2 ม.ค. 2554  ธรรมะต้นเดือน โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ
อายุเจ้า ยืนยาว เท่าฟ้า
สุขภาพเจ้า แข็งแรง ดั่งขุนเขา
ปัญญาเจ้า สุดสว่าง ดั่งอาทิตย์ยามเที่ยง
ทรัพย์สินเจ้า เท่าเม็ดทราย ในมหาสมุทร
โชคลาภเจ้า เนืองนอง ดั่งสายน้ำ
มิตรสหายเจ้า มากมาย ดั่งดวงดารา
วาสนาเจ้า สูงส่งดั่ง ขุนเขาพระสุเมรุ
อำนาจเจ้า ยิ่งใหญ่ ดั่งแผ่นดิน
บารมีเจ้า เท่าฟ้าดิน
พรปีใหม่ 54 หลวงปู่พุทธะอิสระ ^^
สวัสดีปีใหม่ ลูก พรอยู่ที่เสา อ่านเอาเอง มีสติแล้วสวยนะเนี่ย ปกติกูไม่เคยชมใครสวย มี

สติแล้วสวย ใครยังไม่ได้เสื้อ ยกมือ ยกสูงๆสิ ฟังธรรมก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยมาเอา ลูก ฟัง

ธรรมให้เรียบร้อยก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยมาเอา
เรื่องที่อยากคุยอยากพูดให้ฟัง ก็คือเรื่องเครื่องอยู่เครื่องอาศัยเหมือนเดิม ต้องย้ำบ่อยๆ เมื่อ

เช้าได้ยินเค้าเปิดเทปชีวิตและการงานเพื่อความเบิกบาน แล้วก็ไปแอบดูเค้าทำงาน ทำไปก็

คุยไป คุยไปจุ๊กจิ๊กๆนินทาคนโน้นว่าคนนี้ อะไรแถมมาว่ากูอีก นินทากู จะตบปากมันก็กลัว

เสียมือ ไม่รู้จะนินทาใครก็นินทากู
ชีวิตและการงานเพื่อความเบิกบาน คือชีวิตและการงานที่มันรวมตัวกัน มันถึงจะทำให้จิตนี้

เบิกบาน ไม่ใช่ชีวิตและการงานแล้วก็นินทาคนนั้น ด่าคนโน้นคนนี้ มึงเห็นเวลาหลวงปู่ทำงาน

หลวงปู่จะไม่คุยกับใคร ถ้าจะคุยก็คุยกับงาน จิตกับงานจะรวมกันเป็นหนึ่ง ฝึกจิตให้เป็น

อย่างนี้อยู่เนืองๆ ขยันที่จะฝึกจิตอย่างนี้แบบนี้อยู่เนืองๆ แล้วเมื่อถึงเวลาที่ฝึกจิตจริงๆ จิต

มันจะตั้งมั่นได้ง่ายได้เร็ว แต่ถ้าเราขยันที่จะฝึกแบบชนิดที่จิตไปอย่าง ปากไปอย่าง มือไป

อีกอย่าง กายไปอีกชนิดหนึ่งเนี่ย  ถึงเวลาจะกำหนดให้รวมน่ะมันยาก เพราะเราฝึกอย่างไร

ได้อย่างนั้นไง ก็บอกแล้วว่า คนเราฝึกมาแบบไหนก็ได้แบบนั้น
เมื่อเช้าตอนตี 3 กว่าๆ ลุกขึ้นมาเจริญสติ แล้วก็ดูแดนต่ออารมณ์ คือหูก็ได้ยินเสียง จิ้งหรีด

เรไร เสียงนกกลางคืนมันร้อง ก็มานั่งวิเคราะห์ โอ้ อ้ายเสียงนี่มันมีของมันอยู่เป็นปกติ อ้าย

หูเราไปรับเอาเสียงเข้ามาแล้วก็มาทำให้เกิดอารมณ์ชอบ ไม่ชอบ ยอมรับ ปฏิเสธ ใช่ ไม่ใช่

ได้ เสีย แล้วก็หวนนึกถึงพวกมึงว่า มันจะรู้จักป้องกันเสียงไม๊ว่า อ้ายสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็น

แดนต่ออารมณ์ที่ทำให้เราต้องรับสุข รับทุกข์ รับเวทนา รับความยากลำบาก รับความทุรน

ทุราย ความลำบากแค่ไหน เราจะรู้ไม๊ว่า นี่มันเหมือนหน้าต่างประตู ที่พายุมันตั้งเค้าแล้วก็

ต้องฉลาดที่จะปิด
คนทุกวันนี้มองไม่เห็นพายุ มองไม่ออกว่าพายุมันตั้งเค้าอยู่ที่ไหน ก็เปิดทั้งหน้าต่างทั้ง

ประตูรับทั้งหมด ทั้งพายุเต็มๆ แล้วก็มานั่งโวยวาย เสียอกเสียใจ ตีโพยตีพายว่า เราทุกข์

เหลือเกิน เราลำบากเหลือเกิน ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ลูก ถ้าหากเรามีชีวิตอยู่อย่างชนิด

ใช้ปัญญา ทำให้ใจกับกายมารวมกันกับการงานที่กำลังจะทำ
อยากบอกว่า เวลาหลวงปู่ไปอยู่ป่า ก็อย่างที่เล่าให้ฟังว่า ตลอดทั้งปี หลวงปู่ก็จะอยู่กับชีวิต

ของความเป็นครู ใจก็อยู่กับหน้าที่ของความเป็นครู หน้าที่ของความเป็นอาจารย์ หน้าที่ของ

ความเป็นผู้บริหาร จะอยู่กับหน้าที่ของความเป็นกรรมกร หน้าที่ของช่าง หน้าที่ของนักออก

แบบ หน้าที่ของวิศวกร หน้าที่ของนักศิลปกรรม หน้าที่ของสารพัดหน้าที่ แต่พอเราได้มา

อยู่กับตัวเราเองอย่างชัดเจน มันทำให้เห็นว่า ผลของสมณะ บุญแห่งสมณะ ความวิเศษแห่ง

สมณะ ความศักดิ์สิทธิ์แห่งสมณะเนี่ย มันทำให้เราสงบเย็น ถึงเวลาไปเดินตามหน้าผาตาม

ฉะง่อนหิน ตามผาที่มีน้ำตกไหล มีตะไคร่ขึ้น ลองหลับนึกดูว่า เดินสวนกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว

ตะไคร่ขึ้นแล้วต้องพยุงตัวให้อยู่รอดไม่ให้น้ำมันพาเราลื่นถลาไปแล้วตก หัวไม่ให้ฟาดกับ

หิน ตัวไม่ตกลงมาเนี่ย มันต้องใช้ความระมัดระวังขนาดไหน บางช่วงบางจังหวะก็เผลอไผล

หลุดออกไป ฮึ พระมันทำอะไรกันอยู่ว่ะ เรามีความสุขถึงปานนี้ พอกลับมาอีกที กว่ากาย

กับใจจะรวมกัน เวลาเราคิดแว๊บเดียว กลับมาก็ขาสั่น หลวงปู่ก็ไม่อายที่จะพูดว่า เราก็ขาสั่น

สะดุ้งหวาดกลัวว่า อู้ฮู้ มองลงไปสูงตั้งปานนี้ ถ้ากูลื่นลงไป แว๊บเดียวเท่านั้น ไม่รู้จะเป็นหรือ

ตายหรือพิการขนาดไหน
ใจนึงก็บอกว่า ฮือ ไม่ได้ อย่าเสียฟอร์ม ฟอร์มดี ต้องไม่มีย้วย อีกใจนึงก็หรือเรานั่ง ฮึ นั่งก็

เสียฟอร์มกูล่ะ ขามันสั่นไง ความกลัวมันเข้ามาจับขั้วหัวใจ ไขกระดูก แล้วจะทำยังไง อีก

จิตหนึ่ง จิตครูก็ผลุดขึ้นมา มีสติในกาย กายนี้ไม่ลำบาก มีสติในวาจา วาจานี้ไม่ลำบาก มีสติ

ในใจ ใจนี้ก็ไม่ลำบาก มีสติในกาย วาจา ใจ กาย วาจาใจนี้ไม่ลำบากเลย แบบนี้ อีกจิตนึงก็

กลับขึ้นมาอีกว่า ถ้ามันจะตกลงไปเนี่ย  เราไม่มีอะไรอยู่แล้ว แล้วเราก็ไม่เหลืออะไร เราไม่

ได้อะไร เออ แล้วกูก็ต้องตายแน่ๆ อยู่แล้ว จะต้องไปกลัวอะไร ทุกอย่างในร่างกายเกิดสม

ดุลย์ขึ้นมาทันที
ทั้งหมดเนี่ย ถ้ามีชีวิตอยู่เป็นเนืองๆ แบบชนิดที่ปากไปอย่าง ใจไปอีกอย่าง มือทำอีกอย่างนึง

ร่างกายไปอีกเรื่องนึงเนี่ย มันจะไม่เกิดขึ้นเลย มันจะไม่เกิดขึ้น เพราะเมื่อใดที่มัจจุราชมัน

เข้ามาด้วยความบีบคั้น เราจะตั้งมั่นไม่ได้ เราจะเกิดความหวาดกลัว สะดุ้งผวา ทุรนทุราย

แต่ละย่างก้าวที่คืบเท้าไปข้างหน้า มันหมายถึงความตายที่รอเราอยู่  เวลาหลวงปู่เดินไป

หน้าผาที่มีตะไคร่ขึ้นหนา น้ำตกไหลเชี่ยว มันก็คือความตายทุกย่างก้าว ถ้าเราไม่ตั้งมั่น ไม่

ยืนหยัด ไม่สามารถดำรงตนให้อยู่บนพื้นฐานของความสมดุลย์ในกายได้ มันก็คือความที่

เราจะต้องตาย
เพราะงั้น ถ้าทุกวันๆ ที่เรามีชีวิตอยู่ที่ผ่านมา แล้วเราฝึกตนเป็นคนปล่อยตัว ปล่อยกาย

ปล่อยใจปล่อยทุกอย่างให้มันเป็นไปตามอารมณ์  ทำไป  คุยไป เล่นไป พูดไป เสวนาไป

คือทำอะไรมันไม่จริงๆ จังๆ เมื่อถึงเวลามัจจุราชหรือเหตุปัจจัยมันมาบีบคั้น เราตั้งมั่นไม่ได้

เหมือนอย่างที่หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ตะคิวกินไปครึ่งตัว จะจมน้ำ ไม่แหกปากร้องซักคำให้

