ทำไมโบราณาจารย์ท่านถึงได้ปลูกฝัง สั่งสอนให้ลูกหลานพยายามท่องจำให้คล่องปาก ขึ้นใจ
เราท่านทั้งหลายมาทำความเข้าใจในพรพาหุงทั้ง ๘ ห้องดูกันหน่อย
วันนี้ขอนำเสนอในห้องที่สี่ ความว่า
อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโย ชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
สมเด็จพระจอมมุนีทรงผจญกับจอมโจรองคุลีมารผู้ดุร้ายยิ่ง ถือดาบเงื้อง่าวิ่งไล่ หมายฆ่าพระพุทธองค์ ไปเป็นระยะทางไกลถึงสามโยชน์ ทรงพิชิตจอมโจรด้วยทรงบันดาลอิทธิฤทธิ์ทางใจอันยอดเยี่ยม ด้วยเดชแห่งองค์พระผู้พิชิตจอมโจรนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ
องคุลีมาล ผู้ได้ชื่อว่าเป็นจอมโจร ฆ่าคนมาแล้วถึง ๙๙๙ คน แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงเอาชนะได้โดยไม่ต้องใช้อาญา และศาสตราวุธใดๆ
องคุลีมาล ยังมีอีกชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ คือ อหิงสกกุมาร
เป็นบุตรของนางมันตานีกับคัคคะพราหมณ์ ราชปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล
เมื่อ อหิงสกกุมาร เจริญวัยขึ้นก็ได้ไปศึกษาศิลปวิทยากับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ที่เมืองตักศิลา อหิงสกกุมารนั้นประพฤติดี เฉลียวฉลาด และเชื่อฟังคำสอนของอาจารย์ จึงเป็นที่รักใคร่ของอาจารย์ ศิษย์คนอื่นๆ พากันริษยาอหิงสกกุมาร จึงวางแผนให้ อหิงสกกุมาร แตกกับอาจารย์
ศิษย์อิจฉากลุ่มหนึ่งไปฟ้องอาจารย์ว่า อหิงสกกุมารคิดร้ายแต่อาจารย์ไม่เชื่อ ต่อมาศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งก็เข้าไปฟ้องอาจารย์อีก อาจารย์ก็เริ่มจะเอนเอียงตาม แต่ยังไม่แน่ใจนัก ครั้นศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งไปฟ้องอาจารย์ทำนองเดียวกัน อาจารย์จึงหลงเชื่อสนิทใจ คิดที่จะฆ่าอหิงสกกุมารเสีย แต่แล้วกลับคิดได้ว่า ถ้าอาจารย์ฆ่าลูกศิษย์ ต่อไปคงไม่มีใครมาศึกษาในสำนักของตน คิดดังนั้นแล้ว จึงออกอุบายบอก อหิงสกกุมาร ว่า "เธอเรียนศิลปะใกล้สำเร็จแล้ว เธอจงไปฆ่าคนอื่นมาให้ได้ ๑,๐๐๐ ก่อน อาจารย์จะสอนวิษณุมนต์อันเป็นสุดยอดวิชาให้"
อหิงสกกุมารลำบากใจที่จะต้องเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แต่อาจารย์ก็เกลี้ยกล่อมว่า อยากรู้วิชาดี ก็มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่ถือเป็นการบูชาครู อหิงสกกุมารจึงตัดสินใจกราบลาอาจารย์ เดินทางเข้าป่าพร้อมด้วยอาวุธครบมือ เพื่อดักฆ่าคนที่จะเดินทางเข้ามาในป่า แล้วตัดนิ้วมือคนที่ถูกฆ่าไว้คนละ ๑ นิ้ว ร้อยเป็นพวงมาลัยห้อยคอ ชาวบ้านจึงขนานนามให้ว่า จอมโจรองคุลีมาล แปลว่า โจรผู้มือนิ้วมือเป็นพวงมาลัย
ชาวบ้านหวาดกลัวโจรองคุลีมาลมาก จึงพากันกราบทูลร้องทุกข์ต่อพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์จึงจัดกำลังทหารออกปรามปราม เมื่อนางมันตานีทราบเรื่องเหล่านี้ด้วยความรักของมารดาที่มีต่อบุตร นางพราหมณีจึงตัดสินใจไปบอกข่าวอหิงสกลูกชายด้วยตนเอง
เช้าวันนั้น พระพุทธเจ้าทรงได้ตรวจดูอุปนิสัยของสรรพสัตว์ ได้เห็นองคุลีมาลปรากฎในพระญาณ ทรงทราบว่า หากพระองค์ไปโปรด องคุลีมาลจะออกบวช แต่หากพระองค์ไม่ไปโปรด องคุลีมาลจะฆ่ามารดา แล้วไปสู่อเวจีมหานรก
