นานมาแล้ว ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งในภาคอีสาน เด็กนักเรียนทั้งห้องจำนวนรวม ๔๐ เกิดอาการคล้ายผีเข้า ส่งเสียงกรีดร้อง เกิดอาการโวยวาย พูดจาเหมือนคนแก่

บรรดาครูและผู้ปกครองจึงนำตัวส่งโรงพยาบาล

หมอวินิจฉัยว่า เป็นโรคทางจิตอ่อนๆ เรียกว่า อุปาทานหมู่

ฉันจำได้ว่า สมัยเด็กๆ เคยได้ยินพวกผู้ใหญ่เขาคุยกันว่า เมื่อคืนนี้ไม่รู้อุปาทานไปหรือเปล่า นอนๆ อยู่รู้สึกเหมือนมีคนมาดึงขา พอเราดึงขากลับซักพักก็มีมือมาดึงขาอีก

ไม่รู้ว่าเป็นผีดึง หรืออุปาทานของเราคิดไปเอง

วันนี้เลยนำคำว่า อุปาทาน ในมุมมองของพระพุทธธรรม มานำเสนอ

คำว่า อุปาทาน หมายความว่า ความยึดมั่น ถือมั่น

ยึดมั่น ถือมั่น ในกามคุณอันมีความพึงพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

ยึดมั่น ถือมั่น ในความคิดความเห็นของตนเป็นใหญ่

ยึดมั่น ถือมั่น ในศีลและข้อปฏิบัติของตน ว่าวิเศษศักดิ์เหนือศีลพรตอื่นใด จนกลายเป็นการปิดกั้นความเจริญในศีลและข้อปฏิบัติอื่นที่ยิ่งกว่า

ยึดมั่น ถือมั่น ในคำพูดของตนเป็นใหญ่ โดยไม่ใส่ใจ ไม่สนใจหลักการและเหตุผลแห่งความเป็นจริง จนเป็นเหตุให้คลาดเคลื่อนจากสัจจะวาจาที่แท้จริง

รวมความว่า อุปาทาน จัดเป็นมิจฉาทิฐิ เป็นความเห็นผิด จากความจริงอันประเสริฐ

เพราะอุปาทาน ความยึดถือ ทำให้เกิดภพ แดนเกิด

เพราะอุปาทาน ความยึดถือ ทำให้เกิดชาติ การเกิด

เพราะอุปาทาน ความยึดถือ ทำให้เกิดชรา มรณะ พยาธิ ทุกข์โทมนั

และหากจะกำจัดอุปาทานต้องมีวิชา มีปัญญาเท่านั้น

หากต้องการจะมีวิชา มีปัญญา ต้องเริ่มต้นจาก 
การฟัง ศึกษา สั่งสม อบรมความรู้

การคิด ในสิ่งที่ฟัง ศึกษา สั่งสม อบรมเรียนรู้

และลงมือทำเสียที อย่าเอาแต่ฟังและนั่งคิดอย่างเดียว

พุทธะอิสระ

ขอขอบคุณภาพจาก พจนานุกรมไทย