ใครมาช่วย ไม่โบกไม้โบกมือ โวยวายว่า ช่วยด้วยๆ  ไม่มี  มองหน้ามองหลัง ซ้ายขวา เออ

ไม่มีใครเห็นกู  ก็นึก เออ ไปก็ไป ถ้าเป็นพวกมึง เป็นไง ปากอย่าง ใจอย่าง ทำเรื่องอีกอย่าง

มือไปอีกอย่าง ตาดูอีกอย่าง มันก็ต้องโวยวายแล้ว กลัวตาย เพราะเราไม่มีสติตั้งอยู่ไง เรา

ไม่ฝึก ฝึกที่จะตั้ง แล้วเราก็นั่งรอ ฝึกเอาตอนไหนล่ะ ตอนทำวัตร ตอนสวดมนต์ หลับๆ ตื่นๆ

หัวทิ่มหัวตำ นะโม นะม่อย เออ พลอยกันไปทั้งศาลา
เช้าๆ กูฟังเสียงสวดมนต์แล้วกูรำคาญหู กูอยากจะลุกขึ้นมาด่า แต่กลัวเสียฟอร์ม จะงอแง

ขืนไปจ้ำจี้จ้ำไช เดี๋ยวหมด
สวดแล้ว พระพุทธเจ้าก็อยากหลับ จิ้งจกก็ไม่ค่อยอยากอยู่ จิ้งจกก็หลับดีกว่ากู สวดมนต์

แล้วพระพุทธเจ้าไม่ตื่น สวดแล้วไม่ปลุกพุทธะในกายให้ตื่น สวดแล้วทำให้พุทธะใน

กายหลับ คนนำก็หลับก่อน มันหลับตั้งแต่นะโมแรกแล้ว กูฟังแล้วก็ ทุเรศ ทั้งหมดนี่หลวงปู่

ไม่ได้ตำหนิ แต่ยกให้เห็นถึงว่า นี่คือเพทภัยของการที่ปากพูดอย่าง มือทำอย่าง ตาดูอีกอย่าง

ใจรู้อีกอย่าง กาย วาจา ใจ มันไม่รวมกัน ฝึกกันมาแบบนี้ไง มาฝึกกันอย่างนี้ทั้งชาติ

เหมือนกับเด็กสมัยนี้ ตาดูหนังสือ หูฟังซาวด์เบาส์ ใช่ไม๊ ตาดูหนังสือ หูฟังซาด์เบาส์ฟัง

เพลงไป แล้วมันจะรู้เรื่องอะไร พอถึงเวลาจะตั้งมั่น อ้าว ลืมเสียแล้ว หายไปหมด
เพราะฉะนั้น หลวงปู่จึงบอกแล้วว่า มนุษย์เนี่ยฝึกอย่างไร ได้อย่างนั้น ฝึกเป็นคนจริงๆ จังๆ 

ทั้งกาย วาจา ใจ ทำเรื่องเดียวกัน คิดอย่างไรทำอย่างนั้น ทำอย่างไรพูดเช่นนั้น ทำ พูด คิด

เรื่องเดียวตลอดเนี่ย กูพูดบ่อยไม๊ บ่อยมากจนไม่อยากพูดแล้ว ไม่เห็นมีใครเอาเป็นต้นแบบ

เป็นเยี่ยงอย่าง ก็พูดบ่อยมาก บอกว่า ผู้มีธรรมะต้องซื่อตรง ลูก ต้องปากพูดอย่างไร กาย

ต้องทำอย่างนั้น กายทำอย่างไร ใจก็ต้องคิดเช่นนั้น ปาก กาย ใจ ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่

เสแสร้ง ไม่แกล้ง แล้วเวลาเราจะเข้าถึงธรรม มันเข้าได้ตรงๆ ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำ 

ธรรมะก็ไม่มีเสแสร้ง เราก็จะได้เข้าถึงอัตถะพยัญชนะ ตีความในธรรมะของพระผู้มีพระ

ภาคเจ้า
อย่างเมื่อคืนหลังจากเลิกจากที่นี่ไป เมื่อเย็นก็พระเค้ามาทำมุทิตาสักการะจากวัดต่างๆ ก็ไป

พบพากับเค้า นำเค้าสวดมนต์แล้วก็ให้โอวาทกับพวกเค้าว่า คนมีธรรมะจะต้องไม่เสแสร้ง

ไม่แกล้ง พวกท่านเป็นเหมือนดั่งเพื่อน เป็นเหมือนพี่ เหมือนน้อง เหมือนญาติสนิท โดยที่

เราคบกันที่ใจ ไม่ได้คบกันที่หน้า ไม่ใช่ยศถาบรรดาศักดิ์ เพราะแต่ละคนเค้ามีฐานะ ยศถา

บรรดาศักดิ์ ขนาดพระครู เป็นเจ้าคณะปกครอง เป็นมหาเปรียญเก้า เปรียญเจ็ด อะไรเนี่ย

เค้ามาบูชาเคารพกราบไหว้เรา ยกเราเป็นครู เค้าไม่ได้คบเราเพราะว่าเรามีศักดิ์ศรี มียศถา

บรรดาศักดิ์ มีลาภสักการะอะไรให้เค้า เค้าคบหาสมาคมกราบไหว้บูชาก็เพราะว่า เราเปิดใจ

ให้แก่กัน จริงใจต่อกัน ไม่เสแสร้ง ไม่ใส่หน้ากากเข้าหากัน แล้วก็พูดภาษาใจ ไม่ใช่พูด

ภาษามายากาล ปากพูดอย่าง ใจก็คิดอย่างที่ปากพูด กายก็ทำอย่างที่ปากพูด ใจคิด
เพราะงั้น ถ้ารู้จักฝึกให้มันตรงไปตรงมาอย่างนี้ สิ่งที่มันจะได้ มันไวมาก มันกระชับมาก

แล้วหลวงปู่ก็บอกกับเค้าให้เค้ารู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ก็คงจะทรงเห็นว่า บุคคลผู้

แสวงหาโมกธรรมในยุคโบราณสมัยเมื่อ 2000กว่าปี ยังแต่ประโยชน์ท่านคือ ประโยชน์

ตน ก็คือจะหลีกลี้หนี ซ่อนเร้น หลบหาความสุขสงบ เป็นสมณะผู้เลิศ ผู้ประเสริฐใส่ตัวเอง

แต่ไม่สนใจวิถีโลก ไม่สนใจหนทางแห่งความพ้นทุกข์ของชาวโลก ไม่เห็นความทุกข์ของ

ชาวโลกที่ให้ก้อนข้าว หยดน้ำ ไม่คิดที่จะปลดเปลื้องความทุกข์
 แม้ที่สุดพระองค์ก็ทรงสรุปคำสอนก่อนจะปรินิพพาน เตือนลูกของพระองค์ สอน

หลานพระองค์ สอนศิษย์พระองค์ว่า เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน

หลวงปู่เข้าใจอย่างนี้ว่า อ้ายคำว่าประโยชน์ตนประโยชน์ท่านก็แสดงว่าคนโบราณ พระ

2000 กว่าปี มีแต่ประโยชน์ตน แต่ไม่มีประโยชน์ท่าน พระองค์จึงต้องเตือนก่อนตาย

พูดเป็นภาษาชาวบ้าน เพราะงั้นก่อนตาย พวกเธอ พวกท่านทั้งหลายจงทำประโยชน์ท่าน

ด้วย อย่าทำแต่ประโยชน์ตน
แล้วเวลาทำประโยชน์ท่าน ทำอย่างไร พระองค์ทรงสอนว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไป

เป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่มัวเมา เพราะงั้น คำว่า ไม่

ประมาท ไม่มัวเมา ก็คือทำการงานประโยชน์ท่านอย่างไม่มัวเมา ไม่ประมาท ไม่ใช่มันใน

อารมณ์ เห็นกรอกข้าวสารไป ปากก็จี๊ดๆ กูกลัวข้าวจะแฉะ บูด
ที่จริง ทำอย่างตั้งใจทำ จิตมันสงบ เป็นกุศล อู้ฮู้ คนกินข้าว แต่ละเม็ดเป็นหนี้เราจะตาย เม็ด

นึงก็เป็นหนี้กูชาตินึง เออ เวลากูทำกับข้าว กูทำอย่างนี้ ถุยน้ำลายใส่ไปหน่อย วันนั้นกูออก

จากป่า ไปป่ามา พระเค้าก็ไปช่วยกันถอนมัน เออ ไม่มีอะไรจะทำกินกัน ก็เลยไปช่วยเค้า

ทำกับข้าว เราก็ไปดูในห่อในหีบ ก็มีคะน้าเหลืองๆ เค้ากำลังจะทิ้ง แล้วก็หน่อไม้ที่เก็บไว้ดอง

ในครัวก็มีปลากระป๋อง ดูพริก มีไม๊ มี ส้มมะขามก็มีหน่อยนึง ใบชะมวง เคยกินหรือเปล่า

มึงเคยกินหรือเปล่า ต้มใบชะมวง อู้ฮู้ พระเค้าถามว่า กินได้เหรอ เออ ได้ไม่ได้ เดี๋ยวก็รู้ กิน

ได้ไม่ได้ ทำเสร็จเรียบร้อย ผัดผักคะน้า ใบเหลืองๆ กูไม่ทิ้งหรอก กูหั่นจับใส่หมด ใส่โน้น

บ้าง ใส่นี่บ้าง น้ำลายอีกปืดนึง อู้ย ข้าวหม้อใหญ่ เกลี้ยงเลย  มันกินอย่างกับพายุบุกแคม

แล้วพระเค้าถาม นี่ฟลุ๊คหรือเปล่าเนี่ยหลวงปู่ เฮ้ย ไม่ฟลุ๊คหรอก ผมทำอะไรไม่เคยฟลุ๊ค

ฝีมือทั้งนั้น ด้วยความรู้สึกว่า เราทำด้วยใจไง พอทำด้วยใจ ใจมันรวมกาย ทำอะไรๆ ก็ดีไป

หมด ของเสียก็กลายเป็นของมีค่า มีคุณค่า คุณธรรม เพราะมีคุณธรรมในงานที่ทำ
เพราะงั้น อยากเตือนลูกหลานว่า  เวลาจะทำการงาน ให้การงานมันฝึกตัวเองก่อน ไหนๆ

เราต้องทำแล้ว เราก็ฝึกตัวเราเอง อย่าให้การทำงานเรามันเสียเปล่า แล้วได้แต่ความมันและ

เหนื่อย มันทั้งเหนื่อยและไม่มีประโยชน์ มันต้องได้ปัญญา ได้สติ ได้สมาธิ ได้ความตั้งมั่น

