26.09.2553     13.20 น.    ธรรมะอาทิตย์ที่ 4 ของเดือน วัดอ้อน้อย  โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ


เจริญธรรม เจริญสุข  ท่านสาธุชนคนดีที่รัก

วันนี้ตั้งใจว่าเช้าๆ จะออกมาสอนกรรมฐาน กลับจากบิณทบาต มันเปลี้ย หมดแรง ก็เลยพัก ให้พระมาสอนแทน วันนี้ได้เวลาที่ถือว่าน่าจะสอนได้แล้ว หลังจากสอนจะเปิดโอกาสให้ปฏิบัติโดยไม่ต้องให้มีครูมานั่งเฝ้า ลองคิดว่าไม่มีหลวงปู่อยู่แล้ว จะปฏิบัติตามขั้นตามตอนที่สอนไปได้มากน้อยแค่ไหน รุ่นพี่เห็นรุ่นน้องทำไม่ถูก ต้องแนะนำ รุ่นน้องเห็นรุ่นพี่ไม่ชัดเจน ติได้
วันนี้มี 3 เรื่องใหม่ที่จะสอนคือ
1 ศรัทธา
2 ปัญญา
3 ข้ามาคนเดียว
ถามว่าทำไมจึงสอน....ทุกวันนี้ ทุกคนมีศรัทธาแต่บริหารจัดการไม่ตรงต่อคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนวันศุกร์ที่ผ่านมา ไปสอนที่เพชรบุรี
ศรัทธาต้องประกอบด้วยปัญญา จะแยกแยะแจกแจงความจริง ความแท้ ความเทียม ความถูกต้องได้  คนที่ใช้คำว่า ศรัทธา ถ้าไม่แยกแยะความจริงจากความไม่จริง ไม่แยกแยะความชัดไม่ชัดออกจากกัน สุดท้ายจะเป็นคนโง่หลงงมงาย
ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีศรัทธาในวิถีแห่งการเจริญธรรม ศึกษาธรรม ศรัทธาในพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ต้องรู้จักธรรมนิยามสูตร  ธรรมที่มีก่อนพระพุทธเจ้าเกิด ธรรมที่มีอยู่เนื่องๆ ประจำทุกสรรพสิ่ง มี 3 อย่าง คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ธรรมะที่มีอยู่ทุกโมงยาม
คนมีศรัทธาอย่างนี้ จะบริหารจัดการตัวเอง คือ
ไม่ดีใจ เมื่อเห็นการเกิด 
ไม่เสียใจ เมื่อเห็นการดับ
ไม่ทำตัวเองให้หลงอยู่ในความเทียม ไม่ชัด จะเข้าใจ รู้จัก วางแล้วว่าง และดับไป
เพราะว่าเราใช้ศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญา จะไม่มีใครเยื้อแย่งกับใคร ไม่มีใครเกลียดใคร
ถ้าไม่มีศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญา ก็จะมี ตัวกู ของกู อาจารย์กู ญาติกู สิ่งของของกู พอเป็นของกู สิ่งที่จะให้ไปต้องกระเบียดกระเสียด รู้สึกเสียดาย รู้สึกว่าต้องตัดใจ
เราบริหารจัดการของกลาง เพราะทุกสิ่งเป็นของกลางที่เราต้องใช้ความชาญฉลาด
คนมีศรัทธาต้องเข้าใจวิถีชีวิต อยู่อย่างไม่ปล่อยให้ของกลางครอบงำเรามากเกินไป

เหมือนกับเรื่องในสมัยพุทธกาล อนาถบิณฑกะเศรษฐีสร้างวัดเสร็จ ก็ถูกเผา ทุกครั้ง คนก็ว่า คนนี้น่าจะบ้า วัดถูกเผายังหัวเราะ
พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า อนาถบิณฑกะเศรษฐีนี้ ใช้วิจารณญาณในการมองของกลางอย่างฉลาดใช้ ไม่ใช่โง่เขลาใช้  โง่เขลา คือ ใช้แบบหวงแหน ไม่อยากเสียอะไร คิดว่าเราจะอยู่กับมันตลอดชาติ คิดว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับมัน ถ้ามีปัญญาคิด ก็จะรู้ว่า ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ผมบนหัวเรายังสั่งให้มันไม่หงอกไม่ได้ หนังสั่งให้ไม่เหี่ยวไม่ได้ สาอะไรกับทรัพย์สิน ข้าทาส อย่าจาก อย่าหาย
อย่าฉิบหาย
ท่านเศรษฐีท่านใช้ปัญญาประกอบด้วยศรัทธา ไม่กลัวว่าสมบัติจะหมดและไม่เหลือ เลี้ยงพระวันละ 500 เลี้ยงคนต่างศาสนาอีก จนเทวดามาห้าม แม้เทวดาก็ยังมีมิจฉาทิฐิ เห็นสมบัติเป็นของกู ...สูเจ้าจงอย่ามาทำอริยทรัพย์ และกุศลเราฉิบหาย นี่คือการสั่งสมอริยทรัพย์ในชาติต่อๆไป
ทุกคนแน่แล้วว่า ไม่ได้เกิดชาติเดียว ต้องจัดการให้ทรัพย์เรายาวนานให้ได้มากที่สุด ใช้ทรัพย์ต่อ
อริยทรัพย์ ชาติหน้าอาจจะเป็นยาจก หาทรัพย์ไม่ได้ แต่ชาตินี้มีทรัพย์ต่อเติมทรัพย์ข้ามภพข้ามชาติ
คนมีศรัทธาใช้ปัญญาในการบริหารทรัพย์ บริหารอารมณ์  และจัดได้ด้วยต้องเข้าใจ รู้จักตามความเป็นจริง ถ้าไม่ ก็แสดงว่ามีความเชื่อแต่ไม่มีปัญญา ทำให้เราหลงงมงาย ใครชักจูงก็เชื่อไปหมด ไม่เกิดสัมมาทิฐิ คือ ไม่เห็นตรง ถูกต้องตามความเป็นจริง

