคำว่าคนให้เราอย่างถูกตรง…ถูกต้อง…ที่เราจะนำไปใช้ได้อย่างไม่บกพร่องในการบริหารพัฒนาและจัดการต่อปัญหาชีวิตตนและคนอื่น ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลยังงี้ ถ้าคนไม่รักกันจริงเค้าจะไม่ให้กันจริงหรอกคุณ ถ้าคนที่ไม่เอื้ออาทรกันอย่างสุดชีวิต ยังไม่คิดที่จะให้ต่อกัน เค้าจะไม่แบ่งปันสิ่งเหล่านี้ เพราะเค้าถือว่าทุกคนในสังคมต้องแก่งแย่งกัน งั้นการที่เค้าให้โอกาสเรานี้ก็ถือเป็นเรื่องที่เค้ามีน้ำใจ เมตตา อาทรต่อเราอย่างยิ่ง

..... เกริ่นมาก็พอสมควรแล้ว…เรื่องความจำเป็นสำหรับการที่ต้องฝึกสติ สติมีอยู่แล้ว ไม่ใช่ไปหาที่อื่นแต่เราจำเป็นต้องมาจัดการพัฒนาและบริหารมันให้ทรงไว้ซึ่งสมรรถนะและสร้างให้เกิด ประสิทธิผลขึ้นในการทำ พูด คิด เราจะได้ไม่ผิดพลาด ไม่บกพร่องมีแต่เรื่องถูกต้อง นั่นคือความหมายของวันนี้ที่พวกท่านทั้งหลายต้องมานั่งทนทรมานอยู่ตรงนี้ หลับบ้าง ตื่นบ้างก็ยังดี..ดีกว่าไม่มา เพราะงั้นก็เลยอยากทิ้งช่วงตรงนี้เอาไว้ซักนิดหนึ่งให้พวกท่านถามปัญหาซักเล็กน้อย แล้วค่อยมาเริ่มต่อถึงบทว่า เราจะเข้าสู่กระบวนการมหาสติปัฎฐานกันได้อย่างไร ใครมีอะไรสงสัยที่หลวงปู่พูดมาเมื่อครู่นี้บ้าง? เชิญถาม…ถามได้นะ…ยกเว้นว่าหวยออกอะไร…หรือทำยังไงจะอาบน้ำให้เร็วที่สุด

..... กราบนมัสการหลวงปู่ที่เคารพครับ กระผมขออนุญาตเรียนปุจฉา

ปุจฉา : ขณะที่เจริญสติเราก็ตั้งใจทำให้ดีแล้ว แต่บางทีก็เผลอลืมสติไปบ้าง จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะทำให้สติอยู่ยั่งยืนยง เป็นครูที่ดีของลูกศิษย์ และเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ได้ครับ

วิสัชนา : จริงๆแล้วท่านอาจารย์ถามดีมาก แต่ก็สูงไปนิดสำหรับท่านที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้ เพราะฉันรู้สึกได้ด้วยตัวของฉันเองว่าท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้ส่วนใหญ่หลายท่านยังไม่เข้าใจความหมายคำว่าสติ จึงทิ้งระยะไว้ให้ท่านได้ถามความหมายว่าสติ นั้นมันอยู่กับเราอย่างไร เรามีวิถีอยู่กับมันได้มากน้อยแค่ไหน แล้วมันอุปการคุณอะไรแก่เราอย่างไร ทีนี้ที่ท่านอาจารย์ถามนั้นก็อยากผลัดเอาไว้ก่อนแล้วกัน…แปะโป้งไว้ก่อน…ไม่ใช่ตอบไม่ได้ ถ้าจะให้ตอบเดี๋ยวพวกเราก็จะงง มันจะข้ามขั้นตอนในการเข้าสู่กระบวนการมหาสติปัฎฐาน เพราะจะมันกระโดดไปขั้นที่ 3 เพราะขั้นที่ 1 ที่ 2 มันจะหายไป เราจะเข้าไปสู่มหาสติปัฎฐานได้ยากขึ้น เราจะเห็นว่าสติเรื่องที่ทำได้ลำบาก ก็เลยไม่อยากทำเลย…

..... มีใครอยากถามอะไรมั๊ย? ที่หลวงปู่พูดมาเมื่อครู่นี้ เชิญถาม ตั้งปัญหา ลุกขึ้นได้ เป็นผู้นำ เป็นครูเค้าต้องกล้าพูด กล้าทำ กล้าคิด กล้าแสดง วิถีทางก็คือคุณเริ่มต้นจากคำปุจฉา ฉันให้คำว่าวิสัชนา แล้วคุณถามปัญหา เป็นกติกา…เป็นกติกาเฉพาะตัว ถามว่ามันจำเป็นด้วยไหมที่ต้องใช้คำว่าปุจฉา จำเป็นคุณ…ถ้าคุณยิ่งใช้คำว่าสติแล้ว…จำเป็นมากๆเลย ถ้าพูดถึงคำว่ามหาสติปัฎฐานแล้วคำว่าปุจฉานี่แหละเป็นตัวกระตุ้นให้สติตื่น…มันเป็นการเตรียมการสำหรับที่จะดำเนินกิจกรรมต่อไป เหมือนกับที่เราทำกิจกรรมอะไรต่างๆ ถ้าเรายังโงนเงน ยังงี่เง่า หรือยังง่วงเซื่องซึมอยู่ ทำอะไรไม่สำเร็จ เพราะงั้นการปลุกคุณให้ตื่นนี่แหละเป็นกระบวนการที่จะไปสู่เป้าหมายของความสำเร็จ… เพราะงั้นปุจฉาจึงเป็นการปลุก ใครจะถามอะไรมั๊ย? ไม่อยากถามแล้วครับ ถ้าจะถามก็อยากถามว่าจะทำยังไงให้นอนให้หลับ… หรือเมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน… ไม่มีเหรอ? ห๋า...ถามหน่อยน่า… ส่งคำถามด้วยมือก็ได้ ใครจะอ่านแทนก็ได้

ปุฉา…..(นักศึกษาขึ้นต้นถาม)
ปุจฉาค่ะ ไม่ใช่ปุฉา ถ้าปุฉานี่เป็นรู มันมาจากคำว่า…ปุ..ปุ.. ถ้าปุจฉาแปลว่า ขอถามท่านผู้เจริญ ก็ใช้คำว่า วิสัชนา แปลว่า ยินดีตอบ (หลวงปู่อธิบาย)
ปุจฉา : ครูที่ดีต้องมีการฝึกอบรมหลักสูตร การฝึกพัฒนาจิต เจริญปัญญา และพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน จริงหรือไม่ และถ้าไม่ได้ฝึกอบรมจะเป็นครูที่ดีและมีจิตใจที่ดีได้หรือไม่ครับ

วิสัชนา : โอ..สำคัญเชียวคุณ สำคัญทีเดียว คนที่ไม่ฝึกการอบรมจิตเนี่ยยากที่จะเผชิญต่อสถานการณ์ที่บีบคั้นแล้วจะทนได้ ยืนหยัดอยู่ได้ ตั้งมั่นได้อย่างไม่โยกโคนไม่สั่นคลอนไม่ง่อนแง่น หลวงปู่อยากจะยกประสบการณ์ทางวิญญาณของตัวเองให้ฟังซักเรื่องหนึ่ง…ถือว่าผิดไหม…ไม่ผิดนะ…ยินดีฟัง?…ยินดีฟังมั๊ย? ฟังไม่ฟังก็ต้องฟังเพราะคุณนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว…และฉันก็อยู่ต่อหน้าคุณ…

..... เรื่องมันมีอยู่ว่า…สมัยที่หลวงปู่ฝึกสติตัวเองใหม่ๆเนี่ย ตอนบวชพรรษาแรกเลย เราคิดว่าเราบวชเพราะคิดว่าเราเป็นคนโง่ ไม่ค่อยมีสติ ปัญญาไม่ค่อยมี แล้วเราก็เป็นคนที่เชื่ออะไรง่าย เป็นคนหลงอะไรง่าย ใครมาทำอะไรให้โกรธเราก็โกรธ ใครมาทำให้เรารักเราก็จะรัก ใครมาทำให้เราเกลียดเราก็จะเกลียด ใครมาทำให้เราเชื่อง่ายก็เชื่อตามเขา เห็นอะไรที่สวยก็อยากได้…โลภ เห็นของมีค่าก็ต้องการ ตอนบวชใหม่ๆก็... ปกติฉันหนีออกจากบ้านไปบวช ก็ไม่ได้หนีคือบอกขออนุญาตโยมแล้ว แล้วโยมพยักหน้า แล้วเราไม่อยากให้ท่านเดือดร้อน เราก็หนีไปบวชเอง ไปบวชแล้วก็ไม่มีคนอุปการะ ปกติพระบวชใหม่จำเป็นต้องมีคนดูแล เรียกว่าโยมอุปัฎฐาก หลวงปู่ไม่มีคนดูแล บวชเอง หาเงินได้ก็ไปสมัครตัวกับอุปัชฌาย์ แล้วไปซื้อผ้าไตรจีวรแล้วก็ไปบวช ตอนไปบวชก็แห่ผ้าไตรเอง อุ้มบาตรเดินวนรอบโบสถ์เองไปคนเดียวพร้อมเสร็จ อุปัชฌาย์กับพระอันดับงงบอก…เฮ้ย ! มึงหนีคดีมาเปล่า? บอกเปล่าครับ หนีหนี้? เปล่าครับ หนีแชร์? เปล่าครับ หนีอะไร? หนีโง่ครับ อุปัชฌาย์บอกว่า เอ๊ะ ! ไอ้นี่พูดดี หนีโง่มาบวช…เพราะงั้นหนีโง่ต้องรีบร้อน…ก็เลยได้บวช…พอบวชแล้วผลปรากฎว่าป่วยเป็นไข้ไม่สบาย

..... แพ้ผ้าเหลืองหรือไงไม่แน่ใจ ก็นอนป่วยอยู่ในห้อง…ฉันนอนหมดสติไปเมื่อไหร่ไม่รู้แต่รู้ว่า 3 วัน…แล้วก็ไม่ได้ฉันข้าว ปกติแล้วเค้าต้องมีญาติอุปถัมภ์พระบวชใหม่ ฉันไม่ได้ฉันข้าว หมดแรง นอนอยู่ในห้องก็กินแต่น้ำ พระที่อยู่ที่นั่นเค้าก็ไม่ได้ใส่ใจกัน เค้าก็ไม่ดูแลกัน ต่างคนต่างอยู่อยู่แล้ว กำลังจะหมดความรู้สึก เราคงตายแน่แล้ว น้ำตาไหลคิดว่าคงตาย หายใจมันรวยริน จิตใจมันหมดกำลังใจที่จะอยู่ต่อคือจะมีชีวิตอยู่ต่อ หมดกำลังใจ หันไปมองพระพุทธรูปองค์เล็กๆในกุฏิ ฉันได้ยิน...หูฝาดไปหรือเปล่าไม่รู้ พระพุทธรูปพูดให้ฉันได้ยินว่า “อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ” ตอนนั้นฉันแปลไม่ออกว่าเป็นอะไร แต่ฉันรู้สึกมีกำลังใจ ลุกขึ้นไปถามหลวงตาห้องข้างๆว่ามันแปลว่าอะไร หลวงตาบอกว่า “ตนเป็นที่พึ่งของตน” โอ้ ! ทำให้ฉันมีกำลังสรงน้ำ สรงท่า นุ่งสบง ทรงจีวร คว้าบาตรออกไปหาอาหารข้างนอก บิณฑบาตรเจ้าเดียว ได้อาหารกลับมา ฉันข้าว ฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ค้นหาตัวเอง การค้นหาตัวเองของฉันก็โดยการ…ที่พยายามที่สืบหาครู ก็ไม่มีใครที่จะกล้าสอนเพราะเราเป็นคนที่โง่…โง่จนครูไม่กล้าสอน สุดท้ายต้องฝึก…ฝึกอะไรๆด้วยตัวเอง โดยการเอาตัวเองไปทำงานทุกอย่างภายในวัด ทำทุกเรื่องที่เค้าไม่ทำ เช่น ขนขยะที่เค้าทิ้งกองสุมเป็นภูเขาเลากา…ปกติแล้วรถขยะสมัยก่อนนี้จะมาเก็บก็ 15 วันครั้งหนึ่ง แล้วคุณคิดว่า.. ขยะนี้มันต้องทิ้งทุกวัน… พระเณรไปบิณฑบาตรมาอะไรที่ฉันไม่หมดก็จะทิ้ง ทิ้งแล้วมันก็อยู่ในถุงพลาสติก บางวันเนี่ยไอ้ถุงพลาสติกมันพองขึ้นเหมือนกับผีขึ้นอืด ฉันเอาไม้กวาดไปกวาดๆ ปลายไม้กวาดมันไปโดนถุงพลาสติกระเบิดโพล๊ะ! เต็มหน้า เราก็ต้องมาล้างเช็ดแล้วก็ต้องไปขนโกยขยะไปทิ้งให้เค้า ฉันเข็นขยะทิ้งเนี่ยประมาณกิโลเศษ เอาไปทิ้งในที่ๆเค้าให้ทิ้ง เพราะว่าในวัดถังมันเต็มหมดแล้ว แล้วก็ต้องไปทิ้งในกองขยะกองใหญ่…ทำอย่างนี้อยู่ทุกวัน… ออกพรรษาก็หาวิธีฝึกตัวเองมากขึ้น เอาตัวเองไปแช่ในหลุมขี้ โผล่แค่คออยู่เดือนเศษ ขึ้นจากหลุมขี้... ฉันไม่ได้ขึ้นเลยนะตลอดเดือนกว่านี้แช่อยู่แต่ในหลุมขี้ แล้วก็ให้ลูกศิษย์เค้าช่วยส่งนมวันละกล่อง คุณคิดดูว่าคนขณะที่ยืนในหลุมขี้เนี่ย…หมดสติได้มั๊ย…สัปหงกโงกง่วงได้มั๊ย…อะไรจะเกิดขึ้นถ้าสัปหงก ห๋า...? ไม่ได้กินนมแล้วคุณกินขี้แล้ว เพราะมันโผล่แค่คอนี้มันทำอะไรไม่ได้แล้ว ขึ้นจากหลุมขี้ ฉันไปอยู่กับโลงศพซึ่งมีน้ำเหลืองไหลเยิ้ม ขออนุญาตสมภารเค้า ทำกลดแล้วออกไปธุดงค์แถวภาคอีสาน เจอป่าช้า ขออนุญาตเข้าไปอยู่ในป่าช้า เห็นเค้ามีโลงศพผีไม่มีญาติ เราก็เลยบอกสัปเหร่อ ขออนุญาตไปอยู่กับผี ฉันนอนอยู่กับศพอยู่เกินกว่าครึ่งเดือน… ออกจากโลงศพกลับไปอยู่ในถ้ำที่มีงูพิษอยู่เดือนครึ่ง… ออกจากถ้ำมีงูพิษฉันกลับมาวัด… ขณะที่เดินอยู่ในวัดกำลังจะไปบิณฑบาตร พระบวชใหม่ฉันไม่รู้จักหน้าเค้า เค้าอยู่บนเหล่าเต้ง…คือที่วัดมันจะมีกุฏิเป็นหลังๆแล้วสูง ชั้นสูง เค้าอยู่ข้างบนนั้นถุยน้ำลายลงมารดหัวฉัน… ปกติเราคิดว่าฉันเป็นขี้ขลาดไหม…ในสายตาของเราที่มองฉันเวลานี้… แล้วการถุยน้ำลายรดหัวผู้ชายด้วยกันนี้เค้าถือเป็นอะไร? หมิ่นเชิงชายชาญ มึงต้องตายกันไปข้างหนึ่ง…ถูกไหม? มันยิ่งกว่าต่อยหน้าซักทีหนึ่งอีก สิ่งที่ฉันทำได้ในเวลานั้นคุณรู้ไหมฉันทำอะไร ฉันเงยหน้าขึ้นไปแล้วตะโกนออกไป “ขอบคุณครับ” แล้วก็ยกผ้าชายจีวรขึ้นเช็ดน้ำลายบนหัว แล้วเดินไปบิณฑบาตรได้อย่างสบายใจ…คุณ

