ปฏิบัติธรรมต้นเดือน
๗ กันยายน ๒๕๕๑

สังคมไทยโดยเฉพาะสังคมพุทธเรานี่มันมีความงามอย่างนี้ลูก  ร้อยพ่อพันแม่ ร้อยบ้าน ต่างถิ่นมาอยู่รวมกัน เพียงชั่วคำว่าบุญนี่มันทำให้คนเรารวมกันได้  นั่งใกล้ชิดสนิทสนมโอภาปราศรัยกันได้อย่างสนิทอกสนิทใจ  สมัยก่อนตอนเมื่อหลวงปู่เด็กๆก็ไปได้กลิ่นอายแบบนี้ พ่อแม่ ตายาย พาเข้าวัด  อยู่ใกล้คนใหญ่ ทั้งที่แกไม่รู้จักเราเลย  ยังอุตส่าห์โอภาปราศรัยพูดจาด้วยจิตไมตรีโอบอ้อมอารีย์  ทำให้เห็นถึงความงดงามในใจของมนุษยชาติ  เกิดพันธะทางใจมีสัมพันธภาพอันดีต่อกันและกัน ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันได้อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย  บุญนี่มันเลยกลายเป็นเครื่องยังให้สำเร็จประโยชน์  เวลาพูดคุยกัน สั่งสนทนากันทำให้เราแลกเปลี่ยนสติปัญญา ความรู้ความเข้าใจซึ่งกันและกัน  ก็ยิ่งทำให้เกิดโลกทัศน์  เปิดประตูวิญญาณในการรับรู้ของเราให้กว้างขวางขึ้น  จะรู้ถูกรู้ผิดก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของบุคคล  คนพูดจะพูดถูกพูดผิดก็ขึ้นอยู่กับคนฟังจะรับเอาไปแล้วทดลองทดสอบใช้ได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร  แล้วเป็นที่พึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟังขนาดไหน  มันเป็นสังคมของปราชญ์  เป็นสังคมของบัณฑิต  สังคมของผู้รู้  เพราะว่าปราชญ์ บัณฑิต ผู้รู้นี่เขาจะมีคำจำกัดความว่า  ประชุมเป็นเนืองนิจ  ฟังธรรมท่านผู้บรรยายอย่างตั้งอกตั้งใจดั่งมีคำกล่าวสอนไว้ในบาลีว่า สุสูสัง ละปะเต พันยัง การฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา  ฟังแล้วจำไม่ได้  จำไว้ดีกว่าจด  จำไม่หมดจดไว้ดูเป็นครูสอน  ทั้งจำทั้งจดจิตเราเฝ้าอาวรณ์  มันก็อยู่ในจิตของเรา  เราก็จะเข้าใจ รู้จักเข้าใจได้มากขึ้น  ทีนี้มันก็จะมีถึงกระบวนการ  กระทบมาถึงการดำรงชีวิต  พอความเข้าใจรู้จักมันเกิดขึ้นมันก็จะทำให้ชีวิตของเรา ทำก็ตาม พูดก็ตาม คิดก็ตาม  มันมีความเข้าใจรู้จักเป็นบรรทัดฐานเป็นเบื้องต้นของการทำพูดคิด  แต่ถ้าเราไม่คิดคบค้าสมาคม ไม่คิดโอภาปราศรัยไม่สั่งสนทนาพูดคุยไม่มีกัลยาณมิตรต่อใคร    สุดท้ายก็ไม่มีใครจะมาใกล้ชิดสนิทสนมกับเรา  มันก็เกิดความรู้สึกที่อยู่ในโลกอย่างโดดเดี่ยว เดียวดาย อ้างว้าง ว้าเหว่  และสุดท้ายก็อยู่อย่างชนิดที่ไม่รู้ว่ามีความเข้าใจรู้จักหรือไม่  พออยู่แบบไม่รู้ไม่เข้าใจไม่รู้จัก  ก็เลยกลายเป็นว่าทำพูดคิดอะไรไม่มีสติปัญญาเป็นตัวนำ  แล้วอะไรเป็นเครื่องทำให้เราต้องทำพูดคิด  ก็อารมณ์  อารมณ์ผลัก  อารมณ์ดัน  อารมณ์ฉุดกระชากลากถูไปตามแล้วแต่อารมณ์อะไรมันจะเข้าทรงเรา  ความเข้าใจรู้จักถ้ามันเกิดขึ้นแล้วมันจะสามรถหยุดยั้งอารมณ์ได้ในระดับหนึ่ง  จากโกรธมากๆก็ให้โกรธพอเหมาะพอสม  จากขนาดรบราฆ่าฟันกันก็เอาแค่ว่าพอหอมปากหอมคอ ทำเนาๆอย่างนี้  จากการที่จะคดโกงทำร้ายทำลาย  