13 ก พ. 2554  13.15 น.  (1/2) ถอดเทป ธรรมะกลางเดือน

โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
• ชีวิตต้องรู้จักปัญหา ต้องเห็นปัญหา
• ชีวิตของผู้พัฒนา ต้องมองเห็นปัญหา
• การมีชีวิตอยู่ในทำนองครองธรรม ก็คือ ทำตัวเองให้สอดคล้องกับกฏแห่ง

กรรม
• ทุกข์มันเหมือนกับความมืด ปัญญามันเหมือนกับแสงอาทิตย์
• ชั่วชีวิตหลวงปู่ เลือกเอาสิ่งที่ดีที่สุดในโลก ประโยชน์สูง ประหยัดสุด
• หลวงปู่เล่าประสบการณ์เป็นเจ้าคณะปกครอง
• มันไม่ใช่วิญญาณอันอิสระที่เราได้ชื่อว่า พุทธะอิสระ
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน
วันนี้เป็นวันแสดงธรรมประจำเดือน เค้าจะมีกิจกรรมอัดเทปไปออกรายการปุจฉา วิสัชนา

ของ ทีเอ็นเอ็นด้วย
ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการอัดเทป ขอรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับงานวันตรุษจีน ไหว้พระ

ไหว้เจ้า 8 วัน 8 คืน ได้ปัจจัยทั้งหมดประมาณ 15 ล้าน พระอวโลฯองค์เท่าไหร่ว่ะ 

ห้าแสน ใครมีพระอวโลฯบ้างว่ะ เออ ถ้ารุ่นเก่าๆ เค้าจะมี รุ่นใหม่ๆ ไม่มีแล้ว มันมี มีก็ของเก๊

แล้วถ้าจำได้ เมื่อสองสัปดาห์ก่อนวันตรุษจีน หลวงปู่เล่าความฝันให้ฟัง ใช่ไม๊  ฝันว่า พระ

บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระราชินีนาถ ท่านทรงเสด็จมาที่กุฏิ มาที่วัดอ้อน้อย เออ

แล้วก็ไม่ได้คิดอะไร กำลังทำขาหมูอยู่ คนเค้ามาบอกว่า ในหลวงพระราชินีทรงพระราช

ทานพุ่มดอกไม้ พานดอกไม้มาถวาย
ก็ยังพูดกับพระโต๊ดว่า มาทำไม คิดแบบคนที่ไม่อยากได้อะไร คือไม่อยากรบกวนเบื้อง

พระยุคลบาท แต่เค้าก็ยืนยันว่า มา ก็เอ้า มาก็ให้พระไปรับ เพราะว่าโดยธรรมเนียมปฏิบัติ

ก็ต้อง เค้ามีผู้แทนพระองค์อัญเชิญดอกไม้พระราชทาน ก็ต้องตั้งแถวรับ ธรรมเนียมปฏิบัติ

พระเค้าก็ไม่ได้ไปตั้งแถว กรรมการก็ไม่รู้อยู่ไหน ให้โทรฯ เรียกกัน ก็มีแต่ชาวบ้านที่มา

ทำบุญตั้งแถวรับ กรรมการก็มาบ้าง
รับเสร็จแล้วก็บอกกับกรรมการ พงษ์ศักดิ์ พี่ใหญ่ของพวกเราว่า เดี๋ยวกูเอาไปประมูลนะ

พวกกรรมการว่าอะไร อู๊ย เก็บเอาไว้ก่อน จะประมูลทำไม อ้ายเราคิดอีกอย่างว่า พระองค์

ทรงพระราชทานมา เอาสิ่งที่พระองค์ทรงพระราชทานไปประมูล ได้ตังค์ก็จะมาทำบุญ บุญ

ก็สำเร็จประโยชน์แก่พระองค์ทั้ง 2 เพิ่มพูนมากขึ้น เป็นบุญใหญ่ บุญโข แต่พวกเขาคิด

อีกอย่างว่า เก็บเอาไว้เป็นเกียรติยศ เกียรติประวัติ เกียรติคุณของวัด
หลวงปู่ก็คิดว่าเก็บไว้เดี๋ยวก็เหี่ยว เออ ใช่ไม๊ เก็บไว้รอเหี่ยว ไม่อย่างนั้นก็ได้มาอีกล้านสอง

ล้านก็ยังพอ ใช่หรือเปล่า กูล่ะหัวก้าวหน้าอยู่แล้ว เออ ยังได้บุญส่งต่อไปถึงพระบาทสมเด็จ

พระเจ้าอยู่หัว ล้นเกล้าทั้ง 2 พระองค์ ได้ประโยชน์มหาศาลกับพระศาสนา ทีนี้ก็ตั้งไว้เหี่ยว
เมื่อเช้าก็เลยบอกกับพวกที่เค้ามา เชาวลิต อ้ายเสถียร งั้นเดี๋ยวรอเหี่ยวก็มาบดทำพระ เออ

ทำพระ เพราะว่าครั้งหนึ่งเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังอัญเชิญเส้นพระเกศาของพระบาท

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาถวาย ตอนที่เจริญพระพุทธมนต์ในโบสถ์ ก็ยังอยู่ในผอบทอง เค้า

อัญเชิญมาถวาย เดี๋ยวเอามาบดผสมกับพระเกศาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทำพระอะไรดี จะทำพระสมภาร กลัวจะไม่มงคลเท่าไหร่ มงคลไม๊ เพราะนี่ไปอีกแล้ว ไป

เมืองกาญจน์ พอรู้ว่าจะมีงาน แว๊บไป ถามไปไหน เอาหมูไปแจกชาวบ้าน พระเค้าถามจำ

เป็นต้องไปวันนี้เหรอ เมื่อวานเค้าประชุม บอกมันรีบ ไม่รู้หมูรีบ หรือพระรีบ ไป สุดท้าย

หลวงปู่ก็ต้องไปถามว่า ทำความสะอาดศาลาหรือยัง จัดสถานที่หรือยัง สมภารไปแล้ว เปิด

แต่เช้า
มันเป็นผู้หลุดพ้นแล้วไง มันพ้นแล้วซึ่งปัญหาทั้งปวง ไม่เกาะเกี่ยวแล้วซึ่งมลทินใดๆ กูไป

เอาตัวรอดก่อน เออ จะว่ามันเวอร์ ไม่ใช่นะ มันรอบจัดนะ เวลามันอยู่กับพรรคพวกเนี่ยนะ

ปลาไหลใส่สะเก็ตเลยล่ะ แต่พออยู่ต่อหน้ากู ปลาไหลเกบ็ดแห้งเลยล่ะ เออ โดนอ้ายใบข่อย

ขูดเกล็ดหายหมด นิ่ง แต่ไปอยู่กับพวกเค้าเอง โอ้โห กลิ้ง
เฮอะ ไม่รู้จะทำยังไง แล้วมีพระวิปัสสนาจารย์เค้าถาม เค้าถามว่า หลวงปู่ยังไม่คุ้นอีกเหรอ

เมื่อวาน มหาอานนท์เค้าถาม หลวงปู่ยังไม่คุ้นอีกเหรอ ถามว่าคุ้นกับใคร คุ้นกับพฤติกรรม

ของสมภาร บอกผมว่าพยายามจะทำความรู้สึกว่ามันคุ้นล่ะนะ แต่ยังไงมันก็คุ้นไม่ได้ มันมี

อะไรให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลา เราก็ทำหัวทิ่มหัวตำ
ไม่เข้าใจ ถึงเค้าจะพยายามจะ เดี๋ยวจะหาวิธี เดี๋ยวกูจะไปอยู่ถ้ำซักพัก กะว่าจะไปอยู่ซัก 3

เดือน เฮ้อ อ้าว เผื่อสมภารมันจะได้ทำได้ไง จะได้ทิ้งให้มัน ดีไม๊ วันพรุ่งนี้ กูจะไปแล้วเนี่ย

เตรียมเก็บข้าวเก็บของแล้ว เออ มันจะได้รู้สำนึกบ้างว่า อ้ายการอยู่กับภาระ ไม่รู้มันจะรู้

หรือเปล่า เพราะเคยไป มันก็เป็นอย่างนี้ มันจะอะไรของมันก็ไม่รู้
หลวงปู่ก็ว่า อยากฝึกให้เป็นคนที่แกร่ง แข็ง เห็นแววเข็มแข็ง จำคำสอนสัปดาห์ที่แล้วได้ไม๊

ว่า
มีปัญญาบริหารทุกข์ ถ้าคนไม่มีปัญญา มันบริหารทุกข์ไม่ได้ วันนี้ก็มีคำสอนซึ่งสืบเนื่อง

เป็นเรื่องจากอบรมพระ หลังจากเสร็จงานแล้วขอบใจเค้า บอกว่า ชีวิตต้องรู้จักปัญหา ต้อง

เห็นปัญหา
ถ้าเป็นคน มีชีวิต มีลมหายใจ ได้พลัง ต้องเห็นปัญหา ต้องศึกษาปัญหา คนที่มองไม่เห็น

ปัญหา มีอยู่ 2 ประเภท  1 ก็คือ บรรลุธรรม  2 ก็คือ ตาย
เพราะงั้น ตัวชีวิต  คือ ตัวปัญหา เป็นไม๊ เรามีชีวิตเนี่ย คือ ตัวปัญหา ตัวเราขณะที่มีชีวิตอยู่

ก็คือ มีปัญหา  ยืน เดิน นั่ง นอน ขี้ เยี่ยว ตด เรื่องทั้งหมดนี่ มันเรื่องปัญหาทั้งนั้นแหละ
แล้วถ้าเรามองไม่เห็นปัญหา ปัญหาของเรา ปัญหาของเค้า ปัญหาภายใน ปัญหาภายนอก

มันก็เท่ากับว่า เราตาย หรือไม่เราก็จะหลุดพ้นไปเลย เพราะว่า จะเห็นเพียงแค่ว่า ธรรมชาติ

สรรพสิ่งในโลกเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ แปรปรวนในท่ามกลาง สุดท้ายแตกสลายในที่สุด

ถ้าเห็นเข้าใจตามความเป็นจริงอย่างนี้ มันก็ถือว่า ท่านผู้นั้นบรรลุ หลุดพ้นแล้ว พ้นแล้วซึ่ง

ปัญหาทั้งปวง การครอบงำของปัญหาทั้งหลายมันก็ไม่เข้ามาเกาะเกี่ยว รุมเร้า และรัดรึงได้
แต่ถ้ายังเป็นพวกเราชาวบ้าน ธรรมดาๆ  ผู้พัฒนา ผู้ฝึก ผู้ศึกษา สั่งสม อบรมเจริญปัญญา

ฝึกสติ สมาธิ ตบะ มันจำเป็นจะต้องรู้จักปัญหา ต้องเห็นปัญหา ต้องทำความรู้จักปัญหา ต้อง

ศึกษาปัญหา แล้วก็ต้องเรียนรู้ปัญหา แล้วก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหา
ถ้าหากเรามีชีวิตแล้ว ไม่เห็นปัญหา ไม่ศึกษาปัญหา ไม่รู้ปัญหา ไม่แก้ปัญหา สุดท้ายมันก็

เหมือนกับชีวิตของคนตาย สัตว์ตาย หรือไม่ก็ชีวิตของผู้หลุดพ้นแล้ว อยู่เหนือปัญหาทั้ง

ปวงแล้ว ไม่เกาะเกี่ยวซึ่งปัญหาใดๆ
ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่อย่างนั้น หรือพวกมึงพ้นกันหมดแล้ว เออ นี่มันยังไม่พ้น ยังไม่ได้บรรลุ

ธรรม ยังไม่ได้เป็นพระโสดา  สกิทาคา อนาคา อรหันต์ มันก็จำเป็นต้องเรียนรู้ศึกษาปัญหา

ไป จนกระทั่งเรามีปัญญาแก่กล้า ตั้งมั่นอยู่ทุกขณะจิต รู้เท่าทันญาณ เจริญปัญญา มี

ธรรมจักษุปรากฏชัด คือ เห็นสรรพสิ่งในโลกเป็นเพียงแค่ สภาพธรรมหนึ่งๆ เกิดขึ้นใน

เบื้องต้น ตั้งอยู่แปรปรวนในท่ามกลาง สุดท้ายแตกสลายในที่สุด
ทุกอย่างเป็นเพียงแค่รูป ทั้งหมดเป็นสักแต่ว่ารูป สิ่งที่เกิดขึ้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันไม่

มีอะไร เป็นตัวตน เป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ให้ยึดถือได้ อย่างนี้ เค้าเรียกว่า

เป็นผู้มีธรรมจักษุ ถ้าเป็นอย่างนี้ มันก็ต้องถือว่า เราเป็นผู้พ้นแล้วซึ่งมลทินเครื่องร้อยรัดทั้ง

ปวง แต่ถ้าไม่ศึกษา ไม่สั่งสม ไม่อบรม ไม่เจริญ อยู่ดีๆ มันจะปิ๊ง มันจะผุดขึ้นมาเลย ไม่ทำ

อะไร รอมันปิ๊ง รอมันผุด เอาแต่กินๆ นอนๆ เลื้อยเป็นงูเหลือม สุดท้ายเราก็คือ ตัวปัญหา

เราคือตัวสร้างปัญหา เราคือบุคคลที่ทำให้เกิดปัญหา แล้วเราก็เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิด

มลภาวะ เป็นปัญหาต่อโลก ต่อคนรอบข้าง และสังคมแวดล้อม แล้วก็ตัวเราเอง
เพราะงั้น ชีวิตของผู้พัฒนา ต้องมองเห็นปัญหา ลูก ชีวิตที่หวังและรักที่จะพัฒนา ต้องรู้จัก

ปัญหา ต้องเข้าใจปัญหา ต้องเรียนรู้ ศึกษาปัญหา ต้องอย่ากลัวปัญหา และต้องเข้าใกล้ปัญหา