..... ทีนี้คงเป็นคำตอบให้แก่คุณแล้วว่าสติสำคัญอย่างไร ถ้าคุณไปเจอครูหรือเด็กมันยั่วยวนอารมณ์ของคุณ แล้วคุณระงับสติไม่ได้ ครูต้องเป็นอาชญากรรมหรือไม่ก็ต้องเป็นผู้ต้องหา เพราะฉะนั้นการฝึกสติทำให้เราตั้งมั่นในทุกกาล ทุกสมัย ฉันฝึกสติจากอะไร จากการที่พยายามรักษาใจกับตัวเองไม่ให้มีความคิดแตกแยก ในขณะที่ฉันไปอยู่ในหลุมขี้เนี่ย ถ้าฉันปรุงแต่ง...โอ๊ย! นี่ก็เม็ดพริก อุ๊ย! นั่นเม็ดมะเขือ นั่นผัก ไอ้นั่น...ผักคะน้า ไอ้นั่น...หมู…อุ๊ย!…ยังไม่หมดเลย…อยู่ได้ไหม? อย่าว่าแต่ไปอยู่เลยคุณ แค่ไปแตะก็สะบัดแล้วสะบัดอีก ร้องยี้ๆๆ อยู่ สาอะไรกับไปอยู่ตรงนั้น ถ้าไม่มีสติยั้งใจ ไม่มีสติหักห้ามจิต เราต้องเป็นบ้าแน่ เพราะงั้นสติให้ประโยชน์อะไร สติเป็นอุปการะ พระสารีบุตรจึงกล่าวว่าธรรมที่เป็นเครื่องอุปการะคือ สติ...ความระลึกได้ สัมปชัญญะ...ความรู้ตัว สติเป็นเครื่องอุปการะแก่สัตว์ แก่จิตนี้ แก่ชีวิตนี้ แก่กายนี้ แก่ใจนี้ แก่อนาคตของเรานี้ คนมีสติจึงตั้งมั่นได้ทุกกาลทุกสมัย ถามว่าจำเป็นไหม ครูจำเป็นต้องมีสติมั๊ย ถ้าครูไม่มีสติก็คือครูที่หมดสติ ถ้าครูหมดสติก็คือ ครูบ้าครูประสาท ครูบ้าครูประสาท คือครูที่ทำอะไรตามอารมณ์ อยู่บ้านทะเลาะกับผัว พอมาโรงเรียนเลยระบายอารมณ์ใส่เด็ก ตีเด็กซะแทบพิการอย่างนี้เป็นต้น นี่เรียกว่าครูไม่มีสติ ไอ้ครูดีมีสติเค้าก็มี ครูอยู่บ้านทะเลาะกับผัว พอมาโรงเรียนเราก็ต้องเตรียมใจว่านี่ไม่ใช่ศัตรูเรา ลูกศิษย์คือบุตร ปิยะบุตร คือลูกหลานที่น่ารักของชาวบ้านที่เค้าเมตตารักใคร่ปรารถนาให้ลูกได้ดี ที่เค้ามาฝากกับเราเพราะเค้าให้เกียรติเรา เค้ายอมรับเราเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ ไว้วางใจให้ได้ช่วยสอนลูกเค้า ถ่ายทอดสรรพวิชาให้ลูกเค้า เราต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ครูที่มีสติจะคิดอย่างนี้ จะหาวิธีคิดอย่างนี้ จะมีวิถีคิด วิถีทำ วิถีพูด วิถีชีวิต วิถีจิตที่ไม่ผิดพลาด ไม่บกพร่อง มีแต่เรื่องถูกต้อง เพราะงั้นสติจึงเป็นความจำเป็น เป็นอุปการะคุณแก่สรรพสัตว์ คนไม่มีสติคือคนบ้า… น้องหนูท่านที่รักทั้งหลาย…จำไว้เลยว่าคนไม่มีสติ คือคนที่... “โอ๊ะ!ใบไม้มาๆ ใบไม้มาๆ ตกแล้วๆ ตกแล้วๆ” แล้วตบมือแปะๆ หัวเราะแหะๆ อะไรงี้ “หมาขี้ หมาขี้” แล้วเดินหัวเราะ เห็นหมาขี้ก็หัวเราะนั่นแหละคนหมดสติ พวกไม่มีสติคือเมา พวกเสพยาเสพติด พวกหลงระเริงไปตามกระบวนการฉุดกระชากลากถู เค้าชวนไปดูหนังดูละครไปกะเค้าตามคำชวน…นี่โดนหิ้วง่าย…พวกไม่มีสติจะโดนหิ้วได้ง่าย… หลวงปู่เคยพูดกับชาวบ้านพูดกับพระ…มีคนนิมนต์ไปฉันเพลที่บ้าน…เราก็ไม่ไปล่ะนะ ก็บอกเค้าว่าฉันไม่เคย…ตั้งแต่บวชมานี่ไม่เคยคิดจะไปรับกิจนิมนต์ สวดมนต์ ฉันเพล สวดผี บ้านใครซักที แล้วฉันก็เป็นอย่างงั้นมาตลอด ชาวบ้านเค้าก็ “แหม...ทำหยิ่ง นิมนต์แล้วไม่ไป” เราได้ยินเค้าก็เลยบอก “เฮ๊ย! กูไม่ใช่พระกะหรี่นี่หว่า ไอ้ห่า ! อยากหิ้วก็หิ้วได้ อยากหามก็หามได้” ไม่ได้บวชมาเพื่อจะไปรับสมอ้าง รับกิจนิมนต์ บวชมาเพื่อปฏิบัติธรรม… ฉันมันคนลูกผีลูกคน…คนมีสติหรือเปล่าไม่รู้อย่างงี้… ก็เลยอยากบอกให้รู้ว่า…คนมีสติจะตั้งมั่นได้ด้วยตัวเอง… ไม่มีใครเค้ตรำให้เราต้องโยกโคนสั่นคลอนไปตามกระบวนการใดๆที่จะมาฉุดกระชากลากถูเราไป และจำไว้ว่า ผู้มีสติเนี่ย จะไม่มีชีวิตแขวนอยู่บนฟองน้ำลายที่กระดกบนปลายลิ้นชาวบ้าน คนมีสติจะเป็นเอกภาพของตัวเอง มีเอกลักษณ์ของตัวเอง เป็นเอกบุรุษถ้าเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงก็เป็นเอกสตรี ไม่ต้องใส่แอร์โร่ แต่ใส่สติรักษาสติ ทำให้เจริญในสติ แล้ววิถีทางของสติเป็นอย่างไร? โปรดติดตามตอนต่อไปเพราะใกล้จะหลับ…ให้ถามต่อ… ใครจะถามอะไรอีกมั๊ย

ปุจฉา : การฝึกพัฒนาสติปัญญามีความจำเป็นอย่างไร ในการดำรงชีวิตประจำวัน

วิสัชนา : เออ...น้องหนูต้องเข้าใจอีกอย่างหนึ่งว่าเราชอบพูดควบกล้ำกันไปอยู่เสมอ อย่างเช่นใช้คำว่าฝึกสมาธิเนี่ย…ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นพูดอย่างไร…สอนอย่างไร ฉันรู้ว่าฉันไม่พูดอย่างนั้นสอนอย่างนั้น สมาธินี่ไม่ต้องฝึก สิ่งที่พวกคุณจะต้องฝึกคือ…อะไร? คือสติ ผลของสติจะเป็นอะไร? สมาธิ ผลของสมาธิเป็นอะไร? ปัญญา อืม...เก่ง…เดี๋ยวบวชได้ คนที่บวชไม่ค่อยเก่งอย่างงี้… เพราะฉะนั้นฝึกสติ เกิดสมาธิ เป็นปัญญา ปัญญาจะมีที่ตั้งได้ต่อเมื่อที่ตั้งนั้นมั่นคง สมาธินั้นแปลว่าที่ตั้งแห่งความมั่นคง เพราะงั้นที่ตั้งแห่งความมั่นคงจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีสติเป็นเครื่องรองรับ ผลของสติเป็นสมาธิ และกระบวนการของสมาธิถ้าพิจารณาตามหลักของไตรลักษณ์…อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงของโลก เห็นตามความเป็นจริง รู้เห็นตามความเป็นจริงก็จะเกิดปัญญา ปัญญาในที่นี้เรียกว่า อริยะปัญญา ปัญญาแห่งความรู้จริงรู้ยิ่ง ไม่ใช่รู้จำ เมื่อรู้จริงรู้ยิ่งเป็นปัญญาล้วนๆ ที่ไม่มีอะไรทำลายเสียหายลงไปได้ ไม่มีใครทำร้ายทำลายปัญญาชนิดนี้ให้เสียหาย เราตายไปอีกกี่ชาติปัญญาชนิดนี้ก็จะตามเราไป แต่ปัญญาที่เราได้มาจากการท่องจำเนี่ย…คุณตายชาตินี้คุณก็จบชาตินี้แล้ว มันไม่มีโอกาสจะตามคุณไปได้ แต่ปัญญาที่ตายกี่ชาติกี่ชาติก็จะตามเราไปก็คือ ปัญญาที่…รู้เห็นตามความจริง ไม่ว่ากี่พันกี่แสนกี่หมื่นปีแสงก็จะอยู่กับคุณตลอด…เป็นปัญญาที่โจรปล้นไม่ได้…น้ำท่วมไม่หาย ไฟไหม้ไม่หมด… เพราะฉะนั้นกระบวนการของปัญญาจำเป็นกับชีวิตอย่างไร? ผู้ถามถาม…คนไม่มีปัญญาคือ คนโง่ คนโง่คือคนที่โดนเค้าหลอกง่าย คนที่โดนหลอกง่ายคือคนที่ทำผิดพูดผิดคิดผิด… คนที่ทำผิดพูดผิดคิดผิดก็คือคนที่ต่ำทรามในสายตาสังคม… คนใช้การไม่ได้…คนหมดสมรรถนะและคนไร้สภาพ…คนใช้ไม่ได้คนหมดสมรรถนะคนไร้สภาพคือคนไม่ใช่คน…คือคนอ่อนแอ… คือคนง่อยเปลี้ยเสียขา…หรือคือคนที่ไม่มีสำนึกของความเป็นคน… เพราะงั้นความหมายของปัญญาจึงเป็นกระบวนการ…เรียกว่า…ผลแห่งการสันดาปของสติเกิดสมาธิแล้วปรากฏปัญญา…ถ้าเข้าใจตามนี้สิ่งที่คุณควรขวนขวายไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่สมาธิ แต่มันคือ…สติ ต้องพูดถึงเรื่องสติ เราคุยกันเรื่องสติ ไอ้ที่คุณกำลังเรียนๆอยู่แล้วท่องจำกันอยู่ทุกวันนี้มันไม่ใช่ปัญญา…คุณ ตอบได้ไหมว่าไม่ใช่ปัญญาแล้วมันเป็นอะไร ? ครู คุณครูขาที่หนูเรียนอยู่ทุกวันนี้เค้าเรียกว่าปัญญาหรือเปล่าค่ะ? แล้วถ้าเด็กมันถามอย่างนี้จะตอบว่าไง? ทะลึ่ง ! อวดรู้ ถามอะไรก็ไม่รู้… ตอบไม่ได้ทำไก๋ด่าเด็กไปงั้น ที่เราเรียนอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่ปัญญาแต่เป็นสัญญา… สัญญาคือการสะสมกักเก็บข้อมูล กักเก็บข้อมูล แล้วมันจะพัฒนาขึ้นไปสู่ตัวปัญญาได้มั๊ย? ได้…ถ้าคุณมีสติ แต่ถ้าคุณไม่มีสติไม่มีสิทธิ์ ปัญญาคือสิ่งที่คุณไม่เคยรู้ได้รู้ สิ่งไม่เคยปรากฏได้ปรากฏ สิ่งไม่เคยเห็นได้เห็น นั่นคือปัญญา ตัวอย่างเช่น เค้าบอกว่า หนึ่งบวกหนึ่ง เราไม่รู้ว่าหนึ่งบวกหนึ่งเป็นอะไร แต่ถ้าเรามาบวกกันเข้าแล้ว แล้วผลมันออกมาว่า หนึ่งบวกหนึ่ง อ๋อ...มันเป็นสองนี่หว่า อย่างงี้เรียกว่าปัญญาหรือสัญญา? ปัญญา แต่ไอ้หนึ่งบวกหนึ่งนั่นมันเป็นปัญญาหรือสัญญา? สัญญา เพราะฉะนั้นปัญญาคือสิ่งที่ไม่ปรากฎได้ปรากฎ สิ่งที่ไม่เคยเห็นได้เห็น สิ่งที่ไม่เคยรู้ได้รู้… นั่นแหละเรียกว่าปัญญา ความหมายของปัญญาที่หนึ่งบวกหนึ่ง ถ้าคุณไม่มีสติคุณบวกได้ไหม คือไม่รู้เนื้อรู้ตัวไม่รู้จักอะไรมันเลย ไม่เข้าใจอะไรมันเลย และไม่รู้จักวิธีการมันจะทำอย่างไร แล้วคุณจะเป็นสองได้ไหม? เพราะคุณรู้เนื้อรู้ตัว รู้จักวิธีการ ความรู้นี่แหละ รู้เนื้อรู้ตัวรู้จักวิธีการนี่แหละ…คือตัวสติ… คุณรู้แล้วว่าสติมันคืออะไร ต่อไปคุณจะถามอะไรฉันในเรื่องสติก็จะตอบเป็นขั้นๆไป สำคัญก็คือคุณต้องรู้จักสติก่อนว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร สติก็คือตัวรู้ รู้สึกตัว…ความรู้สึกตัว… อานิสงค์ของคนมีสติคือ ทำพูดคิดไม่ผิดพลาด คนมีสติ…หนึ่งบวกหนึ่งออกมาเป็นสอง เรียกว่าไม่ผิดพลาด เรียกว่าคิดไม่ผิดพลาด ทำก็ไม่ผิด ออกไปพูดสอนชาวบ้านว่าหนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสองนะ ก็ไม่ผิด อย่างนี้เรียกว่าเป็นการทำงานของสติบวกสมาธิปรากฏปัญญา นี่ทำให้เกิดผลแห่งปัญญา… เข้าใจเรื่องสติหรือยัง ที่ถามว่าจำเป็นมั๊ย ชีวิตนี้ต้องมีปัญญา ก็บอกเมื่อครู่นี้แล้วว่าถ้าชีวิตขาดปัญญาเนี่ย เป็นคนที่ไม่ใช่คน เป็นคนที่เค้าจับคน ไม่มีสิทธิ์จะสอนคนและคุณก็ไม่ควรจะอยู่ในสังคมแห่งความเป็นคน เพราะคุณจะต้องโดนคนเค้าเอาเปรียบคุณ…ใครจะถามอะไรอีก

