ยังจำได้ไม่มีวันลืม เช้าวันที่ ๑๓ ต.ค. ๕๙ คณะพวกเราชาวเวทีแจ้งวัฒนะ และครอบครัวธรรมอิสระ พากันนำข้าวสารอาหารแห้งและข้าวห่อปรุงสุกน้ำดื่มพร้อมปัจจัยใส่ซองๆ ละ ๓๐๐ บาท

ของทั้งหมดขนขึ้นรถ ๑๐ ล้อไปจนเต็มคัน เพื่อเดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ อ.บางบาล อ.อินทร์บุรี และ อ.เสนา จ.สิงห์บุรี และ อ.บางไทร จ.อยุธยา

วันนั้นตื่นเช้าหลังจากทำภารกิจสวดมนต์ทำวัตรเช้าที่กุฏิแล้ว ฉันเช้า เตรียมออกเดินทางด้วยจิตที่กระสับกระส่าย เพราะช่วงดึกของวันนั้นได้รับข่าวสารมาจากท่านผู้เจริญท่านหนึ่งว่า พระเจ้าอยู่หัวกำลังจะทรงสวรรคต

แต่ก็ด้วยหัวใจที่เชื่อมั่นว่าพระองค์จักต้องทรงอยู่กับประชาชนอันเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ไปจนครบ ๑๒๐ ปี ตามที่พวกเราฝัน
อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงพี่น้องชาวสิงห์บุรี อยุธยา กำลังประสบภัยน้ำท่วม จึงตัดสินใจออกเดินทางไปแจกข้าวสารอาหาแห้งแต่เช้า โดยนัดพี่น้องชาวแจ้วัฒนะไปร่วมกันแจกของช่วยผู้ประสบภัยจนเวลาล่วงเลยไปเกือบ ๔ โมงเย็น

ขณะที่กำลังจะเข้าไปตรวจเยี่ยมพี่น้องชาวบางไทร ที่ถูกน้ำท่วม มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นกับผู้หมวดกุด

มันบอกฉันว่า ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ โทรมาขอเรียนสายกับหลวงปู่

ฉันรับโทรศัพท์มาคุย คำแรกที่หูฉันได้ยินคือ หลวงปู่ครับ ในหลวงเสด็จสวรรคตเสียแล้ว พร้อมเสียงสะอื้นตามมา

ฉันฟังแล้วเหมือนถูกสาดด้วยน้ำแข็งที่เย็นเฉียบ และตามด้วยน้ำร้อนที่กำลังเดือด แต่ด้วยอำนาจของสติสัมปชัญญะ จึงได้กล่าวขอบคุณคุณปราโมทย์ แล้วส่งโทรศัพท์คืนเจ้ากุด พร้อมกับนั่งทบทวนสิ่งที่หูได้ยินมา

เวลาต่อมา เสียงโทรศัพท์เจ้ากุดดังขึ้นอีก เจ้ากุดรับสายแล้วบอกว่า ชูใจเลขามูลนิธิโทรมาขอเรียนสาย

ฉันรับมาฟัง ชูใจพูดคำแรกว่า หลวงปู่เจ้าคะ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว พร้อมกับได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาตามสาย

ฉันพูดตอบไปว่า กูรู้แล้ว กำลังจะรีบเดินทางกลับ พร้อมสั่งให้พลขับเร่งเครื่องอย่างเร็วไว ถึงวัดประมาณ ๕ โมงเย็นเศษๆ สั่งให้ตีระฆังประชุมสงฆ์

ขณะรอเวลาพระสงฆ์มาพร้อมกัน ฉันรีบเข้ากุฏิสรงน้ำ พร้อมแต่งตัวลงโบสถ์ ขอให้พระเณรตีฆ้อง กอง ระฆัง เพื่อน้อมส่งเสด็จพระเจ้าอยู่หัวสู่สวรรคาลัย

พระเณรทั้งวัดสวดมาติกาบังสุกุล ๙ จบ ฉันสวดไม่ครบ ๙ จบ หัวจิตหัวใจมันอยากจะกระโดดกระโจนโลดแล่นออกจากกายไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวที่โรงพยาบาลศิริราชในบัดดล

ฉันจึงกราบพระแล้วขอโอกาสคณะสงฆ์รีบเดินทางมาเฝ้าสวดมนต์ถวายเป็นเพื่อนพระบรมศพพระเจ้าอยู่หัวที่โรงพยาบาลศิริราช ณ อาคารศิริราช ๑๐๐ ปี

