luangpoo

การแสดงธรรมประจำปี 2553 ณ สถาบันเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์

วันที่ 17 ตุลาคม 2553

ในหัวข้อเรื่อง "อำนาจที่แท้จริง"

อำนาจที่แท้จริงของใคร ของคุณ ของชั้น ของปวงชน ของประชาชน ของส.ส. ของส.ว. รัฐมนตรีนายก หรือไม่ก็ผู้บริหารบ้านเมือง ผู้บริหารชุมชน ตำบล อำเภอ จังหวัด ทั้งหมดมีอำนาจทั้งนั้นแหละ แล้วก็แสวงหาอำนาจกันทั้งนั้น แล้วก็ต้องการอำนาจทั้งนั้น แต่สุดท้ายอำนาจที่แสวงหา มันก็ไม่ได้ทำให้ตัวเองมีอำนาจที่แท้จริง เพราะมันมีอายุขัย ในความคิดของชั้น ชั้นถือว่า อำนาจเหล่านี้มีอายุขัย มันมีอายุขัย มีกาลเวลากำหนด แล้วมันก็มีข้อจำกัดในเรื่องบริษัทบริวาร เมื่อคืนชั้นเพิ่งจะตอบปัญหาเรื่องบารมี มีคนที่ใช้นามแฝงหรือนามตัวเองว่า คุณตี๋ ถามปัญหาว่า คำว่าบารมี โดยความหมายจริงๆ คืออะไร

ชั้นก็ตอบเค้าไปว่า ณ.วันนี้ คนมีบารมีคือ คนต้องมีปืน คนมีบารมีคือ คนต้องมีเงิน ต้องมีผู้คุ้มครอง ต้องมีอำนาจบาตรใหญ่ ต้องเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ แต่ถ้าเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า บารมีของคำสอนในพุทธธรรมก็ต้องบอกว่า ผู้มีบารมี คือผู้ที่ต้องทำดี ทำดี พูดดี คิดดี เป็นคนดีของตนเอง เป็นที่พึ่งพาอาศัยของคนอื่นได้ แล้วดีนั้นมันหลั่งไหลพรั่งพรูออกไปไหลเนืองนองออกไปยังผู้คนรอบข้างได้พึ่งพาอาศัยความดีนั้นๆได้ ก็จะเรียกว่าท่านผู้นั้นว่า เป็นผู้มีบารมี ก็คือ มีความดีให้เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ ก็คล้ายๆกับคนมีอำนาจหรือเปล่า ผู้มีอำนาจในปัจจุบันก็คิดว่า ตนเองจะต้องมีปืนมากๆหลายๆกระบอก มีมือปืนเลี้ยง มีซุ้มมือปืนมีบริวาร มีเงินทอง มีลูกไล่ มีลูกน้อง แล้วตัวเองก็เป็นเจ้านายใหญ่ แล้วก็ทำตัวเองเป็นช้างชูงวง ปูชูก้าม แล้วก็แสดงอวดอำนาจบาตรใหญ่ หรืออวดเดช อวดศักดา แต่อำนาจเหล่านี้มันมีอายุขัยนะคุณมนัส อายุขัยก็เท่ากับอายุขัยของการเงิน อายุขัยของมือปืน อายุขัยของวัตถุที่เรายึดถือเพื่อแสดงอำนาจ และแม้ที่สุดก็คืออายุขัยของคนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ

แต่อำนาจที่มันไม่มีอายุขัย อำนาจที่มันอยู่ยั่งยืนยาวนาน อำนาจที่เกิดขึ้นแล้ว มันไม่มีวันเสื่อมหรือว่าจะเสื่อมได้ยาก แล้วก็ผู้คนทั้งหลายก็ยอมรับโดนศิโรราบโดยดุษฎี โดยมอบกายถวายชีวิตก็คือ อำนาจที่เกิดจากศรัทธา อำนาจที่เกิดจากปัญญา อำนาจที่เกิดจากเมตตา อำนาจที่เกิดจากคุณงามความดี ดูตัวอย่างง่ายๆ เอาเป็นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านมีพระชนมายุเท่าไหร่ถึงวันนี้ คุณมนัสว่าอายุเท่าไหร่ พระศาสนานี้อายุเท่าไหร่แล้ว 2600 กว่าแล้ว 2600 กว่าปีแล้ว เราท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่นี่หรือที่รับชมรายการนี้ มีใครเคยเห็นหน้าพระพุทธเจ้าไม๊ มีใครเคยเป็นญาติสนิทสนมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า พระอรหันตเจ้าองค์นั้นบ้าง เราไม่เคยมีใครรู้จัก เคยพบ แม้ที่สุดเราก็ยังเดาไม่ได้ว่า หน้าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ได้แต่เชื่อกันว่าพระพุทธเจ้าหน้าตาเหมือนพระพุทธรูป แต่เราทำไมยังต้องมาไหว้พระพุทธรูปเป็นสัญญาลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ก็เพราะว่าพระองค์ทรงมีพระอำนาจ และอำนาจของพระองค์เป็นที่ยอมรับของปวงชน ของมหาชน ของคนทั้งโลกทั้งจักรวาล แม้แต่พรหม มารก็ยังบูชาเทิดทูน แล้วพระองค์มีอะไรเป็นอำนาจ พระองค์มีพระปัญญาธิคุณ มีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงมีพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ พระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ คือคุณงามความดี พูดเป็นภาษชาวบ้าน เป็นอำนาจของพระองค์ เพราะฉะนั้น อำนาจของพระองค์จึงยั่งยืนยาวนานถาวรตลอดกาลตลอดสมัย 2000 กว่าปี แม้ไม่มีใครรู้จักเลย ไม่มีใครเคยพบหน้าเจอะเจอพระองค์ แต่ก็อยากที่จะเข้าใกล้ อยากที่ไหว้เทิดทูนบูชา แม้อยากจะมอบกายถวายชีวิต

