ถอดเทป วันที่ 15 ส.ค.53  ( เช้า )  ช่วงปฏิบัติธรรม
วิชาปราณขั้นสูง ๆ สามารถเข้าถึง สมาบัติ 8 สมาบัติ 9 และเข้าถึงองค์ภูมิดับ และเย็นได้
เตรียมตัว ปฏิบัติ..... เริ่ม..
คำสั่งที่ 1      เดินขั้นที่ 1 1  ก้าว    ...  1  จังหวะ

คำสั่งที่ 2      เดินขั้นที่ 3 1  ก้าว ... เว้น 1 จังหวะ

คำสั่งที่ 3      เดินขั้นที่ 4 1  ก้าว ... เว้น 1 จังหวะ .... 1  ลมหายใจ  ( ก้าวพร้อมลม )
   ในขั้นนี้ไม้ให้พลาดเลยไม่ว่า จังหวะ หรือ ลมหายใจ
 
คำสั่งที่  4     เดินขั้นที่ 5 1  ก้าว ... 1 จังหวะ .... 1  ลมหายใจ คือ การเดินในจังหวะที่ 1
      ประกอบลมหายใจ ( จังหวะที่เร็ว  ไม่ต้องก้าวให้หยุดรอเป็นการผ่อนลมหายใจให้
      ยาวขึ้น )

คำสั่งที่  5     เดินขั้นที่ 6   1  ก้าว ... เว้น  2  จังหวะ  ให้ส่งจิตเข้าไปในกาย  ถ่ายเทน้ำหนัก
จากเท้าข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งจะลงจังหวะพอดี

คำสั่งที่  6     เดินขั้นที่  7   1  ก้าว ... เว้น 2 จังหวะ .... 1  ลมหายใจ  ( ก้าวพร้อมลม )
     จิต หนึ่ง รู้จังหวะ  จิต หนึ่ง รู้การก้าว  จิต หนึ่ง รู้การถ่ายเท
  น้ำหนัก  จิต หนึ่ง รู้ลมหายใจ

คำสั่งที่  7    เดินขั้นที่  8    1   ก้าว ... เว้น 3 จังหวะ
     ส่งจิตตามรู้  พลังที่เคลื่อนไหวภายในกาย....  3  ป๊อกแล้วจึงก้าว
     ทำไมจะต้องยืนรอ  ทำไมไม่ถ่ายน้ำหนักไปเลย  ในขณะที่ยังไม่ถึงป๊อกที่ 3  ก็ต้อง
     ถ่ายน้ำหนักค่อยๆ ย้ายน้ำหนัก เรียกว่า  ถ่ายปราณข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง

คำสั่งที่  8     หยุดยืนอยู่กับที่  หยิบพระขึ้นมา  หลับตา  สูดลมหายใจกว้าง ลึก ๆ  กว้าง ลึก เต็ม