พร้อมสั่งอีอ้วน แม่ครัว ให้จัดเตรียมอาหารส่งไปเลี้ยงพี่น้องประชาชนที่โรงพยาบาลศิริราช

หลังจากสั่งงานให้อีอ้วนทำอาหารไปแจกพี่น้องประชาชนที่มาเฝ้าพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ ๙ แล้ว จึงสั่งให้เจ้ากุดรวบรวมหนังสือสวดมนต์นำไปแจกให้กับพี่น้องประชาชนที่มารอเฝ้าพระบรมศพที่อาคารศิริราชร้อยปีด้วย

เมื่อสั่งงานเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงขึ้นรถ ดาบแสบเป็นผู้ขับ ผู้หมวดกุดและดาบแจ้ ดาบสุรางค์ เป็นผู้ติดตาม

ในขณะนั้นฉันไม่ทราบสถานการณ์ที่โรงพยาบาลศิริราชว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่จิตใจได้โลดแล่นมาถึงโรงพยาบาลศิริราชนานแล้ว

ฉันกำชัยให้เจ้าแสบรีบเร่งขับรถมาโรงพยาบาลอย่างเร็วไว พอรถเข้าเขตสะพานพระปิ่นเกล้า จึงได้รู้ว่ามีการกักด่านแยกถนนอรุณอัมรินทร์ เส้นทางที่จะเข้าโรงพยาบาลศิริราช เขามิให้รถเข้า

ขณะนั้นรถที่ฉันนั่งซึ่งขับโดยเจ้าแสบ ก็พยายามแทรกไปจนถึงด้านใน

ฉันนึกภาวนาอยู่ในใจว่าขอบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ให้ลูกไทยคนนี้ได้มีโอกาสไปเข้าเฝ้าอยู่เป็นเพื่อนพระบรมศพตามโบราณราชประเพณีด้วยเถิด

ฉันสั่งให้เจ้าแสบโทรประสานเจ้าแป๊ะหัวหน้าช่างภาพ ที่เดินทางมาจากบ้าน เมื่อมันรู้ว่าฉันจะมาโรงพยาบาลศิริราช เจ้าแป๊ะก็ขับมอเตอร์ไซต์มาก่อนล่วงหน้า พยายามเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งด่านสกัดรถ มันแจ้งแก่เจ้าหน้าที่ว่าพุทธะอิสระจะเข้าไปสวดมนต์เฝ้าพระบรมศพที่อาคารศิริราชร้อยปี

จะด้วยเดชะบุญบารมีปกเกล้าหรืออะไรมิอาจคาดเดา เผอิญเจ้าหน้าที่ด่านแรกเป็นแฟนคลับพุทธะอิสระพอดี จึงอนุญาตให้รถเราเข้าไปได้ แต่กำชับว่า คงจะต้องจอดรถอยู่ที่ตีนสะพานอรุณอัมรินทร์เท่านั้น เพราะจะมีเจ้าหน้าที่ทหารสกัดอยู่ที่ตีนสะพานอีกชั้นหนึ่ง

ฉันนั่งอธิษฐานอยู่ในใจนึกถึงพระบารมีปกเกล้าขอให้ทรงเปิดเส้นทางให้ลูกไทยคนนี้ได้เข้าไปใกล้ถึงโรงพยาบาลด้วยเถิด
พอรถแล่นมาอย่างข้าๆ ถึงด่านทหาร ตรงตีนสะพานอรุณอัมรินทร์ ขาเข้าโรงพยาบาล ฉันสั่งให้เจ้าแสบเปิดไฟในรถให้สว่าง และเปิดกระจกเพื่อแสดงตัวให้เจ้าหน้าที่ได้เห็น

เจ้าหน้าที่ทหารพอได้เห็นรถตู้ที่ฉันนั่งเข้ามาใกล้ด่าน จึงโบกให้หยุด แล้วพูดว่าห้ามเข้านะครับ คงต้องจอดตรงนี้หรือไม่ก็ขับย้อนกลับไป เพราะเป็นเขตหวงห้าม

เจ้าแสบจึงแจ้งว่าหลวงปู่พุทธะอิสระจะเข้าไปสวดมนต์ถวายความอาลัยเป็นเพื่อนพระบรมศพพระเจ้าอยู่หัว