อำนาจอย่างนี้ต่างหากเล่า เป็นอำนาจที่แท้จริง เป็นอำนาจที่ยั่งยืนยาวนาน และเป็นอำนาจที่รังสรรค์ และสร้างเสริม ส่งเสริมสนับสนุนและทำให้คนมีความสุขสมบูรณ์ รุ่งเรือง เจริญแล้วก็ร่ำรวยไปด้วยคุณงามความดี แต่อำนาจที่มาจากการกดขี่ข่มเหง อำนาจที่ได้มาจากการจัดตั้ง การเลือกตั้ง การยัดเยียด แสดงอำนาจบาทใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจยุทโธปกรณ์ อำนาจเดชศักดาใดๆ ก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับอำนาจแห่งพระเมตตาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาคุณ

ที่จริงทุกคนมีสิทธิ์สร้างอำนาจอย่างนี้นะคุณ เหมือนเมื่อคืนนี้ก็มีคนถามชั้นเหมือนกันว่า ระหว่างพระโพธิสัตว์กับสรรพสัตว์ มีข้อเกิดแตกต่างกันอย่างไร มีแดนเกิด และที่เกิดแตกต่างกันอย่างไร ชั้นก็ตอบเค้าว่า แค่เมื่อใดที่คุณรู้จักที่อยากจะช่วยเหลือคนอื่น อยากจะอนุเคราะห์การุณคนอื่น อยากอุดหนุน อุปถัมภ์บำรุงดูแลคนอื่น ส่งเสริมคนอื่น เมื่อนั้นคุณเป็นพระมหาโพธิสัตว์ แต่ถ้าเมื่อใดคุณอยากจะเอาเปรียบ จิตใจคับแคบ ตระหนี่ และเห็นแก่ตัว คุณก็คือ สามัญสัตว์

เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์กับสามัญสัตว์ก็อยู่ในตัวเรา อำนาจบาทใหญ่ อำนาจที่ได้มาจากการเจริญบารมีธรรม ไม่ใช่บารมีในยุคปัจจุบันนะ เป็นบารมีธรรม เป็นบารมีที่ทำดี คิดดี พูดดี มันอยู่กับคนๆเดียว เมื่อใดที่คุณเลือกจะทำบารมีธรรม ทำดี คิดดี พูดดี คุณอาจจะสร้างบารมี สร้างอำนาจได้ แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณแสดงตน เป็นคนมีอำนาจบาทใหญ่ แสดงตนเป็นคนพูดไม่ดี ทำไม่ดี คิดอัปรีย์ แม้คุณจะพยายามสร้างอำนาจมากมายซักเท่าไร แสดงอำนาจบาทใหญ่มากมายขนาดไหน คุณก็อาจรักษาอำนาจนั้นได้อย่างไม่ยั่งยืนยาวนาน บางทีบางครั้งอาจจะไม่ต้องรอตัวเองตาย แค่ชั่วข้ามชั่วคืน ชั่วเผลอ อำนาจนั้นก็อาจเลือนหายไปได้ เรียกว่า อำนาจแบบช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง เป็นอำนาจที่เกิดจากการต่อรอง การจัดตั้ง จากการสดงอำนาจบาทใหญ่

เพราะฉะนั้น ถ้าเราปรารถนาที่จะเป็นผู้มีอำนาจจริงๆ ไม่ยากอะไร แค่ทำตัวเองให้รู้สึกศรัทธาในตัวเองให้ได้ก่อน บูชาตัวเองให้ได้ ไหว้ตัวเองให้ได้ ยอมรับตัวเองให้ได้ แล้วก็ 2 ขาแข็งแรง 2 มือทำได้ 1 ตัวตั้งมั่น 1 หัวคิดออก แล้วก็คิดแต่เรื่องดีๆ เหล่านี้เป็นกระบวนการสั่งสมอำนาจทั้งนั้น เพราะเมื่อใดที่เราไหว้ตัวเองได้ บูชาตัวเองถูก ยอมรับตัวเองสนิท ก็เป็นการทำให้ตัวเองเชื่อมั่นตัวเอง และก็เป็นการสร้างอำนาจต่อรองให้กับตัวเอง อะไรที่จะเป็นเรื่องไม่งดงาม ไม่ดีงาม ไม่ถูกต้อง มีแต่เรื่องบกพร่อง เราก็จะต่อรองได้ เราก็จะขัดเกลา เลือกสรร คัดแยก แล้วก็แจกแจงได้อย่างเหมาะสม ชนิดที่ตรงต่อเป้าประสงค์และชัดเจน แล้วเราก็จะทำแต่สิ่งที่งดงามอย่างยั่งยืนยาวนานและถาวร

เพราะฉะนั้นรวมๆสรุป อำนาจที่ยั่งยืนจริงๆ วิเศษจริงๆและถาวรจริงๆ มีอายุขัยยาวนานอย่างแท้จริงก็คืออำนาจที่ได้จากการทำดี พูดดี คิดดี เกิดจากตัวเราก่อน แล้วเมื่อเราทำจนกลายเป็นที่ยอมรับของตัวเองแล้วคนอื่นพึ่งพาอาศัยความดีของเราได้ เมื่อนั้นเราก็กลายเป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้มีอำนาจอย่างมั่นคง และรุ่งเรืองเจริญยิ่ง ทำดีมากขึ้น เจริญมากขึ้น เราก็ยิ่งมีอำนาจมากขึ้น เหมือนกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครู่นี้พวกคุณได้ฟังวิธีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ ทรงพระราชดำริ ทรงงานเพื่อความสุขของอานาประชาราษฎร์ของพระองค์ เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยามด้วยทศพิธราชธรรมที่พระองค์ทรงลงมือประพฤติปฏิบัติอย่างแท้จริง ทำให้พระองค์ทรงมีอำนาจในหัวใจคนไทยทุกคน แม้แต่คนทั้งโลกก็ยังยอมรับยกย่องพระองค์ เป็นเจ้าเหนือเจ้า เรียกว่า king of the king ก็คือ เป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่เหนือเจ้าทั้งปวง เป็นราชาที่เหนือราชาทั้งปวง อย่างนี้เรียกว่าต้นแบบแห่งการสร้างอำนาจจริงๆ ซึ่งเราอาจจะไปย้อนตามดูพระผู้มีพระภาคเจ้าคงไม่ทันแล้ว แต่เราสามารถย้อนตามดูอัตตชีวประวัติ พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้ว่า วิธีสร้างอำนาจอย่างเที่ยงแท้ ยั่งยืนยาวนานและอย่างมั่นคงถาวรในพระราชกรณียกิจ ในผลงานของพระองค์ ในวิธีทรงดำริ ทรงริเริ่ม ทรงงานของพระองค์ ทำให้เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนคนในชาติมากน้อยแค่ไหนอย่างไร