หายใจออก  เบา ยาว หมด
หายใจเข้า ช้าๆ  ค่อยๆ เข้าไปทีละน้อย
หายใจออก  เบา ยาว หมด
หายใจเข้า  ขึ้นจมูก  หน้าผาก  กลางกระหม่อม  กะโหลกศีรษะด้านหลัง  ต้นคอด้านหลัง  หัวไหล่ 2 ข้าง  ท่อนแขนด้านบน  ข้อศอก  ท่อนแขนด้านล่าง  ข้อมือ  ฝ่ามือ  กลางฝ่ามือ  หายใจออก  เพ่งปราณไปที่องค์พระพร้อมลมที่ออก
เอาใหม่  หายใจเข้า  จมูก  หน้าผาก  กลางกระหม่อม  กะโหลกศีรษะด้านหลัง 
ต้นคอด้านหลัง  หัวไหล่ 2 ข้าง  ท่อนแขนด้านบน  ข้อศอก  ท่อนแขนด้านล่าง  ข้อมือ  ฝ่ามือ  กลางฝ่ามือ  เพ่งปราณไปที่องค์พระพร้อมหายใจออก
 พักนิหนึ่ง  สูดลมหายใจเข้า  หลอดลม  ลำคอ  ลงไปที่ไหปลาร้า  มาที่ต้นแขน
ด้านหน้า  ท่อนแขนด้านบน  ข้อพับ  ข้อศอก  ท่อนแขนด้านล่าง  ข้อมือ  ฝ่ามือ  กลางฝ่ามือ
เพ่งปราณไปที่องค์พระพร้อมลมที่ออก
 สูดลมหายใจเข้า  จมูก  หลอดลม  ลำคอ  ลงไปที่ไหปลาร้า  แยกซ้าย ขวา  ไปที่
ต้นแขนด้านหน้า  ลงไปที่ข้อพับ  ข้อศอก  ท่อนแขนด้านล่าง  ข้อมือ  ฝ่ามือ  กลางฝ่ามือ 
เพ่งปราณไปที่องค์พระพร้อมหายใจออก
 สูดลมหายใจเข้า  จมูก  หน้าผาก  กลางกระหม่อม  กะโหลกศีรษะด้านหลัง  ต้นคอด้านหลัง  ลงไปที่กระดุกสันหลัง  ก้นกบ  ทะลุมาที่ช่องท้อง  ขึ้นมาที่ลิ้นปี่  หน้าอก  ลำคอ
ออกปาก
   หายใจเข้า  จมูก  หลอดลม  ลำคอ  ลงไปที่หน้าอก  ลิ้นปี่  ช่องท้องเหนือสะดือ
ใต้สะดือ  ทะลุไปที่กระดูกสันหลัง  ขึ้นมาที่ต้นคอ  กลางกระหม่อม  หน้าผาก  ออกจมูก
พักนิหนึ่ง  หายใจเข้า  จมูก  หน้าผาก  กลางกระหม่อม  กะโหลกศีรษะด้านหลัง   ต้นคอด้านหลัง  กระดูกสันหลัง  ก้นกบ ทะลุไปที่ช่องท้อง  ขึ้นไปที่ลิ้นปี่  หน้าอก  ไหปลาร้า  แยกไปที่หน้าแขน 2 ข้าง  ข้อศอก  ท่อนแขนด้านล่าง  ข้อมือ  ฝ่ามือ  หายใจออก  เพ่งปราณไปที่องค์พระ

สูดลมหายใจเข้า  จมูก  หน้าผาก  กลางกระหม่อม  กะโหลกศีรษะด้านหลัง  ต้นคอด้านหลัง  กระดูกสันหลัง  ลงไปที่ก้นกบ  ทะลุมาที่หน้าท้อง  ขึ้นมาที่ลิ้นปี่  หน้าอก  ไหปลาร้า  แยกไปต้นแขนซ้าย ขวา  ข้อพับ  ข้อศอก  ท่อนแขนด้านล่าง  ข้อมือ  ฝ่ามือ  กลางฝ่ามือ เพ่งปราณไปที่องค์พระพร้อมหายใจออก
 สูดลมหายใจเข้า  จมูก  หลอดลม  ลำคอ  ลงไปที่ทรวงอก  ลิ้นปี่  ช่องท้อง แยกซ้าย ขวา  ไปที่หน้าขา  หัวเข่า  หน้าแข้ง  ข้อเท้า  หลังเท้า  ฝ่าเท้า  ปลายนิ้วเท้า  หายใจออก
 สูดลมหายใจเข้า  จมูก  หลอดลม  ลำคอ  ลงไปที่ไหปลาร้า 2 ข้าง  แขนด้านหน้า 2 ข้าง  ข้อศอก  ท่อนแขนด้านล่าง  ข้อมือ  ฝ่ามือ  กลางฝ่ามือ เพ่งปราณไปที่องค์พระพร้อมหายใจออก
 หายใจเข้า  จมูก  หน้าผาก  กลางกระหม่อม  กะโหลกศีรษะด้านหลัง   ต้นคอด้านหลัง  กระดูกสันหลัง  ลงไปที่ก้นกบ  แยกไปที่สะโพกซ้าย ขวา  ลงไปที่ขาพับ  น่อง  ส้นเท้า  ฝ่าเท้า  ปลายนิ้วเท้า  หายใจออก
 สูดลมหายใจเข้า  ตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นมาที่หน้าแข้งซ้าย - ขวา  ข้างขาซ้าย - ขวา  ขึ้นมาที่ข้างหัวเข่า  ข้างสะโพก  สีข้างซ้าย - ขวา  ขึ้นมาที่รักแร้  ท่อนแขนด้านในซ้าย - ขวา  ข้อศอกด้านในซ้าย - ขวา  ท่อนแขนด้านล่าง  ข้อมือ  ฝ่ามือ  กลางฝ่ามือ  เพ่งปราณไปที่องค์พระพร้อมหายใจออก
 ทิ้งลมหายใจ  สำรวมจิตให้เป็นหนึ่ง  ขับปราณทั้งหมดในกายไปรวมอยู่ที่องค์พระ  บรรจุพลังปราณวิเศษทั้งหมดเข้าไปในองค์พระ  จนพระรู้สึกร้อน  ทิ้งลมหายใจให้เป็นธรรมชาติ..
เสร็จแล้วว่าตาม
 โอม  อะอุมะ   นะมะพะทะ   ปัญจะพุทธา  นะมามิหัง  สัพพะสิทธิ  ภะวันตุเม 
( เป่าไปที่พระ  1  ครั้ง )