ต้องรู้ว่าปัญหาจะต้องเข้าไปศึกษา ไปเรียนรู้ ไปหาวิธีผ่อนคลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง แล้วก็

ปรับปรุงให้มันดีขึ้น ให้มันรุ่งเรืองเจริญมากขึ้น ให้มันพ้นจากข้อผิดพลาด มีแต่ความถูก

ต้องชอบธรรม นั่นคือ สาระของชีวิต
มันก็อยู่ในคำสอนวิชาครูกรรมฐานว่า เรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชา ลุถึงปัญญา นำพาชีวิต เออ

เรียนรู้ชีวิต งั้นเราก็จะคิดว่า ปัญหาไม่ใช่สิ่งเดียวกับชีวิต เราก็คิดปัญหาคือน่าเบื่อ ปัญหา

น่ารำคาญ ปัญหาน่าวุ่นวาย ปัญหาคือ ภาระกรรมอันหนักหน่วง เราก็จะหนีปัญหา ทิ้งปัญหา

ปฏิเสธปัญหา ละเว้นซึ่งปัญหา ไม่สนใจปัญหา เหมือนกับสมภารวัดกูล่ะ
ไม่รู้จะยกใคร ก็ยกเสียตัวอย่างนึง มันเป็นตัวอย่างได้อย่างดี แล้วก็จะทำอะไรผิดพลาดอยู่

ตลอด คนที่ไม่เรียนรู้ ไม่ศึกษาปัญหา ไม่เข้าใจปัญหา ไม่เข้าใจวิธีการ ไม่เข้าใจบทบาท

ภาระกรรมหน้าที่ ไม่เข้าใจกระบวนการ รวมไปถึงไม่เข้าใจว่า เราจะทำชีวิตอยู่ยังไงให้ได้

ประโยชน์สูงสุด ได้สาระสูงสุด ไม่รู้ก่อนรู้หลัง ไม่รู้หนักรู้ยาว ไม่รู้เบา ไม่รู้สั้น ไม่รู้ถูก ไม่

รู้ผิด ไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว เพราะมันมาจากคำว่า ไม่รู้ปัญหา
งั้นถ้าเกิดขึ้น มีลมหายใจ มีชีวิต มันต้องมีปัญหา แล้วเราต้องเรียนรู้และศึกษาปัญหาให้ได้

ถ้าเมื่อไรที่เราปฏิเสธในการเรียนรู้ศึกษาปัญหา ก็เท่ากับเราปฏิเสธชีวิต ปฏิเสธความสำเร็จ

ของชีวิตที่จะรออยู่ข้างหน้า แล้วก็ปฏิเสธสาระสำคัญที่จะเกิดกับชีวิต สุดท้ายเราก็ปฏิเสธตัว

เราเอง
แรกๆ ก็ปฏิเสธปัญหา แต่หารู้ไม่ว่าตัวปัญหาหลากหลายที่เยอะแยะมากมายที่เราหวาด

กลัวกันนักหนา แล้วเราปฏิเสธมันอยู่ตลอดเวลานั้น มันก็คือ ตัวเรา
แล้วเมื่อมันจบลงตรงคำว่า ปัญหาคือ ตัวเรา เราคือ ตัวปัญหา แล้วเราตลอดชีวิตเราเกลียด

กลัวปัญหามาตลอด ปฏิเสธปัญหามาตลอด สุดท้าย เราก็ต้องปฏิเสธตัวเรา แล้วคนที่ปฏิเสธ

ตัวเรา ก็คือคนที่อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว อยู่ไม่ได้แล้ว ก็ใช้วิธีทำไง ฆ่าตัวตายไง
อยู่ไปก็เลอะเทอะ เบื่อชีวิตแล้ว เบื่อปัญหา แล้วก็ฆ่าตัวตาย ทำร้ายทำลายชีวิตตัวเอง
งั้นพระพุทธธรรมไม่ได้สอนอะไรเรามากไปกว่า การเรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชา ลุถึงปัญญา นำ

พาชีวิต พระพุทธธรรมไม่ด้สอนอะไรเราเยอะไปกว่า ละชั่ว ทำดี ทำใจนี้ให้ผ่องแผ้ว และ

ผ่องใส
ซึ่งสัปดาห็หน้าก็จะเป็นวันมาฆบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ คือ

หลักในการเรียนรู้ศึกษาชีวิต หลักในการบริหารจัดการชีวิต หรือหลักสำคัญที่จะนำเราเข้า

ไปสู่เป้าประสงค์สูงสุด
ก็อย่างที่หลวงปู่บอกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เรามีทุกข์เป็นเจ้าของ เรามีทุกข์เป็นสมบัติ เรามี

ทุกข์เป็นเจ้าเรือน เรามีทุกข์เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ แล้วหน้าที่ของพวกเราก็คือ ต้องมี

ปัญญา สั่งสมอบรมเจริญปัญญา เพื่อจะมาบริหารจัดการทุกข์ให้ได้
เมื่อไรที่เรามีปัญญาน้อย ทุกข์มันก็จะถาโถมเข้ามา เมื่อไรที่เรามีปัญญามาก ทุกข์มันจะ

โดนจัดการบริหารโดยแสงสว่างแห่งปัญญา
เพราะงั้น ทุกข์มันเหมือนกับความมืด ปัญญามันเหมือนกับแสงอาทิตย์ เมื่อไรที่แสง

อาทิตย์อ่อนแรง อ่อนแอ ความทุกข์ก็เข้ามาครอบงำ เมื่อไรที่แสงอาทิตย์สว่างไสว กล้าแกร่ง

ความมืดก็โดนทำลายพินาศไป 
งั้นความมืดกับความสว่าง มันแย่งชิงกันตลอดเวลา ลูก แย่งชิงไม๊ เออ นี่ก็เริ่มแสงเริ่มสลัว

แล้ว เมื่อครู่นี้แสงจ้า ตอนนี้แสงเริ่มสลัว แล้วมันก็แย่งชิงอยู่ตลอดระหว่างความมืดกับ

ความสว่าง ความทุกข์กับปัญญา ปัญญากับความทุกข์ มันแย่งชิงกันอยู่ตลอด ใครจะเพลี้ยง

พล้ำ ใครจะพ่ายแพ้ ใครจะชนะ ก็ขึ้นอยู่กับว่า อันไหนมันอยู่นาน อยู่คงทน อยู่ยาว อยู่

ตลอด และอยู่ยั่งยืน
งั้นเรื่องนี้ มันมีความทุกข์อยู่เป็นเจ้าเรือน เหมือนอย่างกับเรื่องนี้ แผ่นดินนี้ จักรวาลนี้ สิ่ง

แวดล้อมตัวเรานี้ ก็มีความทุกข์เป็นเจ้าเรือน เข้าไปในป่า มันมีไฟฟ้าที่ไหน ไม่มี ลูก รอบๆ

ตัวเรา ถ้าไม่ติดไฟ ไม่จุดไฟ มันมืดไม๊ มืด
เพราะงั้น เหมือนกับความทุกข์ที่มีอยู่ เป็นของชีวิตเจ้าเรือน ครองโลกใบนี้อยู่ เหมือนกับ

ความมืด   ที่มันเป็นเจ้าของโลก เจ้าของจักรวาล เจ้าของสิ่งแวดล้อม เพราะงั้น พอมีแสง

อาทิตย์ แสงจันทร์มา เท่ากับว่า มีแสงแห่งปัญญามากำจัดความมืดบอด แล้วถ้าเมื่อไรที่

เราทำตัวเองไม่เป็นแสงอาทิตย์   ไม่เป็นแสงจันทร์ ไม่รุ่งเรือง ไม่สว่างไสว เท่ากับว่า เรา

โดนความมืดกลืนกินหายไป เท่ากับว่าเราทุกข์ทั้งชาติ เราก็ไม่รู้จักพัฒนาบริหารจัดการตัว

เอง
ลองคนมีปัญญา หลวงปู่จึงเขียนบทโศลกไว้เมื่อหลายสิบปีที่แล้วว่า
ลูกรัก พระอาทิตย์สว่างกลางวัน พระจันทร์สว่างกลางคืน คนมีปัญญา มันสว่างทั้งคืนทั้งวัน
เราจะทำยังไงให้ดวงอาทิตย์สว่างจ้าอยู่ในหัวใจ อยู่ในสมอง อยู่ในสติปัญญาเราได้ทั้งวันทั้ง

คืน ก็ต้องศึกษา ต้องสั่งสม ต้องอบรม และการศึกษาสั่งสมอบรม มันก็ต้องอย่ากลัวทุกข์

อย่าเกียจคร้านทุกข์ อย่ารู้สึกว่า ความทุกข์เป็นเรื่องน่ารังเกียจที่เราจะปฏิเสธมัน อย่าเกียจ

คร้าน อย่าเกรงกลัวปัญหา อย่าละเลยต่อปัญหา ไม่ว่าปัญหาเล็ก ปัญหาใหญ่ ปัญหายาว

ปัญหาสั้น ปัญหาเยอะ ปัญหาน้อย ต้องเข้าไปศึกษา ต้องไปทำความรู้จัก ต้องไปเรียนรู้มัน

เพราะว่าทุกครั้งที่เราเรียนรู้ปัญหา เข้าใกล้ปัญหา ศึกษาปัญหา จับต้องดูแลปัญหา เราจะเข้า

ใจเหตุแห่งการเกิด พอความเข้าใจ รู้จักมันเกิดขึ้น ก็คือว่า เราเกิดปัญญา ทีนี้ปัญหาเหล่านั้น

เราก็สามารถที่จะกำหราบมันลงไปได้ง่ายมาก
แต่ถ้าเราไม่เข้าใจต้นตอแห่งปัญหา แล้วเราหวาดกลัวมัน สะดุ้งผวา แล้วเอาแต่หนีปัญหา

อยู่ตลอดเวลา (เหมือนสมภารวัดกู) เออ มันหนีปัญหาตลอด มันก็จะไปแบบนี้ ไป เค้ามี

งาน 8 วัน 8 คืน ไม่โผล่ไปดูเลย โผล่ตอนกูกลับ เออ ไปเก็บตอนนั้นแหละ นานๆ โผล่

ไปที คนที่เค้ามาจากที่ไกลๆ มากินมานอนเฝ้าอยู่ตรงนั้นน่ะ ไม่รู้ไปอยู่ไหนหมด
มันเป็นความรู้สึกว่า เออ คนนี่มันพัฒนายากจริงๆ มันคงเป็นกรรมของสัตว์ กว่าจะดันให้

มันอยู่ในทำนองครองธรรม เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว สอนไปแล้วว่า ทำนองครองธรรมมีอะไรบ้าง

เออ มีกฏของกรรม มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต่อมาก็คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
งั้นการมีชีวิตอยู่ในทำนองครองธรรมเนี่ย หิริ ความละอายชั่ว ก็เป็นกรรมไม๊ โอตัปปะ

ความเกรงกลัวบาป เป็นกรรมไม๊ กตัญญู กตเวทิตา เป็นกรรมไม๊ เออ ขันติ ความอดทน

เป็นกรรมไม๊ เพราะฉะนั้น การมีชีวิตอยู่ในทำนองครองธรรม ก็คือ ทำตัวเองให้สอดคล้อง

กับกฏแห่งกรรม เพราะท่านสอนไว้ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าเราอยากได้รับผลดี ก็ต้อง

ขยันทำดี ถ้าปฏิเสธผลชั่ว ก็อย่าทำชั่ว เหมือนกับคำสอนในหลักโอวาทปาติโมกข์ คือ

หัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ในวันมาฆบูชาว่า
สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง  การไม่ทำบาปทั้งปวง  
กุสะลัสสูปะสัมปะทา  การทำกุศลให้ถึงพร้อม
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ หรือผ่องใส
เอตัง พุทธานะ สาสะนัง  ธรรม 3 อย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของกรรม มันอยู่ในทำนองครองธรรม ก็จัดว่า เป็นกรรม สัพพะปาปัสสะ

อะกะระณัง  เป็นกรรม เป็นไม๊  ไม่ทำชั่ว เป็นกรรมไม๊ ทำดี เป็นกรรมไม๊ ทำจิตให้ขาวรอบ

เป็นกรรมไม๊ เออ เนี่ย ทำนองครองธรรม ทำยังไงจะทำให้ชีวิตเรา ลูกหลานเรา โคตรเหง้า

เรา บรรพบุรุษเรา คนใกล้คนไกลตัวเราได้อยู่ในทำนองครองธรรม
แต่ทุกวันนี้ เราผิดทำนอง เราผิดครองธรรม มันก็เหมือนกับเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน เลอะ

เลือนไปเรื่อย แล้วสุดท้าย มันก็จะเป็นคนผิดทำนองครองธรรมไปใหญ่โตมโหฬาร ทีนี้ก็จะ

มาหาครอง หาทำนอง ก็ไม่เจอแล้ว มันเหมือนกับคนหลงอยู่ในกลางทะเลทราย มันหา

แอ่งน้ำไม่เจอ มันไปเรื่อย
ทีนี้ก็ตกทุกข์ได้ยาก ทรมานทรกรรม ตอนนี้เราอยู่ใกล้แอ่งน้ำ ก็อย่าเลอะเลือนมากไปนัก

แว๊บไปนิด ก็ต้องรีบแถกลับมา เออ ลืมไปหน่อย ก็ต้องรีบย้ายส้วมกลับมา ไม่ใช่ให้ผัวชัก

ไปจนกระทั่ง โอ้โห ทะลุออกไปทะเลทราย แล้วเมื่อไหร่จะแถกลับมาถึงคลอง
เมื่อไหร่เราจะเจอความเย็นฉ่ำของพระธรรมคำสั่งสอน เมื่อไหร่เราจะเจอความอุดมสมบูรณ์