ปุจฉา : ในปัจจุบันบทสวดมนต์มักจะเป็นทำนองเสนาะ เพื่อให้ผู้สวดมีสติอยู่ใช่ไหมครับ ถ้ามีทำนองเสนาะแล้วทำไมไม่ใส่ดนตรีไปด้วยเพื่อให้ดูครึกครื้น ได้อารมณ์รวมทั้งสติจะได้อยู่คู่ไปด้วย

วิสัชนา : ไม่จำเป็นเสมอไป บางทีก็ไม่เสนาะก็มีสติได้ถ้าตั้งใจสวด ไม่ได้สวดเฉพาะซาก… คุณกำลังจะมองเห็นว่าพระเป็นศิลปินเดี่ยวนะ ถามเนี่ยถามชมหรือว่าถามด่า หรือถามแบบชนนิดกระทบกระเทียบเปรียบเปรย เฮ้อ...ไอ้ที่เค้ามีดนตรีก็มี คุณทำไมไม่ไปฟังล่ะ บทสวดกุสะลาธัมมา น่ะ เอ้า...ทำหัวเราะ เค้ามีบทสวดพระมาลัยนะ ฉันสวดให้ฟังคุณฟังมั๊ย? เอาเหรอ อ้าว...แล้วไหนล่ะโลง เพราะมันใช้กับคนที่นอนในโลงนี่ อย่างสวดพระมาลัยนี่เค้าก็มีดนตรีนะคุณ ใครเคยไปงานสวดบ้าง ฉันก็ไม่ใช่นักสวดผีหรอก ในชีวิตเคยสวดศพอุปัชฌาย์ครั้งเดียวแล้วเลิก ไม่เคยสวดศพใครอีกเลยแม้แต่ศพโยมฉัน ฉันก็ไม่สวด ฉันฝึกพระมาลัยอยู่ปีหนึ่ง ขึ้น...(หลวงปู่สวดพระมาลัยประมาณ 1 วรรค) เฮ้ย ! ไม่ไหวแล้ว ทำนองนี้มันเป็นทำนองครู เค้าค่อยไม่สวดกันแล้ว เอื้อน 12 ชั้น ฉะนั้นที่สวดเป็นเพลงก็มี คุณไม่ไปฟังเค้าเอง แล้วถามว่าคนฟังอย่างนี้มีสติไหม เมื่อครู่นี้ฉันสวดให้คุณฟังมีสติไหม…ห๋า..? มีอะไรกัน…ยังสัปหงกกันอยู่เลย…ยังหลับกันอยู่เลย… ก็อย่าไปใส่ใจแต่ห้วงทำนองมากเกินไปซิคุณ

......หรือไปใส่ใจวิถีทางวิธีการ ใส่ใจว่าคุณได้อะไร อย่าว่าแต่คนฟังบทสวดแล้วได้อะไรเลยคุณ แม้แต่ค้างคาว 500 ตัวที่มันเกาะอยู่ผนังถ้ำ ค้างคาวเป็นสัตว์เดรัจฉาน พระไปเทศน์ คือไปสาธยายมนต์อภิธรรมมัตตะสังคหะอยู่ในถ้ำ 30 รูป ในขณะที่พระสาธยายมนต์อยู่นั้น ค้างคาวที่เกาะอยู่บนผนังถ้ำ 500 ตัว ฟังเสียงของพระสาธยายมนต์ จิตรวมเป็นหนึ่ง เรียกว่าเป็นเอกัคตารมณ์ มีความคิดไม่แตกแยก ค้างคาวไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้คิดแม้กระทั่งตัวเองจะต้องเอานิ้วเกาะไว้ที่ผนังถ้ำ ทั้ง 500 ขณะที่ฟังเสียงสวดเพลิน ใช้คำว่าลืมคงไม่ได้ แต่หัวใจจิตวิญญาณความรู้สึกสิงสถิตฝังแน่นอยู่ในเสียงแห่งบทสวดนั้น… คลื่นเสียงแห่งบทสวดนั้น… ปล่อยมือปล่อยตีนที่จับผนังถ้ำ ตกลงมาหัวกระแทกพื้นตาย เสร็จแล้วค้างคาวพวกนั้นไปไหน… ไปเกิดบนสวรรค์ เพราะอะไร เพราะฟังเสียงสวดมนต์แล้วได้จิตรวมเป็นหนึ่ง สัตว์เดรัจฉานแท้ๆฟังเสียงสวดมนต์แล้วได้สมาธิ…แล้วพวกคุณเป็นใครฟังมากี่ปีแล้วได้อะไรบ้าง… ถามเนี่ยทีหลังถามต้องระวังเจอสวน…เจอนาไม่เป็นไรแต่ถ้าเจอสวนแล้วเจ็บ… เพราะฉะนั้นก็เลยบอกว่า…อย่าใส่ใจว่าใครจะทำอะไร ใส่ใจว่าคุณได้อะไรคุณได้อะไรจากใครทำอะไร คุณได้อะไรจากคุณทำอะไร แล้วคุณได้อะไรจากที่คุณไปดูอะไรเค้ามาแล้วคุณมาทำได้ไหม ใส่ใจอย่างนั้นมากกว่า อย่าไปคอยจับผิดว่าเอ๊ะ! พระสวดยังงั้นพระสวดยังงี้…เดี๋ยวนี้หลวงปู่เข้าใจว่าสายตาของพวกเรามองพระเนี่ยไม่ได้มองด้วยความเทิดทูนยกย่องนัก…ซักเท่าไหร่… หลวงปู่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความจริงข้อนั้น เพราะว่าข่าวสารสื่อสารและสิ่งที่มันออกมาทางสื่อสารทั้งหลายนั้น มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำให้เราศรัทธาเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่า...จำไว้อย่างว่าสถานภาพของจิตของคนเราเนี่ยมันเกิดดับเนี่ย…คุณ ดีดนิ้วมือแป๊ะเดียวเนี่ยมันเกิดเป็นล้านๆดวงนะ ไอ้จิตดวงที่มันเกิดขึ้นแล้วกลายเป็นพระเนี่ยมันก็มีอยู่ในล้านดวงนั้น…ในขณะที่คนๆนั้นเค้าทำบุญ อีกหนึ่งนาทีต่อมาเค้าทำบาป ถามว่าคุณจะไหว้เขาตอนที่ทำบุญหรือทำบาป ไหว้ตอนไหน? ตอนทำบุญ แล้วมันคนๆเดียวกันหรือไม่? อยู่ในคนๆเดียว… พวกคุณที่นั่งอยู่นี่ก็เหมือนกัน บางขณะคุณก็คิดดีใช่ไหม ในบางขณะก็คิดอัปรีย์เหมือนกัน ในจิตดวงเดียวในคนๆเดียวกันมันคิดได้สารพัดคิด… เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงบอกว่า…สอนให้ฝึกจิตฝึกสติจะได้ไม่คิดอัปรีย์คิดแต่เรื่องดีๆ จิตที่เกิดขึ้นทุกดวงมันจะได้มีแต่กุศล อกุศลจะได้ไม่ปรากฏ พอมันดับไปก็ไม่ทิ้งมลภาวะ เกิดใหม่ก็ไม่อยู่ในมลภาวะ เป็นแต่สภาวะตลอดๆ กระทั่งถึงวันตายของเรา หน้าที่ของเราเป็นอย่างงั้น…หน้าที่ของมนุษย์ต้องเป็นอย่างงั้น…เพราะงั้นก็เลยบอกว่า… อย่าไปใส่ใจว่าใครจะสวดอะไร ใส่ใจว่าคุณทำอะไรและคุณได้อะไรจากสิ่งที่ทำ