โอม  อะอุมะ   นะมะพะทะ   ปัญจะพุทธา  นะมามิหัง  สัพพะสิทธิ  ภะวันตุเม 
( เป่าไปที่พระ  1  ครั้ง )

โอม  อะอุมะ   นะมะ พะทะ   ปัญจะ พุทธา  นะมา มิหัง  สัพพะ สิทธิ  ภะวันตุเม 
( เป่าไปที่พระ  1  ครั้ง )

พระพุทธเจ้าทรงพระกำลัง พระปัจเจกพุทธเจ้ามีกำลัง พระมหาโพธิสัตว์เจ้าทรงกำลัง  พระอรหันต์เจ้ามีกำลัง   และกำลังแห่งพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ 

ข้าพเจ้าผูกความรักษา  ขอกำลังทั้งหลายเหล่านั้น  จงมาสถิตสถาพร  ในกายทวาร
วจีทวาร มโนทวาร   ของข้า ณ บัดนี้เทอญ  ข้าขอถ่ายพลังทั้งหมด  เข้าสู่องค์พระปฏิมา

สิทธิ กิจจัง   สิทธิ ลาภัง  สิทธิ เตโช  ภะวันตุเม  ( เป่าไปที่พระ )

หายใจเข้า     ภาวนา  สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
หายใจออก    ภาวนา  สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์ .......

สิทธิ กิจจัง  สิทธิ ลาโภ  สิทธิ ปัญโญ  สิทธิ เตโช  ชะโย นิจจัง  สัพพะ สิทธิ 
ภะวันตุเม  (เป่าไปที่พระ อีกครั้งหนึ่ง )
 
พอ....ยกมือไหว้พระกรรมฐาน  .. แล้วเข้าที่ ....
..............................................................................................................................................................

เมื่อวานกูไม่อยู่ทั้งวันพวกมึงทำอะไรกันอยู่ว่ะ 
ฝึกกรรมฐานหรือเปล่า ....  ทำไมไม่ก้าวหน้าเลย  ใครสอน.... 
เดินขั้นที่ ๘ ยังไม่ได้เรื่องเลย ไม่พัฒนาไปกว่าเมื่อวานเลย  ยังไปหยุดรอจังหวะ ไม่ถ่ายน้ำหนัก  ไม่ถ่ายปราณ ก้าวแล้วรอจังหวะ แทนที่ก้าวแล้วจะถ่ายปราณ จนครบจังหวะแล้วจึงจะก้าวต่อไป นี่กลับมายืนรอจังหวะเฉยๆ อย่างนี้ ไม่รู้จักต่อยอด  ไม่รู้จักพัฒนา 
 สังเกตไหมว่าเวลาฝึก ขั้นที่ 6 ที่ 7   ความคิดเรามันจะเยอะขึ้น สัมปชัญญะมันมากขึ้น  เวลาเราจะคิดกิจกรรมการงาน  หรือเรื่องต่างๆ  เราจะละเอียดมากขึ้น วิเคราะห์ได้เยอะขึ้น คำนวณใคร่ครวญได้มากขึ้น เพราะกระบวนการขั้นเหล่านี้ที่ 6 ที่ 7  ที่ 8  มันเป็นกระบวนการ