อบอวลไปด้วยความสดชื่น สดใส รื่นเริงบันเทิงของพระธรรมคำสั่งสอน
งั้นตอนนี้ เราอยู่ใกล้ แม้บางคนอาจจะรู้สึกแว๊บๆ เหมือนกับคนเดินผ่านป่า แล้วก็รู้สึกไอ

เย็นของป่า มันก็ยังดีกว่าไม่เคยเห็นป่า แล้วเดินกลางทะเลทราย
เวลาหลวงปู่ไปลำอีซู รอบๆ นี่มันร้อนไปหมด มีเขาที่กูรักษาไว้ แล้วป่าไม้มันยึด เย็นฉ่ำ

เหมือนเย็นเข้าไขกระดูกเลย ทั้งๆ ที่ไม่มีน้ำ แต่ว่าบรรยากาศมันเย็น แล้วสัตว์ทั้งหลายก็มา

อาศัย มาอยู่ มีหมาจิ้งจอก มีกระต่าย มีเก้ง มีเลียงผา มาอยู่ เออ เพราะว่ามันอยู่ใกล้ความ

เย็นฉ่ำ มันไม่ไป ไปหลงอยู่ในท่ามกลางทะเลทราย หรือความร้อนทุรนทุรายที่บีบคั้นเรา
ในชีวิตเราก็ต้องเป็นอย่างนี้ ลูก ใครที่ปฏิเสธการเรียนรู้ ศึกษาชีวิต ไม่มีปัญญาในการ

บริหารจัดการทุกข์ แล้วก็เห็นปัญหาเป็นเรื่องน่าหวาดกลัว เราจะเหมือนกับบุคคลที่เดินอยู่

หลงไปในทะเลทราย มันจะมีชีวิตผิดทำนองครองธรรมไปเรื่อยๆ ผิดกฏของกรรม ไม่ทำดี

ไม่ทำชั่ว เฉยๆ เลอะเทอะ เปรอะเปื้อนไปจนกลายเป็นมิจฉาทิฐิ
แล้วทีนี้เราจะอยู่ยังไง งั้นที่หลวงปู่ต้องเตือน ต้องบอก ต้องสอน ต้องสั่ง ต้องกระตุ้น ต้องชี้

นำเนี่ย อยากจะบอกว่า เอาสิ่งที่ดีที่สุดในโลก ชั่วชีวิตหลวงปู่เนี่ย เลือกเอาสิ่งที่ดีที่สุดในโลก

ประโยชน์สูง ประหยัดสุด กูจะบอกกับตัวเองตลอดเวลา อะไรที่ดีที่สุดในโลก เหมือนๆ กับที่

คนเค้าบอกว่า ต้องเก็บพานพระราชทานเอาไว้  ดี  ดีไม๊
แต่กูก็จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในโลก เอาไปประมูลได้ตังค์ ในหลวงก็ยังได้บุญเพิ่มขึ้น ได้บุญไม๊

เออ นั่นน่ะดีที่สุดในโลก คนโง่ไม่เข้าใจก็จะมองว่า เกียรติยศ เกียรติภูมื ศักด์ศรี ชื่อเสียง

ความภาคภูมิใจ เออ กินได้ที่ไหน เอ้า จริง กูเป็นคนที่ไม่เหมือนคน แต่ไม่ใช่บอกว่า ท่าน

มาให้ไม่ดีนะ เออ ไม่ใช่นะ แต่อยากจะบอกลูกหลานว่า อย่าไปติดกับหน้ากากและปลอกคอ

และหัวโขน อย่าไปติด
เมื่อวานซืนนี้หลวงปู่ไปงานวันเกิดสมเด็จฯ หนกลาง เอาสังฆทานไปถวาย 100 องค์

แบ่งบุญให้ลูกหลานด้วย พอเจอ ท่านซักเลย ถามเลย ในหลวงพระราชินีถวายพานดอกไม้

พุ่ม ทำไมรู้มาไกลจังเลย นึกในใจนะ เออ หูดีนะ ขนาดอายุมากๆ 84 เออ แล้วก็ป่วยด้วย

ใครไปบอกไม่รู้
ก็ยัง เอ่อ ทำไมคนเค้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ นึกในใจนะ เหรอ กูไม่รู้เรื่องเลยนะ กูเฉยๆ

จริงๆ ชีวิตกู กูมันพวกโลคลาส ไม่ใช่พวกไฮคลาส
ก็เลยอยากบอกลูกหลานว่า เนี่ย นิสัยกู มันเป็นชีวิตกู กูไม่ค่อยอะไรกับใครเค้า ไม่หือไม่อือ

เป็นพวกประมาณว่า สากกะเบือ น้ำรดหัวตอแล้วไม่ออกดอก ประมาณนั้นน่ะ ไม่ค่อยอะไร
แล้วครั้งนึงเคยทำหน้าที่ เล่าให้ฟังประสบการณ์ ตอนนั้นเป็นเจ้าคณะปกครอง แล้วทำหน้าที่

เป็นผู้ก่อตั้งศูนย์วิปัสสนาจารย์ แล้วก็ทำหน้าที่บริหารศูนย์ฯ แล้วก็เป็นเลขาศูนย์ฯ  พอเรา

อบรมพระกรรมฐานไปประมาณซัก 10 วัน 15 วัน มันก็ใกล้จะแจกวุฒิบัตร

ประกาศนียบัตร ใช่ไม๊ อ้ายความที่เราอยากจะให้ผู้เข้ามาร่วมอบรม ภาคภูมิยินดีต่อ

เกียรติคุณที่ตัวเองมี แล้วก็ต้องการรับพระราชทานจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระ

สังฆราชด้วย เราก็ต้องตะกายไป เพราะท่านทรงมีพระบัญชาให้หลวงปู่ตั้งศูนย์วิปัสสนาจารย์

เราก็ต้องตะกายไปเฝ้าพระองค์ แล้วก็ทูลเชิญพระองค์เสด็จมาเป็นประธานมอบ

ประกาศนียบัตรให้กับพระ
เอ้า เราก็ว่าเราลำบากลำบนแล้วนะ ก็ไป ตะกายไป ไปเข้าเฝ้า ไปนั่งรอแต่เช้า ท่านรู้ว่า เรา

ยังไม่ฉันข้าวมา ท่านก็เรียกไปฉัน ให้คนเอาข้าวมาถวาย เรียกไปฉัน เสร็จแล้วก็ต้องไปนั่ง

เฝ้ารอ พอท่านฉันเสร็จ ทรงเสวยเสร็จ ท่านก็เรียกเข้าไปพบ เราก็เล่ารายงานทูลถวาย

พระองค์ทราบเข้า ก็รับปากจะเสด็จ พอรับปากจะเสด็จ ข่าวมา ทรงเข้าโรงพยาบาลให้น้ำ

เกลือ อ้ายเราก็ ฮึ กูเตรียมงานไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วจะมาไม๊เนี่ย ใจตุ๊มๆ ต้อมๆ อู้ฮู้ กูไม่ได้

เป็นตัวของตัวเองเลย กูทุกข์มาก กูเครียดมาก กูรำคาญมาก อู้ย กูอยากจะโยนอะไรหมด

ทิ้งแล้วกูก็เข้าป่า กลับไปเหมือนเดิม กูไม่ต้องมีอะไรแล้ว แล้วก็รู้สึกได้ว่า มันเป็นกรรม มัน

เป็นความทุกข์ เป็นภาระที่ต้องบริหาร ต้องจัดการ
อ้ายหน้าตา เกียรติยศ ศักดิ์ศรี ชื่อเสียง ไม่ได้มีอะไรให้เป็นสุขเลย คนอื่นเค้าอาจจะบอกว่า

เป็นสุขก็ได้นะ เออ แล้วก็ต้องมานั่งลุ้น เออ จะมาสี่โมงเย็น สองโมง อยู่ที่ไหนเนี่ย โทรฯ

กันทุกชั่วโมง
เออ พระเลขาฯ ท่าน สมเด็จฯว่าไง สมเด็จท่านยังอยู่โรงพยาบาล อ้าว ตายห่า แล้วทำไงล่ะ

ก็จัดงานแล้ว ประกาศไปแล้ว อู้ฮู้ กูไม่โดนยำแย่หรือเนี่ย แล้วนิมนต์พระเค้ามาชยันโต โอ้ย

มีความรู้สึกอะไร นึกในใจ อ้ายห่า กูก็สอนตัวกูเอง ใบวุฒิบัตรกูก็พิมพ์เอง เอ้อ แล้วทำไมกู

ไม่ให้กูเองว่ะ ให้มันจบๆ ไปเลย จะได้ไม่ต้องวุ่นวาย
แต่ก็เพราะว่า หลวงปู่ไม่อยากได้หน้า เพราะชั่วชีวิตตัวมีใบวุฒิบัตรอยู่ใบเดียว ก็เอาไป

ประมูลเสียแล้ว เออ ไปประมูลได้เท่าไหร่ว่ะ (74,000  บาท) เออ นั่นแหละ มี

ใบวุฒิบัตรกับเค้าอยู่ใบนึง ตั้งแต่ 30 ปี ปี 2522 นั่นแหละ มีกับเค้าอยู่ใบเดียว เออ

แล้วกูก็ไปประมูลเอาตังค์มา ชีวิตกูเป็นอะไรที่ไม่มีอะไรไง กูเป็นคนไม่ค่อยอยากจะมี

อะไรกับใครมากมาย
สุดท้ายพระองค์ก็มา อุตส่าห์ถอดสายน้ำเกลือมานะ เออ มีพระเมตตา ขนาดหมอห้ามนะ รู

เสียบน้ำเกลือยังอยู่ที่แขนเลย ยังอุตส่าห์มา กูสบายใจ
เอ้าเดี๋ยวปีหน้าเอาอีก ปีหน้ามาอีก
แล้วตั้งแต่นั้นมา หลวงปู่ก็จะเข็ด เข็ด โอ้โฮ้ อ้ายหน้าตา เกียรติยศ อ้ายศักดิ์ศรี อ้ายชื่อเสียง

นี่มันอยู่กับใคร คนอื่นอาจจะมีสุข แต่อยู่กับกูไม่มีสุข เหมือนติดคุก
แล้วพอมาถึง คนเค้า อู๊ย ท่านนี่สามารถนะ ขนาดพระสังฆราชาอยู่โรงพยาบาล ยังถอด

สายน้ำเกลือมา โอ๊ย สามารถมาก เป็นผมไปนิมนต์มาไม่ได้เจอแน่เลยเนี่ย หลวงปู่ก็รู้สึก

เฉยๆ แต่หารู้ไม่ว่า กูน่ะเกือบตาย  กว่าจะมา นั่งไม่ติดเลยนะ บ่าย 2 โมง ฮี มหาอานนท์

หลวงพ่อชุ้น วัดวังตะกู ตอนนั้นท่านยังเป็นจังหวัด มาไม๊ กูไม่กล้านั่ง นั่งแล้วเดี๋ยวมาตอม

มาไม๊ มาไม๊ เออ แล้วก็มันรู้สึกอึดอัด
นี่กูไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย ความทุกข์ของกู  ระบายเสียหน่อย นี่แหละมันเป็นความทุกข์

ของหลวงปู่ คนอื่นเค้าไม่ทุกข์ กูไม่รู้ แต่กูทุกข์ ทุกข์กับการที่จะมีหน้ามีตา มีความรู้สึกว่า

มันไม่ใช่ มันไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนา ไม่ใช่เป็นตัวตนแท้จริงของเรา
มันไม่ใช่วิญญาณอันอิสระที่เราได้ชื่อว่า พุทธะอิสระ มันไม่อิสระ มันต้องโดนกักขังด้วย

อะไรต่ออะไรเยอะแยะ
สมเด็จพระสังฆราช ท่านเสด็จที่นี่ 3 ครั้ง หลวงปู่ก็ไม่ได้ไปอัญเชิญนะ ท่านมาของท่าน

เองนะ ไม่ได้ไปอัญเชิญ ไม่ได้ไปทูลเชิญ ยังปิดทองทำฐานพระอยู่เลย ท่านก็เดินมุดไม้ค้ำ

ยันเข้าไปในโบสถ์ เออ ไปดู  ครั้งแรกหลวงปู่ไปปลูกป่า อยู่ถ้ำ ท่านก็มา  ตอนนั้นพระมาลัย

เค้าอยู่กับเณร ก็รับ ไม่ได้เจอ ท่านมา มีแต่คนเค้าถวายเงินสมเด็จพระสังฆราช พระ

สังฆราชเอาเงินมาถวายหลวงปู่ ตอนนั้นกำลังสร้าง สร้างอะไรล่ะ ติดป้ายหน้าวัดน่ะ ลูก
กูกำลังขึ้นไปอยู่บนหลังคาเลยล่ะท่านทรงรถผ่านไปเมืองกาญจน์ เห็นกูอยู่บนหลังคา ท่านก็

เลยฝาก สตางค์ เอามาถวาย 3 แสน  เออ ผ้าไตรอีก 15 ไตร กูไม่เคยจ่ายเงินเรื่องพวก

นี้หรอก กูมีแต่ได้เงิน เพราะกูเป็นคนที่ไม่ค่อยอะไรกับใครเค้า เนี่ย นิสัยหลวงปู่เป็นอะไร

ที่ไม่ค่อยจะฮือฮา กระตือรือร้น นี่ถ้าเป็นชาวบ้าน เค้า อู้ฮู้ นี่ลงหนังสือพิมพ์หน้า 1 โอ้

ในหลวงพระราชทานดอกไม้ ธูปเทียน นี่เป็นเรื่องใหญ่ เค้าถือว่าเป็นเกียรติยศใหญ่ เพราะ

ไม่ได้ขอ พระองค์พระราชทานด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระเมตตา แต่หลวงปู่เฉยๆ อย่าง