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ชั้นอยากจะบอกพวกคุณว่า การจะมีอำนาจอย่างยั่งยืนถาวรนั้นก็คือ ต้องพึ่งตัวเองให้ได้ เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้อย่างชนิดที่จริงใจ ตั้งใจ จริงใจ แล้วก็บริสุทธิ์ใจ

จริงใจ ตั้งใจ จริงจัง แล้วก็บริสุทธิ์ใจ นั่นคือ กระบวนการสร้างอำนาจให้กับตัวเอง

คุณมนัส ถ้าอย่างนั้น คนเราทุกคนเกิดมา อำนาจเท่ากันไม๊ครับ

หลวงปู่ เกิดมาครั้งแรก ก็อำนาจเท่ากัน แต่มันจะต่างกันตรงที่จะทำหรือไม่ทำ มันก็มีกระบวนการข้างหลังอยู่อีกอย่างหนึ่ง ที่จะสั่งสมอบรมทำให้อำนาจปัจจุบันรุ่งเรือง เจริญ หรือไม่รุ่งเรือง เจริญเหมือนกันนะ ที่เค้าเรียกกันว่า อดีตกรรม คือผลแห่งกรรมในอดีตของตน ก็เป็นฐานอย่างหนึ่งในการที่จะเกื้อหนุนให้ตนเป็นผู้มีอำนาจรุ่งเรืองเจริญ หรือว่า เสื่อมทรามลง ตัวอย่างเช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านเป็นผู้ทรงพระราชอำนาจ แล้วก็ทรงทศพิธราชธรรม นั่นเป็นเพราะพระองค์ทรงมีมหากุศลกรรมดีมาแล้วแต่อดีต เรียกว่ามีบุพเพกตบุญตา คือ ทำดีมาแล้วแต่อดีต คือได้เกิดเป็นพระราชา มหากษัตริย์ ทรงได้เกิดเป็นพระราชา มหากษัตริย์แล้วถามว่า ราชาทุกพระองค์มีพระราชอำนาจ พระราชกรณียกิจเป็นที่ยอมรับของชาวโลกได้อย่างนี้หรือไม่ ก็ไม่ทุกพระองค์ เพราะบ้านเมืองเรา ก็มีราชาตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ราชวงศ์จักรี ราชวงศ์ปราสาททอง ก็มีพระราชา พระมหากษัตริย์มากมาย แต่เรารู้จักพระราชาสักกี่องค์ในราชวงค์ต่างๆ เราบูชา ยอมรับ เทิดทูนเคารพ นบนอบ มอบกายถวายชีวิตพระราชาเหล่านั้นสักกี่องค์ นั่นเป็นเพราะว่า เราจะมารอหวังพึ่งบุพเพกตบุญตา คือความดีที่ทำมาแล้วแต่กาลก่อนอย่างเดียวโดยไม่ทำความดีใหม่บ้างเลยก็คงจะไม่ได้ เพราะด้วยเหตุผลว่า รอบุญเก่าแล้วบุญใหม่ไม่ยอมทำ รอจะกินอำนาจเก่า อำนาจใหม่ไม่ยอมสั่งสม รอจะกินบารมีเก่า บารมีใหม่ไม่ยอมเพิ่มพูน มันก็คงจะไม่เหลืออะไร

เพราะฉะนั้นมันมีเหตุ มีปัจจัยเหมือนกัน ไม่ใช่เกิดมาแล้วจะมีอำนาจเท่ากันหมด ทั้งหมดไม่จริงแท้เสมอ มันขึ้นอยู่กับว่า ท่านผู้นั้น จะทำอะไร จะเลือกอะไร จะคิดอะไร แล้วจะรังสรรค์ให้เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษอย่างไรต่อชีวิตตนและคนรอบข้าง สรุปแล้ว ก็คือ มาจากตัวเองนั่นแหละ มาจากสติปัญญา ความรู้ความสามารถและวิธีทำ พูด คิดของตน จบ

คุณมนัส     ถ้าหัวข้อวันนี้ว่า อำนาจที่แท้จริง แสดงว่ามันต้องมีอำนาจเทียมควบคู่ไปด้วย

หลวงปู่     คุณว่าชั้นเป็นคนมีอำนาจไม๊     คุณมนัส   มีครับ

หวงปู่   จริงง่ะ คุณมนัส   จริงครับ   หลวงปู่   ดูตรงไหน

คุณมนัส   วัดอ้อน้อยนี่ไม่ใช่ธรรมดานะครับ

หลวงปู่หัวเราะ   มันเกี่ยวอะไรกับวัดอ้อน้อย

คุณมนัส   ปฏิทินหลวงปู่นี่ไม่ธรรมดา

หลวงปู่   ชั้นถามว่า ตัวชั้น ไม่ใช่วัดอ้อน้อย ลองวิจารณ์ให้ฟัง คุณถามชั้นมาเยอะแล้ว ชั้นถามคุณบ้าง

ผลัดกันเล่น

คุณมนัส   อำนาจกับบารมี ผมว่า มันเป็นคำที่ใกล้กันมาก

หลวงปู่   อย่าเฉไฉ

คุณมนัส   ผมโยงไปว่า อำนาจของหลวงปู่ก็เหมือนกับบารมีของท่านนั่นแหละนะครับ ไม่งั้น

วันนี้ต่อให้จัดงานขึ้น ไม่ใช่ที่นี่ หรือให้ไกลไปจากนี่ก็ตาม คงไม่มีคนไป

หลวงปู่   นี่ก็ยังไม่ค่อยมีคนมา ไปเสื้อแดงกันหมด

คุณมนัส   ถ้าเสื้อแดงมานี่ อำนาจจะล้นเลยครับ

หลวงปู่   คุณว่าชั้นมีอำนาจตรงไหน

คุณมนัส   ผมว่าอำนาจของหลวงปู่เกิดจากคำสอนของหลวงปู่ แล้วก็แนวปฏิบัติของหลวงปู่ที่ออกมา มันก็เลยกลายเป็นพระเดชพระคุณ จนถึงขณะนี้ที่มีลูกศิษย์เยอะแล้วก็มีรายการก็เยอะ งานท่านก็ไม่ใช่น้อย ไม่ต้องบอก ผมว่าน่าจะศรัทธาที่ท่านสร้างขึ้นมาจากตัวท่านเอง