ได้ความรอบคอบ ได้ความพินิจพิเคราะห์ ได้การใคร่ครวญจากการเหนื่อยครั้งนั้นด้วย ไม่

ใช่ทำแล้วเหนื่อย เหงื่อทุกหยด เราต้องมีคุณค่า แล้วกลับมาต้องได้กำไร อย่างนี้ต่างหากเล่า

คือสุดยอดของนักบริหาร 
ชั่วชีวิตหลวงปู่ไม่เคยเหนื่อยเปล่า ไม่เคยเหนื่อยเสียเปล่า ใครจะบอกว่าหลวงปู่เหนื่อยทำไม

บวชพระบวชเณรทุกปีๆ ไม่เห็นมันกลับมาช่วยอะไรวัดเลย มันก็สึกออกไป ดีไม่ดีสึกออก

ไปแล้ว บวชตั้งแต่เป็นเณร มันดันเอาลูกมาฝากเราอีก เออ มันหลายปีผ่านไป มันก็กลับเอา

ลูกมาฝาก ไม่เป็นไรมันฝึกให้เราแกร่งขึ้น องอาจ สง่างามในตัวของเรามากขึ้น ทำ

ประโยชน์ให้พระศาสนา ไม่ใช่ทำประโยชน์แล้วเราต้องได้รับอะไรกลับมา เผยแพร่

คุณธรรมให้สรรพสัตว์ ให้รู้สัจจธรรม เข้าถึงองค์คุณแห่งธรรม นั่นเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า

สอนไว้ว่า ต้องทำ ภิกษุทั้งหลาย เธอจงไปสู่ตามนิคามชนบท จงแสดงธรรมที่มีประโยชน์ใน

เบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง แล้วก็สว่างสงบในที่สุด นี่คือหน้าที่
เพราะงั้น ใครจะบอกว่าทำแล้วไม่ได้ประโยชน์ ถามว่าหลวงปู่ได้ประโยชน์อะไร ก็ได้สร้าง

บารมี ได้สร้างภูมิธรรม ได้สั่งสมอบรมเจริญปัญญา เมตตาธรรม คุณธรรมหลากหลายก็

ปรากฏขึ้น ก็เด็กแต่ละคนแต่ละรุ่นที่มันเข้ามาบวช มันก็หลากหลาย ปัญหาหลากหลาย เค้า

เรียกว่าหลากหลายเผ่าพันธุ์ ร้อยพ่อพันธุ์แม่มารวมกัน มันก็ร้อยข้อร้อยปัญหา ก็ต้องหาวิธี

จะทำยังไงให้มันอยู่รวมกันได้ที่เราจะบริหารจัดการปกครอง
เพราะงั้น การงานเป็นเครื่องยังให้เกิดสมรรถณะ แล้วก็พิสูจน์สมรรถณะของตัวเอง การงาน

เป็นเครื่องยังให้เกิดความสำเร็จ แล้วทำให้ชีวิตเราภาคภูมิในความสำเร็จนั้นอย่างยั่งยืน 
แล้วเราจะทำการงานนั้นอย่างไรที่เพิ่มสมรรถณะ เพิ่มความสำเร็จ มันก็ต้องทำด้วยการที่มี

จิตตั้งมั่น มีสติอยู่กับการงาน ทำด้วยการใคร่ครวญพินิจพิจารณา ไม่ใช่ทำอย่างชนิดที่เจ๊าะ

แจ๊ะๆ  มือทำไป ปากก็พูดไป จิตใจก็ล่องลอยไปเรื่อยๆ นี่เค้าเรียกว่า ทำแบบ      แล้วฝึก

แบบนี้ ไม่ใช่ฝึกวันสองวัน มันฝึกกันเป็นชาติเลยนะ แล้วก็ติดเป็นนิสัย
ทีนี้เวลาจะเอาอะไรจริงๆ จังๆ ขยันที่จะได้อะไร รู้อะไรจริงๆ จังๆ มันทำได้ไม่นานไง มัน

ไม่ตั้งมั่นไง เอาตัวอย่างง่ายๆ เราอยากจะมีความสงบซักนิดนึง ก็ทั้งชาติ ฝึกมากี่ปีๆ ตั้งแต่

เล็กจนแก่ ก็ฝึกมาแบบเจ๊าะแจ๊ะๆ วิ่งหน้าวิ่งหลัง วุ่นวายสับสน พอถึงเวลา พอแก่แล้วจะมา

หาความสงบ เอาอะไรมาสงบ อย่างดีก็แว๊บเดียว แล้วก็สัปงก ไม่สงบ สัปงก พอสัปงก ก็

บอกว่า ข้าสงบแล้ว ก็เลยมาถาม ไม่เห็นได้อะไรเลย ได้แต่เฉยๆ อีห่า มันจะไม่เฉยได้ไง

ก็มันนั่งหลับ สัปงกไปแล้ว หัวทิ่มไปแล้ว จะไม่เฉยได้ไง ก็ฝึกซิ ลูก ฝึก
เคยเห็นหลวงปู่นั่งหลับไม๊ ไปถามพระเค้าได้เลย พระองค์ไหน ถ้าเห็นกูนั่งสมาธิหลับ องค์

นั้นต้องเป็นศาสดาแน่เลย  เพราะกูฟอร์มดี กูหลับมันก็ไม่รู้หรอก ไม่หลับหรอก ถ้ากูหลับ

ในโลกนี้ไม่ต้องแล้ว เออ เพราะอะไร เวลาหลวงปู่ฝึก เรารู้ว่า เรานั่งแล้ว มันจะเคลื้มๆ เรา

จะรู้ตัวเรา เอ่อ นี่โรคมันกำเริบแล้ว ถีนะมิทะมันครอบงำแล้ว เราจะทำยังไงจะแก้ถีนะมิทะ

มันจะมียาเข้ามาปรากฏให้เห็น เลือกสรรค์ จัดคัด แตะต้องได้อย่างเหมาะสม  เอ้า อากาศ

มันหนาว เรากำลังจะเคลื้ม มันก็เปลื้องผ้าออกซะ ดูซิว่าความหนาวจะทำให้เราตื่นไม๊  เอ้า

ไม่ตื่นเหรอ ไม่ตื่นก็เอาตีนแช่น้ำลงไปอีก เอ้าตื่นไม๊ ไม่มีใครหลับได้กลางน้ำหรอก ลูก ยก

เว้นมหาอานนท์ มหาอานนท์สุดยอด เป็นเอกัตทัตคาหลับ เป็นลูกศิษย์ที่มีเอกัตทัตคาที่

วิเศษสุดยอด เอกัตทัตคา 2 อย่าง พอถือบาตร โอ้โห รถก็วิ่งไม่ทัน ใส่เกียร์ 4 เลยล่ะ

นักวิ่งไม่ต้องห่วง ไปแล้ว นิ่งเป็นหลับ ขยับแดก  ขยับแดกนี่รู้สึกจะเป็นพระอ้วน กินไม่

มากหรอก แค่ชามเดียว แต่ตักหลายครั้ง
ก็มันเป็นอะไรที่หลวงปู่ต้องแก้ตัวเอง เพราะเหตุที่เราไม่มีครู พอมันไม่มีครู ก็ต้องหาวิธีจะ

สอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา  เอ้า จิตมันทุกข์เหรอ  ฟุ้ง ก็จะเดินกรรมฐานในข้อที่มันจะทำให้

จิตวิเวก คุมจิตนั้นไว้ เจริญลมปราณโอสถ เดินลมตามจุดต่างๆ ยังไม่พอ ยังไม่หายฟุ้ง

แสดงว่าใช้อำนาจแห่งฌาณกดไม่ได้ อย่างนั้นก็ใช้อำนาจแห่งปัญญา นึกถึงอนิจจัง ทุกขัง

อนัตตา วิชาคลำกระดูก เคยสอนใช่ไม๊ เออ ก็เอาวิชาคลำกระดูก ว่ากระดูกมันง่วงได้เหรอ

เท่านั้นแหละ น้ำตาไหล เกิดปิติสุข พอคำว่า กระดูกมันง่วงได้เหรอ เกิดปิติสุข หาย

อันตรธานหาย
ถีนะมิทะมันจะเกิดใกล้เคียงกับองค์ฌาณ อ้ายง่วงๆ น่ะ แว๊บเดียวเข้าองค์ฌาณได้เลย แต่

ส่วนใหญ่มันจะออกนอกชานเสียส่วนใหญ่ มันไม่เข้า มันจะออกไป เอ้า จริงๆ เออ กระดูก

มันง่วงเหรอ เกิดอาการทุรนทุราย ปวดเมื่อยทรมานร่างกาย
หลวงปู่ไปอยู่ป่า ไม่ฉันยาเลย พระเค้าเตรียมยาไปให้ห่อใหญ่ ไม่ฉัน เช้า ตื่นขึ้นมาเช้ามืด

ก็สูดอากาศ ดีๆ  เดินลมปราณโอสถ ออกกำลังกาย รำมวย 8 ทิศ ฝึกท่าพระโพธิสัตว์สมาธิ

กว่าจะเสร็จ ก็ปาเข้าไปร่วม 8 โมง  พระเค้าก็รวมตัวกันสวดมนต์ล่ะ ไม่ฉันยา ไม่งั้น

ปกติต้องฉันยาแก้ไข้ เพราะมัน ไม่ได้พักไง พอไม่ได้พัก เป็นแล้วมันไม่รู้จักหายขาด ก็

ฉันแล้วก็ดีขึ้น ถ้าวันไหนไม่ได้ฉันก็เอาล่ะ จะแสดงอาการ แต่พอไปอยู่นู้น ไม่ฉันยา

ออกกำลังกายเช้า ออกกำลังกายเย็น เดินปราณโอสถ ลมเจ็ดฐาน อะไรก็ว่าไป ดีกว่ายาอีก
ปกติเป็นโรคปวดหลังเพราะข้อกระดูก มันเคยตกภูเขา กระดูกมันโปน พอโดนอากาศเย็นๆ

ก็จะปวด ก็เดินลมเจ็ดฐาน ปราณโอสถ ดีขึ้น ขยับขยายร่างกายยืดเส้นเอ็นได้  เพราะงั้น

วิชาที่กูสอนนี่เยอะแยะไปหมด มึงว่ากูเป็นอาจารย์ในแผ่นดินที่สอนนี่วิชามากไม๊  มี

อาจารย์ที่ไหนสอนมากกว่ากูไม๊ เฮอะ มีไม๊ นี่ไง เค้าเรียก อาจารย์เป็ด เป็ดบินได้ไม๊ เออ