ประจานกันก็ พอแค่ทำให้เขาเข้าใจและรู้จักสำนึกระลึกรู้อย่างนี้  ชีวิตมันเป็นอย่างนี้แหละลูก  สำหรับหลวงปู่แล้วถือว่ามันเป็นศิลปะ  ศิลปะในการดำรงอยู่  ศิลปะในการใช้ความคิด  ศิลปะในการใช้คำพูด ศิลปะในการกระทำ  ศิลปะนี่มันจะดูงดงามไปหมด  แต่ทั้งหมดมันจะออกมาเป็นศิลปะทั้งหมดในการทำพูดคิดได้  หรือพูดคิดเป็นศิลปะนี่  ที่สำคัญต้องออกจากใจ  จริงใจ เต็มตื้น  เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ  แล้วทำพูดคิดมันจะมีศิลปะ  แม้ด่าชาวบ้าน  ถ้ามีศิลปะในการด่ามันก็ทำให้ชาวบ้านรู้สึกรักศรัทธา  ชีวิตมันเป็นศิลปะอย่างนี้มันทำจากใจ พูดจากใจ คิดจากใจ  อะไรมันก็เป็นเรื่องงดงาม  แต่ถ้าทำด้วยการเสแสร้ง ทำด้วยการแกล้งทำ  ทำด้วยการแสดง พยายามที่จะอยากให้เขาดูว่าเราดี  แม้มันดูดีแต่สุดท้ายจิตใจมันก็ไม่เชื่อ  จิตใจมันก็ไม่ศรัทธา  ไม่มั่นคง  แล้วมันก็จะหวาดหวั่น  และสุดท้ายก็เป็นความหลงลืม  ลูกหลานก็จะสามารถทราบได้  ที่พูดเรื่องนี้ก็เพราะเราจะต้องมาศึกษาเรื่องจิต  เรื่องการปรับจิต  เรื่องทำให้จิตนี้มีสติให้มากขึ้น  เพราะสังเกตดูโรคหลายโรคที่หลวงปู่รักษาวันนี้หรือวันที่ผ่านๆมา มันมาจากโรคของคนขาดสติ  นั่งไม่มีสติปล่อยให้นั่งเบี้ยวไปข้างหนึ่ง และไม่ใช่เบี้ยววันเดียว  บางคนอายุหกสิบปีก็เบี้ยวมาหกสิบปี  จนกระทั่งกระดูกมันสึกมาหกสิบปีข้างเดียว  พอถึงเวลา  ทีนี้มันก็ไปกดทับเส้นประสาทเส้นเลือด  แล้วมานั่งทรมานบ่นว่าปวด  ชาปลายมือปลายเท้า  ปวดไปข้างหนึ่งเหมือนฟ้าแลบแปล๊บปล๊าบไฟช๊อต  เพราะว่ากระดูกมันสึกแล้วไปทับเส้นประสาทจนบางคนถึงขนาดเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต สาเหตุที่เป็นโรคกระดูกสึกนี่  มันสึกไม่เท่ากันเพราะนั่งไม่มีสติ  ยืนไม่มีสติ เดินไม่มีสติ  นอนก็ไม่มีสติ  พอมันไม่มีสติอยู่กับตัวมันก็คอนโทรล  ควบคุมความเป็นไปของอวัยวะ 32ภายในกายไม่ได้  เมื่อควบคุมไม่ได้ก็จะไม่รู้ว่ากระดูกข้อต่อแต่ละข้อแต่ละข้อมันต้องรักษาสมดุลไม่ให้บิด ไม่ให้เบี้ยวไม่ให้เอียง  แม้มันจะโยกโคลนให้ตัวได้  ให้เกิดความคล่องตัวได้ก็ตามที  แต่ ณ. ที่ตั้งปกติของมัน มันจะต้องอยู่ในรูปไหน  คนไม่มีสติไม่รู้จักจัดระเบียบให้กับกาย พอไม่รุ้จักจัดระเบียบให้แก่กาย ก็ทำตามความเคยชิน  นั่งก็นั่งเอียงไปข้างหนึ่งทั้งชีวิต  เวลาเดินก็เดินเอียงไปข้าง  ถ้าจะให้ยืนก็ยืนเต๊ะท่ายืนจุ้ยอยู่นั่นแหละ  มันไม่ใช่เจ็บอยู่แค่นั้น  พอแก่ตัวมันไม่สวยแล้ว มันไม่งามแล้ว มันไม่สง่าแล้ว  กลายเป็นค่อม เป็นงอไปแล้ว  เมื่อเป็นค่อมเป็นงออะไรเกิด  โรคตามมาแล้ว  ความเจ็บปวดเวทนาตามมา  หลวงปู่จึงนึก เช้าๆเดินบิณฑบาตร  ถ้าไม่เล่นกับหมูไม่ดูหมา ทั้งขาไปขามาเวลาบิณฑบาตรเราก็จะมองดูตัวเราว่าเดินอย่างไร  ให้ขาสองข้างมันรับน้ำหนักเสมอกัน  เท้าหน้าเท้าหลังก้าวให้น้ำหนักมันโยกโคลนเหมาะสมเดินแล้วไม่เหนื่อย  เดินแล้วร่างกายไม่ต้องแบกหามภาระ  