ดีก็บอกให้พระเค้าไปร่วมรับ เพื่อจะเจริญชัยมงคลถวายพระพร เพราะเป็นธรรมเนียม

เป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่า เวลาพระราชา พระมหากษัตริย์ หรือ ผู้แทนพระองค์เสด็จ พระ

ต้องถวายพระพร ต้องถวายพรชัยมงคล
เราก็ไม่ใช่พระบ้านนอกที่ไม่รู้พิธีกรรม เดี๋ยวจะหาว่า ดูถูก ก็นิมนต์พระไปชยันโต เป็น

ธรรมเนียม เฮอะ สบายล่ะ เอ้า มาแล้วเหรอ  (ต่อ 2/2)

13 ก พ. 2554  13.15 น.  (2/2) ถอดเทป ธรรมะกลางเดือน

โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
• ถอดจิตออกจากร่าง
• กายภายใน กับกายภายนอก
• ถ้าไม่อยากให้เป็นคนบ้า ก็อย่าทำให้สติเสีย สร้างให้เกิดสติ
• ท้อก็ต้องทำ ลำบากก็ต้องทำ แต่อย่าทนทำ
• ต้องตั้งใจทำ สมัครใจทำ รักที่จะทำ จึงจะเรียกว่า ทำแล้วมีสุข
• กุศล อกุศลไม่ได้สำคัญ สำคัญว่าโง่หรือฉลาด มีปัญญาหรือไม่มีปัญญา
• วิปัสสนาไม่ใช่มานั่งหลับตา
• ทุกข์น่ะ เค้ามีเอาไว้ให้วาง โลกเค้ามีไว้ให้เหยียบ ไม่ได้มีไว้ให้แบก
• ผลของความชั่วกับความดี แม้น้ำหนักเท่ากัน ให้ผลแตกต่างกันเสมอ
• ธรรมนูญของชีวิต
ปุจฉา – วิสัชนา
เอ้า มานานแล้วเหรอ
เริ่ม เค้าจะอัดรายการโทรทัศน์ซักชั่วโมง ใช่ไม๊
แล้วแต่หลวงปู่เห็นสมควรครับผม
เออ สมควร ชั่วโมงนึง
เชิญ เริ่ม
คุณเปิดรายการ หรือชั้นเปิดรายการ
แล้วแต่หลวงปู่เห็นสมควรครับผม
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนพุทธบริษัทผู้รับชมรายการปุจฉา วิสัชนาที่รักทุกท่าน คุณ

จอห์นสัน ชื่อเหมือนน้ำมันใส่ผมสมัยก่อนเลย จอห์นสัน จอห์นสันก็จอห์นสัน
เอ้า ตีมือ ลูกศิษย์ชั้นเป็นอย่างนี้ ไม่ค่อยรู้ธรรมเนียม
ปุจฉา   การเจริญจิตตานุปัสสนา คือการตามรู้เจตสิกที่ประกอบกับจิต จนเห็นจิตกับเจตสิก

เป็นคนละส่วนกัน ใช่หรือไม่
วิสัชนา   จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เค้ารู้สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นกับจิต เช่น ราคะจิต โทสะจิต

โมหะจิต โลภะจิต จิตมีราคะหรือไม่ จิตมีโทสะหรือไม่ จิตนี้มีโมหะหรือไม่ เค้ารู้สภาพจิตที่

เกิดเหมือนกับที่คุญบอกว่า เจตสิก คือ เครื่องปรุงจิต
ราคะก็เป็นเจตสิกอย่างหนึ่ง โทสะก็เป็นเจตสิกอย่างหนึ่ง โมหะก็เป็นเจตสิกอย่างหนึ่ง
งั้นรวมๆ ถ้าจะให้สรุป ในการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เรื่องจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เค้า

ป้องกันไม่ให้จิตนี้ไปเคลือบหรือไประคนปนเปื้อนกับสิ่งปฏิกูลพึงรังเกียจและสกปรก ทำให้

จิตนี้สงบระงับ ทุกดวงที่เกิดดับก็สงบระงับ ดวงใดที่เกิดขึ้น ดวงนั้นสงบลงก็สงบระงับ ดวง

ใหม่เกิดขึ้นดับลงก็สงบระงับ ไม่ใช่เกิดขึ้นด้วยราคะ แล้วก็ดับลงไปด้วยโทสะหรือโมหะ

หรือยังมีราคะตามไปในดวงต่อๆ ไป
งั้นรวมๆ ก็คือ คนที่เจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็คือ การเฝ้าระวังรักษาจิต ไม่ให้เป็น

ไปตามอำนาจราคะ โทสะ โมหะ หรือ โลภะ เข้ามาครอบงำ จบ
ปุจฉา  ได้ฝึกนั่งสมาธิด้วยตัวเอง จนเห็นตัวเองหลุดออกจากร่างไปอยู่นอกกาย เป็นแบบนี้

หลายครั้งมาก จนกลัวว่าจะกลับเข้าร่างกายไม่ได้ จนตัวเองมีความวิตกกังวล นอนไม่หลับ

ถ้าฝึกต่อไป เข้าร่างกายไม่ได้ จะทำอย่างไรดี จะแก้ไขอย่างไร ขณะนี้อายุ 50 ปี
วิสัชนา   ถ้าเป็นชั้น บอกให้ไปเหอะ 50 ปี ก็เยอะแล้ว ก็กำไรแล้วล่ะ ตั้งครึ่งชีวิตแล้ว       

          จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันป็นเพียงแค่ เค้าเรียกว่า นิมิต คือ เครื่องหมายอย่างหนึ่ง มัน

ไม่ใช่ของจริง เป็นนิมิตแห่งจิต เป็นอาการทางจิตอย่างหนึ่ง แต่จริงๆ แล้ว เรายังอยู่ในร่างเรา

ไม่ได้ไปไหน แต่เป็นอาการที่จิตเราเคลื่อน รับรู้ได้จากสภาวะจิตว่า จิตนี้เคลื่อนออกจากกาย

แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เคลื่อนออกจากาย ยังอยู่ที่กาย
งั้น ถ้าเลิกทำ ก็คือ ไม่พัฒนา แต่ถ้าทำแล้ว ทำต่อไป มันก็จะยิ่งทำให้จิตเรากล้าแข็ง

สามารถควบคุมจิต ทำให้จิตนี้มันเคลื่อนไปตามจุดต่างๆ หรือตามสภาพธรรมที่ปรากฏได้

สามารถรับรู้ได้ เหมือนกับที่ใช้คำว่า ถอดจิตออกจากร่าง พวกเจริญฌาณ เจริญสมถะ หรือ

เจริญกรรมฐาน เป็นสมถะขั้นสูงๆ เค้าสามารถจะทำได้ เรียกว่า เจริญทิพยจักษุก็ได้ คือ

มีดวงตาเป็นทิพย์ แล้วก็โสตะ ก็คือ มีหูเป็นทิพย์
ที่จริงก็คือ การถอดจิตไปรับรู้สภาพธรรมที่ปรากฏรอบๆ กายทั้งภายในและภายนอก แต่ว่า

จริงๆ แล้ว มันเป็นเพียงแค่อาการทางจิตอย่างหนึ่งเท่านั้น เป็นอารมณ์หนึ่งที่เป็นส่วนกุศล
ถ้าเราเลิกเสียตอนนั้น มันก็คือ เหมือนกับเรานั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้มีอะไร ไม่ใช่ว่า เราถอดจิต

แล้ว จิตไม่กลับมา  ไม่ใช่ สมัยก่อนนี้ มันมีคนที่ทำแบบนี้ ก็กลัว แล้วสุดท้าย จำได้ว่า มีคน

เพ่งกสินไฟ แล้วไฟลุกท่วมตัว ก็คิดว่าเป็นของจริง ก็กระโดดหน้าต่างจนขาหัก หนีไฟ จริงๆ

แล้ว ไฟก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่มีอะไรลุกที่ไหน แต่มันลุกที่ไหน ลุกที่ใจ แล้วอ้ายที่บอกว่า ถอด

จากร่าง ก็คือ ถอดที่ใจ ของจริงมันไม่ได้ถอด จบ
ปุจฉา     เล่นไสยศาสตร์ เห็นๆ มากับตา ดึงหนังควายออกมา เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องอุป

โลกขึ้นมาครับ
วิสัชนา   โดนดึงมากี่ตัวแล้วล่ะ ก็บอกว่าเห็นมากับตา ก็ต้องถามว่า โดนดึงมากี่ตัว แล้วมีตะปู

มีน๊อตด้วยเหรอ มันแหกตา แหกตาคนตาแหก
วิจารณ์เรื่อง จิต ถอดออกจากร่างให้ละเอียดซักนิด เดี๋ยวจะหาว่าไม่ให้ความกระจ่าง แล้ว

คนก็จะสงสัย
กายนี้มันมีอยู่ 2 ชั้น ลูก กายภายใน กับกายภายนอก
กายภายในเรียกว่า กายในกาย กายภายนอก เรียนกว่า กายนอกกาย
กายในกาย  มันเป็นสภาวะธรรมที่ปรากฏขึ้นจากจิตที่มันละเอียด สุขุม ลุ่มลึก แล้วก็

สามารถล่วงรู้สภาวะความเกิดดับภายในกายได้อย่างชัดเจน เช่น เรียกโปรตอนมาสู่จุดนี้ ลม

โคจรไปถึงจุดนั้น ปราณเดินไปจุดนั้น เค้าเรียกว่า เป็นผู้รู้กายในกาย
ทีนี้การที่มีคำพูดว่า ถอดจิตออกจากร่าง มันอยู่ในระดับที่ถอดกายภายนอก หรือ ถอดกาย

ในกาย ถ้าถอดจิตออกจากร่างนอกกาย คือ ส่งความรู้สึกออกไป อย่างตอนนี้ เรานึกถึงบ้าน

เรียกว่า ถอดจิตออกจากร่าง ถอดไม๊ ถอดสิ ส่งความรู้สึกไปไง นึกถึงบ้านไง ถอดจิตออก

จากร่าง
แต่ถ้าถอดจิตออกจากกายในกาย ก็คือ ถอดการรับรู้ภายในกายนี้ ออกไปรับรู้เรื่องที่มันสุขุม

ละเอียด เช่น เรากำลังจับโครงกระดูก แล้วก็วิเคราะห์กระดูก จนกระทั่งกระดูกนี้มาจากไหน

กรพดูกนี้ประกอบไปด้วยธาตุอะไร มีองค์ประกอบของธาตุดิน  ธาตุน้ำ ธาติลม แล้วก็ธาตุ

ไฟ แล้วรู้เข้าไปลึกจนถึงว่า
ดินนั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง
น้ำนั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง
ลมนั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง
ไฟจริงๆ หน้าตาเป็นอย่างไร
แล้วรู้ลึกไปถึงว่า อณูของเหตุปัจจัยแห่งดินเกิด น้ำเกิด ไฟเกิด ลมเกิด เกิดอย่างไร อย่างนี้

เค้าเรียกว่า รู้กายในกาย ถอดจิตออกจากกายนี้แล้ว พูดอย่างนี้เข้าใจไม๊
คือ พอมันรู้เหตุของการเกิดดิน เกิดน้ำ เกิดลม เกิดไฟ มันก็ไม่มีกายให้พึ่งดวงจิตแล้วไง

เพราะว่ากายนี้โดนทำลายด้วยความเข้าใจถึงเหตุ คือ หลายสิ่งรวมเป็นหนึ่งสิ่ง แล้วหนึ่งสิ่ง

มันทุบกระจายออกไป ก็ไม่มีสักสรรพสิ่ง เข้าใจไม๊เนี่ย มึงมองหน้ากูเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ

เลย
กูพยายามจะเอาของยากๆ พูดให้มันง่ายๆ แล้วเข้าใจให้ได้ เข้าใจไม๊เนี่ย เออ เหมือนเรา

เอาแก้วมาสักใบนึง แก้วนี่ปกติทำด้วยอะไร ลูก ทราย คือแร่ธาตุ งั้นเมื่อเอามาทุบแล้วให้

แก้วมันกลายเป็นทรายเหมือนเดิม แล้วมันจะมีแก้วอยู่ไม๊
เออ นั่นแหละ แบบประมาณนั้นแหละ เค้าเรียกว่า รู้กายในกาย  เมื่อรู้กายในกายระดับนี้

มันจะมีร่างให้รู้ไม๊ ไม่มีแล้ว เค้าเรียกว่า ถอดจิตออกจากร่าง เข้าใจหรือยัง จบ
แต่อ้ายคำถามต่อมาที่เอาหนังควายออกจากท้องเนี่ย ชั้นเห็นมากกว่าคุณอีก ชั้นเห็นคนมัน

เอาถนนออกจากท้อง เอาเหล็กเข้าท้อง เออ มันกินกันแล้ว มาออกทางนี้ไง มันกินตรง

ตะพานแล้วมาออกในบ้านมัน เออ มันเยอะ มันใหญ่กว่าหนังควายอีก แสดงว่า ที่คุณเห็น

ยังจิ๊บจ๊อย จบ
ปุจฉา  จิตไปรักษาโรค ไปควบคุมกาย นี่จริงหรือไม่จริงครับ
วิสัชนา   ทำได้ คุณ เดี๋ยวนี้ วิทยาศาสตร์เค้าก็ยอมรับกระบวนการพลังงานของจิต ที่จิตอยู่

ในระดับที่สามารถทรงอานุภาพแห่งจิต เรียกว่า จิตตานุภาพ มีสติตั้งมั่น มีสมาธิแก่กล้า ก็