ปุจฉา : ทำไมจึงต้องสวดมนต์ก่อนที่จะมีการเจริญวิปัสสนา

วิสัชนา : ก็เป็นการเตรียมตัวไง… เป็นการกระตุ้นตัวเอง เหมือนกับคำว่าทำไมคุณต้องปุจฉาก่อนที่จะมีคำถามนั่นแหละ เตรียมตัวเองสำหรับการพร้อมที่จะเข้าไปสู่องค์ประกอบของการปฏิบัติธรรม อย่างน้อยก็บอกกับเราว่า เอ่อ...ตอนนี้เราไม่ใช่กิริยาปกติแล้วนะ ตอนนี้ไม่ใช่อาการปกติแล้วนะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาปกติแล้วนะ ตอนนี้เป็นเวลาพิเศษๆที่เราต้องเรียนรู้เรื่องจริงที่พิเศษแล้วทำให้ถึงผลแห่งความพิเศษนั้น นำเอาผลพิเศษนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดำรงชีวิต ให้ชีวิตนี้วิเศษสูงสุด เพราะงั้นการเจริญพระพุทธมนต์ เค้าใช้คำว่า “เจริญ” ถ้า”สวด”นี่เป็นงานอวมงคล สวดนี่เค้าใช้กับงานอะไร? งานศพ งานตาย งานปรารภเรื่องกระดูกเรื่องวันตาย แต่ถ้างานมงคลเนี่ยเค้าใช้คำว่าเจริญพระพุทธมนต์ ผู้เจริญก็เจริญ ผู้ฟังเราเจริญพุทธมนต์เค้าก็พลอยเจริญ คนเจริญพุทธมนต์ก็มีแต่ความเจริญ ไม่ใช่เจริญแล้วก็สัปหงกเงิกงากๆ แรกๆก็นะโม 3 จบ ในวันที่ 2 ลดเหลือ 2 พอวันที่ 3 ลดเหลือ 1 วันสุดท้าย”หลวงพ่อ…เหมือนเดิม” แล้วก็หลับ… หมดสิทธิ์…ไอ้อย่างนี้ไม่เจริญ เค้าเรียกซวย…สาธยายมนต์แล้วซวย ถ้าอย่างงั้นอย่าทำแค่ซาก…หลวงปู่แนะนำว่าอย่าทำเลยดีกว่า…นอนเถอะ…อย่าฝืน นอนแล้วก็ตื่นขึ้นมาทำใหม่ ถ้าทำอะไรโดยไม่ตั้งใจ ไม่เต็มใจ ไม่พร้อมใจ ไม่สมัครใจ เหมือนกับเราเป็นหุ่นยนต์ เราไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีสมรรถนะของตัวเราเอง ไม่มีประสิทธิผลของตัวเอง ไม่เป็นตัวของตัวเอง แล้วความเป็นมนุษย์มันอยู่ตรงไหน ความเป็นคนของเรามันอยู่ตรงไหน ถ้าทำอะไรโดนบังคับไปตลอด เพราะงั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้เรารู้จักที่จะทำอะไรด้วยความสมัครใจ ในคุณสมบัติของการปฏิบัติใดๆให้สำเร็จประโยชน์ทุกอย่างมีอยู่ 4 ข้อ รู้ไหมอะไร? อิทธิบาท 4 ไง เออ...ฉันทาไม่ใช่ลูก…ฉันทะ ฉันทามันใกล้เคียงคำว่านินทา ฉันทะความพอใจรักใคร่ สร้างความรัก อย่างที่คุณมานั่งอยู่ตรงนี้ อย่าทำด้วยความรู้สึกแกนๆ โอ๊ย! เซ็ง!เบื่อ! มานั่งฟังอะไรก็ไม่รู้ อย่างนี้ไม่ได้อะไร หมดเวลาไปวันๆ แล้วคุณเผาอากาศทิ้ง หายใจออกเฉยๆแล้วไม่ได้สาระอะไร แล้วชีวิตนี้คุณจะมีความหมายอะไร มันไม่ตื่นเต้น ไม่กระตือรือร้น ไม่กระฉับกระเฉง ไม่กระชุ่มกระชวย ไม่กระปรี้กระเปร่า ไม่สดชื่น มีชีวิตเหมือนกับผีตายซาก เหมือนกับต้นไม้ที่ยืนต้นตาย เหมือนกับหุ่นยนต์ที่โดนไขลาน ชีวิตอย่างนี้ควรจะเป็นเจ้าของชีวิตเหรอ? ชีวิตอย่างนี้ควรจะเป็นผู้ที่เรียกว่าเราคือสิ่งมีชีวิตเหรอ หลวงปู่จะบอกว่านั่นคือก้อนหินที่ตายแล้ว… หรือว่าต้นไม้ที่ยืนต้นตายเท่านั้น…เพราะงั้นชีวิตที่เป็นชีวิต ชีวิตที่เป็นเจ้าของชีวิตคือชีวิตที่มีชีวามีความสดชื่นแจ่มใส มีความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง มีความกระชุ่มกระชวยที่จะทำกิจกรรมการงานและจัดสรรภาระธุระของชีวิตตนคนอื่นให้เกิดประโยชน์สูงประหยัดสุดและมีสาระ นั่นคือสิ่งมีชีวิต เราไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มันใกล้จะหมดชีวิต หรือใกล้จะม้วยชีวิต…ถ้าทำอะไรแบบแกนๆขอไปทีให้มันผ่านพ้นไปวันๆไอ้นั่นแหละใกล้มอดม้วยมรณังอนิจจังวัฏสังขาราได้แล้ว เพราะงั้นทำอะไรต้องกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง กระชุ่มกระชวย แล้วมันจะเป็นทุกอย่างของชีวิตเรา… หลวงปู่เคยเขียนหนังสือ…เคยสอนลูกหลานเรื่อง ชีวิตและการงานเพื่อความเบิกบาน สอนลูกหลานเอาไว้ว่า ชีวิตคือการงาน…การงานคือการมีชีวิต เรามีชีวิตก็คือมีลมหายใจ…มีลมหายใจก็มีพลัง ใช้พลังสร้างสรรสาระ… หมดลมหายใจ…ไร้ชีวิต…สิ้นพลัง…หมดสาระ… แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณมีลมหายใจมีชีวิตใช้พลัง…แต่ไม่ได้สร้างสรรสาระถือว่า…นั่นไม่ใช่ชีวิต เมื่อมันไม่ใช่ชีวิตแล้วมันเป็นอะไร…มันก็คือหุ่นยนต์เดินได้ พวกขาดวิญญาณ ขาดความสำนึก ขาดความรู้สึกอะไรอย่างงั้น ที่พูดทั้งหมดนี่มันเกี่ยวอะไรกับหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน…นี่แหละคือมหาสติปัฏฐานสูตรที่คุณเอาไปใช้ได้ การที่คุณปลุกปลอบจิตวิญญาณของคุณให้มีความฉันทะ… ความพอใจรักใคร่ต่อสิ่งที่คุณทำ คำที่คุณพูดและสูตรที่คุณคิด เรื่องทั้งหมดของคุณมันเป็นชีวิตวิญญาณสดชื่น มีเสรีภาพ มีอิสระ และมีความสง่างามงดงามอยู่ในที ไม่ว่าคุณจะทำ..พูด..คิด..ยืน..เดิน..นั่ง.. นอน..มันสวยงามสง่า…มันเป็นธรรมชาติ แต่ถ้าคุณทำแบบไร้ชีวิต สิ้นหวัง มันเหมือนกับหุ่นยนต์ที่เดิน…แล้วมันจะมีอะไรล่ะ มีประโยชน์อะไรกับชีวิตนี้ ทำมันแกนๆไปให้มันหมดเวลาไปวันๆ อย่างงี้ไม่ถือว่าเป็นชีวิต แล้วที่จะเป็นชีวิตได้..สดชื่นรื่นเริงได้..กระฉับกระเฉง..กระชุ่มกระชวยได้…ถูกต้อง..ไม่บกพร่อง..ถูกขั้นตอน..ถูกเวลา..ถูกกาล..ถูกเวลาถูกสมัย..ถูกที่..ถูกบุคคลได้ ก็เพราะเรามีสติกระตุ้นเตือนบอกตัวเราเองว่า เวลานี้เรากำลังทำอะไร เราควรทำตัวอย่างไรกับสิ่งที่กำลังทำ ควรจะใช้วาจาอย่างไรกับสิ่งที่กำลังจะสอน ควรจะคิดอะไร พูดอะไร แสดงอะไร เหล่านี้เป็นกระบวนการทำงานของสติทั้งนั้น… ก็บอกเมื่อครู่นี่ไงล่ะว่า สตินี่มันทำให้พูดคิดไม่ผิด คนมีสติคือคนมีศิลปะ..คนมีศิลปะคือคนมีธรรมะ..คนมีธรรมะคือคนมีปัญญา..คนมีปัญญาก็คือคนมีสมาธิ..คนมีสมาธิก็คือคนมีสติ..คนมีสติก็คือคนมีศิลปะ..คนมีศิลปะคือคนที่มีชีวิตสวยงาม…งดงาม…สง่างามและก็อาจหาญ เพราะงั้นความหมายของสติมันคือทุกอย่างของชีวิตนี้ มันคือความสดชื่น คือความสมหวัง คือความกระชุ่มกระชวย คือความกระฉับกระเฉง คือความสง่างาม คือความชาญฉลาด คือความพร้อมมูล และคือความครบองค์ประกอบของชีวิต สติจึงเป็นอุปการะคุณอันยิ่งใหญ่… ข้อที่ 2 ในข้อที่ว่าอิทธิบาท 4 นอกจากมีฉันทะความพอใจรักใคร่แล้ว ต้องมีความเพียร เหมือนกับสาวรักหนุ่ม หรือหนุ่มรักสาว ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่มีความรักในหัวใจทั้งนั้นแหละ สำคัญว่าความรักมันจะบานตอนไหนเท่านั้นเอง แต่อย่าให้มันบานพร่ำเพรื่อก็แล้วกัน อย่าให้มันบานพร่ำเพรื่อ ใช้ความรักให้เป็น เอาความรักอันนั้นมาพัฒนาให้มันเป็นศักยภาพของชีวิต โดยรักที่จะทำ รักที่จะแก้ไขปัญหา รักที่จะเรียนรู้ รักที่จะแบ่งปัน รักที่จะอาทร รักที่จะการุญ รักที่จะสร้างสรรค์ รักที่จะส่งเสริม และรักที่จะชี้นำ เมื่อเรามีความเพียรในความรักแบบนี้แล้ว แล้วรักแบบปะติดปะต่อ ไม่ใช่นานๆรักที ไม่ได้รักถี่ๆ อย่างนี้ถือว่าไม่ได้รัก ถ้าอย่างนั้นเค้าเรียกว่าความใคร่ ไม่ใช่ความรัก ต้องรักถี่ๆ รักที่จะเทิดทูน รักที่จะยอมรับ รักที่จะทำมันตลอดกาลเนี่ย…เค้าถือว่าเรามีความรักด้วยความเพียร มีความเพียรสนับสนุนความรัก ทำให้ความรักนั้นยิ่งใหญ่และสมหวังตามความปรารถนา เมื่อมีฉันทะ มีวิริยะ ต้องเอาจิตจับจ่อ จดจ้อง จริงใจ ตั้งใจ อย่างชนิดที่ใครๆก็…สู้เราไม่ได้ ใครๆก็ไม่อาจที่จะคิดแทนเราได้ นอกจากตัวเราเองคิดใคร่ครวญ ข้อสุดท้าย วิมังสา ใช้ปัญญาคิดใคร่ครวญพิจารณาทั้ง 4 ประการนี้ คืออิทธิบาท 4 คุณเครื่องยังให้สำเร็จประโยชน์ ฉันทะ..วิริยะ..จิตตะ..วิมังสา..มันจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ถ้าคุณไม่มีสติ? มันจะเกิดขึ้นได้คุณต้องมีสติ คุณจะรักใครก็ต้องใช้สติ คุณจะมีความเพียรทำอะไรคุณก็ต้องมีสติ คุณจะเอาใจจดจ่อจับจ้องมันอย่างไรนั่นก็คือองค์ประกอบของสติ คือตัวการของสติ ความจดจ่อ จับจ้อง นั่นคือสติ แล้วข้อสุดท้ายก็คือปัญญาใคร่ครวญ มันก็เป็นผลที่เกิดจากสติ ถ้าเป็นอย่างนี้ คุณเป็นพี่เลี้ยง…ฉันเคยประสบพบพานกับครูฝึกสอนในโรงเรียน เด็กๆมักจะไว้วางใจพวกคุณ เพราะคุณไม่ได้ไปหาเค้าในฐานะคุณเป็นครู คุณไปหาเค้าในฐานะเป็นพี่เป็นเพื่อนเค้า แล้วพวกคุณเนี่ยจะเป็นผู้ช่วยบั่นทอนปัญหาของเด็กๆได้ ช่วยแก้ไขปัญหาเด็กๆได้ การที่คุณจะไปแก้ไขปัญหาเด็กๆได้…คุณต้องมีสติ…ต้องตั้งมั่น ต้องมีปัญญา…ต้องรู้ให้จริง…ต้องเข้าใจเรื่องจริง…และต้องรู้จักหาเหตุและผล…ทำตนให้เป็นผู้นำของเค้าให้ได้ ส่วนใหญ่ครูฝึกสอนนี่…เด็กจะรักเด็กจะให้เกียรติในฐานะที่เป็นพี่เป็นเพื่อน…ไม่ใช่ในฐานะเป็นครู เพราะงั้นเวลาเค้ามีอะไร…เค้าจะพยายามมาหาครูฝึกสอน บางครั้งก็รักผิดประเภท ถึงขนาดครูฝึกสอนโดนเด็กจีบอะไรงั้นก็มี เคยได้ยินบ่อยๆ เพราะงั้นเราต้องเตือนเค้า…ต้องบอกเค้า…ต้องให้สำนึกแก่ความเป็นมนุษย์แก่เค้า ทุกวันนี้เรามักจะสอน… ขอพูดอีกอย่างหนึ่ง…ปัจจุบันนี้การศึกษาของชาติมันล้มเหลวล้มละลายมาตลอด คนเก่งออกมาเบียดเบียนชาวบ้าน…ผลิตคนเก่งเพื่อที่จะออกมาเบียดเบียนชาวบ้าน เพราะที่ผ่านมาเราสนับสนุนให้คนมีแต่ไอคิวแต่อีคิวไม่ค่อยมีเลย ฉันเรียนไม่จบ ป.4 ฉันยังเกิดรู้สึกละอายต่อความคิดของคนที่มีการศึกษาว่า…คุณพยายามจะสอนให้คนเก่ง แล้วเอาความเก่งของคุณไปเบียดเบียนคนอื่น ฉลาดที่จะเอาเปรียบคนอื่น แต่ไม่เคยฉลาดที่จะช่วยเหลือคนอื่น…ไม่เคยฉลาดที่จะแก้ปัญหาให้คนอื่น ไม่เคยคิดที่จะแบ่งปันอาทรหรือแชร์ความสุขของคุณให้แก่คนอื่น สำนึกของความเป็นมนุษย์ของคุณมันหายไปไหน…เราไม่เคยสอนกันอย่างนี้มาเลย…ไม่เคยมีเลย…ส่วนใหญ่ก็มีแต่สอนให้แต่เก่งๆ แข่งกัน เอาเปรียบกัน ชนะได้เป็นดี ถ้าแพ้ไม่ได้อะไรอย่างงี้เป็นต้น แล้วก็…พ่อแม่อยู่ในบ้านก็จะสอนลูกว่า…นั่น…ลูกบ้านนั้นเค้ายังสอบได้ขนาดนั้นมึงก็ต้องสอบแข่งกับเขาให้ได้ อะไรอย่างงี้เป็นต้น สอนกันแบบเนี้ย…แล้วพวกนี้พอมันโตขึ้น…มันไปอยู่ในสังคม…มันก็ต้องเอาเปรียบกัน สังคมมันก็จะไม่มีความอาทรต่อกัน…ไม่มีความรักต่อกัน…ไม่มีความเมตตาต่อกัน…ทุกคนเป็นศัตรูกัน… แล้วมันจะอยู่ร่วมกันได้ยังไง ก็มีแต่คนเอาเปรียบ..เห็นแก่ตัว..ละโมบ..โลภมาก..อิจฉาริษยา..คับแคบ เกิดจากอะไร? เกิดจากความไม่รู้จริงไง ไม่เข้าใจเรื่องจริง และไร้สำนึกในความเป็นมนุษย์ เหตุผลมาจากการขาดสติ…ไม่มีความยั้งคิด เพราะฉะนั้นจึงอยากฝากคุณครูที่รักทั้งหลาย คุณเรียนสูงกว่าฉันเยอะแยะเลย ฉันเรียนใต้ต้นไม้คุณเรียนบนยอดไม้ทั้งนั้นเลย..เพราะฉะนั้นก็เอาความเรียนสูงของคุณ ประโยชน์ปัญญาของคุณหรือว่าประสบการณ์ในการเรียนของคุณ ถ่ายทอดให้กับลูกหลานชาวบ้านที่คุณเข้าไปชี้นำเค้าในฐานะที่เป็นพี่เป็นเพื่อนบอกให้เค้ารู้ว่า... น้องหนูการเรียนไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต การเรียนเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งองค์ประกอบของชีวิต ชีวิตนี้ไม่ใช่จบสิ้นลงเพียงแค่คำว่า…เรียนให้เก่งเท่านั้น แต่มันหมายถึงความสำนึกในความเป็นคนเป็นมนุษย์เป็นลูกที่ดีที่มีต่อพ่อแม่ เป็นเยาวชนที่ดีที่มีต่อชาติ เป็นประชากรที่ดีที่มีต่อประเทศ

.....และเป็นคนที่ดีที่มีต่อสังคม ช่วยด้วย…ไปบอกเค้าอย่างนี้ แล้วคุณก็จะเป็นที่รักจริงของเค้า แล้วคุณก็ได้ให้ความรัก…แชร์ความรักต่อเค้า แล้วอย่างนี้เป็นการสอนให้เค้ารู้จักสติยั้งคิด หยุดคิด หยุดทำ หยุดพูดที่จะเป็นเหตุปัจจัยให้ทำร้ายทำลายตัวเองให้เสียหายและเสื่อมโทรม ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ถือว่าคุณมีสติด้วย…และคุณก็ถ่ายทอดสติให้คนอื่นด้วย… นั่นหมดสติเป็นแถวๆแล้ว…ฉันพูดเก่งมากเลยวันนี้ ฉันพูดให้พวกคุณหลับได้…ฉันยอดจริงๆ เอาล่ะ..ถามมาเยอะแล้วพอเถอะ… เรามานอนกันดีกว่า… ตื่น! ตื่นได้แล้วลูก..เช้าแล้ว!