นายทหารผู้คุมด่านนั้น ชะโงกหน้าเข้ามาดูในรถ พอได้ทราบวัตถุประสงค์ที่เข้ามา จึงอนุญาตให้รถเราข้ามสะพานไปสู่โรงพยาบาลศิริราช

รถได้แล่นมาถึงหน้าอาคารโรงพยาบาลปิยการุณ ติดกับโรงพยาบาลศิริราช มาเจอกับด่านนายตำรวจใหญ่และมีกลุ่มคนยืนอยู่อีกร่วมร้อยคน รอที่จะเข้าไปในบริเวณอาคารศิริราชร้อยปี แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต

ฉันลงจากรถแสดงตน นายตำรวจท่านหนึ่งยศพลตรีเข้ามาทำความเคารพแล้วแจ้งว่า มีประกาศเคลียร์พื้นที่ ผลักดันประชาชนให้ออกจากพื้นที่อาคารศิริราชร้อยปีหมดแล้วครับ เวลานี้และในบริเวณอาคารร้อยปีมีแต่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องและผู้ป่วยเท่านั้น

ณรงฤทธิ์พนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตพร้อมครอบครัว ที่เดินทางมาก่อนหน้าฉันและตกค้างอยู่ในพื้นที่พยายามอธิบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทราบถึงวัตถุประสงค์ที่เรามา แม้ผู้หมวดกุดกับเจ้าแป๊ะจะแห่กล่อมอย่างไร แต่ก็ไร้ผล

ขณะนั้นประชาชนที่มายืนออรอที่จะเข้าไปในบริเวณอาคารศิริราชร้อยปีก็เริ่มเข้ามายืนล้อมฉัน คงจะมุ่งหวังว่าถ้าฉันเจรจาสำเร็จจะได้ติดตามเข้าไปด้วย

แต่การเจรจาก็ไร้ผล ฉันยืนเงยหน้ามองบนฟ้าและมองเข้าไปในโรงพยาบาล แล้วอธิษฐานในใจว่า

พ่อจ๋า ลูกไทยคนนี้มาแล้ว แต่ยังไม่สามารถเข้าไปข้างในอาคารที่พ่อประทับอยู่ได้ ขอพ่อได้โปรดเปิดทางให้ลูกด้วย

พลันฉันก็นึกถึงบุคคลผู้หนึ่งที่คุ้นเคยกันดี คือท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ฉันจึงสั่งให้ผู้ติดตามค้นหาเบอร์ โดยประสานกับเลขามูลนิธิธรรมอิสระ ชูใจ

เมื่อได้เบอร์โทรมาแล้ว ก็ให้เจ้ากุดติดต่อแจ้งไปว่า ฉันต้องการจะเข้าไปเจริญมนต์ถวายความอาลัยอยู่เป็นเพื่อนพระบรมศพตลอดทั้งคืน ขออนุญาตเข้าไปด้วย

เวลาต่อมา สุภาพสตรีท่านหนึ่งรูปร่างสมบูรณ์ อายุราว ๒๕ ร่วม ๓๐ ปี ใส่กระโปรงแค่เข่าสีเทาดำ สวมเสื้อแขนตุ๊กตายาว กระดุมปิดถึงคอ ดูจะเป็นผ้าแพร่ระบายลายดอก สีควันบุหรี่

เดินมาที่ด่านพร้อมบอกว่า ผศ.นพ.พิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผอ.รพ.ศิริราช ให้มารับและคณะติดตามไม่เกิน ๗ คน

ฉันน้ำตาไหลพราก ขอบคุณคุณหมอพิศิษฎ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล และคุณสุภาพสตรีที่นำข่าวอันเป็นมงคลมาบอกและนำทาง

ขอบคุณในมหาบารมีขององค์พ่อหลวงผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่ง ที่เปิดโอกาสให้ลูกไทยคนนี้ได้เข้าไปทำหน้าที่เจริญมนต์ถวายอาลัยเป็นเพื่อนพระบรมศพ

พอฉันเดินทางเข้ามาถึงอาคารศิริราชร้อยปีแล้ว มีบรรดาญาติผู้ป่วยและแพทย์พยาบาลที่ออกเวรแล้วไม่กลับบ้าน นั่งรออยู่ใต้อาคารโถงชั้นล่างร่วมร้อยคน