สามารถจะรักษาโรคได้ จิตที่รวมตัวกันอยู่ในระดับองค์คุณแห่งสมาธิ มันจะทำให้กระบวน

การสร้างสมดุลของกายและหลอดเลือดหรือเม็ดเลือดดีขึ้น มันจะทำให้เม็ดเลือดแดงกับเม็ด

เลือดขาวมันเกิดสมดุล และก็เกดิภูมิคุ้มกันได้อย่างเหมาะสม
เราไม่เชื่อ เราลองทำดูก็ได้ ว่าจิตสงบในระดับนึงเนี่ย เราจะรู้สึกว่า ความร้อนในกายเราลดลง

ตัวพองๆนี่มันจะแฟบลง แล้วทุกอย่างในกายมันจะสงบเย็น เราจะรู้สึกว่า หายใจแรกที่ได้

จากจิตสงบเนี่ย มันจะหายใจเข้าด้วยความรู้สึกว่า เต็มอิ่ม พอหายใจออก มันจะขับลมร้อน

และของเสียออกมา เราจะรู้ได้ด้วยตัวเราเอง
เพราะงั้น เออ เหมือนกับเส้นประสาท เส้นเลือด หรือสมองมันโป่งๆ อยู่ มันจะค่อยๆ แฟบ

ลง แล้วก็อยู่ตัวคงที่ การเคลื่อนไหว เกร็งกล้ามเนื้อ พังผืด เส้นเอ็น ข้อกระดูกต่างๆ มันจะ

ค่อยๆ เหมือนกับหดเข้ามาเหมือนเดิม แล้วก็สงบเย็น
เพราะงั้น ถ้าใช้วิชาบวกกับวิชาปราณโอสถไปด้วย มันก็จะยิ่งทำให้เกิดกระบวนการกระตุ้น

แล้วก็ปรุงแต่งหรือปรับปรุงในส่วนที่สึกหรอ ซ่อมแซมให้มันดีและงดงาม คือใช้ประโยชน์

ได้มากขึ้น
เพราะงั้น จิตที่สงบในระดับธรรมดาๆ ที่เรียกว่า เป็นองค์สมาธิเบื้องต้น ก็ทำให้เกิดภูมิคุ้ม

กันในร่างกายได้ จบ
ปุจฉา   ถ้าคนบ้าจะมีจิตอย่างไร แล้วเค้าจะมีโอกาสที่จะหายได้ไม๊ แล้วกลับมาเจริญสติได้

ไม๊
วิสัชนา  คนบ้าเสียสติ ก็มีจิตแบบบ้าๆ จิตที่แบบขาดสติ คนบ้าเสียสติ ชื่อมันก็บอกแล้วว่า

มันเสียไป
เพราะงั้น ถ้าไม่อยากให้เป็นคนบ้า ก็อย่าทำให้สติเสีย สร้างให้เกิดสติ
ทีนี้มันบ้าด้วยเหตุปัจจัยอะไร บ้าเพราะเกิดโรค มาจากโรค บ้าเพราะมาจากกรรม
กรรมบันดาล ก็เป็นปัจจัย ทำให้รักษาได้ยาก บ้าเพราะเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ มันอาจจะมี

เหตุปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ทรงสติได้ในระดับหนึ่ง
แต่บ้าที่เกิดจากผลกรรม มันมีเหตุปัจจัยที่เค้าตัดรอนสติอยู่แล้ว มันก็จะต้องชดใช้กรรมจน

หมด
ถามว่า คนบ้าที่อยู่ตามโรงพยาบาล รักษาได้บ้างไม๊ ถ้าพยายามและรู้ให้ชัดว่า คนๆ นี้ไม่

ใช่บ้า เพราะผลแห่งกรรม แต่บ้าเพราะปัจจัยแห่งโรค ก็กำจัดเหตุแห่งโรคนั้นเสีย ก็

สามารถจะฟื้นได้ในระดับหนึ่ง
จำเณรได้ไม๊ เออ อ้ายเณร อ้านหลวงปู่น้อย มีคนมาบวชกับชั้น ก็ไม่รู้มันบ้าหรือเปล่า แต่

ขนาดว่า 7 วัน มันไม่กินข้าวกินน้ำ ไม่ขี้ ไม่เยี่ยว แล้วมันก็ไม่หลับ ไม่นอน มันพูดจน

ปากเน่า ปากฉีกเลย แล้วชั้นก็รักษามันจนเป็นปกติ แล้วมันก็หายจ้อยไปเลย แล้วก็ทำให้

รู้สึกว่า คนบ้าอย่าไปรักษามันให้หาย ถ้าหายแล้ว มันจะหาย หายไปเลย มันไม่ใช่หายแค่

คนเดียว มันหายยันตระกูลโคตรเหง้า มันหายไปหมดเลย คือ มันหายไปแล้วไง
เพราะงั้น ต้องให้มันบ้าต่อไป แล้วมันดี จบ
ปุจฉา   กรรม คือผลของการกระทำ แต่คนที่ตั้งใจทำดี อย่างเช่นองคุลีมาล
หลวงปู่   ทำไมไปเปรียบไกลเหลือเกินว่ะ เกิดไม่ทัน ๆ เกิดทันเหรอ เพื่อนรุ่นเดียวกันเหรอ

เปลี่ยนใหม่ๆ
ปุจฉา  เดินปราณโอสถ ลมออกตามรูขุมขนมาก จะเป็นผลดีหรือผลเสียอย่างไรครับ
วิสัชนา  ดี จะได้ผอม ลูก ให้มันออกไปเหอะ ออกให้มันถูกที่ถูกทางก็แล้วกัน อย่าออกผิดที่

คนอื่นเค้าจะลำบากใจ จบ
ปุจฉา   เด็กอายุ 10 ปี จะให้ฝึกกรรมฐานอย่างไร
วิสัชนา   กำลังนึกว่า จะใช้กรรมฐานกองไหน คงไม่มีมั๊ง แต่ถามว่า ตือทำอะไร ถ้าตั้งใจ

มันทำให้เกิดสติได้ในระดับหนึ่ง ทำอะไรถ้าตั้งใจ ก็ทำให้เกิดสมาธิได้ในระดับหนึ่ง แต่จะ

เป็นสมาธิเพื่อหาอยู่หากิน เพื่อความตั้งมั่นในกรรมที่ทำเท่านั้น ไม่ใช่สมาธิเพื่อความปล่อย

วาง หรือผ่อนคลาย
งั้นถ้าเป็นสมาธิเพื่อความปล่อยวาง หรือผ่อนคลาย ก็ต้องอีกระดับหนึ่ง ก็คือ เราต้องทำให้

จิตนี้สงบ กายนี้สงบ เรียกว่า มีกายวิเวก จิตวิเวก แล้วก็อุปธิวิเวก เค้าใช้วิเวก 3 นี้ มาเป็น

ตัวกำหนด เค้าใช้วิเวก 3 นี้ มาเป็นตัวกำหนดว่า ผู้ฝึกกรรมฐานเพื่อความหลุดพ้นและ

ผ่อนคลาย ต้องมีวิเวก 3 อย่าง แต่อ้ายวิ่งๆ เต้นๆ นี่ ไม่น่าใช่ ไม่ได้ทำเพื่อความสงบ ระงับ

จบ
ปุจฉา   แม่อายุ 82 ปี หลงๆ ลืมๆ ให้ทานยาบำรุงสมองได้หรือไม่
วิสัชนา   ที่จริง วิธีทำให้สมองเสื่องช้าลง ไม่ใช่แค่กินยาอย่างเดียวนะ การมีชีวิตอยู่ในชีวิต

ประจำวัน รู้จักคิด รู้จักวิเคราะห์ รู้จักฟัง รู้จักคำนวณ รู้จักใคร่ครวญ รู้จักสั่งสนทนาพูดคุย

อย่าปล่อยให้นั่งเฝ้า เศร้า เหงา อยู่คนเดียว อย่างนี้มันจะเสื่อมเร็ว ให้ออกกำลังกาย เข้าสังคม

พูดคุยกับคนรอบข้าง อยู่กับสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติรอบกาย แล้วก็มีภาระกรรมที่ให้คิด ให้

วิเคราะห์บ่อยๆ คนมีอายุยิ่งมาก สมองยิ่งต้อฝใช้ให้มากขึ้น มันจะได้เพิ่มรอยหยักให้สมอง

แล้วก็เป็นการกระตุ้นให้เซลล์สมองตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวจะมาบอกว่า เออ แก่แล้ว อย่า

ไปใช้ท่านเลย ปล่อยท่าน อย่าให้ท่านคิดอะไร นั่นแหละ เป็นการทำร้าย ทำร้ายสมองคนแก่
ตรงกันข้าม ยิ่งแก่แล้ว เค้ายิ่งมีความคิดที่ละเอียด สุขุมขึ้น ลุ่มลึกขึ้น ปัญหาว่า อ้ายสมองที่

ละเอียด สุขุม ลุ่มลึก ซึ่งมันมีถิ่นที่อยู่ที่แตกต่างจากสมองชั้นหยาบ สมองชั้นหยาบคิดแบบ

ลวกๆ คิดง่ายๆ เออ ล่ายๆ จบๆ ให้มันเรียบร้อยไป แต่สมองที่ใช้วิเคราะห์ ใช้ตรึก ใช้ใคร่

ครวญ มันมีความสุขุม ลุ่มลึก มันจะอยู่ลึกกว่าสมองชั้นใน ซึ่งเลือดลมมันก็ไปเลี้ยงไม่ดีเท่า
เพราะงั้น ถ้าเราไม่ได้กระตุ้นให้มันทำงานเสียบ้าง การเตือนมันก็ไม่มี สุดท้ายมันก็กลาย

เป็นตีบตันตาย  แล้วก็ควรจะให้คนแก่ได้รู้จักคิด ได้รู้จักวิเคราะห์ ฟังข่าวสารข้อมูล อ่าน

หนังสือธรรมะ ตอบปัญหาธรรม พูดคุยสั่งสนทนา ออกกำลังกาย แล้วก็อยู่กับธรรมชาติ

รอบกายที่มันบริสุทธิ์ อย่าสร้างมลภาวะ และในขณะเดียวกันก็ทำอารมณ์ให้แจ่มใส
สำคัญที่สุด  คืออารมณ์จิตต้องแจ่มใสด้วย จึงจะมาถามว่ายาบำรุงสมอง ที่จริงเรื่องอาหาร

บำรุงสมองมีเยอะแยะ ไม่อยากให้กินยาเยอะ อายุมากๆ แล้วกินยาเยอะ เดี๋ยวไตเสีย ไตก็

จะรับภาระหนัก ไตและตับ ถ้าเป็นไปได้ ก็ให้กินอาหารดีกว่า แต่ถ้าจำเป็นจะต้องกิน ก็

สามารถกินได้ ยาบำรุงสมอง ครั้งละ 2 เม็ด เช้า เย็น ยาขยายหลอดเลือด 2 ม็ด เช้า เย็น

จบ ลูก
ปุจฉา
วิสัชนา  มันก็เหมือนกับหลวงปู่ตักเตือนสมภาร ท้อก็ต้องทำ ถ้าเรายังมีหน้าที่ ท้อก็ต้องทำ

เหนื่อยก็ต้องทำ ลำบากก็ต้องทำ อย่าทนทำ แต่ต้องตั้งใจทำ ชีวิตหลวงปู่ไม่เคยทน ไม่เคยทน

ไม่เคยเกลียด มีแต่สู้ แต่ต้องทำ
ท้อก็ต้องทำ ลำบากก็ต้องทำ แต่อย่าทนทำ ถ้าทนทำ มันไม่มีความสุข ทำอะไรที่มันต้องใช้

ความทนมากๆ มันไม่มีความสุขนะลูก
 เพราะงั้น ต้องตั้งใจทำ สมัครใจทำ รักที่จะทำ จึงจะเรียกว่า ทำแล้วมีสุข จบ
ปุจฉา  อ่านหนังสือพิมพ์ พระที่ได้อภิญญา 6 สามารถระลึกชาติได้  ทำได้ทุกอย่าง และ

ออกมาสู่สาธารณะแบบนี้ ถือว่าถูกหรือผิดอย่างไรตามพระวินัยครับ
วิสัชนา   มีแต่น้ำยาหกล่ะนะ อภิญญา 6 ไม่ค่อยเจอหรอก จริง ส่วนใหญ่จะได้เห็นน้ำยา

หก กะทิหก อะไรอย่างนี้ คนที่ได้อภิญญา 6 เค้าไม่อวด ถ้าอวดนี่ เป็นอุตริมนุสธรรม
เมื่อวานนี้ หลวงปู่มีเวลาว่าง ต้องเขียนคำตอบปัญหาทางอินเตอร์เนท แค่พูดเล่นๆ กับเพื่อน

ภิกษุว่า ตัวเองได้สมาบัติ ได้อภิญญา เค้าถามมาทางอินเตอร์เนทว่า จะเป็นอาบัติปาราชิกไม๊

หลวงปู่ตอบไปว่า ถ้าเค้าเชื่อ ก็เป๋น แต่ถ้าเค้าไม่เชื่อ ก็เป็นปาจิตตีย์ แล้วถ้าหากว่า เค้าสงสัย

ก็แสดงว่าเป็น ถุลลัจจัย
งั้น อ้ายคนที่ได้ มาอวดทำไม ก็เพราะเค้าต้องการให้คนเชื่อ แล้วให้เชื่อเพื่ออะไร เพื่อลาภ

สักการะ เพื่อสรรเสริญ เพื่อเกียรติคุณ เพื่อการกราบไหว้ เพื่อการเคารพบูชา เพื่อการ

เทิดทูน ถ้าอย่างนั้น ก็แสดงว่า มันไม่ใช่แล้วล่ะ เพราะพระนี้ มันไม่ใช่อยู่ให้ใครไหว้ มันอยู่

เพื่อจะไหว้ตัวเอง สมณะ คือ ผู้สงบระงับ ไม่ใช่ฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิม ทะเยอทะยานอยาก
มึงเคยเห็นกู ไม๊ล่ะ จริงๆ กูมีมากว่าอภิญญาอีกนะ กูมีน้ำยาเป็นหม้อๆ เลยนะ กินกับขนม

