9.12.54   ทองผาภูมิ
14.00 น.
…..มีทาง 3 ทางให้เลือก
1 ทางศากยวงศ์ ...ศีลรักษาได้ต่อเมื่อมีสติ ..คุณธรรมกำกับศีล....
- สติ สัมปชัญญะ
- หิริ โอตัปปะ
- อินทรีย์สังวรณ์
ถ้าทำคุณธรรม 3 อย่างนี้ให้เจริญ ศีลเจริญได้ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
สิ่งใดกล้ำกราย ก็ไม่สะทกสะท้าน อยู่ไหน ก็หอมหวาน
2 ทางสวรรค์  เมื่อรู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว ก็ต้องสำนึก ให้เขียน ก็ต้องขีด
ถ้าไม่ขีด ก็โกหกตัวเอง โกหกคนอื่น ก็ไป 
      3    นรก..จะเป็นคนตลบตะแลง มีญาติปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง
จำเป็นต้องเลือก สภาวะอย่างที่เป็นสภาวะของผู้ถือบวช ต้องเลือก เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
ทำอย่างไรให้ดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม งดงามในพระธรรมวินัย...
ต้องรู้จักแยกแยะระหว่างมิตรกับศัตรู เพชรกับพลอย...
เหมือนเมื่อเช้า ตาดู ต้องมีเจตนาดู  มือสัมพันธ์ สัมผัส ต้องมีเจตนา
ไม่อย่างนั้น ก็ไม่รู้แผ่นดินร้อน แข็ง
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างต้องมีเจตนา แล้วต้องสมบูรณ์
บางเรื่องฟังแล้ว ไม่ควรคิด ก็เก็บมาคิด ก็เสียเวลาเปล่า....
จิตที่ล่าช้า จิตที่ไม่มีพัฒนาการ ก็เศร้าหมอง ...คำพูด คิด ก็ไม่สมปรารถนา
เจตจำนงค์ก็คลาดเคลื่อน ..ฟังเฉยๆ ที่ง่ายที่สุด ยังขาดทุนได้
แล้วอะไรจะกำไรในชีวิต
เปิด ........หูฟังเสียง ใจรับรู้
ฟังแล้ว ไม่เฉย ให้ขีดลงไป ........
.....ใครขีดเกิน 15 ขีด ลุกขึ้นยืน
ผู้ที่นั่ง ไปพักได้
ถ้าคิดเรื่องเดียวกัน...ถ้าคิดคนละเรื่อง ยิ่งแย่ใหญ่ เพราะว่า มีสิทธิ์ผิดพลาดอยู่เนื่องๆ
เอากระดาษ ดินสอขึ้นมา
ขีดในเรื่องไม่คิด ไม่มีความคิดใดๆ  
ใจว่างขีด แต่เวลาคิด ไม่ต้องขีด
สมองว่าง ใจว่าง เสพความว่าง
รู้ สัมผัสอยู่กับความว่าง
....................
เมื่อไรไม่ว่าง ขีดทันที ขีดจนกว่าความว่างปรากฏ
ว่างจริงๆ สมองต้องโล่ง ที่เรียกว่า ลหุตา คือ เบากายเบาใจ
ถ้ายังหนักหัว หนักกาย หนักใจ แสดงว่า ยังไม่ว่าง
ว่าง ต้องเหมือนลูกโป่งลอยไปในอากาศ  เหมือนนุ่นที่ลอยไปในอากาศ
ไม่มีภาระ วางเรื่อง พูด คิด ..สมองโล่ง กายโล่ง จิตโล่ง
ตัวเบา หัวเบา จิตเบา ลมหายใจจะเต้นเบาลงด้วย
ถ้าอยู่ในขั้นองค์ฌาน ก็ถือว่า เพ่งความว่างเป็นอารมณ์
..แม้ที่สุด รู้ลมหายใจ ก็ยังไม่ว่าง
อยู่กับลมหายใจ อยู่กับภาวนา ก็ยังถือว่า ไม่ว่าง
ต้องว่างอย่างไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร
พอ  กลับมาอยู่กับลมหายใจ
หายใจเข้า ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
หายใจออก ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์
.......