ที่จะฝึกให้เรารู้จักคิดอย่างมีระบบแล้วก็ใช้ปัญญาในการคิด ไม่ใช่ใช้ความจำหรือสัญญา  ฉะนั้น
ความคิดของเราก็จะกระจ่างแจ่มชัดและก็ก้าวไกลและก็รุ่งเรืองเจริญ
 ฝึกให้มันถึงขั้นของเขา  ฝึกให้สำเร็จในขั้นนั้นๆ  แล้วจะรู้ว่า คำตอบแต่ละขั้นมันมีแตกต่างกัน 
วันนี้ถือว่าเป็นวันสุดท้ายในการบวชเนกขัมมะ   ต้องมีปัจฉิมโอวาท บ่ายนี้ไม่มีใช่ไหม..
บ่ายหลวงปู่ไม่อยู่  ให้สมภารเขาปัจฉิม และขอขมาพระสงฆ์ หลวงปู่ฉันท์เพลแล้วก็ไปกรุงเทพฯ
มีกิจกรรม  คนจะไม่ว่าง มันก็ไม่ว่างไปเรื่อย
เดี๋ยวก็ หลอกใช้พระ  ที่จริงสอนไปแล้วตั้งแต่ขั้นที่ ๑ ถึงที่ ๘ มันน่าจะทบทวนได้แล้ว ไม่ต้องรอให้พระมาสอน พอบ่ายโมงปุ๊บก็เริ่มลงมือปฏิบัติได้แล้ว ไม่ต้องเรียกให้เข้าคอก ทุกคนต้องรู้ ต้องเข้าคอกเองแล้วปฏิบัติธรรมเอง เพื่อฝึกฝนความเจริญรุ่งเรือง  ทำไมกูไม่มีใครมาสอน ทำไมไม่มีใครมาปลุก มาเรียก  พวกมึงต้องปลุก ต้องเรียกต้องสอน  ปลุกเรียกสอนยังไม่ไป  ยังต้องถีบต้องยัน ต้องดันกันอีก  ไม่กระตือรือร้น ไม่มีวิริเย ทุกขะมะเจติ พละ ๕ อย่าง ศรัทธา - วิริยะ - สติ - สมาธิ - ปัญญา  ไม่ค่อยเจริญเติบโต  ไม่ค่อยเกิด ไม่ค่อยมีศรัทธา  ไม่ศรัทธา
ในปฏิบัติ  ไม่ศรัทธาในหลักธรรม  ไม่ศรัทธาในผลบุญ  ไม่ศรัทธาในกิจกรรม  ไม่ศรัทธาในกรรมฐานที่ทำ  มันเลยทำให้ เยิ้นเย้อ ยืดยาด เหยาะแยะ  ผลปฏิบัติก็แย่ไปด้วย   กราบพระแล้วเดี๋ยวไปพัก บ่ายโมงมารวมกัน
 อีกเรื่องหนึ่ง  วันเกิดจะแจกหนังสือ 2 เล่มคือ ประสพการณ์ทางวิญญาณ  และเรื่อง
ปุจฉาวิสัจนา ที่มีทั้งในอินเตอร์เน็ท และในโทรทัศน์ เอามารวบรวมเป็นเล่ม  ให้ธรรมะเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง 
 มีเรื่องหนึ่งอยากเตือนให้ฟังคือ หลวงปู่สังเกตดู ลูกหลานยังไม่ได้วิญญาณของครูไป 
ยังไม่ได้วิญญาณของครูคือ  ยังไม่เห็นเพื่อนผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ยังเห็นแต่ตนเป็นใหญ่  ยังเห็นประโยชน์ตน  เห็นแต่อัตตา  มีอุปาทานในขันธ์ทั้ง๕ ยังเยอะอยู่  ที่พูดมาอย่างนี้เพราะว่า คน
ที่ปฏิบัติธรรมมันจะ ทำลายขันธ์  ทำลายอุปาทาน  ทำลายความยึดถือ เหลือแต่น้ำ คือ น้ำใจ มันต้องมีน้ำใจเผื่อแผ่ให้แก่คนรอบข้าง  เห็นเขาปฏิบัติไม่ถูก  ทำผิดหรือทำไม่ได้  ทำไม่ดี 