หลวงปู่   ขอทานก็มีงานเยอะนะ เพราะเมื่อใดที่ไม่มีงานก็ต้องอดนะ

คุณมนัส   สร้างฐานะครับ

หลวงปู่   เอาใครคิดว่าชั้นมีอำนาจ ลองยกมือให้ดูหน่อยซิ เหรอ เอาใจหรือเปล่าเนี่ย ใครคิดว่าชั้นเป็นคนไม่มีอำนาจเลย ยกมือให้ดูหน่อยซิ   ทำไม

คุณมนัส   มีครับ มีแม่ชีรูปหนึ่ง ด้านหน้าบอกไม่มีเลย

หลวงปู่   ไม่มีอำนาจเลยเพราะอะไร   มีไม๊ เอามี

คุณมนัส มี 2 ท่าน อีกท่านอยู่ทางโน้น ยกมือ

หลวงปู่   ลองอธิบายความหมายให้ฟังหน่อยว่า ระหว่างมีอำนาจกับไม่มีอำนาจ จะได้เข้าใจความคิดของคนฟังว่า ที่เราพูดมานี่ คุณเข้าใจในระดับใด แล้ววิธีเข้าใจของคุณ มันใกล้เคียงกับสิ่งที่เราเข้าใจหรือว่า แตกต่างจากสิ่งที่เราเข้าใจ เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ คุณว่าดีไม๊ คุณมนัส ลองดำเนินนโยบาย เพราะว่า กระบวนการเสวนานี่ไม่ใช่พูดคนเดียว มันต้องร่วมกันพูด เพราะทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ก็มีกระบวนการเสวนา คือ มีส่วนในการเสวนา เออ เห็นไม๊ ใครว่าชั้นมีอำนาจ สั่งไม(โครโฟน)ยังไม่ดังเลย

คุณมนัส   งั้น เดี๋ยวผมมีอำนาจ ผมเดินไมมาเอง

หลวงปู่   เพราะคนมีอำนาจนี่ แม้ไมก็ยังดัง

แม่ชี   กราบนมัสการพระอาจารย์ เจ้าค่ะ และกราบนมัสการพระคุณเจ้า โดยความเห็นของคำถาม มันต้องแยกเป็นตัวบุคคล พระอาจารย์ไม่มีอำนาจ แต่ท่านพระอาจารย์มีบารมีธรรม ซึ่งสูงกว่าอำนาจ และเป็นบารมีที่จะยังคงอยู่ในทุกๆ ศาสนา ทั้งในแง่ของการทำนุบำรุง ไม่ว่าจะในแง่ของศาสนาหรือบุคคล

หลวงปู่ ฟังไม่รู้เรื่องเลย เสียงมันเบาหรือเปล่า

คุณมนัส มีอีกท่านเสื้อสีชมพู ผมตาไม่ฝาด ไม่มีไม่เป็นไร มีทางด้านนี้อยู่ ฟังเหมือนกัน รับรู้คิดตามมาแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นวันนี้ คิดแตกต่างและแตกแยกได้เช่นเดียวกัน

หลวงปู่ ในหัวข้อว่าชั้นมีอำนาจไม๊

คนฟัง   กระผมปลื้มใจตั้งแต่แรก หลวงปู่มีบารมีมากครับ และบารมีสำคัญกว่าอำนาจ อำนาจมันชั่วได้ เช่นนักการเมือง แต่หลวงปู่มีบารมีสูงส่งครับ เป็นพระโพธิสัตว์ ผมศรัทธาเลื่อมใสมากที่สุดในพระสงฆ์ยุคปัจจุบัน มีแต่ลัทธิ นอกจากหลวงปู่ที่ผมนับถือมากครับ

คุณมนัส อีกท่านครับ

คนฟัง   ขอกราบนมัสการหลวงปู่ก่อนค่ะ หลวงปู่ไม่ได้มีอำนาจ หลวงปู่มีบารมี ทำความดีมาเยอะ เพราะฉะนั้น บารมีต้องสูงกว่าอำนาจ

หลวงปู่   ชั้นขอชี้แจงเรื่องนี้ให้เกิดความเข้าใจทั่ว เพื่อจะได้เป็นภูมิความรู้สืบไป

            วิถีในการได้มาซึ่งอำนาจ มันมีอยู่ 2 ลักษณะใหญ่ คือ

  1. คือลักษณะการทำดี พูดดี คิดดี จนความดีนั้นกลายเป็นที่พึ่งของตนและคนอื่นได้ เมื่อดีมันเป็นที่ยอมรับของมหาชนคนทั้งหลานได้แล้ว ท่านผู้นั้นก็จะใช้ความดีอันนั้น หรือว่า ใช้กระบวนคิดก็ตาม พูดก็ตาม ทำก็ตาม นำพามหาชนคนที่เชื่อในบารมีนั้น ทำ พูด คิดตามตน ลักษณะอย่างนี้ เค้าเรียกว่า ผู้มีอำนาจบารมี
  2. ในอีกวิถีหนึ่งก็คือ คนที่มีหน้าที่ วิถีแห่งหน้าที่ที่จะต้องรับภาระ ธุระ อาจจะเป็นข้าราชการ นักปกครอง เป็นผู้มีอำนาจบริหารบริวารของตน เป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่อะไรก็แล้วแต่ อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคำว่า บารมี แต่มีอำนาจในการบริหาร การจัดการ สั่งการตามกระบวนตัวบทกฎหมาย ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี วัฒนธรรมที่เชื่อถือและยึดถือสืบๆ กันมา นี่คือ กระบวนการบริหารจัดการและทำให้เกิดอำนาจ หรือการใช้อำนาจ