เพราะว่าบาตรที่พาดบ่าข้าวมันเต็มบาตร  น้ำหนักมันไม่ต่ำกว่า 5กิโล  แล้วถ้าเราเดินไม่มีสติมันก็จะเอียงไปข้างหนึ่ง เพราะเราใช้บ่าข้างเดียว  เราก็ต้องพยายามพยุงประคองน้ำหนักเฉลี่ยให้น้ำหนักมันเข้าไปอยู่ในข้อกระดูกทุกข้อให้เหมาะสมโดยเฉพาะกระดูกสันหลัง  แล้วก็ลงมาที่กระดูกก้นกบ  กระดูกท่อนขาสองข้าง   ถ้าขืนไม่รู้จักเฉลี่ยน้ำหนัก  เราก็จะเอียงอยู่ข้างขวาข้างเดียว แล้วสามเดือนก็เอียงอยู่ข้างนั้นตลอด  แล้วทุกปีๆก็เป็นอย่างนี้ตลอดกระดูกเราก็จะเสื่อมไปข้าง  ก็ต้องหาวิธีเฉลี่ย  เวลาหยุดให้พรชาวบ้าน  เราก็ต้องตรวจตราดูโครงกระดูกว่า   เรายืนอยู่ตรงไหม  ยืนเบี้ยว ยืนบิด ยืนเหมาะสมไหม ถ้าคนมีสตินี่มันจะทำให้เราสำรวจตรวจดูโครงสร้างภายใน  หลวงปู่ก็จะไม่ค่อยรู้สึกมีอาการเจ็บปวดข้อกระดูก ปวดข้อแขนข้อเข่า หรือเกิดอาการเคล็ดขัดยอก  เพราะว่าเราพยายามจะใช้สติสำรวจความเป็นไปภายในกายตน  นั่งอยู่อย่างนี้ก็ทำได้  เราส่งความรู้สึกไปในกายลองสำรวจภายในกาย  ลองทำดูซิ  นั่งแบบมีสติ  นั่งรู้ข้างในเข้าใจข้างนอก  จิตมนุษย์มันไวมาก  มันไม่ใช่รู้ได้ข้างในแล้วเข้าใจข้างนอกอย่างเดียว  บางทีบางครั้งมันเข้าใจข้างในแล้วรู้ข้างนอกก็มี  บางทีบางครั้งมันรู้ทั้งข้างในและข้างนอก  รู้ทั้งข้างนอกและเข้าใจข้างนอกด้วย  สภาพจิตนี่มันไวมากและมันเกิดดับได้นาทีหนึ่งเป็นพันๆ เป็นหมื่นๆดวง  แล้วพันๆหมื่นๆดวงถ้าเราคุมได้  มีสติได้ทุกดวงทุกดวงเขาเรียกว่าจิตของท่านผู้รู้  จิตของพระพุทธะ  จิตของผู้ตื่นผู้เบิกบาน  ไม่หลงตาย  ไม่หลงผิด  ไม่พูดผิด  ไม่ทำผิด  ไม่คิดผิด  เรื่องบางเรื่องเรามองว่าคนเขาเสแสร้งแกล้งทำ มาพูด มาหลอก  ให้หลงให้เชื่อ คนมีสติจะมองออก อ้าปากเราก็รู้แล้ว  ไอ้อย่างนี้กูทำมาก่อนมึงไม่ต้องมาพูด ไม่ต้องมาหรอกเราจะเห็น แต่คนไม่มีสติจะหลงไปตามลมปากที่เขาจะพ่นใส่หูเรา  แล้วเราก็จะกลายเป็นเครื่องไม้เครื่องมือเป็นเหยื่อของเขาในที่สุด
คำสั่ง    ลองนั่งให้มีสติดูซิ  อย่านั่งงอกอกงอขิง  มีสติรู้ตื่นอยู่ตลอดเวลา  ให้มันรู้ตื่นอยู่ตลอดอย่างนี้ รู้อยู่ภายใน รู้ข้างใน เข้าใจข้างนอก  รู้ข้างในเข้าใจข้างนอกอยู่อย่างนี้  รู้อยู่แต่ข้างใน ใครพูดอะไรเราก็เข้าใจอยู่ข้างนอก  รู้ข้างใน เข้าใจข้างนอก  เมื่อตัวรู้มันตั้งมั่น  ทีนี้เราจะสามารถควบคุมคอนโทรลพฤติกรรมได้  ความเจ็บปวดเวทนาที่เกิดจากความบีบคั้นของร่างกาย  การยกของ การโยกโคลน  การเคลื่อนย้ายเยื้องย่าง  มันก็จะบรรเทาเบาบางและหายไปในที่สุด  โรคที่เกิดจากความผิดพลาดในอิริยาบททั้งสี่ก็ไม่มี  แม้มีมันก็น้อยนิดเหลือเกิน  เวลานี้โรคส่วนใหญ่มันเกิดจากความผิดพลาดในอิริยาบททั้งสิ้น  หลวงปู่รักษาคนไข้อยู่ทุกเดือนๆก็ทำให้รู้ว่าเรื่องง่ายๆก็ทำให้เกิดโรค  ถ้ามีสติสักหน่อยมันก็ไม่เป็นโรค  แล้วก็เป็นภาระของตนเบื้องต้นก่อน  แล้วก็เป็นภาระของคนอื่นตามมาทีหลัง  รู้ข้างใน  