แต่บินไม่ไกลนักหรอก ลงน้ำได้ไม๊ เดินบนบกได้ไม๊ เออ อาจารย์เป็ด ทำได้ทุกอย่าง กู 

เคยถามพระ ถามพวกอ้ายเขม มีอะไรที่กูยังไม่ทำ อ้ายเขมบอก ปาท่องโก๋ไง ปู่  ปัญญาอ่อน

ปาท่องโก๋ เราก็เลยมองหน้ามัน รู้ได้ไง กูยังไม่ทำ กูเคยทำ ปาท่องโก๋มันจะไปยากอะไร

เพราะงั้น ก็ฝึกเอาไว้หลายอย่าง เพราะคนเป็นโรค มันไม่ใช่เป็นโรคเดียวทั้งชีวิต คนเป็น

หวัดทั้งชีวิตได้เมื่อไหร่   เดี๋ยวมันก็เป็นเบาหวาน เดี๋ยวก็ความดัน เดี๋ยวหัวใจไขมันอุดตัน

แล้วมียาขนานเดียวแก้ได้เหรอ แล้วโรคทางจิตเป็นโรคที่มากับตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูก

ได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัส ใจรับรู้อารมณ์ แล้วแค่พุทโธๆ อย่างเดียว อรหัง สัมมา อรหัง

ใสวิ๊ว แล้วมันจะไปแก้อะไรได้หมด แก้ไม่ได้หมด มันต้องมีหลากหลายยาใส่เข้าไปแก้ 

เพื่อให้เพราะว่าในขณะหนึ่งที่เราเจออารมณ์ราคะ เราก็ต้องใช้อสุภะเข้าไปกำหราบ
ขณะหนึ่งที่เราเจอโทสะ ก็ต้องใช้เมตตา พรหมวิหารเข้าไปกำหราบ หรือไม่ ปัญญา เข้ากำ

หราบ
ขณะหนึ่งที่เราเจอโมหะ ความหลง ก็ต้องเจริญวิปัสนา เจริญอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เจริญจตุ

ธาตุวัฏฐาน 4 อย่างนี้เป็นต้น พิจารณาว่ากายนี้มีลมประกอบของดิน น้ำ ลม ไฟ อย่างนี้

หรือ อสุภะกรรมฐานอย่างนี้
ในขณะที่เรามีโลภะ ความโลภ ก็ต้องเห็นธรรมชาติ กระดูกนี้มีสมบัติที่ไหน เกิดจากท้อง

แม่มีอะไรติดตัวมา วิเคราะห์วิจารณ์ พินิจพิจารณา  บทสวดมนต์เช้าๆ หลวงปู่ใช้เจริญวิปัส

นาบ่อยๆ เวลาถ้าจิตมันฟุ้ง เราก็จะ รูปังอนิจจัง รูปไม่เที่ยง เวทนาอนิจจา เวทนาไม่เที่ยง

สัญญาอนิจจา  สัญญาไม่เที่ยง สังขาราอนิจจา สังขารไม่เที่ยง เท่านั้นแหละ น้ำหูน้ำตาไหล

เกิดปิติสุข  มันหลุดออกจากภวังค์แห่งความฟุ้ง เข้ามาสู่องค์ฌาณแล้ว ทีนี้ก็จะดึงมันเข้าสู่

ฌาณ 1, 2, 3, 4 ถอยหลัง 4, 3, 2, 1 ขึ้นไปหาวิปัสสนาญาณอะไร

ก็ว่าไป ง่ายจะตายไป
แต่บางทีเอาไว้เพื่ออะไร ถ้าเราขณะที่สวดมนต์ รูปไม่เที่ยง  เวทนาไม่เที่ยง ก็บิดอยู่นั่น

แหละ สวดไม่เลิก สังขารไม่เที่ยง บางคนหลับไปเลย ไม่เที่ยงมันก็หลับตั้งแต่เช้า
เพราะงั้น เราไม่จริงใจในสิ่งที่ทำไง พอถึงคราวจะเอามาใช้ อ้ายสิ่งที่ทำก็เลยไม่ได้เอามาใช้

ไง ไม่ได้ใช้ ที่นี้เข้าใจหรือยังว่า หลวงปู่อยากบอกอะไร ทำอะไรก็ทำด้วยกายและใจ ปาก

พูดอย่างไร กายทำอย่างนั้น ใจระลึกรู้เช่นนั้น ไม่ใช่ทำอย่าง ปากอย่าง ใจคิดอีกอย่าง ถ้า

อย่างนั้น ถึงคราวที่จะใช้ ไม่รู้จะเอาอะไรมาใช้ ถึงคราวที่เราจะมอดม้วยมรณาหรือมี

อาการบีบคั้น มีอาการทุรนทุราย มีกระบวนการเข้ามาแทรก
วันที่หลวงปู่โดนงูฉกกัด มองไปไม่ตกใจ  ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเราต้องสะดุ้งตกใจกลัว

เพราะรู้สึกได้โดยทันทีว่า ถ้าเราสะดุ้งตกใจกลัว ความดันในเลือดจะสูงขึ้นไม๊  ชีพจรเต้นสูง

ไม๊ เออ แล้วเราจะกำหราบพิษมันให้อยู่ในที่ได้ไม๊ เออ เพราะฉะนั้นก็มองมันเฉยๆ แล้วก็

นึกว่า งูกัดกระดูกเข้าเหรอ คิดทันทีว่า งูกัดกระดูกแล้วกระดูกจะเป็นยังไง กระดูกมันแข็ง

มันไม่ได้เป็นอะไร ชีพจรก็นิ่งสงบ แทบจะไม่เต้น ความดันในเลือดก็แทบจะหยุด เพราะ

กระดูกมันไม่มีลมหายใจ แล้วก็ขับเอาพิษออก

มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติอย่างนี้ นี่ไม่ใช่คุณสมบัติของพระอรหันต์ นี่คือคุณสมบัติของพระ

โพธิสัตว์ที่ต้องเรียนทุกสรรพวิทยาของพระพุทธเจ้า แต่ก็มาเล่าให้ลูกหลานฟังว่า นี่มันเป็น

ประสบการณ์ตรงของชีวิตที่ผ่านพ้นมา
แล้วก็บอกให้ฟังว่า มันทำได้ประโยชน์ แล้ววิธีฝึก ทำได้อย่างไร วิธีจะเข้าถึงองค์คุณอย่าง

นี้ทำยังไง ก็ทำอย่างที่บอกไง เวลาจะทำการงาน ก็อย่าให้การงานทำเรา เราเป็นผู้ทำการงาน

กายอยู่กับงาน ใจอยู่กับงาน ตัวอยู่กับงาน ตาอยู่กับงาน ทั้งกาย วาจา ใจ อยู่กับงานที่ทำ

แล้วสิ่งที่ได้มาจากการงานนั้น ไม่ใช่ได้ความเมามัน และความเหนื่อยเพลีย แต่ได้มาซึ่ง

ความรอบคอบ สติปัญญา ความละเอียดถี่ถ้วน ความวิจารณ์พินิจพิจารณา ความใคร่ครวญ

ถ่องแท้
งั้น เวลาหลวงปู่ทำงาน ก็เลยไม่มีข้อผิดพลาด แม้มีก็น้อยมากไง แต่คนทั้งหลายเวลาทำงาน

เดี๋ยวอ้ายโน้นก็ผิด อ้ายนี่ก็พลาด อ้ายนั่นก็ไม่ถูก อ้ายนั่นก็ไม่ได้เรื่อง เพราะมันปากทำนี่

ปากพูด มือทำ ใจไปไหนก็ไม่รู้ งานมันก็เลยไม่ประสบความสำเร็จ แล้วสิ่งที่ได้กลับมาจาก

การงานที่เสียเวลาไป เสียแรงไป เสียทรัพยากรไป ก็คือ ความเหนื่อย ความเหนื่อยแล้วก็

ความเมากับงาน ความล้า ความเพลีย ความเปลี้ย แทนที่จะได้สติปัญญา สมาธิ พลัง อำนาจ

ตบะ ชัยชนะ ความสำเร็จ ไม่ได้ มันเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
เพราะงั้น คำว่า ชีวิตและการงานเพื่อความเบิกบาน ไม่ใช่ทำแล้ว ปากก็จ้อยๆ ชีวิตและการ

งานรวมทั้งจิตใจต้องรวมกับการงาน แล้วมันจะเบิกบานแจ่มใส ไม่ใช่ชีวิตการงานทำแบบ

ชนิดที่เหมือนกับพังพอน มันไม่มีสิทธิ์เบิกบาน ให้เข้าใจความหมายนี้
 นี่คือสิ่งที่อยากบอกว่า ปีนี้เป็นปีของกระบวนการที่จะต้องเรียนรู้ตัวเองให้มากกว่านี้ วิชา

ครูที่สอนไป ลองท่องให้ฟังซิ วันไหว้ครูน่ะ สอนอะไร
เรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชา ลุถึงปัญญา นำพาชีวิต เออ เรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชา ลุถึงปัญญา นำพา

ชีวิต
มันพ้นไปจาก หรือไม่เหมือนกับที่หลวงปู่พูดไปเมื่อครู่นี้ไม๊ ไม่เหมือนไม๊ เฮอะ แล้วทำไม

มึงไม่ใช้ มันไม่เหมือนก็เพราะว่า ไม่เอาไปทำ ไม่ทำหรือไม่รู้วิธีทำก็ไม่รู้ แต่มันน่าจะ

บอกว่า ไม่ทำมากกว่า จะบอกว่าไม่รู้วิธีทำ ไม่ใช่ ก็บอกทุกครั้ง บอกก่อนไม๊ ทำอย่างไร

ปากพูดอย่างไร ใจจะต้องป็นอย่างนั้น
บอกบ่อยไม๊ เออ แล้ววิชาครูก็สอนไปแล้ว เรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชา ลุถึงปัญญา นำพาชีวิต

ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง ไม่ทำเสียที ทีนี้พอมาเจริญกรรมฐาน อ้าว ไปแล้ว ไปตั้งแต่

เริ่มนั่ง พระเนี่ย ตอนที่หลวงปู่ไปปลุกเสกพระในป่า เหรียญที่แจก บอกพระว่า ถ้าปลาไม่

ตอดพระ กูไม่กู้พระขึ้นนะ เออ ปลามาตอดเหรียญ กูก็เลยบอกว่า จะไปยากอะไร ก็เอามา

ม่าหว่าน เออ วันที่สวดมนต์กู้พระขึ้นจากอ่างน้ำมนต์ธรรมชาติ นกนางแอ่นบินวนกันฝูงเบ่อ

เร่อเลยบนฟ้า พระเค้าไม่เห็น ชี้ให้เค้าดู สวดจบ เค้าก็ไป  อ้ายที่แจกเมื่อวาน ได้หรือยัง เออ