เพราะงั้น อำนาจที่เราคุยกันในเวลานี้ ชั้นถามกลับพวกคุณไปว่าชั้นมีอำนาจไม๊ ก็เพราะว่า ชั้นอยากจะเห็น หรืออยากดูว่า พวกคุณดูว่าชั้นเป็นคนมีอำนาจอย่างไร ถ้ามีอำนาจในฐานะที่ชั้นมีภาระกรรม มีหน้าที่ มีตำแหน่ง มียศถาบรรดาศักดิ์ หรือมีวิถีทางในการบริหารการจัดการตามภาระกรรม หน้าที่ ยศถาบรรดาศักดิ์ของตน ชั้นเป็นคนไม่มี แล้วนอกจากไม่มีแล้ว ก็จะปฏิเสธมันอยู่เนืองๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะไม่เชื่อ แล้วก็ไม่ชอบในอำนาจเหล่านี้

แต่ชั้นจะเชื่อและชอบอำนาจที่ได้มาจากการสร้างบารมี อำนาจที่ได้จากการทำดี พูดดี คิดดี แล้วความดีนั้นเป็นที่พึ่งของตนและคนอื่นได้ จบ

คนอื่นได้พึ่งพาอาศัยความดีนั้นๆ จนเป็นที่ยอมรับ แล้วถึงเวลาทำ พูด คิดอะไร ก็ตามชั้นได้ ชั้นพูดอะไร ชั้นทำอะไร ชั้นคิดอะไร คนเหล่านั้นก็จะทำตาม พูดตาม คิดตาม

ลักษณะอย่างนี้เค้าเรียกว่า ผู้มีอำนาจบารมี หรือ บารมีอำนาจ ที่จริงมันต้องมีคำว่าบารมีมาก่อนอำนาจ แต่ถ้าในมุมกลับกัน ถ้าใช้คำว่า อำนาจบารมี นั่นมันหมายถึง ต้องเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่หล่ะ เป็นคนที่ต้องมียศถาบรรดาศักดิ์ มีอำนาจบาตใหญ่ มีทรัพย์สินเงินทอง ทั้งบริวาร มือปืน หรือไม่ก็ต้องทรงอิทธิพล หรือมีเรียกว่า มีหน้าที่ภาระกรรมที่ต้องบริหารจัดการ เค้าจะใช้คำว่า อำนาจบารมี ใช้อำนาจของตนเป็นการสร้างบารมี แต่สำหรับคนที่เป็นคนสร้างบารมี ส่วนจะเกิดอำนาจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะเชื่อชั้นหรือเปล่า เหมือนกับที่บอกเมื่อครู่นี้ว่า ชั้นเป็นคนมีอำนาจจริงอย่างนั้นก็ต้องสั่งไม(โครโฟน)ได้ แสดงว่าชั้นเป็นคนไม่มีอำนาจจริง ชั้นสั่งไมไม่ได้ แต่ในมุมกลับกัน อาจจะเป็นท่านอธิการบดี ท่านเจ้าของสถานที่ ไม่รู้เค้ามีบารมีหรือเปล่า แต่ถ้าไมดับสั่งได้ อย่างนี้เค้าเรียกว่า เป็นคนมีอำนาจ จบ

อำนาจที่สง่างาม มันต้องมาวิจารณ์ว่า สง่างามแล้วต้องไม่แลกได้แลกเสีย สง่างามต้องไม่มีคำว่า แลกเปลี่ยน มันต้องสร้างจากเม็ดทรายไปสู่ก้อนหิน จากก้อนหินไปสู่ภูเขา จากภูเขาไปเป็นยอดเขา คือมันค่อยๆก่อร่างสร้างตัวทีละเล็กทีละน้อย จากเม็ดทรายเล็กๆ แล้วตกผลึกแน่น จนเป็นก้อนหิน จาก้อนหินกลายเป็นเนินเขา จากเนินเขากลายเป็นภูเขา แล้วก็ยอดเขา นั่นเค้าเรียกว่า สง่างาม สร้างจากลำแข้งไง 2 ขา 2 แขนของตัวเอง แต่ ณ.วันนี้นี่ ที่มันเกิดขึ้นในสังคมแผ่นดินไทย มันมีอำนาจไหนบ้างที่มันสง่างาม มันต้องแลกมาทั้งนั้น มันต้องมีแลกได้แลกเสีย แลกเปลี่ยนมาทั้งนั้น มันเลยใช้คำว่าสง่างามไม่ได้ เหมือนกับคำว่า ผู้มีบารมีก็ใช้ไม่ได้ ถ้าถามว่าจะใช้ได้ ก็เป็นบารมีของโจร บารมีของคนที่ปล้นสดมภ์ บารมีของคนที่เอารัดเอาเปรียบ แต่ถ้าผู้มีบารมีตามหลักพุทธพจน์ ตามหลักพระธรรมวินัยพุทธศาสนาแล้ว ก็ต้องถือว่า มันมีแล้วให้ แล้วแบ่งปัน มีแล้วการุณ มีแล้วอุปถัมภ์บำรุง แล้วเป็นที่พึ่งอาศัยทั้งตนและคนรอบข้าง อย่างนี้เค้าเรียกว่าผู้มีบารมี แต่ผู้มีบารมีในยุคปัจจุบัน มีแล้วไม่ให้ แต่แถม ยังได้ก็ดี ยังอยากได้เพิ่มพูนขึ้น จะเรียกว่า บารมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ เค้าอาจจะไปสร้างบารมีในเรื่องอื่นๆ ก็ได้ เราก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเค้า

แสดงว่าอำนาจบารมี หรือบารมีอำนาจที่สง่างามยังไม่เคยเห็น มันเห็นแบบประมาณว่าที่พัฒนามาจากธุลีดินจนกลายเป็นภูเขามหึมายังไม่เคยเห็น มีแจ่อยู่ดีๆ ก็มาปั้นเป็นลูกหิน