จึงเสด็จออกไปตามเส้นทางในถิ่นขององคุลีมาล เมื่อผ่านคนเลี้ยงโค พวกคนเลี้ยงโคก็ได้กราบทูลห้ามไม่ให้พระองค์ทรงเสด็จต่อไป เพราะแม้บุรุษมากถึง ๔๐ คน ก็ยังถูกองคุลีมาลฆ่าตายหมด พระพุทธเจ้าทรงสดับแล้วก็ทรงนิ่งเสีย ทั้งยังเสด็จดำเนินต่อไปจนถึงปชาลิวัน
ฝ่ายองคุลิมาล วันนี้กำลังจะฆ่ามนุษย์ให้ครบ ๑,๐๐๐ คน บังเอิญวันนี้ คนที่ผ่านมาให้องคุลีมาลฆ่านั้นกลับเป็นมารดาของตนเอง
องคุลีมาลเงื้อดาบวิ่งเข้าใส่มารดา ด้วยความวิปลาส ฟั่นเฟือน จึงจำมารดาของตนเองไม่ได้ จึงเงื้อดาบ หมายจะฆ่าและตัดเอานิ้ว นางพราหมณีเห็นลูกชายวิ่งเข้ามาถือดาบก็ตกใจ รีบวิ่งหนีทันที
พระพุทธเจ้าจึงทรงดำเนินไปขวางทางไว้ องคุลีมาลเห็นพระพุทธเจ้าก็เปลี่ยนใจ คิดจะฆ่าพระพุทธเจ้าแทนมารดาของตน เมื่อคิดได้ดังนี้จึงถือดาบและโล่ผูกสอดแล่งธนู ติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไป
พระพุทธเจ้าทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ทำให้องคุลีมาลไม่อาจทันพระองค์ผู้เสด็จได้ตามปกติได้
องคุลีมาลห้อตะบึงไปเต็มกำลัง ขณะไล่ตามจะถึงอยู่แล้วก็เห็นเหมือนพระองค์ดำเนินห่างออกไปไกล แต่ก็ไม่ลดละความพยายาม ทุ่มเทกำลังไล่ตามสุดความสามารถ
พระพุทธเจ้าทรงบันดาลให้เกิดแม่น้ำบ้าง หล่มบ้าง ขวางหน้าองคุลีมาลตลอด ๓ โยชน์ จนเขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที คิดว่าน่าอัศจรรย์จริงหนอ เรานี้มีกำลังดุจพระยาช้างสารถึง ๗ เชือก แต่วันนี้วิ่งจนสุดกำลังแล้วยังไม่อาจทันสมณะผู้เดินตามปกตินี้ได้
คิดดังนี้แล้ว องคุลีมาลจึงหยุดยืนและกล่าวกับพระพุทธเจ้าว่า "สมณะ จงหยุดก่อน สมณะ ท่านจงหยุดก่อน"
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า "เราหยุดแล้ว องคุลีมาล แต่ท่านสิยังไม่หยุด"
องคุลีมาลคิดในใจว่า ได้ยินว่าสมณะศากยบุตรผู้นี้เป็นคนพูดจริง แต่นี่ท่านเดินไปอยู่แท้ๆ กลับพูดว่าเราหยุดแล้ว ส่วนเราผู้หยุดอยู่ท่านกลับพูดว่า ท่านสิยังไม่หยุด จึงตะโกนถามไปด้วยความสงสัยว่า "ดูก่อนสมณะ ท่านกำลังเดินไป กลับกล่าวว่าเราหยุดแล้ว ส่วนเราผู้หยุดอยู่ ท่านกลับว่าเรายังไม่หยุด ที่ท่านกล่าวมานั้นหมายถึงสิ่งใด"
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า "ดูกร องคุลีมาล เราเว้นจากการฆ่าสรรพสัตว์ได้แล้วจึงชื่อว่าหยุดแล้ว ส่วนเธอยังมีกิจในการฆ่า จึงชื่อว่ายังไม่หยุด แม้ว่าบัดนี้เธอจะหยุดยืนอยู่ แต่เธอก็ต้องวิ่งต่อไปในนรก เปรต อสูรกาย และดิรัจฉานในภายหน้า"
องคุลีมาลได้ฟังดังนั้นก็ฉุกคิดได้ จึงทิ้งดาบและอาวุธลงในเหวลึก กราบทูลขอบรรพชา พระพุทธเจ้าจึงทรงบรรพชาด้วยองคุลีมาลด้วยเอหิภิกขุ จากนั้นพระองคุลีมาลก็ตามเสด็จกลับพระเชตวัน