ไม่แจกอีกแล้ว ใครยังไม่ได้ เออ ไปขออ้ายคนที่ได้แล้ว
มันมีนายทหารคนนึง ไอ้ยักษ์ ไอ้ดำ  สมัยก่อนนี้มันอยู่ถ้ำไก่หล่น แล้วหลวงปู่ก็ชอบแสดง

ฤทธิ์ มันก็ไม่ได้อยากแสดงหรอก มันมีพวกศาสดา พวกฤาษี พวกชีทั้งหลาย พวกไอ้นักตัด

เหล็กไหล เข้ามากวนกูในถ้ำ กูก็เลยต้องแสดงฤทธิ์ แล้วมันก็มาแอบเรียนวิชาอะไรต่ออะไร

วันที่หลวงปู่ทำหล่อพระเบญจอวโลกิเตศวร เหลือเศษเอามาทำเหรียญเบญจ ก็ให้เอาไข่มา

เสก ให้ไอ้ดำ ไอ้เดิม ไอ้เดช ไอ้ 4 ด. เนี่ย เอาไข่มาเสก เขียนแล้วก็เอาไปจับปรอท

เอาไปฝังไว้ตามลำธารน้ำเน่า น้ำเสีย ปรอทมันชอบกินของเน่าเหม็นตามโลงศพ ป่าช้า ฝัง

ไว้แล้วก็เอาปรอทไปจับ จับปรอทเข้าไข่ กูก็ให้เอาไข่ไปวาง พอถึงเวลา 15 วัน ก็เอา

ด้ายแดง เอาเทียนขี้ผึ้ง เขียนยันต์ร่ายคาถาแล้วจุดเรียกปรอท แล้วก็กู้เอาไข่กลับ แล้วก็เอา

ปรอทใส่ชามสังคโลก ชามเบญจรงค์ ชามก๋วยเตี๋ยว มันร้องเจี๊ยบจ๊าบๆ ไปหมด พอเอาเข้า

เตาหลอมเป็นพระอวโลฯ ก็สอนพวกนี้ คนนอกถ้ำจะไม่รู้เคล็ดลับวิธีใช้เหรียญเบญจกับ

พระอวโลกิเตศวร จะสอนวิธีใช้ แล้วก็บอกว่า ถ้าต้องการให้เกิดประสิทธิผล ต้องหล่อด้วย

น้ำผึ้งทุกวันที่ 15  ต้องเลี้ยงปรอท ไอ้นี่มันทำ เค้าส่งมันไป หลังจากได้พระ ไปอยู่โน้น

พม่า ไทยใหญ่ พวกไปหาข่าวยาเสพติด แล้วก็โดนเค้าไล่ฆ่า พอหาข่าวได้ ก็ส่งไปตรวจตรา

มีทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ส่วนไหนพอมันรู้ว่า ใครหาข่าวสืบข่าว มันก็ไล่ฆ่า มันยิงไม่ได้

ก็ใช้รถ 10 ล้อ โดนมันคว่ำ เมื่อวานมันมาเล่า รถผมล้อมันหลุดไปทั้ง 4 ล้อ กระดูกยุบ

แต่ไม่หักแตก แล้วไปโดนยาสั่ง ก็ใช้อวโลฯดูด ดำปี๋ ยาพิษ

เล่าให้ฟังนี่ ก็อยากจะบอกว่า อำนาจของจิตที่มันรวมกัน กาย ใจ วาจารวมกันเป็นหนึ่งมัน

สามารถถ่ายเข้าไปสู่สิ่งต่างๆ ได้ ไม่ต้องมาเป็นหลวงปู่ พวกมึงก็ทำได้ เหมือนพระที่พวกมึง

เสกกันเอาไว้ที่แช่อยู่ในบาตรน่ะ น่าจะใช้ได้แล้ว แต่ยังให้ไม่ได้ เพราะมึงยังสอบไม่ผ่าน

เป็นกี่ปีก็ไม่รู้ล่ะ มึงสอบผ่านเมื่อไหร่ กูให้เมื่อนั้นแหละ ใช้ได้แล้ว เออ นี่เป็นมหาวิทยาลัย

ชีวิตโว้ย ยิ่งกว่าปริญญาเอกอีก สอบผ่านเมื่อไหร่ ได้เมื่อนั้น แล้วก็เขียนพินัยกรรมไว้ด้วย 

เออ ยกให้ใครก็เขียนพินัยกรรมไว้  เอ้า จริงๆ มันเป็นสมบัติของตระกูลวงศ์ ยิ่งแถมมีใบ

ประกาศนียบัตรประกาศรับรอง  เพราะพวกมึงอย่างหนา ทนได้ สำเร็จประโยชน์ได้พระ

ปิดตา เออ เพราะงั้นฝึก เวลามีชีวิตอยู่ คือการฝึก
ชั่วชีวิตหลวงปู่ การมีชีวิต มีลมหายใจ คือการฝึก ไม่ใช่อาศัยเวลาว่างฝึก ไม่ใช่ต้องหลีกลี้

หนีหน้าคนแล้วก็ไปฝึก เวลาหลวงปู่ฝึกสมัยอยู่วัดคลองเตยในสมัยก่อน กองขยะสูงแค่นี้

พอถึงเวลาที่เค้าไปบิณฑบาตรมาได้  80, 60 บิณฆบาตรมาได้ อู้ฮู้ แต่ละองค์นี่ รถถัง

เต็มๆ ทั้งนั้น แล้วไม่ใช่องค์นึงถังเดียวนะ องค์นึงก็ 3 ถัง 4 ถัง เด็กก็ต้อง 3-4 คนหิ้ว

กันมา  แล้วเวลามันกิน มันกินถุงเดียว อิ่มแล้ว แล้วที่เหลือก็ไปไหน เออ แล้วคิดดูอ้ายพริก

แกงทั้งหลายอยู่ในถุง พอมันบูด หมูก็มาดุน หมาก็มากัด ไม่มีใครกวาด กูก็ไปกวาดๆ แล้ว

มันไปทิ่มถุงก็ระเบิดใส่หน้า ฝึกตัวเองไง  มันไม่มีใครฝึกเรา เราก็ฝึกตัวเอง ไม่มีใครทำ กู

ก็ทำ เราก็ฝึกไป ตรงไหนที่เค้าไม่ทำ ตรงไหนที่เค้าไม่หยิบ เราก็ไปทำ ไปหยิบ  ตรงไหน

มันมีหญ้ารกรุงรัง งูเงี้ยวเขี้ยวขอมันจะอาศัย ก็จัดการทำ ส้วมกูล้างทุกอาทิตย์ เพราะว่าเรา

ไม่มีครูฝึก ฝึกแล้วก็จิตอยู่กับงาน ใจเราก็อยู่กับงาน กายก็อยู่ทำงาน ปากก็ไม่เคยพูดกับใคร

เพราะเค้าไม่พูดกับกู  เพราะกูบ้าไง มีพระดีที่ไหนไปแช่ขี้ ไม่มีหรอก หลวงปู่ไปแช่ขี้เป็น

สิบกว่าวัน ครึ่งเดือนกว่า ไม่มีพระดีที่ไหนเค้าไปแช่ขี้หรอก ไม่มีพระดีที่ไหนเค้าไปนอน

กับศพน้ำเหลืองเยิ้มๆ แล้วเค้าก็เลยไม่พูดกับกู ก็ดี ทำให้กูได้ทำงานได้อย่างเบิกบานแจ่มใส

ไม่ใช่ได้แค่เหนื่อย ได้เหงื่อ แต่ได้อำนาจ ได้ตบะ  พลัง เดินบิณฑบาตร พระใหม่ถุยน้ำลาย

ใส่  ไม่ได้คิดโกรธแม้นิดเดียว หันไปยิ้มใส่ ถ้าเป็นสมัยก่อนล่ะ ฮึม เราจะบอกมันว่า บวช

แต่ตัว แต่มือตีนยังไม่ทันบวช
พอออกมาจากโลงศพ ออกมาจากหลุมขี้ เฉยๆ เรามีความรู้สึกว่า อ้ายที่เราอยู่ มันสกปรก

มากกว่า ไม่มีพระดีที่ไหนเค้ากินข้าวกับขี้หรอก คือ ฝึกถึงขนาดเอาขี้ใส่จานมาวางอยู่ข้าง

หน้า แล้วกินข้าวไปด้วยสมัยก่อน เพราะงั้นเค้ารู้กันเป็นที่ประจักษ์ ไปที่ไหนก็ไม่มีใครคุย

กับกู จริ๊งจริง ต้องถามอ้ายเชา อ้ายเชาวลิต มันแอบไปฟังธรรมบ่อยๆ แล้วเวลาฟังธรรม กู

ก็ไปแสดงธรรมใกล้ๆ กองขยะ ถ้ามึงนั่งได้ กูก็แสดง  ถ้ามึงนั่งไม่ได้ กูก็ไม่แสดง เออ ถ้า

มึงหนา กูก็แสดง ถ้ามึงไม่หนา กูก็ไม่แสดง เออ มันก็ยังทนนั่ง  สมัยก่อนก็มีพวกโรงงาน

ไม้อัดไทยบางนา พวกโรงงานยาสูบ พวกโรงทอ รวมตัวกันเสาร์อาทิตย์ เย็นๆ ก็ไปฟังธรรม

100-200 คน ได้ตังค์มาก็ยกให้วัด ไปจ่ายค่าไฟ ค่าอะไรแล้วแต่พระ สมภารเค้าจะ

เอาไปใช้ นิสัยกูเป็นอย่างนี้ไง เพราะฝึกแบบนี้  พอฝึกมาแบบนี้ มันก็เลยเป็นอะไรที่มันง่าย

เวลาเราจะได้ความสงบ ได้ความสำเร็จ ได้สันติสุข สันติภาพ
มีคนเค้าถาม เมื่อเช้าเมื่อวาน ฝ่ายบัญชีเค้าอ่านรายได้ รายจ่ายวัดให้พระฟัง พระเค้าก็

เดือนมกรา รายได้ 8 ล้าน จ่าย 12 ล้าน เฮ้ย ยังกับม้าเข้าวิน เออ ใครไปเอามาอ่านซิ

อ่านให้มึงฟัง อ้ายบัญชีรายรับรายจ่ายของปีนี้ ถามพระต๋อยว่า ยังมีอีกไม๊
บอกกับเค้าว่า ท่านไม่ต้องกังวลหรอก ผมน่ะไม่แบกตังค์ ไม่แบกตังค์ก็ไม่แบกหนี้ ไม่ต้อง

