ถาม :
 
เห็นท่านอธิบายการใช้ทาน ศีล สมาธิ สติปัญญา ในมุมมองของท่าน ผมอยากรู้คำว่า ศรัทธา ในมุมมองของท่านมองอย่างไร
ตอบ :
 
ศรัทธา ในมุมของฉันต้องจบลงตรงที่ประโยชน์สูง ประหยัดสุด ไม่ว่าคุณจะศรัทธาสิ่งใด ต้องตั้งคำถามแก่ตนเองอยู่เสมอๆ ว่า สิ่งที่ตนเองศรัทธาอยู่นั้น
ได้ให้ประโยชน์แก่คุณทั้งทางกาย ทางใจ อยู่หรือเปล่า
หากได้ประโยชน์แค่ทางกาย แต่ใจไม่ได้ประโยชน์ เช่นนี้ชื่อว่า ศรัทธาไม่ยั่งยืน
หากได้ประโยชน์แค่ทางใจ แต่กายไม่ได้ประโยชน์ เช่นนี้ชื่อว่า ศรัทธาไม่ยั่งยืน
หากได้ประโยชน์ทั้งทางกาย และทางใจเช่นนี้ชื่อว่า ศรัทธานั้นย่อมตั้งมั่นทั้งโลกนี้และโลกหน้า
คุณธรรมที่ชื่อว่า ศรัทธา นี้แท้จริงแล้ว ล้วนมีอุปการคุณต่อกิจที่คุณทำ ต่อคำที่คุณพูด ต่อสูตรที่คุณคิด ทั้งนั้น
เหตุเพราะหากทำ พูด คิด ด้วยแรงขับเคลื่อนด้วยศรัทธาย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จได้โดยง่าย งดงาม สมบูรณ์และไม่เหนื่อยมากนัก
เหตุเพราะในขบวนการแห่งศรัทธานั้น ย่อมประกอบไปด้วยพลังขับเคลื่อนของทาน ศีล สมาธิ สติ และปัญญา ในแต่ละระดับ
แต่หากคุณทำ พูด คิดใดๆ ที่ขับเคลื่อนไปด้วยอารมณ์ทะยานอยาก รัก โลภ โกรธ หลง แม้จะมีศรัทธา มีความเชื่อผสมปนเปไปด้วย แต่สิ่งที่คุณทำ พูด คิด ก็จักได้แบบลุ่มๆ ดอนๆ ติดๆ ขัดๆ ไม่สำเร็จโดยง่าย ทั้งยังจะไม่สวยงามสมบูรณ์
อีกทั้งเมื่อคุณทำ พูด คิดจบลงแล้ว สิ่งที่จะตามมา คือ ความเหนื่อยล้า อ่อนเพลียแทบจะหมดเรี่ยวแรง
อีกประเภทหนึ่ง คือ คนไม่มีศรัทธา ไม่มีความเชื่อ มีแต่ความทะเยอทะยานอยาก เต็มไปด้วยความรัก โลภ โกรธ หลง
แรกๆ แห่งการทำ พูด คิด เขาอาจจะประสบความสำเร็จด้วยอำนาจของความทะเยอทะยาน รัก โลภ โกรธ หลง
แต่ผลที่ได้ สิ่งที่ประสบความสำเร็จ แม้จะดูดี แต่เขาต้องสูญเสียพลังชีวิต สูญเสียจิตวิญญาณเสรี สูญเสียความรุ่งโรจน์ของศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ สติ ปัญญา ไปเรื่อยๆ
จวบจนกระทั่งศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ สติ ปัญญา กลายเป็นของแปลกหน้า และละเลยเพิกเฉย เมื่อได้พบเห็นกับศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ สติ ปัญญา
สุดท้ายไม่ว่าเข้าจักทำ พูด คิดสิ่งใด ก็ต้องทุ่มเทพลังชีวิต จิตวิญญาณเสรีให้หมดไปกับความตกเป็นทาสของความทะเยอทะยานอยาก รัก โลภ โกรธ หลง อย่างถอนตัวไม่ขึ้น
คนเช่นนี้ช่างมีชีวิตไม่ต่างอะไรกับลมเพลมพัด รวมทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ทั้งชีวิตขวนขวายแก่งแย่ง ปากกัดตีนถีบ ทะเยอทะยานอยาก ถึงกับทุ่มเทพลังทั้งชีวิต เพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร และสิ่งที่ตนต้องการ
เมื่อถึงกาลสิ้นอายุ ทุกอย่างก็จบสิ้นดังสายลมที่พัดมา แล้วก็สลายไป ไม่หลงเหลือแม้แต่พลังชีวิต และจิตวิญญาณเสรี
จะมีก็แต่คราบของความเลือนลาง เปรอะเปื้อน ทะยานอยาก รัก โลภ โกรธ หลง ติดจิตวิญญาณ ติดตามเขาไป เพราะเขาได้กลายเป็นทาสของมันไป ขณะที่มีชีวิตอยู่ และชีวิตหลังความตาย
เมื่อมีชีวิตยอมตกเป็นทาส
ตายแล้วก็ต้องตกเป็นทาส กันต่อๆ ต่อๆ ต่อๆ ไปไม่จบไม่สิ้น
เช่นนี้แล้ว ชีวิตลมเพลมพัดเช่นนี้จักมีอยู่ต่อได้อย่างไร
 
เจริญธรรม
 
พุทธะอิสระ