..... เอ้า!…คุยเรื่องสติมาเยอะแล้ว อยากฝึกสติมั๊ย อยากมั๊ย อุ๊ย!อยากน้อยเหลือเกิน… ไม่เห็นกรี๊ดเหมือนตอนไปดูคอนเสิร์ตเลย…อ๋อ..ไม่เคยดู ไม่ยาก..นั่งตัวตรง ยืดอกขึ้น เดี๋ยวสอนให้การฝึกสติ ปกติหลวงปู่ไปแสดงธรรมที่ไหนแล้วไม่เคยถ่ายทอดวิธีฝึกสติยกเว้นกับพระเท่านั้น นั่งตัวตรงยืดอกขึ้น จัดโครงสร้างของกาย วิธีจัดโครงสร้างของกายคุณดูซิว่า…ตรงไหนมันเบี้ยวบ้างตรงไหนคุณมันคดบ้าง…ดูซิ ห๋า!..ใจคดเหรอ…ใจคด ไม่ยาก…ควักมันออกมาแล้วเอาค้อนทุบ… ดูว่าตรงไหนมันเบี้ยวบ้างมันคดบ้าง เสร็จเรียบร้อยแล้วหลับตา…ลูก อ้าว!..มัวแต่ฉอเลาะจ๊ะจ๋ากันอยู่นั่นแหละ…แล้วบอกอยากฝึกสติ เอ้า…นั่งลง…ลูก หลับตาค่อยๆหรี่เปลือกตาลง หลับตาเฉยๆไม่ใช่ฝันนะ…ลูก เดี๋ยวจะหลับแล้วไปเลย…ยาว หลับตาหรี่เปลือกตาลง เสร็จเรียบร้อยแล้วลองส่งความรู้สึกไปในกายซิ สำรวจโครงสร้างกายของตนตั้งแต่หัว คอ ไหล่ ทรวงอก ลำตัวด้านล่าง ที่ก้นกบ ท่อนขา ท่อนขาด้านล่างจนถึงเท้า… ส่งความรู้สึกแล้วสูดลมหายใจลึกๆเข้าเต็มปอด สูดลมหายใจ…ให้เต็มปอดแล้วผ่อนออกมายาวๆ…เสร็จแล้วก็สูดเข้าไปใหม่…ให้เต็มที่จนกระทั่งหน้าอกมันยกขึ้น…เราจะได้หายง่วงแล้วมีชีวิตที่สดชื่นมีวิญญาณที่ตื่นขึ้นมารับรู้และรับสัมผัสได้ดี สูดลมหายใจเข้าลึกๆ…และก็ผ่อนลมออกมายาวๆ…และก็เข้าลึกๆ…ผ่อนยาวๆ… เอ้า…ลืมตา สงบไหม จิต…สงบไหม? หลายท่านยังไม่รู้อะไรเลยเพราะเพิ่งกำลังจะตั้งท่า กำลังจะได้ที่…กำลังจะสตาร์ทเครื่อง…ลมมันไม่ได้เข้าจมูกมันออกทางปากหาวอ้าปากหวอเลย…ปากกว้าง เอาใหม่อีกครั้งหนึ่งลูก ตั้งใจหน่อย วิธีนี้มันจะทำให้สมองเราโปร่ง ออกซิเจนจะไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น เราจะไม่ง่วงนอน แล้วเราก็ไม่สะลึมสะลือ ชีวิตวิญญาณเราจะสดชื่นพร้อมกับการเรียนรู้และการสัมผัส มันแก้ง่วงได้อย่างฉับพลัน วิธีการ…เดี๋ยวดูหลวงปู่ก่อนนะอย่างเพิ่งทำ ดูวิธีการแล้วเราลองนับเวลาหลวงปู่หายใจเข้านับดูว่าหลวงปู่จะกลั้นลมหายใจไว้เท่าไหร่.1.2.3.4.5.6.7.8.9.10.11.12.13.14. 15.16.17.18.19.20…ได้เท่าไหร่? สัตว์ที่อายุยืนก็คือสัตว์ที่หายใจยาว เราเป็นมนุษย์สุดวิเศษกว่าเดรัจฉานต้องฝึกให้ตนเป็นคนรู้จักหายใจยาว…ยาวแบบมีสติรับรู้… ดูใหม่อีกครั้งหนึ่งนะเดี๋ยวหลวงปู่จะพ่นลมให้ดูแล้วก็สูดลมให้เห็น…สังเกตดูนะ ก่อนที่หลวงปู่จะหายใจนี่จะส่งความรู้สึกลงไปในโครงสร้างของกาย โดยไม่คิดออกไปข้างนอกนั่นเอง ไม่คิดเรื่องอื่นๆ…แล้วก็เริ่มสูดลมหายใจเข้า…………นับได้เท่าไหร่? 10 วินาทีเหรอ.. ไม่ต้องให้ยาวขนาดนี้เดี๋ยวลมออกอย่างอื่นไม่ได้ออกปาก เพราะหลวงปู่ฝึกจนเคยชินแล้วมันชิน แต่พวกเราไม่จำเป็นต้องอย่างนี้ แต่ถ้าทำอย่างนี้ขณะที่เราง่วงนอนซัก 5 ครั้งคุณหายง่วงเลย… แต่ไม่ใช่ให้ทำอย่างนี้บ่อยๆเพราะเราจะรู้สึกเจ็บหน้าอกสำหรับคนที่มีปอดอันเล็ก ถ้าหายใจไม่ถูกลักษณะอาจทำให้เยื่อหุ้มปอดฉีกขาดได้ ในขณะเดียวกันจะรู้สึกอึดอัดและเหนื่อยมาก แต่ถ้าหายใจเพื่อจะกระตุ้นให้เราเป็นคนตื่น…ต้องทำอย่างนี้ หลังจากที่ตื่นแล้วก็เริ่มหายใจเป็นปกติ คือทำให้ลมหายใจมันเข้าออกตามปกติของมัน หน้าที่ของเราคือรู้มันเท่านั้นว่ามันเข้าหรือมันออก มาทำพร้อมๆกันเรามาดูหน้าตาแท้ๆของสติมันเกิดขึ้นอย่างไร เรามารู้จักตัวสติกัน มาทำความรู้จักตัวสติกัน หน้าตามันเป็นอย่างไร พร้อมรู้ยัง? ส่งความรู้สึกลงไปในกาย..ตั้งกายให้ตรง..โครงสร้างของกายต้องเป็นเส้นตรงเป็นฉากกับพื้น โครงสร้างของกายก็คือ กระดูกสันหลังที่เป็นข้อๆ… ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องภาวนาอะไร รับรู้ว่าเรากำลังทำอะไรเท่านั้น… เมื่อรู้แล้วว่าเรากำลังนั่งอยู่และต้องการที่จะฝึกตัวเอง เราก็เริ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สูดเข้าอย่างแผ่วเบา สุขุม สุภาพ และก็นิ่มนวลให้เต็มที่คือเต็มปอด แล้วก็กักทิ้งไว้ ไม่ต้องให้ยาวแต่ทำให้ได้เพียงแค่ว่าเราทนได้แค่ไหนไม่ต้องไปตามกันเพราะแต่ละคนสามารถไม่เหมือนกัน…แล้วก็ผ่อนลมออก…มาตามที่ตัวเองคิดว่าทนไม่ได้แล้ว…ผ่อนออกมาแล้วก็สูดเข้าไปใหม่ ก่อนที่จะสูดก็อาจทิ้งช่วงนิดหนึ่งเพื่อผ่อนคลายไม่ให้เกร็งหรือเครียด จนเกิดความเหนื่อย และก็สูดเข้าไป…แล้วก็ผ่อนลมออก… แล้วก็สูดเข้าไปใหม่…เอาซัก 5 ครั้ง… เอ้า!พอ…ลูก คนที่โยกแสดงว่ายังทำคือทำไม่ดีคือทำแล้วลืม ขาดสติ หมดสติ ที่ไม่โยกแล้วตั้งมั่นได้ง่ายแสดงว่าเรามีสติ ครบ 5 ครั้งแล้วลืมตา เงียบไหม…มันรู้สึก…วังเวงภายในมั๊ย มันเงียบๆ นิ่งๆ ไหม นั่นแหละคือสติ มันไม่มีความคิดใดๆปรากฏ มันมีแต่ตัวรู้…รู้ตัวในขณะที่ปัจจุบันนี้ทำอะไรอยู่นั่นแหละคือตัวสติ แล้วตัวรู้ตัวนี้มันเป็นเครื่องกำกับอิริยาบท..กาย..วาจา..ใจให้..ทำ..พูด..คิด..ไม่ผิด ตัวรู้ตัวนี้แหละเป็นตัวกระตุ้นความทรงจำ สัญญาให้มีประสิทธิภาพเก็บข้อมูลได้มากมายยิ่งกว่าพันๆล้านเมกกะไบต์ ตัวรู้…ตัวนี้แหละที่มันมีอานุภาพที่จะบรรจุจักรวาลไว้ได้มากมายมหาศาล พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า เราคือโลก โลกคือจิต จิตคือเรา เราคือจักรวาล จักรวาลคือจิต จิตคือเรา เพราะความรู้ตัวนี้ยิ่งใหญ่มหาศาล พระองค์จึงเป็นสัพพัญญู…คือรู้ทุกอย่างในโลกนี้ แม้ทฤษฎีสัมพันธภาพ…ที่ฝรั่งเพิ่งจะค้นพบเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี่ ที่จริงแล้วพระพุทธเจ้ารู้มาก่อนเมื่อ 2000 กว่าปี แต่ที่พระองค์ไม่สอนก็เพราะมันจะทำลายมนุษยชาติมากกว่าการให้ประโยชน์ เพราะผู้ที่ใช้มันไม่เป็นก็จะไปทำร้ายทำลายและฆ่าแกงกัน จึงไม่สอน แต่มีอยู่ในพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้น…การฝึกสติเนี่ยมันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่มีอุปการะทุกขณะจิต การฝึกสติไม่ใช่จะต้องมาทำในเวลานี้ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ตรงนี้ แต่มันต้องมีทุกขณะ…ทุกลมหายใจเข้าออก เราจึงจะรู้เท่าทันว่าเค้าจะด่าเราเมื่อไหร่ แล้วเราจะมีกิริยาอะไรตอบสนองเค้า เหมือนอย่างที่หลวงปู่โดนถุยน้ำลายรดศรีษะ ถ่มน้ำลายรดศีรษะ เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะถ่มมาเมื่อไหร่ แต่พอเค้าถ่มมาแล้ว เราก็ไม่ได้ปรุงให้เกิดเป็นอารมณ์ คือไม่ได้ปรุงให้เป็นอะไรที่เราจะต้องไปใส่ร้ายใส่ใคร้ทำร้ายทำลายหรือกลายเป็นคนที่ต้องไปทะเลาะวิวาทหมางกัน สติจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับวิชาชีพครู เพราะเราไม่รู้ว่าลูกศิษย์ตัวไหนมันจะงี่เง่า…เพื่อนครูคนไหนมันจะเกกมะเหรกเกเร…ปัญหาทั้งหลายที่มีอยู่ในสังคมของเยาวชนวัยรุ่นยุคนี้…เดี๋ยวนี้มันมองครูเป็นศัตรู ไม่ได้มองเป็นผู้น่าเคารพยกย่อง มองครูเหมือนกับเพื่อนที่ลูบหัวเล่นได้ มองครูเหมือนกับอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งต่างจากมุมมองสมัยก่อนที่เค้าเห็นครูเป็นผู้ที่น่าเทิดทูนบูชา เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเตรียมพร้อม การมาฝึกตรงนี้ก็เพื่อให้เรามาฝึกวิชาหรือฝึกวิทยายุทธเพื่อจะออกไปรบ เมื่อเข้าใจอย่างงี้เราจะมีความรักในการเรียนการฝึก แต่ถ้าคุณไม่เข้าใจยังงี้แล้ว…คุณก็จะต้องมีคำถามว่าเมื่อไหร่จะกลับบ้าน? ถ้าไม่เข้าใจแบบนี้มันก็จะต้องถามกันแบบนี้ แล้วเราก็จะทนอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ทนต่อการสอนไม่ได้ ทนต่อการนั่งไม่ได้ ทนต่อคนพูดไม่ได้ เพราะเราไม่มีความรักที่จะทน ไม่มีความรักที่จะทน ไม่มีสติที่จะทำให้เราเกิดความรัก มันก็เลยเป็นกระบวนการที่เหมือนกับหุ่นยนต์โดนไขลานแล้วเราก็จะไม่ได้อะไร เสียเวลา เสียงบประมาณ เสียโอกาส ฉันถึงได้บอกว่าถ้า…ฉันเป็นคุณเนี่ย โอ…ฉันมีความสุขมากเลย ใครที่ให้ความรักกับฉันขนาดนี้เนี่ย ฉันต้องถือว่าเขาเป็นผู้ที่ให้ทั้งชีวิตแก่ฉัน เค้าสร้างเกราะป้องกันให้ชีวิตฉันอยู่ในโลกได้อย่างผู้ชนะ…เรากำลังมาเรียนคุณสมบัติของผู้ชนะเพื่อจะออกไปรบข้างนอก งั้นก็ต้องตั้งใจ…
หลวงปู่คิดว่าที่ผ่านมาน่าจะพูดถึงเรื่องสติ…ได้เหมือนกับชีวิตประจำวันให้ดีที่สุดแล้ว ถามว่าทั้งหมดที่พูดมาเนี่ย…คือวิชาอะไร? มหาสติปัฏฐานสูตร คำว่า “มหา” แปลว่า ใหญ่ สติอันยิ่งใหญ่ที่ครอบคลุมกำหนดกฎเกณฑ์หรือครอบงำ หรืออุปการะกายวาจาใจ ทุกขณะจิตไม่ใช่มีเฉพาะเวลานั่งหลับตา หรือต้องสวดมนต์แล้วจึงจะมีสติไม่ใช่ คุณเรียนสำเร็จมาถึงมาถึงชั้นปีที่ 3 แล้ว เป็นปริญญาตรีได้เนี่ย ถ้าคุณไม่มีสติก็ไม่ได้ แต่ทีนี้มันก็มีอีกว่า สติมันมีอยู่ 2 ประเภท สัมมาสติกับมิจฉาสติ เค้าถามกันว่า โจรที่ปล้นเค้าสำเร็จเนี่ยมีสติไหม? มี แต่มันเป็นมิจฉาสติคือสติที่ยังให้เกิดโทษ ไม่เกิดประโยชน์ เป็นสติชั้นต่ำ ไม่ใช่สติชั้นสูง เพราะงั้นสติที่เป็นสัมมาสติคือสติที่ทำให้เรา…เข้าใจสิ่งตามความเป็นจริง…เห็นตามความเป็นจริง…รู้เห็นตามความเป็นจริง…เข้าใจสิ่งที่เป็นเรื่องจริง…และเป็นความถูกตรงถูกต้องตามความเป็นจริง อย่างนั้นเรียกว่าสัมมาสติ แต่ถ้าหากว่าโจรปล้นเค้าสำเร็จหนีตำรวจได้ด้วย เป็นสติเหมือนกันแต่เป็นมิจฉาสติ เป็นสติที่ไม่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก็คือสุดท้ายเค้าก็ต้องพ่ายแพ้ตัวเอง เพราะความชั่วนั้นมันหมักหมมโสโครกกัดกินเค้าจนกระทั่งเค้าต้องติดคุกติดตารางหรือรับโทษทัณฑ์ทางใจ จนกลายเป็นว่าเค้าอยู่ไม่ได้นอนไม่หลับและชีวิตก็ไม่เป็นสุข แต่ถ้าเป็นสัมมาสติไม่ว่าต่อหน้าและลับหลัง อยู่ได้นอนหลับชีวิตเป็นสุขจนวันตาย วันสุดท้ายแห่งความตายก็ยังเป็นสุข เพราะมันเป็นสัมมาสติอุปการะไปถึงชาติโน้นชาติไหนชาติใดๆได้ด้วย แต่ถ้าเป็นมิจฉาสติ…โจรมีมิจฉาสติมันก็มีอุปการะเหมือนกัน…แต่อุปการะสัตว์ในฐานะที่เหยียบให้ตกต่ำ คือทำให้ต่ำลง เพราะฉะนั้นให้จำไว้ว่าสูตรสำเร็จของสัมมาสติก็คือพยุงสัตว์ให้สูงขึ้น ทำสัตว์ให้ปลดปล่อย หลุดลอยแล้วก็เสรีภาพอิสระ เป็นแต่ส่วนที่ฝ่ายดีหรือความดีแต่ถ่ายเดียวเป็นสัมมาสติ เพราะงั้นการที่คุณเรียนสำเร็จมาถึงวันนี้ได้ คุณก็ใช้ทั้งสัมมาสติบวกมิจฉาสติ บางครั้งคุณก็ลอกเค้าเหมือนกันเรียกว่ามิจฉาสติ…หาความรู้รอบโต๊ะ บางครั้งก็ใช้เพื่อนเขียนรายงานให้เหมือนกันเรียกใช้ความรู้รอบตัว บางครั้งคุณก็ใช้ความรู้ของตัวเองเหมือนกันก็เรียกว่าใช้ความรู้ในตัวเป็นสัมมาสติ เพราะฉะนั้นทั้งมิจฉาและสัมมามันเกิดขึ้นในจิตทุกดวง เราไม่มีอะไรที่จะไปแยกมันได้ เราก็ต้องปล่อยให้มันเกิดขึ้นแล้วเราก็ต้องตามมันไป เต้นตามมันไป วิ่งตามมันไป สุดท้ายเราก็จะตายเพราะมัน…ร้อนเพราะมัน…ทุกข์ทรมานเพราะมัน เดือดร้อนเพราะมัน…เศร้าโศกเพราะมัน…เสียใจเพราะมัน…ลำบากเพราะมัน… และอะไรคือมัน? มันก็คือสิ่งที่มันเข้ามาแฝงอยู่…ครอบงำจิตวิญญาณและกายนี้ให้เศร้าหมองลง…ทำให้อยาก ตะกละ ต้องการ ละเมอเพ้อพก หลง โกรธ โลภ สิ่งเหล่านี้คือตัวมัน ตัวมันที่ไม่ใช่ตัวเรา ที่มันเข้ามาอยู่กับตัวเราเพราะเราไม่มีสัมมาสติคอยกางกั้นมัน คนที่มีสัมมาสติจึงเป็นคนที่ยืนอยู่ได้อย่างมั่นคงองอาจสง่างาม แม้แต่ว่า…พระพุทธเจ้าเคยถามพระมหาเถระรูปหนึ่งที่จะไปอยู่ ณ เมืองอารวี เมืองอารวีเป็นเมืองที่มีคนโหดร้าย ขี้โมโห ขี้โกรธ พระเถระรูปนั้นมาลาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถามว่าท่านไปอยู่น่ะไม่กลัวเค้าด่ารึ? ท่านเถระรูปนั้นก็บอกว่า ถ้าเค้าด่ากระหม่อมฉันก็ดีกว่าเค้าอาฆาตพยาบาท แล้วไม่กลัวเค้าทุบตีรึ? เค้าทุบตีก็ดีกว่าเค้าฆ่าให้ตาย ท่านจะไล่ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ด่า ใส่ร้าย ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และก็จนทำให้เป็นแผล พระเถระรูปนั้นก็บอกว่าดีกว่าที่เค้าทำให้ข้าพเจ้าเจ็บ ดีกว่าข้าพเจ้าจะต้องตายเพราะการทรมาน สุดท้ายก็ดีกว่าที่ข้าพเจ้าจะเสียสติ…แม้แต่ชีวิตตายก็ไม่เป็นไรแต่รักษาสติเอาไว้ คือเสียธรรมเสียสติเสียไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนมีสติตั้งมั่นได้ทุกถิ่นทุกฐาน จะมีชีวิตจิตวิญญาณ ที่ไม่กระดกบนฟองน้ำลายที่อยู่บนปลายลิ้นชาวบ้าน ใครจะด่าเราจะชมเราจะติเรา หลวงปู่เขียนบทโศลกสอนลูกหลานไว้บทว่า “ลูกรัก คนจริงนั้นเขาไม่ไหวติงต่อคำชม ไม่เยินยอนิยมต่อคำนินทาสรรเสริญ” เพราะฉะนั้นคนจริง ก็คือคนที่มีสติตั้งมั่นไง เป็นเอกบุรุษ เป็นเอกสตรี เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในหัวใจของเรา แล้วเราก็จะใหญ่ในสายตาชาวบ้านเอง แต่ถ้าใจเรายังไม่ใหญ่ยังมีอะไรมาใหญ่แทนตัวเราแท้ๆอะไรตัวนั้นก็คือ..โลภ..รัก..โกรธ..หลง..ตะกละ..ต้องการ..ทะเยอทะยานอยาก..มันมาใหญ่แทนหัวใจเราซะแล้ว มันมาใหญ่แทนสติเราซะแล้ว แล้วเราก็ต้องมีชีวิตอยู่บนฟองน้ำลายชาวบ้าน กลัวเค้าจะว่า กลัวเค้าจะตำหนิ กลัวเค้าจะติ กลัวเค้าจะชม กลัวเค้าจะนิยม กลัวเค้าจะยกย่อง กลัวไปหมด…สุดท้ายนี้ชีวิตมีอะไร ชีวิตนี้เป็นชีวิตได้อย่างไร ถ้าเป็นชีวิตมีชีวิต ต้องคอนโทรลมันได้เป็นนายมันสนิท เป็นเจ้าของมันถูก การที่จะคอนโทรลมันได้เป็นนายมันสนิท เป็นเจ้าของมันถูกเราต้อง…มีอะไรไปใช้มันได้ นั่นคือต้องมีสติ สติทำให้เราเป็นเจ้าของชีวิตนี้ สติทำให้เรามีอำนาจเหนือชีวิตนี้ คนมีสติสามารถกำหนดที่เกิดที่ตายของตนได้ด้วย