พอได้เห็นฉันทุกคนอุทานว่าพระมาโปรดเรา หลวงปู่พุทธะอิสระมาแล้ว

ฉันจึงพูดทั้งน้ำตาว่า พวกเรามาแปรความเศร้าโศกให้เป็นมรณานุสสติ ด้วยการเจริญพระพุทธมนต์เป็นเพื่อนพระบรมศพจนถึงเช้ากันดีกว่า

แล้วฉันจึงสั่งให้คนติดตามนำเอากระดาษบทสวดมนต์มาแจกจ่าย

พวกเราสวดมนต์กันตั้งแต่ ๓ ทุ่มจนถึง ๖ โมงเช้า สลับกับการนั่งเจริญมรณานุสสติ

พอถึงเวลาบิณฑบาต ฉันขอเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วรับบาตรจากเจ้ากุดออกเดินบิณฑบาต มีคุณหมอกรกฎ พานิช และหมอสิทธิชัย กุลพรศิริกุล เดินตาม มีบรรดาหมอและพยาบาลรวมทั้งญาติของคนป่วยนำอาหารมาใส่บาตรจนเต็ม

เดินกลับมายังห้องโถงใต้อาคารร้อยปีแล้ว เจริญมนต์เช้า
๙ โมงเช้าจึงฉัน มีลูกหลานนำอาหารมาถวาย ก็ฉันไม่ลง ท้องไส้ หัวจิตหัวใจมันตีบตันไปหมด ได้แต่ฉันน้ำ

เจ้าเขมและเจ้านนท์ก็พยายามคะยั้นคะยอให้ฉัน ฉันเห็นความตั้งใจของพวกมันแล้วเลยหยิบน้ำถั่วเหลืองมาดื่มไปครึ่งแก้ว

ขณะนั้นก็ได้รับฟังว่าสำนักพระราชวังมีหมายกำหนดการออกมาว่าจะมีการอัญเชิญพระบรมศพออกจากโรงพยาบาลไปยังพระบรมมหาราชวังในเวลา ๔ โมงเย็น ยิ่งทำให้ฉันไม่อยากฉันอาหาร

ฉันหันไปมองหน้าพี่น้องประชาชนที่มาร่วมเจริญพระพุทธมนต์ตลอดทั้งคืน พวกเขาก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยเหมือนกัน ฉันจึงสั่งให้นำอาหารที่บิณฑบาตได้ไปแจกจ่ายแบ่งกันกิน แล้วสั่งให้เจ้ากุดโทรไปเร่งที่โรงครัววัดให้รีบส่งอาหารเข้ามาแจกจ่ายพี่น้องประชาชนให้ทั่วถึง เพราะได้ทราบว่าประชาชนพากันเดินทางมาน้อมส่งเสด็จพระบรมศพกันจำนวนมาก

ขณะที่สั่งการเจ้าหมูและพวกก็หิ้วหอบข้าวกล่องพะแนงไก่มา ๔๐ กล่อง ฉันจึงสั่งให้รีบแจกแล้วถามว่า ทำไมนำมาแค่นี้ เขาบอกว่านำมา ๕ พันกล่อง แต่เข้าไม่ถึง ประชาชนเยอะมากจึงแจกไปพร้อมน้ำดื่ม ที่เหลือหิ้วมานี้กะว่าจะนำมาถวายหลวงปู่และผู้ติดตาม

ฉันจึงสั่งว่าไม่เป็นไร ข้าไม่ฉันดอก นำไปแจกพี่น้องประชาชนก่อน พวกเขาหิว มากันไกลๆ ไม่ได้นอนกันทั้งคืน เดี๋ยวจะเป็นลมไป
เจ้าหมูและพวกจึงหิ้วข้าวกล่องไปแจกโดยไม่ต้องแจก เพราะประชาชนฝนห้องโถงอาคารร้อนปี ต่างพากันรุมเข้ามาขอคนละกล่องพร้อมน้ำคนละขวด

ฉันจึงร้องบอกว่า กินข้าวแล้ว พักเข้าห้องน้ำห้องท่า เดี๋ยวสิบโมงมาเจริญมนต์กันอีกรอบ

พวกเราเจริญมนต์ไปถึง ๑๑ โมงครึ่ง แผ่เมตตาอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแล้วพัก