กลัวผมชักดาบ ผมไม่มีดาบจะชัก แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าผมจะเป็นทุกข์เดือดร้อน เพราะถ้า

หลวงปู่เป็นทุกข์เดือดร้อนเนี่ย จะมีโอกาสได้หัวเราะไม๊ กูจะแสดงธรรมได้ไม๊
ตัวสมภารเค้าบอก อู้ฮู้ ถ้าเป็นผม เดือนแรกขาดทุน ผมก็ไปแล้ว พระบางเลน ถ้าเดือนแรก

เห็นผลอย่างนี้ ผมไปแล้ว ไม่รอเดือน 12 หรอก หลวงปู่เฉยๆ  ไม่ได้คิดอะไร เพราะเรา

ไม่ได้ทำด้วยความอยาก เราไม่ได้ทำด้วยความตะกรุมตะกรามตะกระ เราทำเพราะมี

หน้าที่ที่จะต้องทำ  และหลวงปู่เชื่อในพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ สีลานุภาพ

และอธิษฐานธรรม 
อีตอนทำ พระโพธิสัตว์ก็บอกว่า ท่านทำ จะมีคนช่วย เราก็เชื่อ ก็ทำมาตลอด จนนี่หล่อเศียร

แล้ว ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ก็ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็รอประกอบเป็นชิ้น แล้วก็ขึ้นฐาน แล้วก็

อ๊อกฐาน ซึ่งฐานเหล็กเค้ามายื่นซองประมูลไว้ 20 กว่าล้าน ทำฐานขึ้นไปอีกชั้นนึง เพราะ

ว่าข้างในต้องมีเหล็กดาม เพราะว่าโลหะหล่อเป็นตันทั้งหมดไม่ไหว หล่อแล้วก็ประกอบ

เป็นแผ่นๆ แล้วก็ดาม ความสูง 60 เมตร ลมบนแรง อาจจะมีปัญหาเรื่องโยกโคลน ก็ไม่

ต้องกังวล มึงก็ขยันใช้หอมจังก็แล้วกัน เอาตังค์มาใช้ เออ เอาบัญชีรายรับรายได้ของปีนี้มา

อ่านให้ฟังหน่อยซิ   หวย ฟังหวยออก
ปี 2553           รับ                        จ่าย
ม ค              6.3 ล้าน                11.3 ล้าน
ปี 2553           รับ                        จ่าย
ก พ              12.1 ล้าน                 10.3 ล้าน
มี ค                3.9 ล้าน                   8.1 ล้าน ม้าเข้าวินหรือไง ร้อง โอ้โฮ้
เม ย                5.7 ล้าน                 7.5 ล้าน 
พ ค              11.01 ล้าน              10.1 ล้าน
มิ ย                 3.8 ล้าน                 6.8 ล้าน
ก ค                 6.2 ล้าน                 5.3 ล้าน
ส ค                6.5 ล้าน                 8.9 ล้าน
ก ย                 6.6 ล้าน                 8.8 ล้าน
ต ค               11.02 ล้าน              8.1 ล้าน
พ ย                 3.7 ล้าน                10.7 ล้าน
ธ ค                 7.8 ล้าน                 6 ล้าน
รวม               85.1 ล้าน           102.5 ล้าน
กูรวยไม๊ เป็นพวกมึงว่าไง อยู่ได้ไม๊ โอ้ย ไปตั้งแต่เดือนแรกแล้ว สบาย ไม่แบกมัน มันก็

ไม่หนัก
ถ้าแบก มันก็จะหนัก
ถ้าเข้าใจ รู้จัก วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็น มันก็เบาสบาย ไม่ต้องอะไรมันมาก ไม่รู้  อีนวลมัน

ก็หาจ่ายบ้าง ผีบ้าง กูก็ใช้ผีบ้าง เทวดาบ้าง มันก็เป็นอย่างนี้มาทุกปี ปีที่แล้ว รายจ่ายก็ 100

กว่าล้าน หาได้ 90 กว่าล้าน ปีนี้เสื้อแดงมันเผาห้าง กูเลยหาได้น้อยหน่อย ปีนี้ก็อย่าให้

มันไปเผาตรงไหนอีกก็แล้วกัน
คือไม่ได้ลำบากหรอก ลูก ไม่ต้องกังวลหรอก หลวงปู่ก็ทำโน้น ทำนี่ ทำไปเรื่อยๆ คือ ไม่

ได้ทำเพราะเราเป็นทาสของสิ่งที่ทำ แต่ทำเพราะเราเป็นผู้กระทำ ถ้าเราทำเพราะเราเป็น

ทาสของสิ่งที่เราทำ เราจะต้องแบกสิ่งที่ทำ แล้วมันจะนอนไม่ได้ กินไม่ได้ แล้วก็ทุกข์

ทรมานทุรนทุราย แต่ถ้าทำเพราะเราเป็นผู้กระทำ เหมือนอย่างที่กล่าวบทโศลกเอาไว้ว่า ลูก

รัก คนฉลาดใช้กิเลส คนโง่โดนกิเลสใช้
ถ้ามีสติปัญญา ความชาญฉลาด เราจะไม่อยู่ในอำนาจของการครอบงำของกิเลส ตัณหาก็จะ

เบาบาง  แต่ถ้าเมื่อใดที่เราโง่เขลาเบาปัญญา มันก็จะโดนกิเลส ตัณหา อุปาทานครอบงำไม่

จบสิ้น ออกจากท้องแม่มีอะไรมา กูน่ะคิดแบบนี้ พอออกจากท้องแม่ มันไม่มีอะไรมา

อย่างนี้เราก็ไม่มีอะไรมา เราไม่มีภาระ ไม่ต้องมีกังวลอะไร แล้วก็ทำไปเท่าที่เราสามารถ

ทำได้  ไม่ยาก ไม่เห็นทุกข์ยากลำบากลำบน มันก็เห็นเป็นอย่างนี้ทุกปี กูก็ไม่เห็นมันปีไหนๆ

มันกำไรซักปี
เอาให้ถามปัญหา ใครอยากถามอะไร
ปุจฉา  เป็นโรคจิตเภท กลัว เห็นแสงกลางคืน วันโกน วันพระ ช่วยสอนวิธีให้หายกลัวแสง

ตอนกลางคืน
วิสัชนา  ฝึกปราณโอสถ อ้อ พูดถึงเรื่องแสง ก่อนหลวงปู่จะไปป่า ตาเวลามองแล้วจะมีเส้น

คือกระจกตา จอตามันเริ่มมีเส้น แต่พอไปอยู่ป่า เดินปราณโอสถ อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่ง

แล้วอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ เราไม่ต้องเจอกับแสงไฟ  ไม่ต้องเจอกับแสงนีออน อ้ายจอตาเส้น

ของตามันสั้นลงจากยาวๆแล้วมันพาดไปมา ก็บางลง เราก็รู้สึกไม่เจ็บปวด เพราะงั้นการอยู่

ในที่มืดซึ่งปิดบ้านปิดช่อง อยู่กับใครไม่ได้ อยู่กับธรรมชาติ แล้วก็ไม่ต้องใช้แสงมาก ใช้

แสงก็ใช้แสงเทียน แล้วก็ทำให้ชีวิตคุ้นเคยกับธรรมชาติ ประสาทตามันจะไม่เสียหาย คน

สมัยโบราณเค้าไม่ค่อยมีใครใส่แว่น เพราะมันไม่มีเครื่องทำลายประสาทตา ทำลายจอภาพ

อะไรเยอะแยะ  สมัยนี้ อ้ายคนขับรถมันบอกกระจกตาเสื่อมทั้งวันๆ มันอยู่กับคอมพิวเตอร์

อยู่แต่หน้าคอมฯ จอภาพเสื่อม เป็นแผลในกระจกตา ประสาทตาเสื่อม เพราะงั้น ก็ต้องหา

วิธีหลีกลี้หนีห่างจากแสงที่มันจ้าๆ เดี๋ยวนี้เค้ามีใช่ไม๊ แว่นกรองแสง ก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง

แต่ที่แน่ๆ ก็คือ อย่าดูโทรทัศน์ดึกๆ อย่าอยู่หน้าคอมฯนานๆ เพราะทั้งหมดนี่มันทำร้ายลูกตา
ปุจฉา    เข้าใจว่า ธรรมชาติของจิต คือจิตที่ปราศจากราคะ โทสะ  เหมือนกับการไม่ปรุง

อารมณ์
วิสัชนา  ก็อยู่ในข้ออานาปาฯ อยู่แล้ว พิจารณาเห็นความว่าง แล้วจึงหายใจเข้า พิจารณา

เห็นความว่าง แล้วจึงหายใจออก มันมีอยู่แล้วในอานาปาฯ ถ้าศึกษาให้ดีก็จะรู้ว่า พระ

พุทธเจ้าสอนไว้ละเอียด ธรรมชาติแท้ของจิตมีเครื่องปรุงไม๊ ธรรมชาติของจิตมันมีอาการอยู่

4 อย่าง เคยสอนไปแล้ว อะไรบ้าง รับ จำ รู้ คิด มันไม่มีเครื่องปรุง มีแต่หน้าที่ อ้ส

ยเครื่องปรุงไม่ใช่หน้าที่  หน้าที่ก็ไม่ใช่เครื่องปรุง หน้าที่ก็คือรับ หน้าที่ก็คือจำ หน้าที่ก็คือคิด

หน้าที่ก็คือรู้  รับในอะไร จำในอะไร คิดในอะไร รู้ในอะไร  รับ จำ คิด รู้ในสิ่งที่ตน หรือสิ่ง

ที่เข้ามาในจิต แล้วก็เกิดกระบวนการปรุงแต่ง มันต้องรับก่อน มันต้องรู้ก่อน ต้องคิดก่อน

ต้องจำก่อน พอรับมา คิดรู้จำแล้ว จึงจะมาปรุง ถูกต้อง ชอบธรรม ได้ ดี มี เสียสุข ทุกข์ พึง

พอใจ ไม่พึงพอใจ เหล่านี้เกิดกระบวนการปรุงแต่ง  ปรุงแต่งแล้วก็เกิดอะไร เกิดตัณหา

ความทะยานอยาก ทำให้เกิดอุปาทาน ความยึดถือ มันก็เป็นปฏิจสมุทธรรมสอนไปแล้วใช่

ไม๊  เออ เพราะงั้นในขั้นอานาปาฯที่ว่า พิจารณาความว่างของจิต แล้วจึงหายใจเข้า

พิจารณาความว่างของจิต แล้วจึงหายใจออก ก็ใช้ได้ จบ
ปุจฉา  ล๊อกเก็ตรูปหลวงปู่แตก เอามาแขวนได้ไม๊
วิสัชนา  เอามาแขวนได้ ไม่เห็นเสียหาย
ปุจฉา   ต้องการลดน้ำหนัก จะกินยาปรุงชีวะ ได้หรือไม่
วิสัชนา  กินลม  อย่ากินข้าว แล้วน้ำหนักลดแน่ เออ กินลม กินผัก กินลม ได้ทั้งนั้น น้ำหนัก