.....สูงสุดถึงขนาดนั้น…สามารถกำหนดวันเกิดและวันตายของตนได้ด้วยในมหาสติ…ในหลักการของมหาสติปัฎฐาน “มหา” แปลว่าใหญ่ ผู้มีสติอันยิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง สติไม่มีกาลเวลา…เคยมีพระถามหลวงปู่ตอนอบรมวิปัสสนาจารย์ว่า สติปัฎฐานนี่ต้องมีกาลเวลาไหม? ไม่มี ถ้าสติปัฎฐานมีกาลเวลาน่ะมันสติของลูซิเฟอร์ สติของผีห่าซานตาน มารและความอยาก อยากถึงทำ ถ้าไม่อยากก็เลิกทำอะไรอย่างงั้น นั่นไม่ใช่สติของพระพุทธเจ้า สติของพระพุทธเจ้าต้องทำคือมันมีอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราไปทำความรู้จักหน้าตามัน…เข้าใจมัน แล้วก็ทำให้มันเกิดกับเรา…อยู่กับเรา...โตขึ้น…เจริญขึ้น…แล้วอุปการะชีวิตเรา หน้าที่ของเรามีเท่านั้น เพราะงั้นสติในสูตรของมหาสติปัฎฐานสูตรเนี่ยะ พระพุทธเจ้าสอนให้มีวิธีพิจารณาไว้ 4 อย่าง… นี่ฉันเข้าสู่กระบวนการของมหาสติปัฎฐานไปเยอะแล้ว ต่อไปก็จะจบกระบวนการแล้ว…ใครมีอะไรจะถามไหม? ถ้าจะถามว่าเมื่อไหร่ผมจะหลับให้สบายซะที…ก็ตอนนี้หลับไปแล้ว ช่วยสะกิดทีเถอะ…ตื่นๆๆๆ ตื่นตาแล้ว…กระดิกตีน…ขยับตูด…แต่โต๊ะมันดูดหัวติด…

ปุจฉา : คำว่าหมดสติในทางการแพทย์ กับหมดสติในทางศาสนาเหมือนกันหรือไม่อย่างไร

วิสัชนา : อยากรู้ใช่ไหม? นั่นไปดูซิกำลังหมดสติอยู่เลยน่ะ… หมดสติในทางการแพทย์ก็คือ ขาดความรู้สึกตัว แต่จริงๆแล้วคำว่า หมดสติของพระพุทธศาสนาคือ การทำความรู้สึกตัวของตัวเองให้เกิดสาระไม่ได้ ทำชีวิตนี้ให้มีสาระไม่ได้ ทำสาระให้เกิดขึ้นในชีวิตนี้ไม่ได้ทั้งๆ ที่เรายังมีชีวิตอยู่ ทั้งๆที่เรายังมีลมหายใจอยู่แต่ไร้สาระในการดำรงชีวิต คนอย่างนี้เค้าเรียกว่า หมดสติในทางพุทธศาสนา คนมีสติก็คือคนมีสาระ ก็เมื่อครู่นี้หลวงปู่ก็บอกแล้วว่า มีลมหายใจ…มีชีวิต… ได้พลัง…ใช้พลัง…สร้างสรรสาระ นี่คือกระบวนการของสติในทางพุทธศาสนา แต่ถ้ามีลมหายใจ…มีชีวิต…ได้พลัง…ไม่ใช้พลังให้เกิดสาระ อย่างนี้เค้าเรียกว่า หมดสติในทางพุทธศาสนา ที่นี้ถ้าหมดสติในทางการแพทย์ หมายถึง การที่ร่างกายเราไม่มีผลตอบรับทางระบบประสาทสัมผัส เรียกว่าหมดสติในทางการแพทย์ แต่ถ้าหมดสติในทางพุทธศาสนานั้นท่านหมายถึงว่า แม้แต่จะมีผลตอบรับในระบบสัมผัสทางกาย แต่ถ้าไม่เกิดสาระในการดำรงชีวิตเค้าถือว่าขาดสติ ไม่ถึงคำว่า หมดสติ ถ้าหมดสติในทางพุทธศาสนาไม่น่าจะใช้คือไม่น่าจะมี เพราะมันใช้กับคนตายเท่านั้น คนสลบทางพุทธศาสนาเค้าไม่เรียกคนหมดสติ เพราะว่าโดยอำนาจของสติแล้วมันมีองค์ประกอบก็คือ จิต กับ สัญญา คือจิตดวงหนึ่งมันจะมีสัญญากับสติเกิดมาอยู่แล้วไม่มีหมด สติทางพุทธศาสนาไม่มีหมด แม้แต่คุณสลบลงไปทางพุทธศาสนาก็ไม่ถือว่าหมดสติ เพราะถ้าจิตยังเกิดๆดับๆอยู่ ยังมีเกิดมีดับอยู่ก็คือ มีจิตก็มีสติมีสัญญา และก็ปรากฏปัญญา ตัวรู้มีอยู่ในจิตนั้นเหมือนกัน ไม่ถือว่าหมดสติ เพราะงั้นทางการแพทย์นั้นถ้าหมดสตินั้นคือ หมดการตอบรับทางประสาทสัมผัส แต่ทางพุทธศาสนาคือหมดสาระจากการได้มีชีวิตนั่นคือหมดสติ

ปุจฉา : สิ่งจำเป็นที่ช่วยฝึกให้คนไม่มีสติ ได้มีสติ ต้องทำอย่างไร

วิสัชนา : วิธีนี้เมื่อครู่…หลวงปู่สอนแล้ว…วิธีคือส่งความรู้สึกลึกๆ ลงไปในกาย หลวงปู่เคยสอนลูกหลานไว้ประโยคว่า “จัดระเบียบของกาย จนเป็นระบบของความคิด” นั่นคือการฝึกสติ ทำกายนี้ให้มีระเบียบ…ซึมสิง..สัมผัสพิสูจน์ทราบต่อความหมายของการปฏิบัติตนให้เป็นคนมีระเบียบวินัย…ซื่อตรง…ถูกต้อง…ทำเรื่องทั้งหลายในชีวิตไม่บกพร่อง เหล่านี้เป็นการฝึกสติทั้งนั้น ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ปกติคุณอยู่บ้านตั้งเวลาไว้ปลุกตี4หรือว่าตี5 พอสัญญาณดังกริ๊งขึ้นมา เราก็กระดิกหัว กริ๊งที่ 2 ก็กระดิกตัว กริ๊งที่ 3 ก็กระดกตูด กริ๊งที่ 4 ก็หมอนดูดหัวติดหลับไปจนนาฬิกาหมดลาน ยังงี้เค้าเรียกว่าไม่ได้ฝึกสติ ชั่วชีวิตของหลวงปู่ไม่เคยมีนาฬิกา ไม่เคยใช้นาฬิกาปลุก จะบอกว่าเราจะนอนกี่ชั่วโมง พอถึงเวลาแล้วมันจะตื่น ไม่เคยตื่นเกิน หรือขาดจากเวลาที่บอกไว้ก่อนนอน เวลาหลวงปู่จะนอน จะบอกว่า เออ…พรุ่งนี้เราจะตื่นตี4 แล้วก็ลงไปนอน พอถึงเวลาตี4 มันจะตื่นเอง ทุกอย่างมันจะตื่นพร้อมเสร็จ ประสาทสัมผัสกาย วาจา ใจ มันตื่นพร้อม พอตื่นมาปุ๊บ สิ่งที่เราจะฝึกสติได้จากการตื่นก็คือ ดื่มน้ำเฮือกใหญ่ๆ หลวงปู่จะมีน้ำอยู่บนหัวนอน แล้วก็จะเก็บผ้าห่ม พับที่นอน ดูหมอนเข้าที่จัดเรียบร้อยแล้ว จึงจะเข้าห้องน้ำทำภารกิจเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไม่ต้องออกมาเก็บของเก่าที่เราทิ้งไว้เมื่อครู่นี้ใหม่ เรียกว่าทำทุกอย่างให้มันเสร็จสิ้นไปเป็นเรื่องๆ อย่างงี้เรียกว่าจัดระเบียบของกาย จนเป็นระบบของความคิด แล้วเราจะคิดเป็นระบบ คิดมาตั้งแต่ 1..2..3..4..5 ไม่ใช่กระโดดไป 5 แล้วก็ลงมา 1 ไม่ใช่ ฝึกอย่างนี้ก็เป็นการฝึกสติ ฝึกด้วยการซึมสิงซึมซาบและพิสูจน์สัมผัสได้ว่าทุกชีวิตของเราคือการเรียนรู้ หลวงปู่เขียนบทโศลกและสอนลูกหลานว่า “ลูกรักชีวิตคือการต่อสู้ ปัญหาคือเรียนรู้ ศัตรูคือครูของเรา” เพราะงั้นชีวิตคือการเรียนรู้ ชีวิตของหลวงปู่เป็นอย่างงั้น แล้วก็ฝึกมาจากอย่างงี้ มันก็เลยเป็นการฝึกสติโดยที่ไม่ต้องมีกิริยาท่าทาง เพราะงั้นก็ฝึกได้ตลอดเวลา จัดระเบียบของกาย โดยการสัมผัสซึมสิงพิสูจน์ทราบ สำนึกว่าเรากำลังจะฝึกตัวเอง คือการเรียนรู้ อย่าปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงไหลได้ปลื้มไปกับอารมณ์ที่มันฉุดกระชากลากถูไปจนเราลืมการเรียนรู้ของชีวิตไป และเราก็จะพลาดพลั้ง พลาดหวัง และก็พลาดโอกาสที่จะเกิดความสำเร็จและเกิดสาระในการดำรงชีวิต…

..... สุภาพสตรีไม่ถามมั่งเหรอลูก… หรือฉลาดหมดแล้ว ที่หลับๆ นั่นตื่นขึ้นมาถามบ้างซิว่าจะฝันดีอย่างไร…ที่ละเมอๆอยู่นั่น…

ปุจฉา : สมมุติว่าเพื่อนเราไม่สบาย เราจะส่งสติไปหาเพื่อนจะได้รับไหมครับ

วิสัชนา : ส่งสติคงไม่ได้…ส่งกำลังใจคงได้มั๊งคุณ แสดงว่าคุณรักเพื่อนคนนี้มากใช่ไหม จะส่งสติไปเลยเหรอ ส่งไปแล้วคุณจะเอาอะไรล่ะ สติเค้าส่งกันไม่ได้ลูก แต่กำลังใจ ส่งน้ำใจ ส่งความรู้สึก ส่งได้…ส่งอย่างไร? ก็เหมือนกับกระแสคลื่นน่ะ คลื่นแม่เหล็ก คลื่นไฟฟ้าอย่างงี้ เป็นคลื่นพลังงานชนิดหนึ่ง แต่สติเนี่ยะมันส่งไม่ได้

มีใครจะถามอะไรอีกไหม? หนุ่มๆถามกันหมดแล้ว สุภาพสตรีไม่คิดจะถามบ้างเลยเหรอ หรือฉลาดหมด…กำลังเพลินอยู่ในภวังค์… หลวงปู่มาอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ง่าย จริงๆแล้วต้องพาพระเณรไปธุดงค์ที่ป่าหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถ้ำไก่หล่น เค้าไปก่อนแล้ว หลวงปู่ยังมานั่งฉอเลาะอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวก็ต้องตามเค้าไป มาแล้วก็ใช้ให้คุ้มก็แล้วกัน มีใครจะถามปัญหาอะไร ปัญหาสุดท้ายลูก เดี๋ยวจะได้สรุป

ปุจฉา : การนั่งวิปัสสนากรรมฐาน มีอุปสรรคเกิดขึ้นคือมาร อยากทราบคืออะไร และแก้ไขอย่างไร