แม้แต่กระบวนการสร้างบารมีที่เค้าเรียกว่า ศรัทธา เราคงไม่ปฏิเสธในความเป็นจริงว่า มันก็มีกระบวนการลงทุนนะ เหมือนอย่างที่มีข้อมูลในฐานะที่ชั้นเคยเป็นนักปกครองเก่าแล้วเป็นเจ้าคณะปกครองเก่า ทำให้เราได้รู้ตื้นลึกหนาบางของวัดวาอารามและคณะสงฆ์ เค้าก็ยังมีการสร้างโปรโมทตัวเอง ลงทุนจ้างสื่อ ลงทุนจ้างเซลล์ ทำการตลาดเพื่ออะไร ก็เพื่อสร้างอำนาจ สร้างการต่อรอง สร้างบารมีก็แล้วแต่เค้าจะเรียก บางวัดนี่เค้าลงทุนเป็นหลายๆ แสนบาท จ้างนักบริหารจัดการเรื่องโปรโมชั่นตัวเอง ทำให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับของคนอื่นๆ แล้วก็เรียกตัวเองว่า เป็นผู้วิเศษ เค้ามีเยอะแยะ

เพราะฉะนั้น ชั้นถึงได้บอกว่า ชั้นยังไม่เคยเห็นกับคำว่า อำนาจบารมีบริสุทธิ์ อำนาจที่มันสง่างาม ยังไม่เคยเห็น เราจะเห็นว่ามันมีอะไรที่มันต้องแลกได้แลกเสียอยู่เนืองๆตลอดเวลา แม้แต่วัดชั้นเองก็เหมือนกัน คุณรู้จักชั้นก็เพราะชั้นลงทุน

คุณมนัส   กำลังจะถาม

หลวงปู่ ใช่ เพราะชั้นต้องลงทุนอะไร ลงทุนก็คือ ต้องจ่ายค่า ไม่ใช่โฆษณาตัวเองนะ แต่จ่ายค่าเผยแพร่ธรรม ผลิตรายการธรรมะ คุณรู้ไม๊ เดือนนึง 300,000 กว่า แล้วจ่ายมา ถามว่าปีสองปีเหรอ เป็นสิบปี แล้วคุณรู้จักชั้นมาทางสื่อโทรทัศน์มากี่ปีแล้ว มันก็ต้องมีกระบวนการลงทุน แต่เผอิญวิธีการลงทุนของชั้น ไม่ใช่ลงทุนเพื่อโปรโมทตัวเอง แต่เป็นการลงทุนเพื่อจะให้คนทั้งหลายได้เข้าถึงพุทธิปัญญา พุทธธรรม เข้าถึงสภาวะธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่ลงทุนเพื่อจะโปรโมทตัวเอง หรือโปรโมชั่นตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของใคร

ถ้าจะลงทุนแล้วมีคนสามารถที่จะแสดงธรรม แสดงปัญญาให้คนฟังแล้วรู้เรื่อง รู้จัก เข้าใจ วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็นได้ ก็ยินดีที่จะทำอย่างนั้น เพราะมีความรู้สึกว่า นี่คือ วิธีหนึ่งที่จะเอาธรรมะเข้าไปสู่เรือน สู่ครัวเรือนของพุทธบริษัท ของศาสนิกชน ของคนที่ควรต่อการจะได้รับรู้ และซึมซับสัมผัส แล้วก็เสพสิ่งที่มันเป็นกุศล และความงดงามของจิตวิญญาณให้มันมีความก่ำกึ่ง คู่คี่กับการเสพสิ่งที่เป็นอกุศล และความเลวทรามของจิตวิญญาณ เพื่อมันจะได้balance กันในการดำรงอยู่ ทำ พูด คิด ก็จะได้ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ หรือเบียดเบียนใครให้เดือดร้อนเกินไป

เพราะงั้นชั้นเองก็ยังตะขิดตะขวงใจว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าเนี่ย จะแสดง เวลาจะสื่อออกไป มันจะต้องลงทุนนะ คุณรู้จักฟังธรรมะตามสื่อโทรทัศน์ ค่าจัดผลิตรายการ เดือนนึงไม่ใช่ถูกๆ นะคุณ ไม่ใช่ถูกๆ ก็บอกแล้วเดือนนึง 300,000 กว่าบาท เพราะงั้นมันก็เป็นอะไรที่รู้สึกว่า เอ้ เราไม่ได้อยากโปรโมทตัวเอง แต่เราอยากให้คนฟังธรรม แต่วิธีแสดงธรรมนั้น มันก็ไม่พ้นที่จะต้องเอาตัวเองเข้าไป เข้าไปเพื่อแสดง เป็นไปได้ไม๊ที่จะให้ผนังกำแพงแสดงธรรม เสาไฟฟ้าแสดงธรรม ให้ต้นไม้แสดงธรรม เราก็พยายามที่จะทำ แต่มันก็ไม่วายต้องลงทุนอยู่ดี เขียนพุทธพจน์ไปติดเสาไฟฟ้า ใช้ตังไม๊ ใช้คุณ ชั้นเคยเขียนไว้ อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ตามเสาไฟฟ้าของอำเภอกำแพงแสน ติดวันนี้ พรุ่งนี้มันถอด เอ้า เราก็ไม่เบื่อที่จะติด สมัยอบรมพระกรรมฐาน ชั้นลงทุนไป 500,000 กว่าบาท ให้ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์เป็นคำสอนสั้นๆ ที่ได้ใจความ เช่น เพชรแท้ๆ ไม่กลัวการเจียรไน ทองแท้ๆ ไม่กลัวการเผาไฟ เหล็กแท้ๆ ไม่กลัวการทุบตี คนดีแท้ๆ ไม่กลัวการพิสูจน์ แล้วเอาไปติดตามกำแพงวัด ติดเดี๋ยวมันก็มาฉีกทิ้งอะไรอย่างนี้ ลงทุน

เพราะฉะนั้นมันเป็นอะไรที่มันแม้เราพยายามที่จะยัดเยียดพุทธธรรม ชั้นไม่ได้หวังหรอกว่า คนจะอ่านร้อย แค่หนึ่งในร้อยได้อ่านได้ศึกษา แล้วก็ได้ทำมันจริงๆ จังๆ มันก็กำไรเกินคุ้มแล้ว ชั้นหวังแค่นั้นแหละ เพราะงั้น ชั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันจะไม่สง่างาม เพราะว่าถ้าจะสง่างามจริงๆ มันต้องไม่ลงทุนอะไรเลย แล้วถึงเวลาผู้มีศรัทธาก็มาแสวงหาพุทธธรรม แล้วก็ถึงเวลา เราก็แสดงธรรม แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ สมัยนี้ก็ยิ่งไม่ได้ มันจำเป็นจะต้องลงทุน