เชื่ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีปัญญาพิจารณาไตร่ตรองว่า ทุกสิ่งในโลกมี 3 สิ่ง มี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือเห็นธรรมนิยาม
แต่ถ้าเห็นเกิด  ดีใจ  เห็นดับ  เสียใจ ทำให้สังคมเดือดร้อน สุดท้ายตัวเราเดือดร้อน

ถ้าทำความเข้าใจ รู้จักอยู่เนื่องๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ตามความเป็นจริง ว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้ 
ถ้าเข้าใจอย่างชัดแจ้ง จะได้ชื่อว่า เป็นพุทธบริษัท

ที่ต้องพูด เพราะเข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบันที่คนเสื่อมศรัทธา เพราะไม่มีปัญญา

ข้อสุดท้าย  มาคนเดียว  หลายคนอาจอุ้มลูก จูงหลาน ไม่เป็นไร  แต่ขณะปฏิบัติ ต้องมาคนเดียว ตรงกับคำสอนที่ว่า
ภารา หะเว ปัญจักขันธา   ขันธ์ทั้งห้า เป็นของหนักเน้อ
ภาระหาโร จะ ปุคคะโล   บุคคลนั่นแหละ เป็นผู้แบกของหนักพาไป
ภาราทานัง  ทุกขัง โลเก    การแบกถือของหนักเป็นความทุกข์ในโลกเน้อ
ภาระนิกเขปะนัง สุขัง     การสลัดของหนักทิ้งลงเสีย เป็นความสุขจริงหนอ

ถ้าเราเข้าใจชัด เราจะรู้ว่าต้องมาคนเดียว แม้โดดเดี่ยว เดียวดาย  ถ้าไม่มาคนเดียว ก็ต้องแบกของหนัก เป็นภาระอันยิ่งใหญ่
เราจะเข้าใจว่า เราจะมาร้องไห้ เสียใจทำไม สุดท้ายก็ต้องตาย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า เราจะรู้ว่าต้องเผชิญกับความจริงอย่างนี้อย่างไร
ทำใจให้เป็นกลาง  จะได้ไม่กระเพื่อมตามการเกิด  ดีใจกับการเกิด เราแบกภาระมาใส่บ่า ใส่หัวใจ กระเพื่อม เฝ้าดูแล เอาใจใส่ ถึงเวลามันแตกสลาย ก็ตีโพยตีพาย
ทั้งหมดนี้จากไม่เห็นตามความเป็นจริง มีญาติ มีครอบครัว คนมีศักดิ์ศรี มีบ้าน  มี แต่มันเป็นแค่สมมุติ ใช้สมมุติ ได้ประโยชน์จากสมมุติ ท้ายที่สุดอย่ายึดติดในสมมุติ เมื่อถึงเวลาสมมุติต้องสลาย ฉิบหายไป ก็ไม่ยึดถือ
ศรัทธาสัมประยุตด้วยปัญญา มันใช้กับทุกสถานการณ์  เมื่อหลวงปู่เข้าโรงพยาบาล นั่งก็ไม่สบาย นอนก็ไม่สบาย ... ถามว่า ทำไมเรามาแสวงหาความสบายกับร่างกายอันเน่า ถึงเวลาก็หมดมอดไหม้ไป
ชีวิตเราจะให้มีคุณค่าดั่งเทียน......เชื่ออย่างมีปัญญา จะเป็นชีวิตดั่งแสงเทียนที่กินตัวเอง สุดท้ายก็มอดไหม้ในที่สุด
นั่นคือชีวิตที่มีประโยชน์ ในทางกลับกัน ชีวิตที่ไม่เป็นดั่งเทียน แต่เป็นดอกอุตพิษ
คนทั้งหลายมักถามหลวงปู่ว่า..   เมื่อวานจ้าง 2 แสนให้ไปพัก มึงว่ากูเอาไม๊ ไม่เอา กูไม่เห็นแค่สองแสนหรอก นั่นไม่ใช่หลวงปู่  ไม่ใช่หลวงปู่วางไม่ได้ แต่เพราะรู้ว่าอะไรจะเกิด เราหนีไม่พ้นกรรม
ก่อนเข้าพรรษา เราเตือนว่า ระวังนะยุงจะเป็นเหตุ เพราะหลวงปู่เห็นตัวเองเป็น สุดท้ายก็หนีไม่พ้นกรรมของตัวเอง
ใครที่สอนอุบาท ตัดกรรมได้ด้วยเหตุปัจจัยของบุญ มันไม่ใช่  คนมีกรรมเป็นของตน ช้าเร็วก็ต้องเกิดด้วยอำนาจของกรรม ใครไม่เชื่อ ฟังคำสอนผิด ให้รู้ว่า กำลังเห็นผิดทำนองครองธรรม