จีนด้วย อร่อยอีกต่างหาก
เออ เพราะงั้น เดี๋ยวนี้เยอะ ลูก  เมื่อ 2 วัน มีคนมาล่าให้ฟัง ไปเจอหลวงปู่โลกอุดร องค์

ไหนอีกล่ะ หน้าเหมือนกูไม๊ กูก็ถาม มีหลายองค์เหลือเกิน เออ แล้วก็อรหันต์อะไรล่ะ หลวง

ปู่อรหันต์อะไรที่เค้า เออ อรหันต์ทางศรีสะเกษ เปลี่ยนร่าง เค้าบอกเปลี่ยนร่าง เปลี่ยน

จากร่างโน้นมาเข้าร่างนี้ อะไรก็ไม่รู้ อรหันต์อะไร ก็โจษกันไป ว่ากันไป
ควายย่อมเดินตามฝูงควาย ราชสีห์ถ้าจะเดินตามควาย ก็ต้องกินควาย
เพราะงั้น คนโง่จะอยู่กับพวกคนโง่ แล้วก็เชื่อคนโง่ คนฉลาดก็จะไม่ตามคนโง่ จบ
ปุจฉา   เราไม่ดี เราดีไม่เท่าเค้า เราจะแก้ไขอย่างไร
วิสัชนา   นี่มันเป็นเรื่องของการ ถ้าเปรียบอยู่ในสังโยค 10 ก็คือ ศีลปตพลามาต การ

เหยียดตัวเอง ยกคนอื่น ยกตัวเอง เหยียดคนอื่น อะไรอย่างนี้ เค้าเรียกว่า ศีลปตพลามาต

เพราะงั้น มันไม่ใช่หนทางความเจริญของมนุษย์ ถ้าเราจะไปดูคนที่เค้าสูงกว่าเรา เราก็ต้อง

มาเหยียดตัวเราเอง
คนพวกนี้ ท่านสอนไว้ว่า ให้มองคนที่ต่ำกว่าตัวเอง เราก็จะรู้สึกว่า  เออ อย่างน้อยกูก็สูง

กว่ามึงหน่อยนึง เราจะมีกำลังใจที่จะทำ  แต่ถ้ามองคนที่สูงกว่าตัวเราเสมอๆ เราก็จะกลาย

เป็นความรู้สึก
ถ้าคนมีปัญญา ไม่มีศีลปตพลามาต เค้าจะมีความรู้สึกกระตุ้นต่อมอยาก ทะเยอทะยาน เออ

กูจะต้องทำให้ได้อย่างนั้น ทำให้ได้อย่างนี้ แต่คนไม่มีปัญญา เฮ้อ ทำไมมันถึงดีกว่ากูทุก

เรื่องเลยว่ะ เฮ้อ ไม่ไหวแล้ว อะไรๆ มันก็ดีไปหมด เลยกลายเป็นอิจฉาตาร้อน อันนี้เค้า

เรียกว่า คนไม่มีปัญญา
ก็ถึงได้บอกว่า ชีวิตคือตัวปัญหา ถ้าไม่เรียนรู้ ไม่ศึกษาปัญหา แล้วก็ไม่ใช้ปัญญาในการแก้

เราก็พ่ายแพ้ชีวิตนี้  แล้วสุดท้ายชีวิตนี้ก็ไม่พัฒนา
ถ้าเข้าใจว่า ชีวิตคือตัวปัญหา แล้วเรียนรู้ศึกษา แล้วใช้ปัญญาเข้าแก้ ชีวิตมันก็จะพัฒนาขึ้น

เรื่อยๆ จบ
ปุจฉา   ความรักทำให้คนเป็นทุกข์ แต่ทำไมปุถุชนแสวงหาคนรัก
วิสัชนา   ความรักไม่ได้ทำให้คนเป็นทุกข์เสมอ พ่อแม่รักลูก พ่อแม่ไม่ได้เป็นทุกข์หรอกนะ

พ่อแม่กลับภาคภูมิใจ พอลูกคนแรกออกมา ก็น้ำหูน้ำตาไหล ปลาบปลื้ม ปิติยินดี ดีใจ
รักอย่างไรจึงเป็นทุกข์ คือรักของผีห่าซาตาน รักต้องการ รักของกู รักตัวมึงต้องเป็นของกู

เรียกว่า รักแล้วเป็นทุกข์ ถ้ารักเพื่อจะเสียสละ เพื่อจะแบ่งปัน รักด้วยจริงใจ บริสุทธิ์ใจ ไม่

เป็นทุกข์ ลูก กลับภาคภูมิใจด้วยซ้ำ เพราะความรักเป็นความสวยงาม เป็นความงดงาม

ของมนุษยชาติ มนุษย์ที่ไม่มีความรัก คือมนุษย์ที่ไม่มีศิลปะ มนุษย์ที่ไม่มีศิลปะ ก็คือ

มนุษย์ที่กระด้าง หยาบ แล้วก็ไม่สวยงามในสังคม อยู่กับสังคมก็ไม่อะลุ่มอล่วย ไม่ผ่อนคลาย

จะกลายเป็นคนหยาบกระด้างด้วยซ้ำ
เพราะงั้น อย่าไปมองว่า ความรักเป็นเรื่องน่ารังกียจ สำหรับพระพุทธเจ้าแล้ว ความรักเป็น

เรื่องสวยงาม พระองค์ไม่ใช้คำว่า รัก แต่พระองค์ใช้คำว่า เมตตา ใช้คำว่า เมตตา เมตตา

กับมนุษย์ เมตตากับสัตว์ เมตตากับตัวเอง เมตตากับสิ่งแวดล้อม สังคมรอบกาย คนรอบตัว

โดยจะทำให้ตัวเองนอนหลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เทวดารักษา แม้ที่สุด ตายแล้ว

ไม่หลงทำกาลกิริยา ไม่บรรลุธรรมในชาตินี้ ก็ไปสู่โลกสวรรค์ได้ในที่สุด เทวดาก็จะอภิบาล

รักษาตลอกเวลา นี่คือ อานิสงส์ของคนที่มีความเมตตา จบ
ปุจฉา   จะสั่งสมอารมณ์กุศล ในท่ามกลางความอกุศลได้อย่างไร
วิสัชนา   อืม ที่จริงขี้ก็มีประโยชน์นะ ถ้ารู้จักที่จะบริหารจัดการ เช่นเอามาทำปุ๋ย สร้างมูลค่า

เพิ่ม ทำแก๊สชีวภาพ ในอกุศล มันก็มีของดีๆ อยู่ให้เราเรียนรู้ศึกษาได้เหมือนกัน ถ้าเรารู้จัก

เข้าใจ มีปัญญา หลวงปู่จึงเขียนบทโศลกสอนไว้ว่า คนฉลาดใช้กิเลส มีแต่คนโง่โดนกิเลสใช้ 
แต่กิเลสเป็นกุศลหรืออกุศล เออ กิเลสเป็นอกุศล ถ้าเรามีสติปัญญา เราก็จะอยู่เหนือกุศลและ

ใช้อกุศล แต่ถ้าเราโง่เขลาเบาปัญญา เราก็จะอยู่ใต้อกุศล แล้วโดนอกุศลครอบงำ
งั้น สำคัญว่า กุศล อกุศลไม่ได้สำคัญ สำคัญว่าโง่หรือฉลาด มีปัญญาหรือไม่มีปัญญา นั่น

แหละสำคัญกว่า จบ
ปุจฉา  การที่เราทำบุญกุศลแล้วเราต้องแผ่เมตตา  อุทิศส่วนกุศล
วิสัชนา  ที่จริง การแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล ท่านจัดไว้ 2 ประเภท
เมตตาโดยไม่มีประมาณ กับ เมตตาโดยมีสัตว์เป็นประมาณ
เมตตาโดยไม่มีประมาณ ก็คือ สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
เมตตาโดยมีสัตว์เป็นประมาณ ก็คือ ขอผลบุญนี้จงสำเร็จแก่บิดามารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ชื่อนั้น

ชื่อนี้ พ่อแม่ข้าพเจ้า ชื่อนั้น ชื่อนี้ อย่างนี้ เค้าเรียกว่า เมตตามีประมาณ
เมตตา 2 ชนิดนี้ มีผลแตกต่างกันอย่างไร
เมตตาโดยไม่มีปรมาณ มีผลกว้าง แต่เบา
เมตตาโดยมีสัตว์เป็นประมาณ มีผลรุนแรง และรวดเร็ว แต่คับแคบ คือ เฉพาะเจาะจง

เฉพาะสัตว์ที่เราเจาะจงให้
ปุจฉา    ตั้งครรภ์ 5 เดือนแล้ว หมอบอกว่า เด็กในครรภ์น้ำในสมองมาก หมอให้ยุติการ

ตั้งครรภ์ คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ควรตัดสินใจอย่างไร
วิสัชนา    มึงจะดึงเอาอาตมาไปเป็นจำเลยที่ 1 เออ ต้องถามคุณพ่อคุณแม่ว่า จะวิเคราะห์

อย่างไร ถ้าเค้าเกิดมาแล้ว มีผลเสียมากกว่าผลดี หรือผลดีมากกว่าผลเสีย ต้องขึ้นอยู่กับคน

เลี้ยง ลูก ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับพระ คนเลี้ยง สมัครใจเลี้ยง ตั้งใจเลี้ยง เต็มใจเลี้ยง แม้เหลือแต่ตัว

ไม่มีหัวก็เลี้ยง แต่คถ้าคนเลี้ยงไม่สมัครเลี้ยง ให้หัวตัวมันครบ มันยังเอาไปทิ้งเลย ไม่ใช่อยู่

ที่พระ มันอยู่ที่คนเลี้ยง อยากเลี้ยงไม๊ ถ้าคนเลี้ยงอยากเลี้ยง ก็เอาเหอะ จบ
ปุจฉา   ถ้าหนอนขี้อยากจะพัฒนาตัวเอง จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
วิสัชนา   ไต่ออกจากหลุมขี้  เดี๋ยวก็เป็นดักแด้ แล้วก็บินเป็นแมลงวันไป จบ
ปุจฉา   ได้มารักษากับหลวงปู่ หลวงปู่สั่งยามะเร็งน้ำ และเม็ด ยาวัณโรค และบำรุงเลือด

ต้องกินยาหรือลดยาอะไร
วิสัชนา   ก็กินจนกว่าแน่ใจว่า ไม่มีอาการปรากฏ แล้วหายสนิท เพราะว่ายาที่มันสามารถ

กำหราบและบังคับโรคได้ อย่าไปมองว่า กินแล้วมันเปลือง หรือว่า มันรำคาญ มันเบื่อ พอ

เราเป็นโรค ยาอะไรก็อยากกิน พอมันทุเลา อ้ายนั่นก็ไม่อยากกิน อ้ายนี่ก็ไม่อยากกิน แล้ว

สุดท้ายโรคมันกลับมาอีก มันจะรักษายาก เพราะงั้น ตอนนี้กันเอาไว้ก่อนดีกว่า คือกินยาให้

ครบกำหนดที่ควรจะต้องกิน กินจนกว่าอาการมันจะไม่ปรากฏแล้ว จึงจะหยุด จบ
ปุจฉา   ยารักษาน้ำเหนือง สามารถซื้อกินเอง ไม่ต้องตรวจก่อนได้หรือไม่ เพราะว่าผิวหนัง

เป็นผื่นแดง
วิสัชนา   ที่จริง โรคน้ำเหลืองเสีย  มันมีหลายสาเหตุมาก อาการผื่นแดงก็มาจากหลายสาเหตุ

ดีไม่ดีบางครั้งอาจจะติดเชื้อไวรัสก็ได้ มันไม่ได้หมายถึงว่า ต้องกินยาเม็ดขับน้ำเหลืองเสีย

ได้ตลอด ทางที่ดี ควรจะตรวจดูก่อนดีกว่า เพื่อให้ง่ายต่อการรักษา ปล่อยทิ้งไว้ ช่วงเปลี่ยน

ฤดูจากหนาวมาร้อน ส่วนใหญ่จะติดเชื้อไวรัสทางผิวหนัง เชื้อเริม เชื้องูสวัด เชื่อสุนัขบ้า

อะไรก็แล้วแต่ สารพัดเชื้อเลยล่ะ เป็นไปได้ ควรตรวจดีกว่า จบ
ปุจฉา  พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอันเลิศของข้าพเจ้า ที่พึ่งอื่นใดในโลก

ข้าพเจ้าไม่มี คำว่าที่พึ่ง ในที่นี้ คือใคร ต่างจาก อัตตาหิ อัตโนนาโถ อย่างไร
วิสัชนา   ที่จริงเป็นคำถามที่น่าวินิจฉัย คำว่า พระพุทธเจ้า สอนเราว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน

คือ อัตตาหิ อัตโนนาโถ มันเป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่โดยหลักแล้ว เราแข็ง

แรงพอที่จะพึ่งตัวเองได้โดยสมบูรณ์ไม๊ ลูก  เออ แล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงปรารภ คือ ทรง

กล่าวอุทานว่า บุคคลและสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีที่พึ่งในโลกไม่มี แม้แต่เรา ตถาคต ก็ต้องพึ่ง

พระธรรม ในวันที่พระองค์ทรงตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ๆ  พระองค์ทรงประกาศ

ต่อเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงว่า เราเป็นศาสดาเอกของโลก เป็นผู้รู้จบ แจ้งโลกแล้ว

แต่บุคคลผู้ไม่มีที่พึ่งนั้นไม่มีเลย แม้เราตถาคต ก็ต้องพึ่งพระธรรม งั้นคำกล่าวที่บอกว่า
พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเรา
พระธรรมเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเรา
พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเรา
ที่พึ่งอื่นใดในโลกเราไม่มี ไม่ใช่เป็นการกล่าวเกินเลยหรือผิดแผกออกไป แต่เป็นการแสดง