ทางด้านพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้นำขบวนทหาร ๕๐๐ คน ออกมาปราบโจรองคุลีมาล เมื่อเสด็จผ่านพระเชตวันมหาวิหาร จึงเสด็จเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในพระอาราม กราบทูลราชกิจให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามว่า "ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าบัดนี้องคุลีมาลปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสายะ บวชเป็นบรรพชิต เว้นจากการฆ่าสัตว เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการพูดเท็จ ฉันภัตตาหารหนเดียว และประพฤติพรหมจรรย์ มหาบพิตรจะทำอย่างไรกับเขา"
พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะไหว้และบำรุงเขาอย่างสมณะ แต่องคุลีมาลนั้นเป็นคนทุศีล จะมีความสำรวมด้วยศีลได้ที่ไหน" พระพุทธเจ้าจึงยกพระหัตถ์ชี้ให้ดูองคุลีมาลซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลนัก ตรัสบอกว่า "มหาราช นั่นไง องคุลีมาล"
พระเจ้าปเสนทิโกศลและทหารผู้ติดตามพากันตกใจ สะดุ้งหวาดกลัวไปตามๆ กัน
พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่า "อย่ากลัวเลย องคุลีมาลนี้เป็นผู้ไม่มีภัยต่อใครๆ อีกต่อไปแล้ว"
พระเจ้าปเสนทิโกศลเข้าไปถามพระภิกษุรูปนั้นจนแน่ใจว่าเป็นจอมโจรองคุลีมาลที่กลับใจแล้วจริงๆ พระองค์จึงปลดผ้าคาดเอวออกถวาย
พระเจ้าปเสนทิโกศลได้กราบทูลสรรเสริญพระบรมศาสดาว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์นักที่พระองค์ไม่ได้ทรงใช้พระอาญา ไม่ทรงใช้ศาสตราวุธ แต่พระองค์ก็ทรงทรมานบุคคลที่ใครๆ ทรมานไม่ได้ ทรงยังบุคคลที่ใครๆ ให้สงบไม่ได้ ให้สงบได้ ทรงยังบุคคลที่ใครๆ ให้ดับไม่ได้ ให้ดับได้"
พระองคุลีมาลนั้น นับจากได้เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาแล้ว ก็ได้รับความทุกข์ลำบาก เมื่ออกบิณฑบาตรผู้คนที่ยังกลัวก็แตกตื่นหนีกันชลมุนวุ่นวาย ส่วนชนผู้โกรธแค้นก็ขว้างก้อนหิน ท่อนไม้ ก้อนกรวด ใส่ท่านด้วยความโกรธ บ้างก็ฉีกผ้าสังฆาฏิ บ้างก็ทุบบาตร แต่ท่านก็อดทนเรื่อยมา
วันหนึ่ง พระองคุลีมาลก็หลีกออกจากหมู่ ไปบำเพ็ญเพียรอย่างสม่ำเสมอ ในที่สุดท่านก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
อธิบายตามหลักธรรมาธิษฐาน มีมุมที่ต้องมอง คือ ใครเป็นผู้สร้างโจรองคุลีมาลขึ้นมา
ตอบ
๑. ความริษยา ที่มีอยู่ในหมู่ศิษย์ร่วมสำนัก
๒. ความหูเบา ใจแคบ ของตัวอาจารย์ทิศาปาโมกข์
๓. สันดานดิบที่ฝังรากลึกอยู่ในมนุษย์ทุกผู้ หากไม่พยายามพัฒนา ที่จะควบคุม กำจัดมัน สุดท้ายมันก็จะแสดงตนออกมาสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนและคนอื่น ซึ่งสันดานดิบตัวนี้มันมีอยู่ในตัวศิษย์ร่วมสำนัก มีอยู่ในตัวอาจารย์ทิศาปาโมกข์ และแม้ที่สุดก็มีอยู่ในตัวขององคุลีมาลเองด้วย
วิธีที่พระบรมศาสดาทรงใช้กำราบองคุลีมาลก็คือ พระเมตตาคุณ พระมหากรุณาธิคุณ พระปัญญาคุณ และสัจจะ ความจริงใจ ที่หยิบยื่นให้องคุลีมาล สัมผัสได้จนกระตุ้นคุณธรรมที่ถูกสันดานดิบกดทับไว้ให้แสดงตนออกมา จนได้ปัญญาเห็นธรรม
เรื่องโจรองคุลีมาล เป็นอุทาหรณ์สอนใจ เราท่านทั้งหลายได้ว่า มนุษย์ทุกคน มีสิทธิ์จะพัฒนาตนเองได้เสมอหากมีความเพียรพยายาม
ด้วยวิธีค่อยเป็นค่อยไป สั่งสมอบรมบ่มเพาะสิ่งดีงาม ความงดงามไว้บ่อยๆ เรื่อยๆ จนกลายเป็นบารมี แล้วความงดงาม ความดีงามเหล่านั้น ก็จักส่งผลให้ชีวิตได้พ้นความทุกข์ยากได้ในที่สุด