วิสัชนา : มาร.. นี่หล่อไหม? มารหน้าเป็นยังไง? ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องมารหล่อ…ถ้าเป็นผู้ชายก็ต้องมารสวย อย่างงี้ก็เรียกมารเหมือนกัน ความหล่อ…ความสวย…ก็เป็นมารของกรรมฐานเหมือนกัน วิปลาศของกรรมฐานวิปลาสของวิปัสสนาญาณคือเห็นว่ารูปเที่ยง…เห็นว่าสวย…เห็นว่างาม…และก็เห็นว่ามีตัวตน ถ้าเห็นอย่างงี้ก็ถือว่าเป็นมาร ฉันถึงได้ถามว่ามารหล่อมั๊ย ถ้าหล่อก็ถือว่าวิปลาส นั่นแหละหน้าตามารเป็นอย่างงั้น ถ้าคุณถามว่ามารคืออะไร มารก็คือความเห็นที่ผิดจากครรลองทำนองคลองธรรม หรือเห็นจากความเป็นจริงเพราะสรรพสิ่งในโลกนี้…มันไม่เที่ยง เมื่อ 2 วัน ฉันเขียนหนังสือคัมภีร์มรณะ สรุปบทคัมภีร์มรณะหลวงปู่เขียนบทโศลกตบท้ายไว้ว่า “ลูกรัก ชั่วชีวิตของพ่อไม่เคยเห็นพลังอะไรที่ยิ่งใหญ่เท่าพลังกรรม ไม่เคยเห็นอำนาจอะไรที่มากมีและมากมายเท่ากับอำนาจกรรม ไม่เคยเห็นผลอะไรที่เที่ยงตรงและเที่ยงแท้เท่ากับผลแห่งกรรม และไม่เคยเห็นใครทำอะไรที่ให้ผลสม่ำเสมอเท่ากับทำกรรม” เพราะฉะนั้น มาร...มันเกิดจากวิถีทางทำพูดคิด…ที่ผิดพลาด เราทำผิดก็ได้ผลผิด ทำถูกก็ได้ผลถูก ในคัมภีร์มรณะ หลวงปู่เขียนเอาไว้ว่า ความตายนี้มันปรากฏทุกขณะจิต… น้องหนูตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งวันนี้ต้องผ่านความตายมาตลอดใช่ไหม? ใครไม่เชื่อยกมือ ไม่เชื่อว่าต้องผ่านความตาย นี่ไม่ใช่ความเห็นของหลวงปู่ถูกนะ อาจจะผิดก็ได้ ใครเชื่อว่าเราต้องผ่านความตายมาตลอดยกมือ? เอ๊ะ! ยังไงหว่า… ไม่ยกอะไรเอาซะเลย ไม่หือไม่อือ ประเภทสะกิดไม่รู้เรื่องกำลังเมาเพลียตลอด… เราผ่านความตายมาตลอด ตัวอย่างเช่น ออกจากท้องแม่ใหม่ๆ ผิวหนังร่างกายเราบอบบาง พอมากระทบกับบรรยากาศรอบๆกาย ผิวหนังนั้นก็แสบ เด็กก็ร้องไห้ ผิวหนังที่แสบนั้นเกิดจากอะไร ผิวหนังหนึ่งนิ้วมีเซลล์กี่พันตัว…ไม่ต้องเอาผิวหนังเอาเส้นผมก็แล้วกัน เส้นผม 1 เส้น มีเซลล์กี่ล้านๆตัว เซลล์นั้นก็คือสัตว์ สัตว์ชนิดหนึ่งที่อยู่ในจำพวกของเส้นผม คนที่เกิดขึ้นใหม่ๆนี่ผมสีอะไร? ค่อนข้างน้ำตาลอ่อนๆ และนิ่ม ต่อไปจากน้ำตาลอ่อนเป็นน้ำตาลไหม้ จากน้ำตาลไหม้เปลี่ยนเป็นน้ำตาลดำ สุดท้ายดำ ผมก็เริ่มแข็งกระด้างขึ้น ของเก่าไปไหน ไอ้ที่นิ่มสีน้ำตาลอ่อน? ตายไป มันตายไปแล้วมันสร้างชนิดใหม่ขึ้นมา น้ำตาลอ่อนเป็นน้ำตาลแก่ น้ำตาลแก่เป็นน้ำตาลไหม้ตายไปกลายเป็นสีดำ ดำก็ตายไปสุดท้ายก็กลายเป็นสีขาว เพราะฉะนั้นมันผ่านการตายมาตลอด พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า สัตว์มีเกิดมา…กับความตาย เรามากับความตาย ความตายเป็นสิ่งปฏิเสธไม่ได้ เมื่อเห็นอย่างงี้..รู้อย่างงี้..เข้าใจอย่างงี้… เราจะได้ไม่หลงไหลได้ปลื้ม ติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เพราะเราต้องตาย เมื่อคิดอย่างนี้มารจะไม่ปรากฏ วิปัสสนาญาณจะปรากฎ วิปัสสนาญาณจะเกิด สติจะตั้งมั่น นิพพิทาญาณจะอุบัติ เราจะไม่เศร้าหมอง แต่เพราะคุณไม่คิดอย่างนี้ รูปสวยคุณชอบ เสียงเพราะคุณดีใจ เห็นรูปร่างมั่นคงถาวร เค้าเรียกว่าวิปลาสแห่งวิปัสสนาญาณอย่างที่กล่าวไว้แล้ว เพราะฉะนั้นในคัมภีร์มรณะ หลวงปู่แยกความตายไว้ 3 ชนิด มีอะไรบ้าง? ก็คือมี สมุทเฉทมรณะ ตายชนิดนี้เกิดขึ้นเฉพาะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และอรหันตสาวกเท่านั้น ขณิกมรณะ คือ ตายเล็กๆน้อยๆพวกเรามีตายเล็กๆน้อยๆไหม? ตายมาตลอด เส้นผมก็ตายแล้ว..หนังล่ะ เกิดจากท้องแม่ใหม่ๆ หนังสีอะไร ถ้าเป็นคนขาวก็จะออกสีชมพูเรื่อๆ และก็บอบบางจนเห็นเส้นเลือด จากนั้นเมื่อมากระทบกับบรรยากาศรอบข้าง เด็กก็จะแสบร้องไห้ หนังนั้นมันก็ปรับสภาพเซลล์ผิวหนังที่อ่อนบางก็จะเป็นเซลล์ผิวหนังที่แก่กล้า พร้อมที่จะเผชิญต่อบรรยากาศรอบกาย ของเก่าตายของใหม่ปรากฏ มันพัฒนาของมันอยู่เรื่อย สุดท้ายพอหมดฮอร์โมนที่จะพัฒนามัน มันก็ต้องจบลงคำว่าตายตลอดกาล นั่นคือคนที่แก่และหนังเหี่ยวแล้วหมดสิทธิ์ที่จะดึงแล้ว หมดสิทธิ์จะพัฒนาแล้ว เพราะฉะนั้นชีวิตเราอยู่ในขณิกมรณะตลอด ถูกไหม มีหรือเปล่าที่นั่งอยู่นี่ใครไม่ตายมั่ง? ยกมือซิ ถ้าไม่ตายก็คงไม่อยู่ตรงนี้ รูปร่างตรงนี้ไม่มีแน่ ถ้าคุณไม่ผ่านการตายมาคุณจะไม่มีรูปร่างอย่างนี้ คุณจะต้องเป็นเด็กแรกเกิดแบเบาะนอนแก้ผ้า ร้องแม่ๆๆ ต้องเป็นอย่างงั้น เพราะคุณผ่านการตายเกิด คุณจึงมีรูปร่างแบบนี้มานั่งอยู่ตรงนี้นี่คือ ขณิก มรณะ มีสมุทเฉทมรณะ ขณิกมรณะ และสมมุติมรณะ ภาษาบาลีเค้าเรียกว่า สัมมติมรณะ สมมุติมรณะคืออะไร คือแบบนี้ถ้ามันร้าวออกไป แตกออกไป เค้าเรียกสมมุติมรณะ อย่างงี้ถ้ามันพังบุบๆบี้ๆไปก็เรียกว่าสมมุติมรณะ ไมค์นี้ถ้ามันหักไปมันเสียไปก็เรียกสมมุติมรณะ สรรพสิ่งทั้งหลายที่ไม่มีวิญญาณครองมีถึงกาลมรณะเหมือนกัน ไมค์(โครโฟน)นี้เกิดความตายขึ้นไหม? เกิด…เพราะอะไร? มันเสื่อมลงทุกวันไง…ความเสื่อม เก่า คร่ำคร่า นี่เป็นสมมุติมรณะ เป็นมรณะชนิดหนึ่ง ไมค์หมดอายุไขได้ไหม? หมดได้…เพราะฉะนั้นความตายมีทุกหย่อมหญ้า เห็นความตายเป็นเรื่องปกติอย่างนี้… โอ๊ย!ไปแล้ว…น้ำลายยืด…น้ำจิ้มหยดอีกต่างหาก…ระวังน้ำลายจะท่วมจอนะคะ…ที่นี้เมื่อสมมุติมรณะมันอุบัติขึ้นแล้ว เราปฏิเสธไม่ได้ พอปฏิเสธไม่ได้อะไรเกิดขึ้น? อะไรเกิดขึ้น? คือเราต้องเห็นความจริงอย่างนี้ ตัวเราหนีไม่พ้น ใครก็หนีไม่พ้น แม้แต่องค์อินทร์ก็ยังหนีไม่พ้นเลยคุณ พระอินทร์ก็ยังหนีไม่พ้น พระพุทธเจ้าหนีพ้นไหม? พระพุทธเจ้าหนีจาก ขณิกมรณะได้ไหม? ไม่ได้ หนีจากสมมุติมรณะได้ไหม? ไม่ได้ สรรพสิ่งในโลก สัตว์ทุกชนิดเกิดมาพร้อมกับความตาย…

..... ก็เลยอยากฝากท่านที่รักทั้งหลายว่า…วันนี้หลวงปู่มานั่งอยู่ตรงนี้ พยายามทำตัวให้เหมือนเพื่อนพวกเรา ไม่ทำตัวให้เหมือนกับพระอาจารย์นักซักเท่าไหร่ อยากให้พวกเราสนุกจะได้แก้ไขความง่วงนอน แต่แก้แล้วแก้อีกก็ยังหลับอยู่อย่างงั้นก็ไปเถอะบ้านใครบ้านมัน… ปกติแล้วหลวงปู่ถ้าไปแสดงธรรมก็ไม่ทำตัวตลกอย่างนี้ คือไม่ทำตัวเหมือนกับจำอวดมาเล่น แต่เพราะว่าหลวงปู่อยากให้คนฟังสร้างสัมพันธภาพอันดีต่อกัน จะได้สื่อความหมายต่อกันและกันรู้… พระพุทธเจ้าแสดงธรรมมีอยู่ด้วยกัน 3 ภาษา คือ ภาษาธรรม ภาษามนุษย์ และภาษาเทพ ภาษามนุษย์เนี่ยะหลวงปู่พยายามใช้กับพวกเรา ทำตัวให้เท่าๆกับพวกเราโดยสถานภาพ เมื่อพูดกันให้เรื่องเข้าใจแล้วพวกเราจะได้นำไปทำให้เกิดประโยชน์…ใช้…และสามารถทำลายโทษได้ โดยเฉพาะสถานภาพที่พวกคุณเป็นอยู่เนี่ยะเป็นชนชั้นผู้นำของสังคม เป็นบุคคลที่เป็นผู้นำทางการศึกษาแล้วถ้าคุณก็ยังทำตัวหรือทำใจ ทำกายให้เป็นที่พึ่งของคนเหล่านั้น ศิษย์เหล่านั้น เยาวชนเหล่านั้นไม่ได้ คนทั้งหลายก็พากันผิดหวัง ตัวคุณเองก็ต้องผิดหวังด้วย แล้วชีวิตก็จะไม่เจริญ

..... มีใครจะถามอะไรสรุปสุดท้ายไหม แรกๆก็คิด…อยู่ในใจ เอ…เห็นสภาพน้องหนูทั้งหลายแล้วถ้าจะไปสอน…คือไม่ได้คิดอะไร…ฉันไม่ได้คิดรู้สึกอะไรกับการที่เห็นคนนอนหลับ ฉันเองเนี่ยะถ้าเวลาง่วงฉันจะนอน แต่นิสัยเป็นคนที่ไม่เคยนอนกลางวันมาชั่วชีวิต ก็เลยไม่ได้ง่วง มันไม่ง่วงก็เลยไม่ได้นอน แต่ฉันเป็นคนที่…ฉันเขียนบทโศลกไว้ที่หน้าหอกรรมฐานว่า ลูกรัก…พุทธแท้ๆ น่ะ หิวกิน ง่วงก็นอน ร้อนก็อาบน้ำ ปวดท้องขี้ก็ให้ขี้ออกเถอะ นั่นแหละพุทธแท้ๆ แต่ถ้าหิวคุณไม่ได้กินหรือกินไม่อิ่ม กินแล้วไม่เข้า..นั่นไม่ใช่พุทธแท้ ง่วง..นอนไม่หลับทั้งๆที่เราก็นอนอยู่แต่มันไม่ยอมหลับ กระส่ายกระสับพลิกแล้วจนหนังกลับแปดตลบ…อย่างงั้นไม่เรียกว่าพุทธแท้ แล้วก็ขับถ่ายก็ไม่ออก…เบ่งจนหน้าเขียวยังไม่ออก ก็เพราะยังไม่รู้จักวิธีบริหารกายไง ก็ไม่ใช่พุทธแท้ก็เพราะไม่มีสติ ไม่รู้ว่าอะไรเกินเลย ไม่รู้ว่าอะไรจะบริโภคมาก อะไรจะบริโภคน้อย อัดๆเข้าไปจนสุดท้ายมันถ่ายไม่ออก ก็เพราะไม่ใช่พุทธแท้ พุทธแท้ๆก็คือต้องมีสตินั่นเอง คนมีสติจึง..ทำ..พูด..คิด..ไม่ผิด ทีนี้ถ้าจะให้สอนสูงๆชนิดว่า กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างในหลักสูตรมหาสติปัฏฐานสูตร ตามพระวินัยจริงๆเนี่ยะ ฉันว่าพวกเราหลับแน่ ฉันก็เลยพยายามจะดึงมหาสติปัฏฐานให้มันเป็นมหาสติปัฏฐานแบบการมีชีวิต มหาสติปัฏฐานแบบมีวิญญาณ มหาสติปัฏฐานแบบมีสำนึกและสัมผัสพิสูจน์ได้อย่างลูกหลานชาวบ้านๆ ถ้าเป็นมหาสติปัฏฐานอย่างนักปฏิบัติธรรมก็ต้องมีหลักการพิจารณา 4 ประการคือ กาย เวทนา จิต และธรรม แค่ข้อคำว่า”กาย”อย่างเดียวเนี่ยะฉันใช้เวลาสอนพระวิปัสสนาจารย์จังหวัดนครปฐมเนี่ยะสอนมา 2 ปีแล้ว “กาย” มีพิจารณาทั้ง 6 บรรพ มีอะไรบ้าง? ก็คือมีพิจารณาลมหายใจ พิจารณาปฏิกูล พิจารณาสัมปชัญญะ พิจารณาอริยาบถ พิจารณาธาตุ 4 หรือจตุธาตุวัฎฐาน แล้วก็ นวสีวถิกากถา ทั้ง 6 บรรพเนี่ยะ แต่ละข้อก็ไม่ใช่ง่าย ฉันพยายามสรุปลงมาทั้ง 6 บรรพ แล้วก็สรุปลงมาทั้ง เวทนา จิต ธรรม ให้มันอยู่ตรงคำว่าฉันกำลังพูดกับลูกชาวบ้านก็เลยให้มันสั้นๆง่ายๆ แต่มันมีความหมายอยู่ในคำว่า..กาย..เวทนา..จิต..ธรรม พร้อมเสร็จในวันนี้ เพื่อให้ง่ายขึ้นเราจะได้ฟังและไม่อึดอัดง่วงหงาวหาวนอน และก็สามารถนำไปใช้สอนคนอื่นได้..แนะนำคนอื่นได้ คุณจะแนะนำคนอื่นเหมือนคนอื่นไม่ได้มองว่าคุณแนะนำนั่นแหละคือยอดของครู แต่ถ้าคุณแนะนำใครแล้วเค้ารู้ว่าคุณกำลังแนะนำนั่นไม่ใช่ครู ครูคนใดก็แล้วแต่ถ้าสอนศิษย์โดยที่ศิษย์ไม่รู้สึกว่ากำลังโดนสอนนั่นแหละคือยอดครู แต่ถ้าสอนศิษย์ในขณะที่ศิษย์กำลังรับรู้ว่า..แน่!ๆ กำลังสอนฉัน มันจะเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม? อีโก้..ไอ้โก้..ทั้งหลายมันโตขึ้นไงคุณ พอมันโตขึ้นแล้วครูจะตายไปในที่สุด เพราะงั้นครูที่วิเศษต้องสอนศิษย์โดยวิถีทางที่ศิษย์ไม่รู้ตัว ไม่รู้สึกว่าสอน ฉันมีนิทานตบท้าย...สุดท้ายจริงๆนะ...ให้ฟังเรื่องหนึ่งว่า…

