ถาม :
 
เราจักรู้ได้อย่างไรว่าเรามีสมาธิ
 
ตอบ :
 
รู้ได้ด้วยการทำงานภายนอก และงานภายในตั้งมั่น ถูกต้อง ชัดเจน นั่นแหละคือผู้มีสมาธิ
อีกอย่างคราใดที่เราตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว โดยมิมีอารมณ์อื่นใดมาสอดแทรกเลยอย่างตั้งมั่น นั่นชื่อว่า สมาธิ แล้ว
 
 

ถาม :
 
เราจักรู้ได้อย่างไร ว่าเรามีปัญญา
 
ตอบ :
 
การงานทั้งภายนอกและการงานภายในสะอาด หมดจด สำเร็จประโยชน์ดั่งเป้าประสงค์ และหากต้องการผลของการงานที่สะอาดมากๆ ก็ต้องเป็นการงานเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น สิ่งอื่น ชีวิตอื่นเป็นที่ตั้ง
ดังพระพุทธธรรมคำสั่งสอนแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล ว่า
"องค์ราชาปเสนทิโกศล ทูลถามว่า ผู้เป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม จะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นผู้หมดกามคุณ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสตอบ จะรู้ว่าใครมีศีลหรือไม่ ต้องอยู่ด้วยกันนานๆ
จะรู้ว่ามีความสะอาดหรือไม่ ดูได้ด้วยการทำงาน (หรือเจรจา) ว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ผู้อื่นมากกว่าหรือไม่
จะรู้ว่ามีปัญญาหรือไม่ ก็ด้วยการสนทนา ดูว่าบทสนทนานั้นจักทำให้ผู้ฟังรุ่งเรืองปัญญาหรือไม่
จะรู้ว่ามีสมาธิเข้มแข็ง มีตบะหรือไม่ ก็ต้องดูขณะเกิดเรื่อง หรือตกอยู่ในอันตรายว่าเขาสงบนิ่งอยู่ด้วยสติและปัญญาหรือไม่"
“ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นของ๔อย่างว่าเป็นของเล็กน้อย” คือ
(๑) อย่าดูถูก_ดูหมิ่นกษัตริย์ว่ายังทรงพระเยาว์
(๒) อย่าดูถูก_ดูหมิ่นงูว่าตัวเล็ก
(๓) อย่าดูถูก_ดูหมิ่นไฟว่าเล็กน้อย
(๔) อย่าดูถูก_ดูหมิ่นสมณะ ชี พราหมณ์ ผู้มีวัยยังหนุ่ม
ของ ๔ อย่างนี้ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่าเล็กน้อยไม่สำคัญ เพราะพระมหากษัตริย์แม้ยังทรงพระเยาว์ แต่ก็มีพระราชอำนาจมาก หากทรงพิโรธขึ้นมาอาจลงพระราชอาญาอย่างหนักได้
งูพิษแม้ตัวเล็กก็กัดคนให้ถึงตายได้
ไฟแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจเผาบ้านเผาเรือนให้วอดวายได้
สมณะ ชี พราหมณ์แม้ยังหนุ่ม แต่ก็เป็นผู้มีศีล ผู้ใดประทุษร้ายต่อสมณะ ชี พราหมณ์ ผลแห่งกรรมชั่วย่อมแผดเผาผู้นั้น แม้ทรัพย์สมบัติของผู้นั้นย่อมพินาศ เป็นเหตุให้ครอบครัวต้องเดือดร้อนไปด้วย
ด้วยหลักการทั้งปวงที่กล่าวมานี้ หากพิจารณาปฏิบัติจนรู้ชัด ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญา
 
พุทธะอิสระ