พอ ยกมือไหว้พระกรรมฐาน กราบพระแล้วไปพัก 15.40 น.
18.30 น.
...ครูใหญ่ไม่ไหว้ก่อน จะไหว้ครูเล็ก
.....  ทีนี้เลยไม่ไหว้เลย
ทำวัตรเย็น
19.15 น.
.....เมื่อมาสมัครตนเป็นลูกศิษย์ เพื่อฝึกมหาสติปัฏฐาน...กาย เวทนา จิต และธรรม
เมื่อเช้า บอกไปแล้ว คุณสมบัติของผู้รักษาศีล เหมือนดั่งแผ่นดิน เป็นที่ตั้งของสรรพสิ่ง
ศีล คือ สติ สัมปชัญญะ, หิริ โอตัปปะ, อินทรีย์สังวรณ์
ธรรม 3 อย่างนี้ เป็นเครื่องอุปการะของศีล
หน้าที่ของครู ต้องหาวิธีขจัดหยักไย่ ให้รู้ จิต กาย เวทนา....
สิ่งสำคัญคือ เฝ้ารักษาจิตให้มั่นคง แน่วแน่ ไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งเร้าเครื่องล่อ
ปีนี้ จะสอนเครื่องรักษาจิต น่าจะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้
เป็นธรรมแก้วิกฤตได้อย่างดียิ่ง  ตอบโจทก์ให้ผู้ทุกข์ยาก....
วิชาเรียน ต้องค่อยๆ ต้องตั้งใจ ต้องเตือนตัวเองว่า กำลังทำอะไร ได้อะไร
ถ้าไม่กระตุ้นตัวเองเสียบ้าง ทั้งวันก็นั่งเม๊าท์ ถือว่าประมาทมาก
ใช้เวลาไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป ไม่ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
กลายเป็นคนขลาดเขลา มีความทุกข์เป็นเจ้าของ เป็นสมบัติ
ทุกคนต้องหาวิธีกำจัดทุกข์ ต้องเตือนตัวเองว่า เรามาที่นี่เพื่ออะไร
รักษาจิตให้มั่นคง
กราบพระ ไปฉันยา แล้วค่อยฉันน้ำปานะ
ฆารวาส อนุญาตให้กิน 2 มื้อได้ มื้อเช้ากับมื้อกลางวัน ไม่ใช่มื้อเย็นนะ
อยู่ป่า เค้าไม่ให้เอาอาหารมาล่อ… เห็นขนส้ม กล้วย ขนมปัง....
เดี๋ยวคืนนี้ กูจะดู… มดจะมา
20.45 น. ปฏิบัติธรรม
พร้อมหรือยัง
หน้าที่เฝ้าระวังจิต
คิดเป็นขีด
ไม่คิด ไม่ต้องขีด
ไม่ว่าเรื่องอะไร ดี ชั่ว บุญ บาป
ถ้าเฉยๆ ไม่ต้องขีด
ดูตัวเอง
คิด เริ่มขีด
คิดเมื่อไหร่ ขีดเมื่อนั้น
หยุดคิด หยุดขีด
หลังปฏิบัติ
ไม่มีเจตนา มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ซักเรื่อง
เพราะฉะนั้น ฝึกเสียใหม่ เจตนาที่จะภาวนา เจตนาที่จะสวดมนต์
มนต์กับเราจะเป็นหนึ่งเดียวกัน
พอ
หัดเปลี่ยนนิสัยเสียใหม่ มีเจตนาที่จะทำ
ครูคนนี้ พูด ทำ คิด เรื่องเดียวกัน ....เจตนาเป็นเรื่องสำคัญในการสร้างกรรม
กรรมดีก็เป็นเจตนา กรรมชั่วก็เป็นเจตนา
พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เจตนาเป็นเครื่องกำเนิดกรรม.....
......ชีวิตก็เลยไม่พัฒนา ลองสร้างเจตนา เหมือนเรามีเจตนาดูโทรทัศน์
ความสำคัญของเจตนา ให้เราสำเร็จประโยชน์ก็ได้ คลาดเคลื่อน ผิดหวังก็ได้
งั้น ฝึกเจตนาเสียใหม่
พรุ่งนี้เช้า ตี 4 มาพร้อมกัน