เข้าใจข้างนอก  รู้ข้างในเข้าใจข้างนอก  มีตัวรู้อยู่ภายใน  ส่งความรู้อยู่ข้างใน  รู้ในอะไร  รู้ในรูปนั่ง  ตอนนี้นั่งอยู่ในรูปอะไร    ร่างกายนี่มีสภาพธรรมอยู่สองอย่าง  รูป กับ นาม  ส่วนที่เป็นนามก็คือใจและอารมณ์นั่นแหละ  ส่วนที่เป็นรูปก็คือสภาวะที่เป็นอยู่ในกายนี่  ตา  หู  จมูก ลิ้น กาย  การสัมพันธ์สัมผัสทั้งหลาย  เหล่านี้เป็นตัวรูป  แล้วมันก็เป็นของหยาบ  เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงว่ารู้อยู่  ว่ามันมีแค่รูปนั่งอยู่  ไม่มีตัวกูอยู่ในรูปนี้  หรือมีตัวรู้ชัดแจ้งอยู่ในขณะที่นั่ง  เราก็จะค่อยๆแยก  แยกมิตรศัตรู ความจริง ความเท็จ  เข้าใจ  รู้จักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  มันเหมือนกับคนถอดกลบท  เปิดของที่มันห่อ มันหุ้มอยู่ ออกทีละชั้นๆ แล้วเราก็จะเข้าใจชัดแจ้งทีละชั้นจนกระทั่งไม่เหลือเปลือกให้เราเปิด  แล้วถึงวันนั้นเขาเรียกว่าวิมุติ  คือความหลุดพ้น การที่เข้าไปทำความรู้จักเข้าใจอยู่ภายในกายตนอย่างนี้ทีละชั้นๆ  เรารู้อะไรบ้าง เช่นรู้เนื้อรู้หนัง  อะไรเป็นส่วนเนื้อ  อะไรเป็นส่วนหนัง  เนื้อหนังจริงๆมีองค์ประกอบเป็นอะไร  อย่างนี้ก็เปลือกชั้นที่หนึ่ง  เนื้อหนังจริงๆมีองค์ประกอบก็คือดิน  ส่วนใหญมีดิน  มันชื้นไหม  มันชื้นก็มีน้ำ เมื่อมันเคลื่อนไหวก็มีลม มีความอุ่นก็มีไฟ  แล้วอะไรมันมากกว่ากัน  ดินมากกว่า น้ำมากกว่า  ลมมากกว่า  ไฟมากกว่า  สรุปเนื้อหนังจริงๆมีธาตุดินเป็นเจ้าเรือน  ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุดินเป็นองค์ประกอบเฉยๆ  เมื่อถึงคราวเนื้อและหนังมันสิ้นอายุไข  คำว่าเนื้อและหนังมันสิ้นอายุไข  คือธาตุทั้งสี่มันแตกกระจายออกไป  ดินก็กระจายไปข้างหนึ่ง  หรือไม่ก็ถ้าไม่กระจายมันก็คงที่  แต่น้ำมันระเหยไปทำให้ดินแห้ง  หนังส่วนใดที่น้ำระเหิดระเหย  ก็จะแห้งแล้ง  ความชื้นไม่มี ความร้อนเผาผลาญความชื้นอีกมันก็ยิ่งซ้ำเติมให้ผิวดินหรือผิวหนังยิ่งแห้งตกสะเก็ดออกเป็น
ขลุยๆมากขึ้นอีก   ยิ่งลมมันพัดกำเริบเข้าสิ่งที่เป็นขลุยๆก็หลุดร่วงไป  อย่างนี้เขาเรียกว่ามองของจริงแกะเปือกออก  ออกจากเนื้อจากหนังมองทะลุไปถึงพังผืดเส้นเอ็นอะไรอย่างนี้ จนกระทั่งถึงเส้นเลือด  ผิวกระดูก  เนื้อกระดูก และไขกระดูก  ทะลุไปเรื่อยๆอย่างนี้เป็นต้น  
คำสั่ง    ลุกขึ้นยืน ส่งความรู้สึกไปที่ปลายเท้าสองข้าง  ยกส้นเท้าสองข้างพร้อมหายใจเข้า  ให้ทำอย่างนี้เพื่อดึงสติเข้ามารู้ตัวภายใน  เอาตัวรู้กลับเข้ามา
    หายใจออก ลดส้นเท้าลงช้าๆ
คำสั่ง    หายใจเข้าเสร็จแล้วหายใจออก  แขม่วท้อง   ดึงไส้ขึ้น  ยืนด้วยปลายเท้า หายใจเข้าลดลงช้าๆ  (ทำซ้ำหลายๆครั้ง)
คำปรารถ    คนที่อายุมากขึ้นไม่ฝึกที่จะดึงไส้  มันจะกลายเป็นมดลูกเคลื่อนไส้ไหล  ไส้มันจะตก น้ำหนักมันมีมากเข้า  การฝึกแบบนี้บ่อยๆวันละยี้สิบ สามสิบครั้ง  โรคไส้เลื่อนมดลูกไหล  โรคไขมันอุดตันตามลำไส้ ผนังหลอดเลือด  ผนังลำไส้จะน้อยลง