ลกลงเอง จบ    กินยาชุบชีวะ มันทำให้หิวข้าวนะ ทำให้เจริญอาหาร กินอิ่มนอนหลับนะ ไม่

ใช่กินยาชุบชีวะแล้วจะทำให้ลดน้ำหนัก เออ มันจะทำให้น้ำหนักขึ้น เพราะมันอยากข้าว หิว

ข้าว ทำให้กระเพาะลำไส้ขับน้ำย่อยออกมาได้ไวขึ้น
ปุจฉา   แม่อายุ 96 ปี ติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ มีไข้ มีเสมหะเหนียวข้น
วิสัชนา   ต้องดูว่าติดเชื้อทางเดินหายใจด้วยหรือเปล่า  เสมหะเหนียวข้น ต้องดูว่าสีเขียวหรือ

เปล่า แล้วก็มีอาการอย่างนั้น แสดงว่าติดเชื้อในปอด ก็อาจจะเป็นไปได้ ยาที่น่าจะกินได้ ถ้า

อายุมากๆ ก็คงจะยาแก้อักเสบ แล้วก็ยาแก้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ 2 อย่างนี่ อย่างละ 5

เม็ด กิน เช้า เย็น ก็น่าจะดีขึ้น แล้วก็ดื่มน้ำขิงร้อนๆ แล้วก็พยายามให้ดื่มน้ำเยอะๆ จะช่วย

ทำให้เสมหะละลายและไม่เหนียวข้น คนอายุมากๆ ธาตุน้ำจะบกพร่อง  คนอายุมากไม่ค่อย

ชอบดื่มน้ำ แล้วธาตุน้ำเดิมที่มีอยู่ มันก็สูญไปกับเหงื่อ กับรูขุมขน และการเคลื่อนไหวของ

ร่างกาย เพราะงั้นต้องดื่มน้ำมากๆ คนแก่ไม่ค่อยชอบดื่มน้ำ ขี้เกียจลุกเยี่ยว แล้วก็ถือว่าเป็น

ความบกพร่องทางนิสัย ถ้าเรารู้จักดื่มน้ำ มันจะแก่น้อย คือความแก่มันจะชลอ คือจะแก่น้อย

น้ำดื่มเยอะๆ ลูก ไม่เสียอะไร  จบ  นอกจากจะทำให้มีน้ำมีนวล ผิวพรรณเปล่งปลั่งแล้ว ยัง

ช่วยระบบขับถ่ายด้วย แล้วก็เสลดก็ไม่เหนียวข้น  จบ
ปุจฉา    จะขออนุญาตแกะสลักรูปหลวงปู่ด้วยไม้ อนูญาตหรือไม่
วิสัขนา   แกะเถอะ เอาไปบูชา อย่าไปแกะด้วยไม้งิ้ว กูไม่เคยขึ้นต้นงิ้ว  จบ
ปุจฉา  อยากทราบที่มาของรูปพระเทวีที่ทรงกระต่ายที่ปั้นไว้
วิสัชนา   เทพสุนทราศินี เคยเล่าให้ฟังแล้วม่ใช่เหรอ ตอนไปเจริญมนต์ที่ศิริราช ใช้ไม๊ เออ

เป็นเทพอารักษ์  บอกไปแล้ว ทุกคนน่ะมีเทพอารักษ์ แต่ที่เทพอารักษ์ของตนไม่ค่อยเด่นชัด

ก็เพราะว่า พาไปเข้าบ่อนเสียบ้าง พาไปดูหนังฟังเพลง กินเหล้าเมายา เราไม่ได้พาเข้าวัด

บริจาคทาน ทำบุญ ทำคุณงามความดี รักษาศีล แผ่เมตตา เจริญภาวนา เทพอารักษ์ก็เลยไม่

ค่อยมีแรง ผอมแห้งแรงน้อย หัวโต พุงโร ก้นปอด ทำห่าอะไรไม่ได้ เทพอารักษ์ก็เปลี้ยไป

เหมือนกัน เผอิญเทพอารักษ์กูแรงดี  จบ
ปุจฉา  ในขณะที่เดินในจังหวะที่ 1 ทำไมหลวงปู่ให้กำหนดจิตไว้ที่กลางลำตัว แทนที่จะ

เป็นที่เท้า
วิสัชนา   ที่จริงอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า ตรงไหนล่ะที่เราจะสามารถรักษามันไว้

ได้คงทนระหว่างเท้ากับกลางลำตัว เราคุ้นเคยที่จะรู้สึกตรงไหนมากกว่า ถามจริงๆ เฮอะ  มึง

เคยดูแลรักษาตีนมึงเท่ากับหน้ามึงไม๊  มีใครเอาตีนส่องกระจก มีแต่คนเอาหน้าส่องกระจก

ใช่ไม๊ แล้วเวลามึงส่องกระจก มึงเคยก้มดูตีนไม๊ ไม่เคยเลย  นั่นไง คือนิสัยไง คือลักษณะ

นิสัย พอเรามาฝึกอย่างนี้ ที่จะรู้แค่นี้ บางทีมันก็ไม่อยากรู้ แล้วการจะไปรู้ในสิ่งที่ไม่ค่อย

อยากรู้ แล้วไม่เคยรับรู้มา พอมาเรียนรู้ มันรู้ง่ายหรือรู้ยาก เออ เท่านั้นเองแหละ  จบ
ปุจฉา    แม่อายุ 92 ปี ป่วยหลับตา ลืมตาบางครั้ง กลัวแม่ตายแล้วลำบาก จะช่วยอย่างไร
วิสัชนา  อืม สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่วเลวหยาบ กรรมใคร

ทำอย่างไร ก็ได้ผลอย่างนั้น ใครฝึกมาแบบไหน ก็ได้แบบนั้น เราอย่างดี จะช่วยได้โดย

หน้าที่ความเป็นลูกก็แค่ บอกทางสวรรค์ให้ ถ้าเรามีความสามารถที่จะบอก รู้วาระจิตของผู้

เป็นแม่ รู้ว่าจิตนี้กำลังจะผ่องแผ้วโดยอนุโมทนา จิตนี้กำลังเศร้าหมอง ควรจะสนับสนุน

ต้องชักจูงไปสู่หนทางแห่งความผ่องแผ้ว นั่นก็เป็นเรื่องที่ลูกมีโอกาส มีสิทธิ์ที่จะชี้นำแม่ได้

แต่ถ้าไม่รู้เรื่องอะไร ก็คงจะใช้แบบวิธีประมาณพูดกรอกหู ให้นึกถึงคุณธรรม คุณศีล คุณ

ทาน คุณภาวนา คุณงามความดีของตน หรือของแม่ตนที่เคยทำมา ให้จิตและอารมณ์อยู่

กับบุญกุศลนั้นอยู่ตลอดเวลาเนืองๆ อย่างนี้ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า วาระจิตสุดท้ายก็ยังเสพสุข

คติภพ ก็ไปสู่สุขคติภพ ถ้าวาระจิตสุดท้ายดันไปเสพทุกขคติ ก็คือ ไปจำแต่อารมณ์ที่เป็น

อกุศล ก็อาจไปสู่ทุกขคติภพได้  จบ
ปุจฉา   คนวัดได้นำของที่ตนนำมาถวายเวียนเทียนให้คนทำบุญ หรือเพื่อนำเงินทำบุญเข้าวัด

เป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่
วิสัชนา    อืม ทำไมเค้าถามกันบ่อยจัง ถามจัง ถ้าเค้าเอาเงินไปทำประโยชน์ ก็ชั่งเค้าเถอะ

เพราะของมันเราก็ไม่ได้เอามาใช้อยู่แล้ว พระอยากจะใช้ของถูกก็ปล่อยเค้า เว้นแต่ว่าเรา

ต้องการทำบุญทำกุศล คนที่จะทำบุญจริงๆ เค้าไม่ไปจับผิดพระหรอก ยกเว้นคนที่จะทำบุญ

แบบชนิดที่ว่า เอาของกูไปทำอะไรว่ะ หลวงปู่เวลาทำ จะไม่สนใจว่า ใครจะเอาของกูไปไหน

ถ้ากูทำแล้ว กูทำ แต่ถ้าหากว่าเป็นครู ไม่ได้ กูจะสนใจว่า อืม วิธีถูกต้องคืออะไร วิธีที่ไม่ถูก

ต้องคืออะไร คนจะทำบุญ เค้าไม่สนใจหรอก เดี๋ยวก็จะเหมือนทำบุญกับพระปลอม ได้ขึ้น

สวรรค์ ทำบุญกับอรหันต์ ตกนรก เพราะนั่งเสียดาย สงสัย หวาดระแวงอยู่อย่างนี้ เลยไม่

ต้องไปไหน อุ้ย มันเอาของเราไปเวียนเทียนหลายรอบจังนะ กระป๋องนี้เมื่อวานนี้ก็มาถวาย

แล้ววันนี้มาอีกแล้ว กระป๋องนี้กูจำได้ เออ ก็เมื่อวานตังค์แบงค์อะไร วันนี้ตังค์แบงค์อะไร

เมื่อวานกับวันนี้มันคนละตังค์ คิดแบบนี้ อย่าไปอะไรมาก ทำเพื่อหวังบุญ ไม่ได้ทำเพื่อ

หวังบาป ทำแล้วหวาดระแวงสงสัย จับผิดนั่น จับผิดนี่ อย่าไปทำเลย แสดงว่าตระหนี่ในลาภ

อย่าไปทำ  จบ
ปุจฉา   หลวงปู่บอกให้เอาน้ำผึ้งหล่อพระอวโลฯ ในวันขึ้น 15 ค่ำ การถวายเพื่ออะไร
วิสัชนา   ในพระอวโล ฯ เค้ามีปรอท แล้วปรอทเป็นสิ่งที่ไม่ตาย สิ่งเป็นที่ฆ่าตายได้ยาก

หรือไม่รู้จักตาย แล้วโดยวิชาคุณไสย เค้าถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ในวิชาแพทย์โบราณ คนถึง

ขั้นตรีทูตเนี่ย เค้าจะใช้ปรอทเข้าไปในอวัยวะที่เสื่อมโทรม แต่ว่าอยู่ได้ไม่นาน สุดท้าย

ปรอทมันก็ไปกินตับไต อวัยวะภายในก็อ่อนแอ มันจะช่วยพยุงให้ได้ในระดับหนึ่งแบบ

ประมาณว่า อย่าเพ่งตายนะพ่อ เขียนพินัยกรรมให้ก่อน เป็นอย่างนี้ไง พอเขียนจบ ...