มาคนเดียวก็สำคัญ  กรรมบางอย่างคนอื่นรู้ไม่ได้ เป็นปัจจัตตัง ห่วงลูกห่วงผัวไม่ได้ หาวิธีทำอย่างไรก็ได้ ต้องมีอารมณ์เป็นเอก เป็นหนึ่ง ไม่มีสอง คือมาคนเดียว

คำสอนวันนี้  1 มีศรัทธาประกอบด้วยปัญญา
                      และ 2  ต้องมาคนเดียว
ถ้าไม่มีคนเดียว จะฟุ้ง เยือกเย็นไม่ได้ ผ่อนคลายไม่ได้  หลวงปู่อยู่โรงพยาบาล หมอก็ไม่ได้ให้ยาอะไร  ให้แต่น้ำเกลือ บางช่วงหนาวสั่นสะท้านเป็นเวลา เย็น ใช้ผ้าห่ม 6 ผืน ห่มอย่างกับมัมมี่ ยังไม่หายหนาว เดินปราณโอสถก็ดีขึ้น อุณหภูมิดีขึ้น ไม่เดินปราณ ความดันลด ชีพจรลด พลังชีวะลด
กินน้ำเยอะๆ เอาพารามาให้กินเหมือนกินแป้ง หมอเค้าก็ไม่มียาอะไรให้กินพวกไข้เลือดออก

ใครที่เป็น กินน้ำ เดินปราณโอสถ ยาแก้ไข้กินต่อเนื่อง แล้วก็พัก
จากปกติเกล็ดเลือด 3 แสน เหลือ 8 หมื่น ล่าสุดที่ไปแสดงธรรม 7.5 หมื่น หมอไม่ให้ออกเดินทาง ไม่ให้แปรงฟัน กลัวงเลือดออกตามไรฟันแล้วเลือดไหลไม่หยุด น้ำบ้วนปากของโรงพยาบาล เจ็บคอไป 1 วันกับ 1 คืน

ที่จริงก่อนมานี่ก็ปวดหัวตาลอย ให้เด็กใช้ยาหม่องคลึงๆ ไม่ต้องห่วง กูยังอยู่ได้อีกนาน ตราบใดอาม่ายังอยู่
 
ปุจฉา   พี่ชายอายุ 62 ปี อาการชาขา เดินขาลาก
วิสัชนา  ทำอย่างหลวงปู่ทำก็ได้ ทำบาร์แล้วดึงแล้วทิ้งน้ำหนักตัว ให้คนอยู่ใกล้ๆพยุง ในขณะที่ดึงก็เดินปราณโอสถด้วย ให้ปราณไหลไปในข้อกระดูก

ปุจฉา  ผมมีอาการน้ำหล่อเลี้ยงในตาเสื่อม
วิสัชนา  ต้องแยกให้ออก ยาปลายประสาทตาอักเสบกับน้ำหล่อเลี้ยงตาแห้ง น้ำตาแห้ง เยื่อบุตาอักเสบ  ยืนให้น้ำอุ่นกระทบจากที่สูงหน่อย กระทบกระโหลกศีรษะ ให้น้ำกระตุ้นใช้น้ำนวดศีรษะ

ปุจฉา  อายุ 77 ปี เบาหวาน ปลายประสาทตาอักเสบ
วิสัชนา   ยาชุบชีวะ เป็นยาร้อน จะทำให้ความดันสูง ถ้าไม่มีความดันสูง ก็กินได้

ปุจฉา  เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ หมายความว่าอย่างไร
วิสัชนา  คิดให้รู้จักพอ ถ้าไม่พอก็เป็นทุกข์