คำสั่ง    หายใจออก  ยืนด้วยปลายเท้า  ยกสองแขนขึ้นเสมอไหล่  แขม่วท้อง
    ลดลงช้าๆ พร้อมหายใจเข้า
คำสั่ง    หายใจออก  ยืนด้วยปลายเท้า  แขม่วท้อง  ยกสองแขนขึ้นเหนือศีรษะประนมมือ แขนชิดหู
    ลดลงช้าๆ พร้อมหายใจเข้า
คำสั่ง    หายใจออก แล้วหายใจเข้า ยืนด้วยปลายเท้า  แขม่วท้อง  ยกสองแขนขึ้นเหนือศีรษะประนมมือ แขนชิดหู
    ลดลงช้าๆ พร้อมหายใจออก
คำสั่ง    สูดลมหายใจเข้า…..หายใจออกพลิกฝ่าเท้าขวา  ทิ้งน้ำหนักที่เท้าขวา
    หายใจเข้า กลับมาตรง
คำสั่ง    หายใจออกพลิกฝ่าเท้าซ้าย  ทิ้งน้ำหนักที่เท้าซ้าย
    หายใจเข้า กลับมาตรง
คำสั่ง    หายใจออก ยกสองแขนเหนือศีรษะ แขม่วท้อง พลิกฝ่าเท้าทั้งสอง
    หายใจเข้ากลับมาตรง        
คำสั่ง    หายใจออก ย่อเข่าให้ชิดกัน แขนคงเดิมสองมือยังประนมอยู่
    หายใจเข้ายืดตัวขึ้น
คำสั่ง    หายใจเข้าพลิกฝ่าเท้าขวา หายใจออก ก้มลงด้านข้างทางขวา    ฝ่ามือแนบพื้น  แขม่วท้อง
    หายใจเข้ากลับตรง  แขนยังอยู่เหนือศีรษะ
คำสั่ง    พลิกฝ่าเท้าซ้ายหายใจออกก้มลงด้านข้างทางซ้าย  ฝ่ามือแนบพื้น  แขม่วท้อง  ทิ้งน้ำหนักตัวลงที่ขาซ้าย
    หายใจเข้า กลับมาตรง
คำสั่ง    ก้าวเท้าขวามาข้างหน้าหนึ่งก้าว  พลิกฝ่าเท้าขวา หายใจออกก้มตัวลงข้างหน้า    แขม่วท้อง  ฝ่ามือแนบพื้นปลายนิ้วมือชนกัน  เข่าตึง
    หายใจเข้ากลับมาตรง  ชักขาขวากลับ
คำสั่ง    ก้าวขาซ้ายไปข้างหน้าพลิกฝ่าเท้าซ้าย หายใจออกก้มตัวลงข้างหน้า    แขม่วท้อง  ฝ่ามือแนบพื้นปลายนิ้วมือชนกัน  เข่าตึง
    หายใจเข้ากลับมาตรงค่อยๆเงยขึ้นช้าๆ สองแขนเหนือศีรษะ  ชักขาซ้ายกลับ ยืนตรง
คำสั่ง    สูดลมหายใจเข้า…..หายใจออกเอียงตัวไปทางขวา
    หายใจเข้ากลับมาตรง  แขนตึงชิดหู
คำสั่ง    หายใจออกเอียงตัวไปทางซ้าย  แขนชิดหู มีสติอยู่กับตัว  มีตัวรู้ชัดเจน
    หายใจเข้ากลับมาตรงช้าๆ
หายใจออกแอ่นตัวไปข้างหลังเงยคอขึ้นตาเหลือกขึ้นบน
    หายใจเข้ากลับมาตรง
คำสั่ง    ยืนขาชิดให้ตาตุ่มชิดกัน  หายใจออก ก้มตัวลง ฝ่ามือแนบพื้นแขม่วท้อง เข่าตึง
    หายใจเข้ากลับมาตรง ฝ่ามือดันไว้ก้นกบด้านหลัง  ถ่างขาออกเล็กน้อย ลู่ไหล่ไปข้างหลังแอ่นอก เงยคอขึ้น  ออกเสียงอ้าลมออกทางปาก
    หายใจเข้า  กลับมาตรง
คำสั่ง    ลู่ไหล่มาข้างหน้ามากๆ  หลังมือชนกันที่หน้าขา  หายใจออกเก็บคาง ก้มคอลงให้คางติดอก
    หายใจเข้าค่อยๆกลับมาตรงช้าๆ
คำสั่ง    หายใจออกลู่ไหล่ไปข้างหลัง  แอ่นอก ทิ้งแขนไปข้างหลัง  เงยคออ้าปากออกเสียงอ้าระบายของเสียออกทางปาก
    หายใจเข้า  กลับมาตรง
คำสั่ง    พักดื่มน้ำ   ทุกคนต้องดื่มน้ำ  ไม่ดื่มไม่ได้มันจะเป็นโทษต่อร่างกายและสุขภาพ
คำสั่ง    ลุกขึ้นยืนเจริญสติต่อ  ยืนให้ผ่อนคลายที่สุด  กล้ามเนื้อต้องไม่ตึงเครียด  ยืนแบบคนมีสติยืนไม่เป็นโทษแก่ตัวเอง  ไม่ทำร้ายตัวเอง  ที่ผ่านมาเราไม่รู้ว่าเป็นโทษหรือเป็นคุณ  แต่เที่ยวนี้ต้องรู้  ยืนเป็นคุณคือยืนแล้วไม่ขัดเคือง  ยืนแล้วกระดูกไม่ขบไม่คดไม่งอ  ยืนแล้วมันไม่ทำร้ายตัวเอง ทำให้ติดโรคต่างๆ แม้ที่สุดกล้ามเนื้อก็ต้องผ่อนคลาย  