..... พระราชาองค์หนึ่งน่ะแก่แล้ว…อายุมากแล้ว และก็มีราชบุตรคือพระโอรสองค์หนึ่ง ท่านก็เรียกมาแล้วก็บอกว่า...ลูกเอ้ย! เจ้าก็โตขึ้นพอที่จะปกครองบ้านเมืองแล้ว แต่วิชาความรู้ยังไม่มีอะไรเป็นหลักแก่นสารสาระเลย ไปเถอะ..ไปหาความรู้ใส่ตัวบ้าง พ่อได้ฝากเจ้าไว้กับอาจารย์สำนักดาบบนยอดเขา เดินทางจากนี้ไปไกลโข..ไปหาให้ได้ แล้วก็ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ราชบุตรก็ไปตามคำสั่งของพระราชาผู้เป็นพ่อ พ่อสั่งมาว่าเรียนให้สำเร็จแล้วก็กลับมาปกครองบ้านเมือง ราชบุตรค้นหาจนกระทั่งพบภูเขาลูกนั้น...แล้วก็เข้าไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในวิชาดาบ อาจารย์เห็นลูกศิษย์แล้วก็เฉยๆไม่ได้พูดอะไร..ไม่ได้ทำอะไร ลูกศิษย์พอเห็นอาจารย์ไม่ค่อยใส่ใจ ก็บอกว่า..ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะมาเรียนวิชาดาบของท่าน รีบๆสอนข้าพเจ้าภายใน 3ปี 5ปี ให้จบได้ไหม? ข้าพเจ้าจะได้ไปปกครองบ้านเมือง… ถือดีว่าตัวเองเป็นราชบุตร อาจารย์ก็บอกว่า 3 ปีไม่จบหรอกต้อง 5 ปี... อุ๊ย! ทำไมมันเยอะนักตั้ง 5 ปีเอาซัก 4 ปีได้มั๊ย? อย่างงั้นต้อง 10 ปี 5 ปีก็แล้วกัน? อย่างนั้นต้อง 20ปี สุดท้ายต่อกันไปต่อกันมา อาจารย์บอก…งั้นไม่สอน พออาจารย์บอกว่าไม่สอน ลูกศิษย์ก็เลยคิดว่า..พ่อบอกว่าให้มาเรียนกับอาจารย์คนนี้ ถ้าไปเรียนกับครูคนอื่นพ่อก็ไม่รับรอง ทำยังไง...ก็ต้องยอมทนรับใช้อาจารย์ไป อ้าว...ท่านสอนผมเมื่อไหร่ผมก็รับแล้วกัน สุดท้ายก็ไปตักน้ำ รดต้นไม้ ถูกุฏิ ซักผ้า ฝ่าฟืน ทำกับข้าว หุงข้าว ในขณะที่ลูกศิษย์ทำอยู่อย่างงั้น... ราชบุตรทำงานไปอาจารย์ก็ย่องๆไปเอาก้อนหินปาหัวซะบ้างป๊อกนึงแล้วอาจารย์ก็วิ่งไป เผลอๆกำลังผัดข้าวอยู่ลูกศิษย์กำลังผัดข้าวอยู่ อาจารย์ก็เอาไม้ตีตูดป๊อกนึงแล้วก็วิ่งไป ถูๆบ้านอยู่ ซักผ้าอยู่ ตักน้ำอยู่ อาจารย์ก็ถีบโครม! หัวทิ่มบ่อ อาจารย์ก็วิ่งหายไป... ทำอย่างงี้บ่อยๆ ลูกศิษย์ เอ๊ะ! แกล้งนี่หว่า อาจารย์จ้องแกล้งเรา...ทำไง ลูกศิษย์ก็ระวังตัว…ระวังตัวมันเกิดอะไรล่ะ สติเกิดแล้ว..ความระวังตัวเกิดขึ้นสติมาเลย อาจารย์ย่องๆเข้ามา ลูกศิษย์กำลังกวาดพื้นอยู่ อาจารย์ก็ย่องเข้ามาเอาไม้กวาดตี ลูกศิษย์มีสติยกไม้กวาดรับไม้อาจารย์ ตีหัวปุ๊บรับปั๊บ อาจารย์เห็นลูกศิษย์รับได้ก็วิ่งหนีหายไปอีก... ลูกศิษย์กำลังใช้ตะหลิวผัดกับข้าว อาจารย์ย่องเข้ามาใช้ไม้ตะบองฟาดโครม! ลูกศิษย์รู้ตัวเพราะมีสติ ยกตะหลิวรับไม้ตะบอง อาจารย์ซัดมีดสั้นมาจากทิศเหนือทิศใต้ ลูกศิษย์หลบซ้ายหลบขวาได้หมด ทั้งๆขณะที่ทำงานอยู่ อาจารย์ไม่ได้บอกว่าจะมาซัด มาตี มาทุบ… 3 อาทิตย์เท่านั้นแหละ อาจารย์เรียกลูกศิษย์มาพบแล้วบอกว่า แกลงไปจากเขาได้แล้ว วิชาดาบทั้งหมดข้าถ่ายทอดให้เรียบร้อยแล้ว…

..... นี่คือครูผู้วิเศษ ครูที่สอนศิษย์โดยไม่ใช่เป็นครู โดยที่ศิษย์ไม่รู้ว่ากำลังจะเรียนอะไรจากครู แต่ก็ได้อย่างมหาศาล เพราะฉะนั้นความหมายของคำว่าครูเนี่ยะ...ที่ฉันพูดกับพวกคุณ เพื่อต้องการให้คุณได้นำเอาไปสื่อความหมายกับลูกศิษย์ว่าคุณกำลังให้อะไรแก่เด็ก ถ้าคุณไปบอกว่า เอ้า..มานี่ แกมานั่งหลับตาทำสมาธิฝึกสติปัฏฐานสูตร ลูกศิษย์มันหลับตั้งแต่คุณบอกแล้วหละ ถูกไหม? แค่คุณอ่านชื่อโครงการก็อยากหลับแล้วใช่ไหม…อยากหลับแล้ว อยู่ดีๆเค้าชวนคุณมาเที่ยว คุณอยากมาไหม? อยาก เพราะงั้นคนเรานี่อีโก้ไอ้โก้นี่มันเยอะมากเลย ทำยังไงจะให้อีโก้มันตายไอ้โก้มันสลบ ส่วนใหญ่อีโก้มันไม่ตายไอ้โก้ไม่สลบ เราจะสลบซะเอง... ตามันสะลึมสะลือ... ฉันรู้สึกเฉยๆเห็นคนหลับนี่เฉยๆ แต่มันก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เพราะฉันไปทัวร์มาทั่วแผ่นดินแล้วและเพิ่งจะเห็นที่นี่แหละ...แต่ก็ไม่เป็นไรฉันไม่ได้ตำหนิพวกคุณนะ…ไม่ได้คิดอะไรเลยคุณ… ฉันเฉยๆ ฉันก็พูดแซวพวกคุณไปเล่นเท่านั้นเอง อยากให้คุณตื่นขึ้นมาเท่านั้นแหละ แต่ไม่ได้ถือโทษโกรธ ไม่ได้คิด..ไม่ได้อยู่ในหัวใจ…ไม่ใช่ไม่สนใจพวกคุณ แต่ฉันไม่ได้เอามาเป็นอารมณ์ว่าจะต้อง...แหม..อะไรว่ะอุตส่าห์เสียสละเวลามาสอนแล้วนั่งหลับ มันเป็นธรรมชาติน่ะคุณ ธรรมะน่ะพูดกับใครมันก็น่าหลับทั้งนั้นแหละ ถ้าเค้ารู้ว่าเรามาพูดธรรมะด้วยอยากหลับตั้งแต่ครั้งแรก ยิ่งเห็นหน้าฉัน...แหวะ! หลับดีกว่า..หน้าไม่ทันสมัยอย่างกับปลาเก๋าอะไรเงี้ยะ ถ้าหล่อๆมานั่ง...โอ๊ย! หวีดวิ้วๆ จ้องตาไม่กระพริบอะไรเงี้ยะ เป็นธรรมชาติเพราะหน้าฉันก็ไม่ได้ชวนชมเท่าไหร่ และก็ยิ่งพูดจาไม่ค่อยได้เข้าหูคนด้วย ก็เป็นธรรมดา แต่ฉันก็อยากจะบอกคุณว่า ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวงนี่ มันออกมาจากจิตวิญญาณฉัน…ออกมาจากประสบการณ์ทางวิญญาณที่ฝึกหัดดัดกาย วาจา ใจ ของตนมาตลอด จนทำให้รู้วิธีที่จะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สาระสูงสุดในการดำเนินชีวิต ฉันไม่ใช่พวกนักท่องจำแต่ฉันพวกที่ชอบกระทำ เพราะงั้นบางครั้ง..บางประโยค..บางขั้นตอน..บางเรื่องราวฉันอาจพูดผิด พูดไม่ถูกต้องตามศัพท์แสงแสลงที่เค้าเขียนกันเอาไว้ก็ขออภัยพวกนักวิชาการ อะไรที่ฉันก้าวก่ายล่วงเกินทำให้พวกคุณทั้งหลายเศร้า เสียหาย หรือว่าอาฆาต หรือว่าเจ็บปวด หรือว่าสะดุ้งผวาอย่างไรก็ต้องขออภัยในที่นี่ด้วย ก็ถือว่าเป็นธรรมชาติอยู่ร่วมกันก็ต้องกระทบกระทั่งกันบ้าง ตามธรรมชาติตามสามัญสำนึกของความหมายคำว่าสัตว์สังคม เราอยู่ในสังคมมันก็ต้องพึ่งพิงอิงแอบอาศัยกันบ้าง ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันบ้าง ตีกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง ยอมรับกันบ้าง ปฏิเสธกันบ้าง เป็นสามัญสัตว์ เป็นวิถีทางแห่งสัตว์สังคม แต่สุดท้ายเราก็ต้องมีหัวใจในการที่จะให้อภัย..ด้วยความเอื้ออาทร..การุณย์และยอมรับสิ่งดีมีประโยชน์ไปใช้ การจะให้อภัยก็ตาม เอื้ออาทรก็ตาม รับสิ่งดีมีประโยชน์ก็ตาม มันจะไม่สำเร็จขึ้นมาเลย ถ้าเราไม่มีสติ เพราะงั้นสติเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่เราจะต้องนำมาใช้ให้เกิดในชีวิตปัจจุบันทันที..ทันด่วน..เดี๋ยวนี้..ขณะนี้..วันนี้..เวลานี้..และนาทีต่อๆไป เมื่อเราทำได้ยังเงี้ยะ เราก็เป็นคนที่สะอาด มีความสง่างาม องอาจ เป็นตัวของตัวเอง และก็มีชีวิตอย่างอิสระและเสรีภาพ มีความสุขสมบูรณ์เป็นไท ไม่มีชีวิตตกอยู่ในฟองน้ำลายที่กระดกบนปลายลิ้นใคร แล้วเราก็จะกลายเป็นผู้ชนะในโลกในที่สุด… จบแล้วจ้า…ตื่นได้แล้ว พระจะไปแล้ว…คุณ

..... ขอขอบคุณคณะดำเนินงานทุกท่านที่แบ่งปันความเอื้ออาทร ความการุณย์ต่ออนุชนคนรุ่นหลัง และลูกหลานทั้งหลายที่คิดจะไปเผยแพร่จิตวิญญาณของพุทธสู่อาณานิคมของศาสนา ทำให้เกิดสาธุชนคนดีที่จะมีอยู่ต่อไปในอนาคต

..... ขอขอบคุณความเอื้ออาทรและความการุณของครูบาอาจารย์ และคณาจารย์ทุกท่าน ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์อุปถัมภ์ต่อโครงการฝึกจิตตามวิถีพุทธ ให้เจริญรุ่งเรืองและสืบเนื่องมาได้จนถึงวันนี้ และจะมีต่อไปในอนาคต

..... ขอขอบคุณโพธิจิต โพธิวิญญาณ และโพธิธรรม ที่อยู่ในอำนาจใจอันศักดิ์สิทธิ์ กายศักดิ์สิทธิ์ และธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ของคณาจารย์ครูบาทุกท่าน ที่ให้ความเมตตาความอนุเคราะห์ต่ออนุชนคนรุ่นหลังและลูกหลานสานุศิษย์ รวมทั้งนักศึกษาครู ทุกท่านที่ได้ถ่ายทอด ผ่องถ่ายประสบการณ์ทางวิญญาณและความรู้ ความสามารถของตนให้เป็นเครื่องนำพาเข้าไปสู่เป้าหมาย สาระของการดำเนินชีวิตให้ดีงามถูกต้อง..ไม่บกพร่อง
ขอบคุณในความปรารถนาดีของสานุศิษย์และก็…นักศึกษาครูทุกท่าน นิสิตทุกท่าน ที่มีต่อตัวเอง…ความปรารถนาดีที่มีต่อตัวเองในวิถีทางที่ถูกตรง เป็นความปรารถนาดีที่หาได้ยาก…เมื่อท่านมีก็ต้องขอบคุณในความปรารถนาดีครั้งนี้ และขอให้นำความปรารถนาดีครั้งนี้ ผ่องถ่าย…ถ่ายทอด…และแบ่งปันอาทรให้ต่อกันและกัน ต่อไปในอนาคตในสังคมที่ท่านเข้าไปอยู่อาศัย
ขอบคุณเทพยเจ้า เทพยดาฟ้าดิน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่อภิบาลดูแลปกป้องรักษาทำให้ท่านและกิจการงานที่ดำเนินอยู่นี้สำเร็จลุล่วงและดำเนินต่อไปในอนาคตได้ด้วยดี
และต้องขอบคุณผู้ที่ให้ทุนที่ได้มีน้ำใจเห็นความเป็นจริง เห็นวิถีทางของความเจริญในจิตวิญญาณและเห็นหนทางแห่งความพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ที่ถูกตรงถูกต้องตามครรลองของสภาวะธรรมชาติแห่งความเป็นจริง ว่าวิถีนี้เท่านั้นคือการพัฒนาศักยภาพของคนและมนุษย์ ท้ายที่สุดนี้ก็ต้องขออนุโมทนาในสิ่งที่ท่านทั้งหลายได้ทำมาแล้วและจะทำต่อไปในอนาคตว่า…ขอแบ่งบุญให้หลวงปู่ด้วยแล้วกัน สัพพะทานัง ธรรมะทานัง ชินาติ การให้ธรรมเป็นทานเป็นการให้ทั้งปวง

ขอชัยชนะของข้าทั้งหลาย ของท่านทั้งหลาย และของหลวงปู่จงรวมกันเป็นตบะ เดชะ พละวะปัจจัยดลบันดาลส่งผลให้ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ จงทรงพระเกษมสำราญ มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน และขอให้ทุกท่านที่ร่วมกิจกรรมการงานครั้งนี้ จงเจริญด้วยอำนาจ พลัง ตบะ ชัยชนะ ความสำเร็จ ทรัพย์ ลาภ กำลัง และความสุข ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