เผอิญชั้นเป็นคนที่ไม่เคยขาดทุน มีแต่ชั่วชีวิตมีกำไรตลอด เพราะทุกวันนี้ก็กำไรลมหายใจ กำไรอายุขัย กำไรความรู้ กำไรสติปัญญา เพราะออกจากท้องแม่นี่ ชั้นไม่ใช่ตัวเท่านี้ ถึงวันนี้ชั้นก็กำไรตั้งเยอะแล้ว แล้วก็กำไรอายุขัย แถมกำไรหนังเหี่ยวๆ เพิ่ม ตามันฟางเพิ่ม สิ่งเหล่านี้มันกำไรทั้งนั้น กำไรที่เราต้องบริหารมันให้เกิดกำไร มากมูลมากขึ้น หรือเพิ่มพูนให้เยอะขึ้น ชีวิตชั้นก็เลยเป็นคนไม่มีขาดทุน มีแต่กำไร เพราะกำไรน้ำหนัก เพราะเดี๋ยวสักครู่ เดี๋ยวหลวงปู่ต้องฉันเพล นี่ก็กำไรอีกแล้ว

นี่จะหมดเวลาแล้วเหรอ ไม่เป็นไร ยังได้เวลาอีก 10 นาที

คุณมนัส   ผมเกิดคำถามขึ้นมาว่า ถ้าอย่างนั้นเราพอจะแยกในเบื้ยงต้นออกได้เป็น 2 อำนาจ คือ

  1. อำนาจทางโลก

2     อำนาจทางธรรม

ทุกคนจำเป็นเสมอไปไม๊ว่า ต้องเข้าสู่อำนาจทางธรรมเป็น % หรือสัดส่วนมากกว่าอำนาจทางโลก

หลวงปู่     ผู้มีอำนาจทางโลกมันจะเมา จะมัวเมา จะประมาท แล้วก็จะลืมตัว จะขาดสติ ผู้มีอำนาจทางธรรมจะสงบเป็นสุขสบาย และผ่อนคลาย มันจะแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น ถ้าคนที่แสวงหาอำนาจทางโลกแล้วปฏิเสธอำนาจทางธรรม สุดท้ายเค้าก็จะตายเพราะแสวงหาอำนาจของตัวเอง แล้วก็ถึงคำว่า วิบัติ ฉิบหาย เพราะอำนาจของตัวเองซึ่งเราก็มีต้นแบบเยอะแยะมากมายให้เห็นกับคนที่เมาอำนาจ บ้าอำนาจ แสวงหาอำนาจแล้วก็ต้องการอำนาจ ยื้อแย่งอำนาจ แล้วสุดท้ายก็ตายเพราะอำนาจ วิบัติฉิบหาย เพราะอำนาจที่ตนแสวงหา และยื้อแย่งต้องการมา แต่ในมุมกลับกัน อำนาจทางธรรม ผู้ที่มีอำนาจทางธรรม ยิ่งมีก็ยิ่งสงบเย็น ยิ่งมีก็ยิ่งมีความสุขสมบูรณ์ ยิ่งมีก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อคนชนทั้งหลาย เพราะอำนาจทางธรรมไม่มีข้อเสียหายกับผู้เป็นเจ้าของอำนาจนั้นๆ แต่อำนาจทางโลก เมื่อเกิดกับใคร และปฏิเสธอำนาจในทางธรรมทันทีทันใด ก็แสดงว่า ต้องให้มองไว้ให้ได้เลย เอาปูนหมายหัวไว้แล้วต้องคิดกาหัวไว้ว่า ต้องฉิบหายเพราะอำนาจที่เค้ามี เพราะเค้าจะบริหารจัดการความอยากและอำนาจที่มีไม่ได้ดีเท่าที่ควร แล้วสุดท้ายก็โดยอำนาจเข้ามาประหัตประหารตัวเอง แล้วก็ต้องตายเพราะอำนาจของตัวเอง

คุณเคยได้ยินคำว่า บ้าอำนาจไม๊ นั่นแหละ ประมาณนั้นล่ะ

ปุจฉา ในเมื่อรู้ว่า อำนาจมันไม่ดี แล้วยังเสพเข้าไปทำไม

คุณมนัส   เป็นคำถามโลกแตกเหมือนกันนะครับ

วิสัชนา     ไม่โลกแตกเลย เมื่อกี้ชั้นนั่งเขียนอยู่เนี่ย ฟังหน่อยก็ดี

เพราะไม่รู้ไง จึงเกิดการปรุง

เพราะการปรุง จึงทำให้เกิดรับรู้

เพราะรับรู้ ทำให้เกิดกายและใจ

เพราะกายใจมี จึงเกิดแดนต่ออารมณ์ ที่เรียกว่า ตา หู จมูก ลิ้น

เพราะมีแดนต่ออารมณ์ จึงทำให้เกิดความรู้สึก

เพราะมีความรู้สึก จึงทำให้เกิดความอยาก

เพราะมีความอยาก จึงทำให้เกิดความยึดถือ

และเพราะมีความยึดถือ   จึงทำให้เกิดภพ

เพราะมีภพ จึงทำให้เกิดชาติ

เพราะมีชาติ จึงทำให้เกิดพยาธิ และชรา

เพราะมีพยาธิและชรา จึงทำให้เกิดมรณะ

และเพราะมีมรณะที่ได้จากความไม่รู้และความโง่ จึงเวียนกลับสู่จุดเดิม ก็หมุนเวียนอยู่อย่างนี้สืบเนื่องไปเรื่อยๆ เป็นชาติ เป็นภพ เป็นหน้าที่ เป็นกำนัน เป็นผู้ใหญ่บ้าน อบต อบจ สส สว เป็นสารพัด ก็เพราะสิ่งเหล่านี้

เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะมีอำนาจหรือไม่มีอำนาจ ถ้าเมื่อใดที่คุณยังมีความโง่เขลา พูดง่ายๆ คือมีความไม่รู้หรืออวิชชาอยู่ คุณก็จะเป็นผู้ที่หลงอยู่ในทุกสิ่ง แม้ที่สุดในอำนาจของตน จบ

คุณมนัส   ถ้าเกิดจากความอยาก

หลวงปู่   เกิดจากความโง่ ชั้นเคยเขียนบทโศลกไว้ว่า

ลูกรัก คนฉลาดใช้กิเลส มีแต่คนโง่ที่โดนกิเลสใช้

คุณมานั่งตรงนี้ก็มีกิเลส แต่เราก็บริหารกิเลสให้มันแสวงหาสิ่งที่งดงามให้แก่จิตวิญญาณของตน แตถ้าไม่รู้จักแสวงหากิเลส ก็ต้องไปแรลลี่สีแดง

คุณมนัส   ย้อนยุคมาก

หลวงปู่   ไม่ใช่ย้อน เค้าเรียกว่า ทันยุค ไปแรลลี่ ตอนมาเห็นเค้ากำลังตั้งขบวนกันอยู่ นี่เค้าเรียกว่า ไม่รู้จักแสวงหา คือ ไม่รู้จักบริหารกิเลส พอไม่รู้จักบริหาร มันก็จะมาทำร้ายตน ทำลายคนอื่น ทำลายเวลา เผาเวลาให้ทิ้ง ถ้าถามไปว่า มันได้ประโยชน์อะไร ถามว่า ถ้าคุณใส่เสื้อแดง ไปแรลลี่กับเค้า กับกลับมานั่งตรงนี้ ระหว่างที่นี่กับแรลลี่สีแดง อันไหนได้ประโยชน์ หา   แรลลี่ คือไปทัวร์กับเค้า กับมาที่นี่ อันไหนได้ประโยชน์ มาที่นี่ได้ประโยชน์แล้วทำไมมันเหลือแค่นี้ ก็เพราะว่าคนมีปัญญาจริงๆ มันมีน้อยกว่าคนไม่มีปัญญาในโลกใบนี้ไง

คุณมนัส   คือคนที่เค้าไม่มา เค้าบอกว่า มันมันต่างกัน สนองกิเลสภายนอก แต่มาที่นี่มันสนองกิเลสภายใน

หลวงปู่      ชีวิตอยู่ด้วยความสนองกิเลสภายใน พูดอย่างกับเป็นขี้กลาก เพราะงั้น เพราะโลกใบนี้มีคนโง่มากกว่าคนฉลาด มันก็เลยมีคนเมาในอำนาจมากกว่าคนที่จะวางอำนาจได้ มันมีคนที่บ้าอำนาจมากกว่าคนที่แสวงหาอำนาจทางธรรม เพราะงั้น คนที่แสวงหาอำนาจทางธรรม จึงดูเหมือนกับเกือบสูญพันธุ์ไป แม้จะถ้ามี ก็ดูไม่โดดเด่นด้วยเหตุผลที่ว่า เพราะไม่รู้ว่าจะบริหารจัดการอำนาจอย่างไรอย่างเป็นผู้ชาญฉลาด เพราะว่ามันต้องใช้ทุน ในการมีทุนก็ต้องแสวงหาสิ่งที่มันต้องแลกได้ แลกเปลี่ยน แลกเสีย เพื่อให้สร้างฐานอำนาจของตนให้มั่นคงมากขึ้น ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น มันก็เหมือนกับว่า อำนาจที่งดงาม สง่างามจริงๆ ในโลกใบนี้ยังไม่เห็น ถ้าตราบใดที่เรายังมีการแลกเปลี่ยน แลกได้ แลกเสีย เผื่อว่า อาจจะ ใช้มั๊งคิดคำนวณแล้วก็มีผลกำไรตอบแทน

คุณมนัส   สรุปท้าย เราจะผสมผสานอำนาจทางโลกกับอำนาจทางธรรมเอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรให้มันลงตัวมากที่สุด เกิดประโยชน์สูงสุด

หลวงปู่   ชีวิตชั้น ชั้นคิดว่า ข้อความที่ว่า ทุกคนมีอำนาจโดยหน้าที่เรามีอยู่แล้ว คุณหมอก็มีอำนาจเหนือนางพยาบาล นางพยาบาลก็มีอำนาจเหนือนักการภารโรง ทุกคนมีอำนาจตามหน้าที่ พ่อก็มีอำนาจเหนือลูก ผัวก็มีอำนาจเหนือเมีย เมียก็มีอำนาจเหนือบริษัทบริวารในบ้านของตน นี่คืออำนาจทางวิถีโลก

ที่เราขาดอยู่คืออำนาจทางธรรม อำนาจทางธรรมเราไม่มีหรือแทบจะไม่มี หรือเหลือน้อยมาก เราก็เลยเป็นผู้อยู่อย่างบ้าอำนาจ ผัวก็บ้าอำนาจ เมียก็บ้าอำนาจ หมอก็บ้าอำนาจ ต่างคนต่างบ้าอำนาจ เพราะถือว่า ชั้นเป็นผู้มีอำนาจในหน้าที่ แล้วก็ทำหน้าที่ตามอำนาจ แต่เราไม่มีอำนาจตามวิถีธรรม เราขาดอำนาจตามวิถีธรรม แล้วเราก็ไม่คิดจะศึกษาสั่งสมอบรมอำนาจตามวิถีธรรม มันก็เลยกลายเป็นว่าเราวางอำนาจไม่เป็น งดอำนาจไม่เป็น ทิ้งอำนาจไม่ได้ สุดท้ายก็ตายด้วยอำนาจที่มี

ถ้าจะให้ชั้นสรุปสุดท้ายตอนนี้ ก็ต้องบอกว่า คุณแสวงหาอำนาจทางธรรมให้ได้เท่าๆ กับหาอำนาจทางโลก หรือหน้าที่ที่คุณมีอยู่ แล้วมันจะช่วยเพิ่มพูนสั่งสมอำนาจในหน้าที่ของคุณให้มีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผล และสำเร็จประโยชน์ ทำให้เกิดประโยชน์มหาศาลในการทำหน้าที่ตามอำนาจหน้าที่ที่มีของตนๆ เจริญธรรม