คำสั่ง    ส่งตัวรู้ไปภายในกาย ค่อยๆหรี่เปลือกตาลงอย่างนุ่มนวล สุภาพ  ส่งตัวรับรู้สำรวจตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นมา ดูว่าฝ่าเท้ารับน้ำหนักเสมอกันไหม ปรับให้สมดุลกันทั้งสองข้าง  แขนทิ้งข้างลำตัวอย่างผ่อนคลาย  ไหล่ไม่ลู่ไม่ยกไม่เกร็ง  ต้นคอลำคอไม่เอียง ไม่ก้ม ไม่เงย สุดท้ายกล้ามเนื้อบนใบหน้าต้องผ่อนคลาย  ให้ทุกอย่างในลำตัว  กล้ามเนื้อทุกส่วนผ่อนคลาย  มีตัวรู้ชัดเจน
คำสัง    ส่งความรู้สึกไปที่ฝ่ามือสองข้าง  ดูฝ่ามือสองข้างมีอะไรปรากฏอยู่บ้าง  ไออุ่นปรากฎที่ฝ่ามือสองข้างชัดไหม  ทำให้ไออุ่นเคลื่อนมาที่ข้อนิ้ว  ปลายนิ้วทั้งสิบ  ดูว่ามีไออุ่นไหม บางคนออกปลายนิ้ว  บางคนออกระหว่างนิ้ว บางคนออกที่ข้อนิ้ว  
คำสัง    ปรับไออุ่นกลับมาที่ฝ่ามือ  เลื่อนไออุ่นขึ้นมาที่ข้อมือ  ท่อนแขน ข้อพับ ดูว่ามีไออุ่นไหมท่อนแขนด้านบน  รักแร้ ไปที่ราวนมซ้ายขวา ดูว่ามีไออุ่นไหม  เหนือราวนมใต้ไหปลาร้าลำคอด้านหน้าซ้าย-ขวา  ใต้คาง ปลายคางซ้าย-ขวา เมื่อมาถึงปลายคางจะรู้สึกเสียวๆหวิวคล้ายกับมีอาการเสียวฟัน  มันวูบวาบๆ อย่าไปสนใจ  กลับมาอยู่ที่กรามซ้าย-ขวา จะรู้สึกหนักๆ  ใต้หู  กกหู เหมือนมีไออุ่นหรือลมออกจากกกหู  ขยับขึ้นไปเหนือหู  หลังใบหู  ขึ้นมาที่ขมับซ้าย-ขวา  จับความรู้สึกมาที่หางตาซ้าย-ขวา ไปหน้าผาก  จะรู้สึกตึงๆที่หน้าผาก หว่างคิ้วซ้าย-ขวายิ่งรับรู้ได้ว่ามันตึงมาก  เพ่งจิตไปที่หว่างคิ้ว  เบ้าตา  สันจมูก ปลายจมูก  ริมฝีปากด้านบน  จะรู้สึกเสียวๆที่ริมฝีปากด้านบน เหมือนอาการเสียวฟันจี๊ดๆเล็กๆ แต่ไม่รำคาญ  ขยับมาอยู่ที่เบ้าตาซ้าย-ขวาอีกที  แล้วเลื่อนไปที่โหนกแก้มซ้าย-ขวา
ทีนี้ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าผ่อนคลายสบายๆ ทำให้หน้าไม่ต้องเสพอารมณ์ไม่ต้องเสวยอารมณ์  หน้าไร้อารมณ์ เพราะอารมณ์ทำให้เลือดไปสูบฉีดบนใบหน้าแล้วแสดงสีหน้าเช่นอารมณ์รักก็สีหน้าอย่างหนึ่ง  โกรธก็สีหน้าอย่างหนึ่ง  ชังก็สีหน้าอีกอย่าง  ริษยาก็สีหน้าอีกอย่าง  หลงก็สีหน้าอีกอย่างหนึ่ง  และอาการกล้ามเนื้อบนใบหน้ามันยุบมันพองอยู่ตลอดเวลาเพราะอารมณ์เข้าไปกระตุ้น ทำให้เลือดสูบฉีด  อาการทำงานของใบหน้า  เซลบนใบหน้า  กล้ามเนื้อใบหน้ามันยิ่งเสื่อมง่าย  เพราะทำงานมากก็เหนื่อยมาก เหมือนกับคนที่สมบุกสมบันหักโหมทำงานก็แก่ง่ายทรุดโทรมเสื่อมโทรม ใบหน้าก็เหมือนกัน หลากหลายร้อยพันอารมณ์โถมทับเข้ามาบนใบหน้า  เราก็ทำหน้าให้เป็นอารมณ์นั้นๆ  จนสุดท้ายกลายเป็นคนแก่ง่าย เหี่ยวง่าย หย่อนง่าย โทรมง่าย ทีนี้ก็ต้องไปหาแป้งมาพอกมาทา