เพราะปรอทมันจะเข้าไปทำลาย ให้แล้วมันก็ทำลสย เพราะงั้นการหล่อเพื่อให้ปรอทยังมี

ชีวิตอยู่ แล้วมีคุณ เป็นวิชา
ปุจฉา   เงินที่หลวงปู่ติดลบ หลวงปู่ทำอย่างไร
วิสัชนา   มึงจะออกให้กูรึ วัดไม่ได้เป็นหนี้นะ ลูก  ถ้าวัดจะเป็นหนี้ ก็เป็นหนี้กู เป็นหนี้บุญ

บารมีธรรมของกู วัดไม่ได้เป็นหนี้  วัดนี้ก็ตั้งอยู่ได้ด้วยบารมีธรรม บารมีธรรมที่ขึ้นต้น

ด้วยทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบขา แล้วทุกปีวัดก็

เป็นหนี้บารมีทาน บารมีธรรมแบบนี้ วัดไม่ได้เป็นหนี้ใคร วัดนี้ไม่เคยเสียเครดิท เรื่องการ

จ่ายเงิน มีแต่ว่าจ่ายเกินแล้วมันหนีด้วยซ้ำ มีแต่ว่าคนมาเอากับวัด ไม่ใช่มีคนเอามาให้วัด

วัดนี้ไม่เคยเสียเครดิท ค้าขายกับวัดนี้ ใครเค้าก็รู้กันทั่ว ส่งของไม่ต้องทำสัญญา เพราะว่าเด็ง

กูไม่มีเช็คให้เด็ง ใครๆ เค้าก็อยากมาขายของวัดนี้ ไม่เคยเสีย
แล้วถ้าหลวงปู่นัดวันไหน ก็ต้องได้วันนั้น  ถ้าไม่ได้ ฟ้าก็ต้องสะดุ้ง แผ่นดินก็ต้องสะเทือน

เพราะกูจะด่า ฉิบหาย ให้กูมาเกิด แล้วเงินไม่ให้กู แล้วกูจะอยู่ได้ยังไงกัน มันกลัว ไม่ต้อง

ห่วง หลวงปู่อยู่ได้ ก็เป็นหนี้อย่างนี้ทุกปี  คือวัดเป็นหนี้ธรรม เป็นหนี้บารมีธรรมหลวงปู่  ปี

นึงก็10 กว่าล้านขึ้น ก็เห็นไม๊ แต่ละเดือนมันติดลบ มีกำไรแค่กี่เดือน แล้วนอกนั้นก็ติด

ลบทุกเดือน แล้วปีก่อนๆ ที่ผ่านมาก็ติดลบอย่างนี้
ไอ้ช่วงมีสันติบาลมารอจับว่าใคร ข้าราชการคนไหน กลุ่มไหนเข้าวัดนี้ มีสันติบาลคอยจดชื่อ 

ติดลบทุกเดือน กูก็เฉยๆ  สมัยก่อนเค้าห้ามไม่ให้พวกข้าราชการผู้ใหญ่เข้าวัด มีพวกมือปืน

มาขู่ หลวงปู่ปากเสียนี่ เออ กูเฉยๆ อยู่ได้ ไม่ต้องกลัวหรอก ใบไม้กูยังอยู่เยอะ เพราะกูเป็น

คนบ้า  ไม่ใช่คนธรรมดา หรือว่ามึงจะช่วยออก ไม่ต้องหรอก
หลวงปู่จะไม่ ขอใคร เพราะสิ่งที่เราทำ คือสิ่งที่เราดำริ เราก็ไม่กลัว ถ้าใครจะให้ก็ต้องให้

ด้วยศรัทธา เรียกว่า มีใจ ไม่ใช่ให้เพราะว่าการที่ไปขอเรี่ยไร ขอร้อง หรือไม่ตั้งกอง  ต้น

อะไรๆ สารพัด เค้ามี เป็นวัดอื่นทำพระใหญ่ๆอย่างนี้ เค้าไปตั้งต้นผ้าป่าตามร้านต่างๆ

เรี่ยไรแต่ละรอบ
กูไม่ทำ อายเค้า กูไม่ใช่ขอทาน พิมพ์ซองเรี่ยไรขอคนนั้นคนนี้ ไม่เอา  เมื่อ 20 ปีหลวง

ปู่พูดกับนายอำเภอคนที่มันไม่ให้หลวงปู่สร้างวัดว่ายังไง วันนี้หลวงปู่ก็จะทำอย่างนั้น ไม่

เคยเปลี่ยน มันบอกว่า สร้างอยู่นั่นแหละ วัดเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดแล้ว สร้างมาแล้วก็

เดี๋ยวมาขอเรี่ยไรชาวบ้านเค้าเดือดร้อนอีก หลวงปู่ก็เลยมองหน้ามัน แล้วก็บอกว่า นาย

อำเภอ ชั้นมาขอสร้างวัด ชั้นไม่คิดจะมาขอใคร แล้วนายอำเภอคอยดู ชั้นไม่เคยขอและไม่

ต้องการขอใคร แต่ชั้นก็สร้างวัดได้ แต่หลวงปู่ก็ไม่เคยขอ อยากให้ก็ให้ อยากทำก็ทำ บางที

มันให้แล้วให้เราติดชื่อ ก็ต้องถามกลับไปว่า มึงจะเอาบุญหรือจะเอาชื่อ บอกเอาบุญ เอาบุญ

ก็ไม่มีชื่อ แล้วถ้าเอาทั้งบุญทั้งชื่อ งั้นมึงไปทำวัดอื่น
กูมีแต่บุญให้ ไม่มีชื่อให้ ก็ทำนี่ไง ทำหน้าบัณโบสถ์ ได้มาล้านนึง ให้ติดชื่อด้วย บอกไม่มี

มีแต่ชื่อในหลวงติด ชื่อมึงไม่มีสิทธิ์มาติดบนหัวกูหรอก ไม่มี ไม่เคย
ชีวิตหลวงปู่ สิ่งที่พูดก็คือสิ่งที่ทำ สิ่งที่ทำคือสิ่งที่คิด ไม่ว่าจะกี่สิบปี ก็ไม่มีเปลี่ยน
นั่งไม่เปลี่ยนชื่อ เดินไม่เปลี่ยนแซ่ ยืนไม่เปลี่ยนนิสัย กูไม่เป็นโอ้โลม ปฏิโลม จ๊ะจ๋า เจ๊อะ

แจ๊ะ ไม่ชอบ กูเป็นคนไม่ชอบเสแสร้ง ตลบแตลง หลอกลวง โยมจ๊ะ โยมจ๋า อุ้ย โยมแม่

แล้วคนเป็นแม่ รวยๆกันทั้งนั้น ยายสายนี่ไม่มีสิทธิ์เป็นแม่ มีแต่เศรษฐีทั้งนั้น โยมแม่จ๋า

แม่จ๊ะ นี่โยมแม่ชักเริ่มรู้ตัวว่า โดนหลอกไปเยอะ ชักเริ่มออกทธิ์แล้ว กูไม่ชอบ แล้วมันก็มี

พันธุ์อย่างนี้ มันก็เวียนตายเวียนเกิดมาตั้งแต่สมัยนิกรอรปวีณา ยันตระยันเต๊อะ อะไรแล้ว

ก็ไม่จำ ไม่จำ ก็เห็นเกิดกันบ่อยๆ ไอ้ความตลบแตลง เจ๊อะแจ๊ะ ตอแหล เอาใจ ชอบเอาใจไง

เลยกลายเป็นเหมือนกับไปหาจำอวด ไม่ได้ไปหาพระผู้ประเสริฐ ผู้ซื่อตรอง ผู้บริสุทธิ์ ผู้

บริบูรณ์ กลายเป็นไปดูหนังฟังเพลงหาจำอวด หาพระเอกนางเอก ไม่เข้าใจว่าไปทำไม เรา

ก็ดูเอา เวรกรรม ทางใครทางมัน ควายย่อมเดินตามฝูงควาย
ราชสีห์ไม่เดินตามควาย ถ้าเดินตามแสดงว่าเริ่มจะกินควาย ราชสีห์จะกินควาย แล้วราชสีห์

ไม่ชอบให้ใครเดินตาม  หลวงปู่บอกกับพระเสมอ ที่เค้ามาจากวัดต่างๆ ท่านเป็นราชสีห์อยู่

ในป่า ดีกว่าเป็นหมาขี้เรื้อนอยู่ในกรง จะสอนว่าอย่างนั้น บางคนเค้า อ้าว หลวงปู่ไม่ไปเป็น

เจ้าคุณ พระครู เฮอะ
ก่อนจะไปป่า ไปเฝ้า ไปเยี่ยมอาการสมเด็จวัดชนะฯ ป่วย ท่านป่วยหนัก นอนเป็นปลาแห้ง

ไปถึงท่านก็ยังไม่ฟื้น นอนอยู่ ก็เอาพวงมาลัยวางไว้ที่เท้า  อีรุ่งก็ไป ยืนดูสักพัก เอาพวง

มาลัยวางที่เท้า ตื่นขึ้นมา จับมือถาม เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งไป คุยกันก่อน ถามเรื่อง... อย่า

ลืมนะ ท่าน เตรียมตัวไว้ปีนี้ ผมส่งชื่อท่าน เออ 1 ใน 84 รูปของในหลวง กูได้ยิน กูใจ

หายแวบ กูต้องสึกอีกแล้วหรือนี่ ให้คนที่เค้าอยาก ผมไม่อยากจะได้ ใครอยากได้เอาไป

เค้ามีคนอยากตั้งเยอะ ถ้าหลวงพ่อจะใช้อะไรผม ก็ใช้ ผมไม่ต้องการอะไรจากหลวงพ่อ แต่

ถ้าจะใช้ ก็ไม่เป็นไร แล้วก็ผมเป็นอย่างที่ผมเป็น มีความสุข แต่จะไม่เป็นอย่างที่คนอื่นให้

เป็น นั่นเป็นทุกข์ บอกเค้าไปอย่างนั้น  อือ ท่านนี่ดื้อ
ชีวิตหลวงปู่ชอบอะไรที่เป็นอิสระ ไม่ชอบให้ใครมาครอบงำ มีห่วง มีอะไรเยอะแยะมากมาย

 เอา จบ
เริ่มปฏิบัติธรรม