วันนี้เสนอคำว่า บัว ๔ เหล่า

คำว่า บัว ๔ เหล่า หาได้หมายถึงดอกบัว ๔ ชนิดไม่ แต่เป็นคำเปรียบเปรยที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยกเอาอุปนิสัยของเวไนยสัตว์ มาเปรียบเทียบกับดอกบัว ๔ ลักษณะ คือ

๑. ผู้มีสติปัญญา เมื่อได้รับฟังเพียงแค่หัวข้อธรรม โดยมิต้องอธิบายขยายความ ก็สามารถบรรลุธรรมได้

บุคคลเช่นนี้เปรียบดั่ง ดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำแล้ว เพียงแค่ต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที

นี่แสดงว่าบุคคลผู้นี้ต้องสั่งสมอบรมสติปัญญา บารมีธรรมมาแต่กาลก่อนอย่างมากมาย ดุจดังน้ำที่ใกล้จะเต็มถ้วย พอมีน้ำหยดใส่ถ้วยแค่ ๑ หยด น้ำก็ล้นถ้วยมาทันที เรียกว่า พวกอุคฆฏิตัญญู

๒. ผู้มีสติปัญญาปานกลาง ที่ต้องอาศัยคำอธิบายขยายความ ชี้แจ้งให้แจ่มชัด จึงจักสามารถบรรลุธรรมได้

บุคคลเช่นนี้เปรียบดั่ง ดอกบัวที่โผล่ขึ้นเสมอผิวน้ำ พร้อมที่จะบานในวันรุ่งขึ้น

นี่ย่อมแสดงว่าบุคคลผู้นี้สั่งสมอบรมสติปัญญา บารมีธรรมมาในระดับปานกลาง ยังไม่แก่กล้าพอ จึงต้องอาศัยคำอธิบาย จึงจะเข้าใจรู้จัก เรียกคนประเภทนี้ว่า วิปจิตัญญู

๓. ผู้มีสติปัญญาอ่อนด้อย ต้องชี้แนะ พร่ำสอน บอกกล่าวหลายๆ ครั้ง ทั้งยังต้องทำต้นแบบ หรือยกตัวอย่างให้ดู ให้รู้ ให้เห็น จึงจะเข้าใจ รู้จักสภาพธรรมตามความเป็นจริง และได้บรรลุธรรมในที่สุด

เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ พร้อมที่จักโผล่ขึ้นพ้นน้ำและบานในวันต่อไป เรียกว่า เนยยะ

๔. ผู้ขาดสติปัญญา ขาดความเพียร แม้จักได้รับคำสั่งสอนด้วยอมฤตธรรมอันยอด แต่คนผู้นี้ก็มิอาจรู้ตามได้

เปรียบดั่งดอกบัวที่เป็นโรค และจมอยู่ใต้โคลนตม ไม่มีโอกาสโผล่พ้นน้ำมารับแสงเดือนแสงตะวัน เป็นได้แค่อาหารของเต่าและปลา หรือไม่ก็เน่าอยู่ใต้โคลนตมเท่านั้น

บุคคลประเภทนี้เรียกว่า ปทปรมะ

ท่านทั้งหลายลองดูซิว่า ใครอยู่ในบุคคลประเภทไหน

พุทธะอิสระ