ทำไม่เรียบร้อย ในฐานะที่เราเป็นญาติผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย  ก็อย่านิ่งดูดาย  อย่าทำเฉย 
ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  ต้องบอกกล่าวกัน ยิ่งการปฏิบัติธรรม  ได้เห็นทำไม่สมบูรณ์ไม่ถูกต้อง
ต้องแนะนำ  เพราะเห็นการสร้างบารมีธรรม  สร้างบุญ  นี่ยังมีแสดงว่ายังมีอัตตา  แน่นอนล่ะ หลายคนยังติดอารมณ์  กำลังเพลิน  กำลังติดการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งเครียด  ก็ไม่อยากให้คนอื่น ผู้อื่น เข้ามายุ่งกับโลกส่วนตัวของตัวเอง  แต่ถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้ และถ้าพระพุทธเจ้าเป็นด้วย เราจะมีโอกาสได้ถึงวันนี้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นทุกคนต้องคิดเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าคิด  ต้องเห็นเหมือนดั่งพระพุทธเจ้า หรือพระโพธิสัตว์เห็น   อย่าคิดอย่าเห็นเพียงแค่เอาตัวเองเป็นใหญ่และไม่ใส่ใจคนอื่น  แล้วก็ชอบ  หลวงปู่ก็จะบอกทุกครั้ง  แต่ก็จะมีคนมองไม่เห็นคนพลาด  คนผิด คนน่าสงสาร คนควรช่วยเหลือไม่เห็น  ไม่ค่อยมีใครเห็น หรือไม่อยากจะเห็น ก็ไม่แน่ใจ  เพราะฉะนั้นไม่ได้  นี่แสดงว่ายังไม่ได้วิญญาณของครู ได้แค่กากเดนและซากเฉยๆ
แต่จะได้จิตวิญญาณของครู  ก็ต้องมีน้ำใจ รู้จักให้อภัย และก็ไม่เห็นแก่ตัว  ดูเหมือนจะพูดติดปากแล้วกลายเป็นสูตรสำเร็จของการพูดไปแล้ว แต่พูดไปแล้วเหมือนฟังหูซ้าย แล้วก็ไม่เข้า
สมอง  รีบย้ายออกหูขวาสมองบอด  ที่จริงแล้วฟังหูซ้ายที เขามีสมองไว้คั่น มันน่าจะกลับไปคิด  เก็บไปคิดบ้าง  และก็เอามาทำบ้าง  ไม่ใช่คิดแล้วไม่ทำ  ไม่อย่างนั้น ครูก็จะเหนื่อยไปตลอด  ไม่แบ่งเบาภาระของครู  ไม่แบ่งเบาภาระของพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์  ต้องไปปรับเสียใหม่ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม  แก้ไขนิสัย  ให้เป็นคนที่มีอัตตาน้อยลง  ไม่อยากใช้คำว่าใจกว้าง  เพราะใจกว้างยืนอยู่บนอัตตาก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน  ถ้าใจจะกว้างได้ก็ต้องไม่มีภูเขา 
ไม่มีตัวกู เข้ามายุ่งมันถึงจะกว้าง  ไม่งั้นจะทำให้แผ่นดินกว้างได้  ต้องทำลายภูเขา ทำลายตัวกู แล้วแม่น้ำก็จะกว้างเห็นสุดลูกหูลูกตา  น้ำใจเราก็จะไหลบ่าไปทั่วทุกสารทิศได้  แต่ถ้ามีตัวกู มันติดตัวกูไหลไปไหนไม่ได้  แล้วจะไหลไปไหนไม่ได้ก็เลยจะทำให้โลกคับแคบเพราะตัวกูใหญ่ไปหมด  ไอ้น้ำลึกๆ ก็จะกลายเป็นน้ำตื้นๆ แล้วสุดท้ายก็น้ำแห้ง  นี่คือข้อเสียคำว่าตัวกู
มันเปรียบดังภูเขา  ยิ่งมีตัวกูมากเท่าไหร่ภูเขาก็ใหญ่มากเท่านั้น  ตัวกูมากเท่าไร ภูเขาก็ยิ่งใหญ่มากเท่านั้น แล้วถ้าใครมายกตัวกูเข้าทีหนึ่ง  โอ้โหคราวนี้ละก็มโหฬารมหึมา โอ้โห คุณนี่ดีนะ  ใช่ครับพี่ ดีครับผม  นิยมครับท่าน  โอ้โหตัวกูบานเบอะทีนี้เต็มโลก ไม่ได้ทีนี้น้ำก็จะแห้งลงๆ  ต้องทำตัวกูมันเล็กที่สุด  บอกแล้วว่าทำดีจนไม่มีตัว ทำอย่างไรจะทำดีจนไม่มีตัว และหมดตัว  ต้องพยายามทำ ครูบาอาจารย์ก็ทำให้ดูแล้ว ก็ไม่จดไม่จำ  ไม่ดู  ต้องเตือน
ต้องสอน  ได้เวลาให้เหยื่อยแล้วหิวไปแล้ว........