ให้เห็นว่า แม้ที่สุด เรื่องที่เราจะพึ่งได้ ก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นอกจากกายตน

หรือว่าตัวเอง ไม่ได้ขัดค้านกัน จบ
ปุจฉา ธรรมในธรรม เวทนาในเวทนา จิตในจิต คืออะไร ตัวเราจะพัฒนาอย่างไรถึงจะได้

เข้าถึง
วิสัชนา   เมื่อครู่นี้ อธิบายให้เห็นถึง การถอดจิตออกจากกาย กายในกายไปแล้วล่ะ มันก็

ไม่แตกต่างอะไรกันกับธรรมในธรรม วิเคราะห์สิ่งประกอบ องค์ประกอบของกายในกาย

ไม่ได้แตกต่างจากเวทนาในเวทนา ตัวอย่างเช่น ถ้าจะวิเคราะห์เรื่อง เวทนาในเวทนา ก็ต้อง

ดูไปว่า ความสุขความทุกข์นี่ มันเกิดจากเหตุปัจจัยอะไร เวทนาสุข สุขนี่เป็นเวทนาไม๊ ทุกข์

เป็นเวทนาไม๊ มันมีเหตุปัจจัยอะไร วิเคราะห์ให้ได้ถึงเหตุปัจจยของการเกิดสุข
วิเคราะห์ให้ได้ถึงเหตุปัจจยของการเกิดทุกข์
นั่นแหละ คือที่มาของคำว่า เวทนาในเวทนา จบ
ปุจฉา   เวลาเดินขั้นที่ 3 รู้สึกว่า ขาที่เราถ่ายน้ำหนักไปมันสั่นๆ เป็นเพราอะไร จะแก้ไข

อย่างไร
วิสัชนา   คือ ต้องยอมรับว่า โครงสร้างของคนมันไม่เท่ากัน บางคนเดินขาสั้นข้างยาวข้าง

ขาคนเราแต่ละคนไม่เท่ากัน หลวงปู่ตรวจไข้วันนี้ ก็ยังมีคนขาข้างขวาสั้นกว่าขาข้างซ้าย

แล้วเวลาเดินก็ปวดเอว ปวดสะบัก คือปวดไปทั้งแถบ เพราะว่า มันลงข้างเดียว รับน้ำหนัก

กระดูกมันก็ทรุด แล้วก็ไปกดทับเส้นประสาท มันก็ปวดเสียว แล้วก็ชาไปข้างนึง อย่างนี้

เป็นต้น วิธีแก้ คือ ต้องรู้หลักร่างกายตัวเอง คือมีสติในกาย กายไม่ลำบาก เสื้อที่ใส่อยู่ มองดู

มีสติในวาจา วาจาไม่ลำบาก มีสติในใจ ใจไม่ลำบาก
ถ้าเป็นคนมีสติในกาย ก็จะรู้ว่า เออนี่ เราเดินแบบไหน ยืนแบบไหน นั่งแบบไหน นอน

แบบไหน ที่เดินอยู่ ที่ยืนอยู่ ที่นั่งอยู่ ที่นอนอยู่ มันถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ผิดท่าหรือไม่ผิด

ท่า แล้วจะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร
คนที่เรียนขั้นปรมัต กายในกาย จิตในจิต ธรรมในธรรม เค้ามองเป็นว่า ไม่มีด้วยซ้ำ ถึง

ขนาดมีคำกล่าวว่า ที่บอกทุกข์อริยสัจ คือ ทุกข์ นั่งเป็นทุกข์ เดินเป็นทุกข์ นอนเป็นทุกข์ เค้า

ใช้อิริยาบถปิดบังทุกข์ลักษณะ คำว่า อิริยาบถปิดบังทุกข์ลักษณะ คนที่เค้าเรียนขั้นปรมัต

จะมองว่า อิริยาบถก็ไม่มี ทุกอย่างมันเป็สูญหมด เพราะอิริยาบถมันเป็นแค่แท่ง เป็นแค่

ท่อน มันไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริง มันมีองค์ประกอบจากหลายสิ่งรวมเป็นหนึ่งสิ่ง
แล้วจริงๆ ของอิริยาบถก็ไม่มี มันเกิดจากเหตุปัจจัยทำให้เป็น แต่มันก็เป็นเรื่องยาวที่ต้อง

ใช้ปัญญามาก ต้องเจริญวิปัสสนาญาณทุกขณะจิต ต้องมีญาณทัศนวิสุทธิ คือความเห็นอัน

หมดจดบริสุทธิ์แล้ว ไม่มีคำว่า กังขา วิจารณะวิสุทธิ ก็คือ ความระแวงสงสัย สิ่งใดๆ

ปรากฏขึ้น เห็นแต่ความเห็นอันหมดจดบริสุทธิ์ชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว ไม่สงสัย ไม่กังขา ไม่

ระแวงใดๆ
ทีนี้ เราก็จะได้ยินคำว่า ตัวตน อิริยาบถไม่ปิดบังทุกขลักษณะ ทุกขลักษณะ ก็ไม่มีตัวตนให้

เกิดความทุกข์ แต่นั่นมันเป็นเรื่องสูงล่ะ มันเป็นขั้นสูง มันพัฒนาจิตจนกระทั่งเห็นวิปัสสนา

ญาณทุกขณะจิต มีญาณทัศนวิสุทธิอันหมดจด
งั้นตอนนี้ ถ้าเราจะวิเคราะห์กันโดยหลักก็คือ เริ่มต้นพื้นฐานจากสมมุติ ค่อยๆ ไล่ไต่เรียนไป

เรื่อยๆ เพราะวิปัสสนาญาณ นี่ ลูก มันไม่ใช่ทำครั้งเดียวได้ มันต้องสั่งสมไปเรื่อยๆ  เก็บ

เล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ เก็บคะแนนไปเรื่อยๆ เก็บนิดเก็บหน่อย จนกระทั่งสติมันแก่กล้า

สมาธิตั้งมั่น
ถ้ามีปัญญาแล้วไม่มีสมาธิ ก็ไม่รู้ปัญญาจะตั้งอยู่ตรงไหน และตั้งได้นานแค่ไหน เพราะ

สมาธิเป็นเครื่องที่จะกำกับดูแลปัญญาให้ตั้งมั่นได้อยู่กับตัวเรา
ถ้ามีปัญญา มีสมาธิ แต่ขาดสติ ไม่มีความระลึกชอบ ก็อาจจะนำปัญญาไปใช้เป็นเครื่องเลว

ร้ายเสียหาย เช่นปล้นเค้า ทำลายล้างเค้า เหมือนกับคนฉลาดมันก็เอาเปรียบคนอ่อนแอ

อย่างนี้ คนมีปัญญาไง แต่ขาอสติสำนึกรับผิดชอบชั่วดี
ถ้ามีปัญญา มีสตื มีสมาธิ แต่ไม่มีสัมมา คือไม่ใช่สัมมาสติ ไม่ใช่สัมมาปัญญา ไม่ใชสัมมา

สมาธิ แต่เป็นมิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ และมิจฉาปัญญา มันก็อาจจะนำพาความเลวร้ายมาสู่

โลดและสังคม และแผ่นดิน แล้วก็มวลมนุษยชาติ
งั้น มันต้องศึกษาไปเรื่อยๆ ต้องวิเคราะห์ไปเรื่อยๆ ต้องเรียนไปเรื่อยๆ แล้วก็ต้องรู้ชัดตาม

ความเป็นจริงไปเรื่อยๆ
วิปัสสนามันเป็นอย่างนี้ วิปัสสนาไม่ใช่มานั่งหลับตา ภาวนาไปเรื่อยๆ  ไม่ใช่ แต่ทุกเรื่องที่

เข้ามาและออกไปในใจตน ข้างรอบกายเรา อยู่ภายในกายเรา เราต้องรู้ตามทำนองครอง

ธรรม จับมันเข้าทำนองครองธรรมให้ได้ก่อน ทีนี้ มันก็จะรู้ว่า เออ นี่มันอยู่ในธรรมนะ ข้อ

ไหน หมวดไหน เราจะอยู่ในทำนองครองธรรมหรือไม่ หรือไปไกลกว่าทำนองครองธรรม

ไปตกทะเลทราย ไปอยู่ ความอดอยากลำบากเบียดเบียนเราเข้ามา
เพราะงั้น ก็ต้องหาวิธีการที่จะเจริญสติ สมาธิ ปัญญา ให้เป็นสัมมาสติ สีชัมมาสมาธิ สัมมา

ปัญญาให้ได้ จบ
ปุจฉา   ขอคำแนะนำ ช่วยอธิบายหลักการเดินกรรมฐานขั้นที่ 6 – 9
วิสัชนา   หา ขั้น 1 – 9  อ๋อ ไม่ยาก เดี๋ยวก็ลองทำ จบ
ปุจฉา  อยู่ในวัยทอง อาการร้อนวูบวาบ ต้องทานยาอะไรบ้างที่เหมาะกับวัย ตอนนี้ทานยา

ประสาทตา บำรุงสมอง ปรุงชีวะ
วืสัชนา   มันเป็นยาร้อน ต้องกินยาบำรุงฮอร์โมน กับยาชุบชีวะ 2 ตัว อย่ากินมาก กินครั้ง

ละเม็ด จบ
ปุจฉา   ลูกเช่าธงไปบูชา อยากทราบรายละอียดของธง
วิสัชนา  ไปยืนโบกหน้าถนน ไปโบก  จริ๊ง  จริง พวกแม่ค้านครปฐมเช่าไป แล้วมันไปโบก

ค้าขาย รุ่งขึ้นมันพาพรรคพวกมาเช่าเป็นสิบๆ มึนเลย ธงโบกทรัพย์ ลองเอาไปโบกดูบ้าง
พระเค้าโบก ยังได้ตั้ง 10 กว่าล้าน กูเห็นโบกทุกแผนกเลย เอ้า จริงๆ ธงหลวงปู่ ตอนที่

เค้าไปพิมพ์ มันติด แท่นที่เค้าซื้อมาใหม่มันดับ มันพิมพ์ไม่ได้ เอามาให้หลวงปู่ดู หลวงปู่ก็

สั่งแก้ให้มันถูก พอไปพิมพ์ ตอนนี้เครื่องเดินไปสะดวกสบาย ธงโบกทรัพย์ ที่จริงเค้าจะให้

หลวงปู่มาทำธงเทวดาสะดุ้ง พ่ออ้ายตั้ม แล้วหลวงปู่ก็เลยบอกต้องมานั่งปัก ปักตัวอักษร

ยันต์ด้วยตัวเอง โอ้ย กว่ากูจะได้แต่ละผืน ไม่เอ้า ทรมานทรกรรม ตาหูก็ไม่เห็น แล้วมานั่ง

ปักอีก ทำเอาเท่านี้ พอแล้ว
ลองไปยืนโบกดูก็ได้ เผื่อรถสิบล้อมันจะมาเกย เออ ไปโบก เค้าเรียกธงโบกทรัพย์
ปุจฉา   บ้านอยู่ใกล้เคียงแนวรถไฟฟ้า มีการก่อสร้าง มีแรงสั่นสะเทือน ตอกสาเข็ม มีผู้

แนะนำให้ไหว้ เทพเจ้า เทพยดาพื้นดิน หลวงปู่เห็นว่าสมควรหรือไม่
วิสัชนา    ไหว้แล้วรถไฟจะไม่วิ่งเหรอ  ไหว้แล้วเค้าจะหยุดก่อสร้าง แล้วบ้านไม่สะเทือนไม๊

เนี่ย ที่จริงน่าจะเป็นเรื่องดี เพราะราคาบ้านจะแพงขึ้น เพราะอยู่ใกล้รถไฟฟ้า เดี๋ยวนี้คนเค้า

ชอบซื้อบ้าน ซื้อที่ใกล้ๆ สถานีรถไฟ ใกล้ทางด่วน ใกล้ทางคมนาคมสะดวก เออ ถ้าไม่พอ

ใจอยู่ ก็มาถวายวัด เดี๋ยวกูไปอยู่เอง เออ คนเรามันไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แล้วก็เลย

สรรหาไปเรื่อยเปื่อย เลอะเทอะ มันก็เป็นธรรมชาติ เค้าก่อสร้างก็ต้องกระเทือน ไปไหว้ให้

ตาย ดีไม่ดีเจ้าที่ไปตั้งแต่เสาเข็มต้นแรกแล้ว อ้าว ถามว่าไปไหน กูจะอยู่ไปทำไม ดูซิ เสา

เข็มต้นเบ่อเร่อ กูไปตั้งแต่ค้นแรก แล้วเสาทางรถ ทางด่วนมันมีต้นเดียวที่ไหน เอ้ย เชื่อใคร

เค้ามาก จบ ใช้ปัญญาหน่อย
ปุจฉา   สภาวะปัจจุบัน เกิดความท้อแท้ สิ้นหวัง โดยเฉพาะกับภัยธรรมชาติที่ประสบกันอยู่

เราจะมีวิธีให้กำลังใจคนเองอย่างไร
วิสัชนา   ไม่ใช่มึงน่ะ แม้กระทั่งลูกศิษย์ อ้ายเชาวลิต เมื่อเช้ามาแต่เช้ามืดเลย มายืนรอ ถาม

ว่า มาทำไม มาถามว่า ประเทศชาติจะรอดไม๊ เออ เขมรมันจะมาทำอะไรเรา จะแก้ไขอย่าง

ไร ราก็มองมันแล้วก็ เออ อ้ายเชาเอ้ย ทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเกิดขึ้น ตั้ง

อยู่ แล้วก็ดับไป  อย่าอาลัยกับมันมากเลย เออไม่รู้มัน ถึงขนาดทุรนทุราย กินไม่ได้ นอน