คำสั่ง    ทำหน้าแบบไร้อารมณ์ไม่ต้องรู้สึกอะไรเลย  ผ่อนคลายที่สุด  สบายๆ  เบาๆ  ทีนี้ไล่ความรู้สึกมาจับอยู่ตรงหน้าผาก ลงมาหว่างคิ้ว  ขึ้นไปที่หน้าผากอีกที  เหนือหน้าผากกลางกระหม่อม ดูว่ามีไอร้อนพุ่งขึ้นไหมจากกลางกระหม่อม  ไปที่กระโหลกศีรษะด้านหลัง ลงมาที่ต้นคอด้านหลัง จะมีไอร้อนไหม  หัวไหล่สองข้าง รู้สึกหนักๆหน่วงๆไหม  จากหัวไหล่สองข้างมารวมกันที่กลางกระดูกสันหลัง ไล่ลงไปตามกระดูกทีละข้อ  ตั้งแต่กระดูกต้นคอที่ต่อกับกระดูกสันหลังลงไปทีละข้อจนถึงกระดูกก้นกบ  จะรู้สึกร้อนระหว่างข้อต่อกระดูกสันหลังกับก้นกบ  ไล่ลงไปจนถึงสะโพก ไปข้อพับขาด้านหลัง จับความรู้สึกที่ข้อพับขาด้านหลังน่อง  ลงไปที่เอ็นร้อยหวาย  ส้นเท้า จับความรู้สึกไปที่ฝ่าเท้า  จากฝ่าเท้าไปที่ปลายเท้า หลังเท้า  ขึ้นมาที่ตาตุ่ม  หน้าแข้ง ไล่ขึ้นมาหัวเข่า หน้าขา  หัวเหน่า ใต้สะดือ  เหนือสะดือ  ช่องท้อง  ไล่ขึ้นมาถึงลิ้นปี่  ไปที่ราวนม  เหนือราวนม  ใต้ไหปลาร้า  ขยับไปที่ไหปลาร้าซ้าย-ขวา  หัวไหล่ซ้าย- ขวา  รักแร้  ดูว่ามีไอร้อนไหมสัมผัสมันให้ได้ หัวไหล่มีไอร้อนไหมลงมาที่ ท่อนแขนซ้าย-ขวา  ข้อพับ  ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง  ข้อมือ ฝ่ามือ
คำสั่ง    ค่อยๆยกฝ่ามือขวาขึ้นมาอยู่ระดับทรวงอก ช้าๆ งอข้อศอกหงายฝ่ามือให้ฝ่ามืออยู่ระดับทรวงอก ประมาณช่องท้องกับลิ้นปี่  จิตเพ่งที่ฝ่ามือด้านขวา  มีไอร้อนเกาะเป็นกลุ่มเป็นก้อนหมุนเวียนอยู่บนกลางฝ่ามือหรือไม่  ค่อยๆเคลื่อนมือขวาเหยียดตรงไปข้างหน้าเสมอไหล่  ดูว่าไอร้อนมันจางจากไปไหม  แขนเหยียดตึงและตรงดูซิไอร้อนยังคงที่ไหม
คำสั่ง    สูดลมหายใจเข้า ค่อยๆกำนิ้วมือทำให้ไอร้อนเดินกลับมาที่ข้อมือ  ท่อนแขน ข้อศอก  รักแร้ และตั้งไว้ที่หัวไหล่  แล้วหายใจออกค่อยๆคลายนิ้วมือให้ความร้อนจากหัวไหล่วิ่งกลับไปที่ฝ่ามือ  ทำอย่างนี้กลับไปกลับมา ลองทำดูซิว่าทำได้ไหม  เล่นกับมัน บังคับมันให้ได้  วันข้างหน้าจะต้องใช้มันให้เกิดประโยชน์สำหรับรักษาโรคในกายเรา
( หายใจเข้ากำฝ่ามือไอร้อนวิ่งกลับมาที่หัวไหล่  หายใจออกคลายฝ่ามือไอร้อนวิ่งกลับไปที่
ฝ่ามือ) ไม่ต้องเร็ว  ช้าๆ
    หายใจออกความรู้สึกเมื่อคลายฝ่ามือเหมือนเราปล่อยพลังออกไปจากกลางฝ่ามือ  ไอร้อนก็วิ่งออกจากกลางฝ่ามือ  หายใจเข้าเหมือนกับดึงเอาไอร้อนกับไปอยู่ที่ๆตั้งคือหัวไหล่ แล้วกำฝ่ามือ  พร้อมหายใจเข้า     
ลองสลับกันไปมาดู เข้ากำมือ  ออกคลายมือ  ลองขยับดู  เมื่อรู้สึกหนักแขน เมื่อยแขนก็ลดแขนขวาลง  สูดลมหายใจเข้า ดึงไอร้อนกลับมาตั้งที่หัวไหล่แล้วลดแขน
คำสั่ง    สลับมาเป็นแขนซ้าย  ยกขึ้นในท่าเดิม  คืองอข้อศอกอยู่ในระดับหน้าอกหรือลิ้นปี่  หงายฝ่ามือซ้ายขึ้น  แล้วจับกลุ่มก้อนไอร้อนที่กลางฝ่ามือซ้ายเหมือนเดิม  เมื่อไอร้อนปรากฏคงที่แล้วค่อยๆยื่นมือซ้ายออกไปข้างหน้าเสมอไหล่ หายใจเข้ากำมือ  หายใจออกคลายมือ ให้ไอร้อนวิ่งเข้าวิ่งออกจากกลางฝ่ามือมาตั้งที่หัวไหล่  จากไหล่กลับไปที่ฝ่ามือ  ทำสลับกันอย่างนี้  ทำอย่างนี้คนจิตไม่ละเอียดจับไม่ได้ มันจะกลายเป็นความงุนงง  ความไม่เชื่อและไม่ศรัทธาก็จะเกิดขึ้น  คนจิตละเอียดก็จะจับสัมผัสสิ่งที่เป็นอยู่ในธรรมชาติของตัวเองได้  ความเชื่อความศรัทธาก็จะอุบัติขึ้น  เป็นความเชื่อความศรัทธาที่ประกอบไปด้วย สติและปัญญาเพราะรู้ชัดตามความเป็นจริงของตัวเองว่ามีสิ่งเหล่านี้จริงหรือไม่  ทำได้จริงหรือเปล่า
