คราวที่แล้วได้หยิบยกเอากรรม ๑๒ มาวิสัชนาแก่ผู้สงสัยไปในระดับหนึ่งไปแล้ว
แต่ดู ดู เหมือนผู้รับรู้รับฟัง ยังจะไม่แจ่มชัดถึงรากเหง้าของกรรมทั้งปวง
วันนี้จึงขอนำกรรมทั้ง ๑๒ อาการ มาอธิบายขยายความให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจ ให้แจ่มชัดมากยิ่งขึ้น หรือไม่ บางคนมีสติปัญญากล้าแข็ง อาจรู้สึกสว่าง กระจ่างแจ้งขึ้นมาบ้างก็เป็นได้
วันนี้ขอนำอุปฆาตกรรมมาวิสัชนา กรรมที่ทำหน้าที่ตัดรอน กัดกร่อน จากหน้ามือเป็นหลังมือ จากดีกลายเป็นเลว จากเลวกลายเป็นดี จากไม่มีให้กลายเป็นมี และจากที่มีอยู่กลายเป็นสูญสลาย จากเป็นให้กลายเป็นตาย จากที่ตายให้พลิกฟื้น จากที่มืดมาบัดเดียวกลับกลายเป็นสว่าง จากที่สว่างๆ อยู่กลับกลายเป็นมืดมนไปในทันที จากอายุยืนก็กลายเป็นอายุสั้น จากที่มีอายุขัยสั้นก็กลับกลายเป็นผู้มีอายุยืน
ฉะนั้นอุปฆาตกรรมจึงเปรียบเสมือนสมดุลแห่งกรรมที่ทำหน้าที่เฉลี่ยกรรมให้เกิดความเที่ยงธรรม และให้ผลตามความหนักเบาแห่งกรรมนั้นๆ
มูลเหตุแห่งอุปฆาตกรรมออกจากความโง่ ความไม่รู้ ที่เรียกว่า อวิชชา แล้ว
อุปฆาตกรรม คือ กรรมที่มีผลมาก เช่น ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม เจริญปัญญา จนบรรลุเป็นพระอริยบุคคล เช่น พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
ซึ่งเป็นสภาพสภาวะที่ข้ามพ้นจากโลก เรียกว่า โครตภูญาณ ญาณที่เกิดขึ้นระหว่างโลกโลกียะและโลกุตระ
แม้กรรมในฝ่ายโลกียะอันประกอบไปด้วยการสั่งสมอบรม บ่มเพาะกาย วาจา ใจ ให้ตั้งมั่นอยู่ในทาน ศีล ภาวนา มีสติ เจริญปัญญา อยู่เป็นอาจิณ
จนส่งผลให้เป็นอนันตริยกรรม กรรมอันมีผลอันหนักในฝ่ายกุศล ก็สามารถแปลงสภาพเป็นอุปฆาตกรรม ที่เป็นมูลเหตุให้เกิดการตัดรอน กัดกร่อน สิ่งที่ไม่ดีให้กลายเป็นดีในพริบตาได้
ส่วนอุปฆาตกรรมในฝ่ายอกุศล ก็เริ่มต้นจากการทำกรรมชั่ว ที่มีผลมาก เช่น ทำร้ายพ่อแม่ ทำร้ายครูบาอาจารย์ ทำร้ายพระอรหันต์ รวมไปถึงทำชั่วทางกาย ชั่วทางวาจา ชั่วทางใจเล็กๆ น้อยๆ แต่ทำถี่ๆ กรรมเหล่านี้ก็ส่งผลให้กลายเป็นอุปฆาตกรรมซึ่งจะเข้าไปทำหน้าที่กัดกร่อน ตัดรอนกรรมดีๆ ที่มีกำลังอ่อนล้า ให้กรรมชั่วร้ายที่กระทำไว้ เร่งให้ผลอย่างรวดเร็ว จนพลิกฟ้า คว่ำสมุทร แบบหน้ามือเป็นหลังมือ
 
พุทธะอิสระ

Let us clarify twelves types of Karma (deeds) (Part 4)
March 19, 2022
 
I previously explained the twelve types of Karma.
However, the listeners are not yet clear about the origins of all Karma.
Today, I will elaborate more about the twelve types of Karma. Some people with sharp wisdom may understand them better.
********************************************************
Today, I will elaborate on Destructive Karma. The Destructive Karma's duty is to undermine and end a situation. It causes a reversal of an existing situation, from good to bad, from bad to good, from having nothing to having a lot, from having to losing, from life to death, from death to resurrection, from darkness to light, from light to darkness, from longevity to transience, and from short life to longevity.
As such, the Destructive Karma helps balance all kinds of Karmas and brings about justice, and the Destructive Karma yield outcomes according to the severity of one’s deeds.
Destructive Karma result from one’s foolishness and ignorance.
Destructive Karma is deeds that yield strong outcomes. For example, one listens to sermons, practices meditation and mindfulness, and develops one’s wisdom, until one becomes a noble person such as a Stream-Enterer (one who has attained the first stage of holiness), a Once-Returner (one who has attained the second stage of the Path and will be reborn on earth only once before attaining the final emancipation), a Never-Returner (one who has attained the third stage of holiness), and an Arahant (one who has attained Nirvana).
Their minds have reached a state beyond ordinary humans. Their insights occur between the worldly state and the ultramundane state.
If one accumulates meritorious actions, speech, and thoughts, and is well-established in donation, religious precepts, meditation, mindfulness, and contemplation, their merits may turn bad things into good things in one second.
Evil deeds yielding extremely bad outcomes include hurting parents, hurting teachers, and hurting an Arahant. It also includes one’s small, repeated evil actions, speech, and thoughts. They can become Destructive Karma which undermines their weak meritorious deeds so that their evil deeds turn the tables.
 
Buddha Isara