คราวที่แล้วได้หยิบยกเอากรรม ๑๒ มาวิสัชนาแก่ผู้สงสัยไปในระดับหนึ่งไปแล้ว
แต่ดู ดู เหมือนผู้รับรู้รับฟัง ยังจะไม่แจ่มชัดถึงรากเหง้าของกรรมทั้งปวง
วันนี้จึงขอนำกรรมทั้ง ๑๒ อาการ มาอธิบายขยายความให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจ ให้แจ่มชัดมากยิ่งขึ้น หรือไม่ บางคนมีสติปัญญากล้าแข็ง อาจรู้สึกสว่าง กระจ่างแจ้งขึ้นมาบ้างก็เป็นได้
วันนี้เรามาดูขบวนการทำงานของอปราปริยเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในภพภูมิต่อๆ ไป
กรรมที่ให้ผลในภพภูมิต่อๆ ไปต้องเป็นกรรมที่เกิดโดยเจตนา ทั้งในฝ่ายกุศล อกุศล และอัพยากตกรรม (กรรมเฉยๆ) ซึ่งกรรมที่เกิดจากทางกาย (เรียกว่า กายกรรม) ทางวาจา (เรียกว่า วจีกรรม) ทางใจ (เรียกว่า มโนกรรม)
ทำกรรมแม้ทางใดทางหนึ่ง ก็ส่งผลให้ต้องรับผลข้ามภพข้ามชาติได้ ทั้งผลกรรมฝ่ายดีและผลกรรมฝ่ายชั่ว
ตัวอย่างเช่น ผู้ที่ผูกพยาบาท อาฆาต มาดร้าย เช่น พระเทวทัต ที่อธิษฐานจองเวรพระบรมโพธิสัตว์ข้ามภพข้ามชาติเท่าจำนวนเมล็ดทรายในกำมือ
ผลที่ได้ คือ พระเทวทัตก็ตามจองเวรพระบรมศาสดาจนธรณีสูบ ดังที่ทราบกัน
หรือการทำมหากุศลกรรมของพระมหาโพธิสัตว์ ที่อธิษฐาน ปฏิบัติสมาทานในโพธิบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ใน ๔ อสงไขยแสนมหากัป เพื่อบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
แม้อัพยากตกรรม เช่น กรณีอุทกดาบส และ อาฬารดาบส ผู้เข้าถึงความเฉยสูงสุดจนไปเกิดเป็นพรหม
เหล่านี้คือ ผลกรรมที่ส่งไปให้ผลข้ามภพข้ามชาติ
กรรมทางกาย กรรมทางวาจา กรรมทางใจ ล้วนมีมูลค่า มีราคาต้องจ่าย
ส่วนที่จ่ายแพง จ่ายถูก รับแพง รับถูก
ก็ขึ้นอยู่กับทำมาก ทำน้อย
อปราปริยเวทนียกรรม จึงเป็นกรรมที่ต้องประกอบด้วยเจตนา จึงจะให้ผลข้ามภพข้ามชาติได้
 
พุทธะอิสระ