คำสั่ง    สูดลมหายใจเข้า ดึงไอร้อนกลับมาตั้งที่หัวไหล่แล้วลดแขนซ้ายลงข้างๆลำตัว  ปล่อยลมให้เป็นธรรมชาติ จิตจับไอร้อนจากหัวไหล่ขึ้นมาที่ข้างลำคอ กกหูด้านซ้าย  แล้วแผ่สร้านขยายออกไปที่หัวไหล่ขวา  กกหูด้านขวา  กลายเป็นมีไอร้อนปรากฏสองจุดอยู่ในกายคือซ้ายและขวา หลังกกหูด้านซ้าย  หลังกกหูด้านขวา  ต้นคอด้านซ้าย ต้นคอด้านขวา กะโหลกศีรษะด้านหลังซ้ายและขวา  มีไอร้อนปรากฏไหม  หลังต้นคอตึงไหม  บางคนจะรู้สึกมันเต้นตุบๆ แต่ไม่รำคาญ  ขึ้นมาที่กะโหลกศีรษะมารวมกันที่กลางกระหม่อม ความรู้สึกเหมือนเส้นผมมันลุกตั้ง มีไอร้อนพวยพุ่งขึ้น  ทำให้มันแผ่สร้านจากใจกลางกระหม่อมครอบคลุมไปทั้งศีรษะ  เหมือนกับเราโยนหินลงน้ำแล้วมันเกิดแรงกระเพื่อม มีม่านน้ำค่อยๆกระจายตัวออกเป็นวงกลมโดยรอบ  ไอร้อนครอบคลุมกระโหลกศีรษะไว้แล้วมารวมศูนย์กลางที่หน้าผาก  จากหน้าผากมาที่ระหว่างคิ้วสองข้าง  สันจมูก จมูก ปลายจมูก ริมฝีปากล่าง  กระจายขยายไปซ้ายและขวาของโหนกแก้มซ้าย-ขวา  ทำให้กล้ามเนื้อแก้มซ้ายและขวาผ่อนคลาย ไม่ตึงไม่เกร็ง  ไม่ต้องแบกไม่ต้องหามอารมณ์  วางแล้วว่างเบาสบาย
คำสั่ง    สูดลมหายใจเข้าลึกๆ  กว้าง ลึก เต็มรู้หายใจให้อิ่ม  หายใจออกเบาๆยาวๆผ่อนคลาย
คำสั่ง    กำหนดลมหายใจเข้าภาวนา สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
    หายใจออกภาวนาสัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์
    ให้คำภาวนาชัดเจน ให้ระลึกว่าสัตว์ทั้งปวงกำลังรอความช่วยเหลือจากเรา  จงให้บุญของเรากับเขาอย่างมีเมตตา  บริสุทธิ์ใจและจริงใจ  ไม่ใช่ท่องบ่นแต่ริมฝีปากแล้วขาดๆเกินๆ
คำสั่ง    ยกมือไหว้พระกัมมัฏฐานภาวนาว่าสาธุวันทากัมฐานังแล้วลืมตา  หายใจเข้าและออกอย่างผ่อนคลายแล้วนั่งลง
        ที่ฝึกนี่แม้นมันจะมีความรู้สึกเหมือนดั่งสมถะคือการเพ่งอารมณ์  แต่มันก็ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ มันประสมประสานไปด้วยสติ  ตัวรู้ชัดตามความเป็นจริงที่มีอยู่ในกายตน  เป็นบาทวิถีที่ตั้งแห่งปัญญา วันนี้ก็ทำได้ดี  แม้นานๆทำทีก็ยังมีสติตั้งมั่นได้ชั่วขณะหนึ่ง บุญร้อยแปดพันเก้าก็ไม่เท่าเจ้าทำวันนี้ ก็คือทำสติให้ตั้งมั่น  แม้เราจะสร้างพระเจดีย์มหาศาลก็ยังมีบุญน้อยกว่าการตั้งสติมั่น มีสมาธิปรากฏในจิตชั่วช้างกระดิกหูงูแลบลิ้น มีปัญญาปรากฏขณะฟ้าแลบสักแว๊บ ก็มีบุญมากกว่าการสร้างพระมหาเจดีย์ ถือว่าเป็นภาวนามัย
ที่เป็นบุญใหญ่  เป็นวาสนาที่เราสั่งสมอบรมแล้วเจริญขึ้นได้ มันก็จะกลายเป็นที่พึ่งพาอาศัยให้กับเราในปัจจุบันและอนาคตสืบไป