ไม่หลับ เค้าบอกว่า ผมมานี่ ผมนอนไม่หลับ ผมต้องมาหาหลวงปู่ เราก็เลยอัดไป มันก็เลย

ไปเลย ไม่เห็นหัวเลย หายจ้อยไปเลย ยังอยู่เหรอ เออ ไปแล้ว
งั้น ก็ถ้ามีชีวิตอยู่ในทำนองครองธรรมน่ะ มันมีอะไรให้วิเคราะห์ได้ กรรม อนิจจัง ทุกขัง

อนัตตา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันจะแบกไม๊ แล้วหลวงปู่นั่งรถมา ก็เลยตะดกนหันหลัง

ไปว่า
เฮ้ย ทุกข์น่ะ เค้ามีเอาไว้ให้วาง โลกเค้ามีไว้ให้เหยียบ ไม่ได้มีไว้ให้แบก ถ้ารู้จักวาง แล้วก็

เหยียบให้เป็น มันก็ไม่มีอะไรเป็นทุกข์ ไม่รู้มันจะฟังหรือเปล่า เราก็มาแล้ว จบ
ปุจฉา  คำพูดที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นความจริงหรือครับ เพราะคนทำดี กว่าจะได้ดีก็

ตั้งนาน คนทำชั่วก็ยังอยู่ดีมีสุขสบาย จะสั่งสอนทุกคนอย่างไร
วิสัชนา   ก็มันดีน้อยไง  เวลาเราทำดี มีดี ก็คนจะคิดว่าดีเฉพาะตัวเรา ถึงจะคนร่วมดีก็ดีไม่

กี่คน แต่เวลาทำชั่ว แค่ชั่วนิดเดียว ก็มีผลกระทบทั้งตนและคนรอบข้างมากมาย ถูกไม๊
เวลาเราทำดี เรานึก เอ่อ วันนี้ใส่บาตรทำบุฐซักที ก็ดีแค่ตัวเรากับพระที่ได้รับอาหาร ก็แค่นั้น

เราก็บอกว่าเราทำดีแล้ว แต่เวลาเราทำชั่ว แม้จะทำชั่วเรื่องเล็กน้อย แต่มันก็มีผลกระทบ

ทางศีลธรรม ทางจริยธรรม ทั้งตัวเราทั้งคนรอบข้าง ทั้งตระกูลวงศ์ ชื่อเสียง เกียรติยศ
เพราะงั้น ผลของความชั่วกับความดี แม้น้ำหนักเท่ากัน ให้ผลแตกต่างกันเสมอ แต่ทีนี้ พอ

เราคิดว่า กูก็ทำดีมา แล้วทำไมไม่ได้ผล ก็น้ำหนักเท่ากัน แต่ผลที่ได้มันแตกต่างกัน ถ้าเรา

อยากจะให้ผลดีของเรามันมากขึ้น ก็ต้องทำถี่ๆ ไม่ใช่นานๆทำที แล้วก็บอก โอฮ็ ทำดีไม่ได้ดี

มันต้องทำบ่อยๆ ทำเรื่อยๆ ทำเป็นอาจินต์ ทำเป็นนิจสิน
หลวงปู่ไม่รู้นะ คนอ่นคิดยังไง อะไรที่หลวงปู่คิดแล้วอยากจะได้ ไม่มีคำว่า ไม่ได้ ไม่มี

เพราะว่าเราไม่ได้นานๆทำทีไง กูเป็นคนทำดีถี่ไม๊ เออ ทำถี่จนพวกไปหมดแล้ว จะไปกัน

หมด เด็กดีเกิน ดีจนเหนื่อยไปหมดแล้ว เออ บางคนก็หนีตายไปบ้างก็มี
เพราะฉะนั้น ทำดีอย่านานๆทำที ต้องทำมันถี่ๆ และทำมันเรื่อยๆ แล้วเราก็รู้ว่า ผลของ

ความดี มันส่งผลดีได้จริงๆ จบ ลูก
ปุจฉา   เวลาลงมือทำแล้ว คิดว่าเต็มที่แล้ว แต่คนอื่นมองว่ายังใช้ไม่ได้ อย่างนี้ความหมาย

ของคำว่าพยายาม คืออะไร
วิสัชนา   พยายามของเรากับพยายามของคนอื่น มาตรฐานมันจะไม่เหมือนกัน ลูก แต่เรา

ลองถามตัวเราเองว่า เราอยู่ในสังคมอะไร ถ้าอยู่ในสังคมของคนจำนวนมาก แล้วคนใน

สังคมนั้นเป็นผู้พัฒนา มีความสามารถ มีศักยภาพ มีความเพียรพยายาม มีความรู้เยอะ เรา

ก็ต้องถามตัวเราว่า เราจะต้องการตะกายให้ถึงเค้าไม๊ ถ้าเราต้องการตะกายให้ถึงเค้า อย่างนั้น

พยายามแค่นั้นยังไม่พอ
แต่ถ้าเราบอกว่า เราไม่ต้องการตะกายให้ถึงเค้า เอาล่ะ แค่นี้ กูพอ อย่างนั้น เราก็ไม่ต้องไป

วิตก วิจารณ์ กับคำวิจารณ์ใดๆ เพราะถือว่า นี่เป็นความสามารถ แล้วกูก็พอแล้วในสิ่งที่ทำ

แค่นี้ แต่ถ้าเราไม่รู้จักคำว่า เพียง แล้วก็ต้องบอกกับตัวเองว่า เราต้องพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ

อย่างนั้นก็ต้องอย่าถาม อย่าบ่นว่า เหนื่อยเหลือเกิน ทุกข์เหลือเกิน ลำบากเหลือเกิน ทรมาน

เหลือเกินเพราะเราต้องการความสามารถ ความสำเร็จที่สูงกว่าที่มีอยู่ อย่างนั้น มันก็ต้อง

ขวนขวายให้เยอะขึ้น ต้องพยายามให้มากขึ้น
แต่ถ้าไม่คิดจะพัฒนาตัวเอง แล้วเราดันไปอยู่ในสังคมที่เค้าพัฒนาสูงสุดหรือสูงกว่าเรา  ถ้า

อย่างนั้นก็จำเป็นเหมือนกันที่ต้องทำหูหนวก ตาบอด แล้วก็ต้องบอกกับตัวเองว่า เราเอาแค่

นี้พอ แล้วอย่าไปสนใจขี้ปากชาวบ้าน จบ
สุดท้าย
ปุจฉา   ชมรมกัลยาณธรรมพิมพ์หนังสือปราณโอสถแจก ถวายวัดอ้อน้อย 500 เล่ม

แต่ต้นทุนการพิมพ์หนังสือลดลง จึงพิมพ์ได้ 1,500 เล่ม ต้องทำหนังสือกราบเรียน

หลวงปู่อีกหรือไม่
วิสัชนา   ต้องแจ้งไปที่มูลนิธิฯ ที่เค้าจัดพิมพ์ เพราะมูลนิธิฯ เค้าเป็นผู้ดูแลลิขสิทธิ์  แล้วก็

ตรวจสอบเรื่องพวกนี้ว่า ถูกผิด เค้าต้องตรวจดูต้นฉบับ ไปแจ้งกับเค้าดีกว่า
เข้าใจว่า เคยอนุมัติไปแล้วครั้งนึง ก็ไปดูแล้วกันถ้าให้ แจก เป็นมงคล ดีทั้งนั้น ธรรมะเป็น

ของสาธารณะ ทุกคนมีสิทธิ์ได้ วิชาความรู้ที่หลวงปู่มี คนนั้นก็เอาไปทำ คนนี้ก็เอาไปใช้

เยอะแยะไป ไม่ได้เสียหาย ไม่ได้หวงแหน จบแล้ว
หลวงปู่กล่าวตอนท้ายว่า
ชาวบ้านญาติโยมที่มีลูกหลานอยู่ แล้วก็ปิดเทอมภาคฤดูร้อน ถ้าปล่อยไว้ก็อาจจะไปมั่วสุม

เล่นเกม เสเพล สำมะเลเทเมา ไม่ก็อาจจำโดนตำรวจจับ เพราะตอนนี้ก็มีกฏหมายไปตรวจ

จับเด็กที่กลับบ้านดึก หรือไม่ก็ไปเล่นเกมอยู่ตามร้านเนทต่างๆ ดึกดื่น เราป้องกันความสูญ

เสียหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ก็เอาลูกมาฝากวัด ให้พระช่วยดูแล บวชเณรภาคฤดูร้อน
วัดไหนก็ได้ ไม่จำเป็น เพราะอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้ชายได้ศึกษาพระธรรมคำ

สั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเรียนรู้จริยธรรม ศีลธรรม แล้วก็ธรรมนูญชีวิตเบื้องต้น

ในการที่จะกลับไปสู่โลกภายนอกอย่างผู้มีสติ สมาธิ และปัญญาตั้งมั่น ที่จะบริหารจัดการ

ชีวิตให้ได้ตามทำนองครองธรรม คือเชื่อเรื่อง กฏของกรรม เชื่อว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม

เชื่อว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อว่า สรรพสิ่งในโลก เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เด็กๆ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก เอาเป็นว่า เชื่อเรื่องกรรมก่อน เรื่องหิริ ความละอายชั่ว

เรื่องโอตัปปะ ความเกรงกลัวบาป เรื่องความกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ เรื่องขันติ

ความอดทน โสรัจจะ ความเสงี่ยม วิระเย ทุกขมัตเจติ บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร
เชื่อเรื่งพวกนี้ก่อน เชื่อแล้วทำ ไม่ใช่เชื่อแล้วไม่ทำ เชื่อเฉยๆ ก็ไม่ได้ เป็นประโยชน์อะไร
ถ้าเรียนรู้และศึกษาได้ตามสิ่งที่กล่าวมานี้ ก็คือว่า เรามีธรรมนูญของชีวิต ในระดับที่จะนำ

พาชีวิตบริหารจัดการปัญหา แล้วก็แก้ไขทุกข์ หรือว่า ปรับกระบวนทุกข์ให้มันลดน้อย ถด

ถอยลงไปได้ในระดับของผู้มีปัญญาและแข็งแรงแล้ว
ให้ทุกท่านที่รับชมรายการปุจฉา วิสัชนา ทุกท่าน จงรุ่งเรือง เจริญ สุขภาพแข็งแรง มีสติ

ปัญญาตั้งมั่น คิดหวังสิ่งใดสมความปรารถนา เจริญธรรม
ตีมือให้เกียรติพิธีกรหน่อย
เผื่อผมจะได้มีโอกาศมาบวชในครั้งนี้ด้วย
จริงง่ะ
ถ้ามีโอกาสครับ
ครับ อาจจะขอบวชเนขักมมะก่อนครับ
มาฆะนี่นะ
มาบวชเนกขัมมะเนี่ยนะ
จริงง่ะ
โกหกตกนรกนะ
อาจจะ ครับผม เล็งไว้ครับผม
มาบวช แต่ลาสิกขาก่อนได้ ใช่ไม๊ครับ
ได้ ๆ เอาเต็นท์มาด้วย พาพ่อแม่ พี่น้อง บรรพบุรุษ โคตรเหง้า ปู่ย่า ตายาย เออ มาด้วย
บวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมรักษาศีล แผ่เมตตา เจริญภาวนา
การบวชเป็นเรื่องดี ลูก มาบวชอะไรก็แล้วแต่ ให้ได้บวชเป็นเรื่องดี มันเป็นสัญญลักษณ์

ของผู้นำ เป็นสัญญลักษณ์ของคนแกร่ง และแข็งแรง เป็นคุณธรรมของผู้นำ
ใครได้เข้ามาบวช ไม่ว่าจะบวชอะไร ก็ดีทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะมันเป็นหนทาง

แห่งการบำเพ็ญบารมี 1 ในทัศบารมี ก็คือ เนกขัมมะบารมี
มาบวชแล้ว ก็ทำให้เราได้ฟังธรรม ก็มีปัญญาบารมี
เมื่อบวชแล้วได้รักษาศีล ก็สีลบารมี
ได้แผ่เมตตา ก็เป็นทานบารมี
มาบวช หลับๆ ตื่นๆ นั่งๆ ลุกๆ สับหงก เงิกงาก ตื่นเช้า นอนดึก กฌต้องอดทน ก็เป็นขันติ

บารมี
มาจากบ้าน ตั้งใจมา ก็เป็น สัจจบารมี
คิดว่าจะมาแล้ว ให้ได้ดังหวัง ก็เป็น อธิษฐานบารมี
แล้วดำรงอยู่ได้อย่างเป็นผู้ตั้งมั่น ก็เป็นอุเบกขาบารมี
แล้วก็เจริญแผ่เมตตาไป
ทั้งหมดจี่มาจากการบวชทั้งนั้น ใครจะทำจนครบได้ด้วยการถือบวช
งั้น ก็สั่งสมไปเรื่อยๆ ทีละเล็ก ทีละน้อย อายุเท่านั้น ซักแค่นี้ อายุต่อไป ก็แค่นั้น ทำไป

เรื่อยๆ แล้วเดี๋ยวก็เต็มเอง
บารมี แปลว่า เต็ม แต่มันจะเต็มไก้ มันก็ต้องสั่งสม ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วโผล่ผุดขึ้นมา แล้วเต็ม

เลย ไม่ใช่ งั้นก็ต้องค่อยๆ สั่งสมไป
ก็สาธุเอาไว้ก่อน พิธีกรเค้าจะพาญาติเพื่อนฝูงมาบวช ฟ้าดินเป็นพยาน
เอ้า กราบพระแล้วไปพัก เดี๋นวมาปฏิบัติธรรม ลูก
ไปเข้าห้องน้ำห้องท่า ล้างหน้าล้างตา แล้วเดี๋ยวมาเจริญสติ เจริญกรรมฐาน