ฉันปลีกตัวออกมานั่งผ่อนคลายรอคอยขบวนเสด็จพระบรมศพอยู่ที่ท่าเสด็จริมน้ำ ณ โรงพยาบาลศิริราช

รุ่งรัตน์และเจ้านนท์พร้อมแม่มันนำอาหารมาถวายเพล ฉันจึงสำรวจดูอาการทางกาย เห็นว่าร่างจะทนอยู่ได้อีกหนึ่งวันโดยไม่หลับไม่นอน เราจะต้องได้สารอาหาร จึงยินยอมฉันอาหารเพล

หลังจากฉันเพลที่ศาลาริมน้ำแล้ว ได้เดินทางออกมานั่งรอขบวนอัญเชิญพระบรมศพ ยิ่งสาย เวลาล่วงเลยไปมากเท่าไหร่ ผู้คนต่างพากันมานั่งรอส่งเสด็จกันอย่างเนืองแน่น ด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา

มิใยที่แดดจะร้อนแรงแผดเผา ก็มิได้ทำให้ผู้คนหลบหนี พวกลูกหลานเขาอยากให้ฉันได้เห็นขบวนเสด็จ เขาไปจองที่ให้ฉันในทำเลที่ดีมาก

แต่เมื่อเห็นผู้คนมากันมากขึ้นมากขึ้น ไม่มีที่จะนั่งจะยืน อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังต้องกั้นพื้นที่เอาไว้สำหรับเส้นทางเสด็จ ณ บริเวณถนนหน้าอาคารศิริราช ๑๐๐ ปี ที่คับแคบอยู่แล้ว จึงยิ่งคับแคบสำหรับผู้คนมากยิ่งขึ้นไปอีก

ฉันจึงบอกเจ้าผู้หมวดกุดแถลงว่า ให้ไปแจ้งแก่ผู้ที่จองเอาไว้ให้ฉันว่า สละที่ตรงนั้นให้แก่ชาวบ้านไปเถิด ส่วนพวกเราขอเฝ้าส่งเสด็จอยู่ตรงท่าน้ำนี้ก็แล้วกัน แม้จะห่างไกล แต่ก็ยังพอมองเห็นขบวนเสด็จไปช่วงแว๊บหนึ่งก็เป็นบุญตาแล้ว

ตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่าพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสู่สวรรคาลัย จนถึงเวลานี้น้ำตาฉันยังไม่หยุดไหลเลย

ฉันเกรงว่าจะพาชาวบ้านเขาร้องไห้ตามไปด้วย เลยขอนั่งรอน้อมส่งเสด็จพระองค์อยู่ด้านหลังสุดก็แล้วกัน ขอเพียงให้ได้เห็น ได้อยู่ใกล้ แค่นี้ก็พอใจแล้ว

พอถึงเวลาขบวนเสด็จเห็นพระหีบที่บรรจุพระสรีระขององค์พ่อผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่งแล้ว ยิ่งหัวใจแทบขาด

ชั่วชีวิตของพวกเราไม่เคยได้เห็นพระองค์บรรทมให้เราดู เห็นแต่พระองค์ท่านทรงแต่งานเพื่อประโยชน์สุขของมหาชน

แม้จะมีโอกาสได้เห็นขบวนเสด็จเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ติดตาตรึงใจมาถึงวันนี้อย่างไม่ลืมเลือน

จาก ๑๓ ต.ค. ๕๙ มาถึงวันนี้ ๑๓ ต.ค. ๖๐

ลูกไทยทุกคนมิเคยลืมเลือนภาพพระกรณียกิจที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้แก่แผ่นดินไทยเลย

วันนี้พวกเราจึงมาประชุมพร้อมกันสวดมาติกาบังสุกุล ถวายสังฆทาน เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พ่อหลวงผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่ง

ขอดวงพระวิญญาณของพระองค์ทรงโปรดรับรู้ด้วยญาณวิถี ต่อการแสดงความกตัญญูกตเวทิตา ของพวกลูกไทยในครั้งนี้ ในวโรกาสครบรอบ ๑ ปี ที่พระองค์ทรงเสด็จสู่สวรรคาลัย

ขอพระองค์ทรงเสด็จสู่ทิพยสถานอำไพ ทรงพักผ่อนให้สำราญเบิกบานพระราชหฤทัย ทรงพระเกษมสำราญทุกทิพาราตรีกาลเทอญ

ขอถวายพระพร

พุทธะอิสระ