ครั้งเมื่อพระศาสดา ทรงประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเถระชื่อติสะ ผู้มีโยมอุปัฏฐาก ที่มีอาชีพเป็นนายช่างเจียระไนแก้วมณี
อยู่มาวันหนึ่ง นายมณีการกำลังนั่งหั่นเนื้อข้างหน้าพระเถระ ในขณะนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงส่งแก้วมณีดวงหนึ่งให้ พร้อมทรงรับสั่งว่า "นายช่างจงขัดและเจียระไนแก้วมณีนี้ให้แก่เราแล้วส่งไปให้เราที่ในวัง" นายมณีการรับแก้วนั้นด้วยมือทั้งที่เปื้อนโลหิต ของเนื้อที่กำลังหั่นอบู่แล้ววางแก้มณีนั้นไว้บนเขียง เขาจึงเข้าไปข้างในบ้านเพื่อล้างมือ
ขณะนั้นในเรือนครอบครัวของช่างแก้วมณีได้เลี้ยง นกกะเรียนไว้ตัวหนึ่งนกนั้นเห็นแก้วมณีเปื้อนเลือดของเนื้อจึงจิกกลืนกินแก้วมณีเข้าไปในท้อง ด้วยสำคัญว่าเป็นเนื้อ พระเถระได้รู้เห็นเหตุการณ์ตลอด นายมณีการกลับมา เมื่อไม่เห็นแก้วมณีจึงถามภริยา ธิดาและบุตรโดยลำดับว่า "พวกเจ้าเอาแก้วมณีไปหรือ " เมื่อชนเหล่านั้นกล่าวว่า "มิได้เอาไป" จึงคิดว่า (ชะรอย) พระเถระจักเอาไป จึงปรึกษากับภริยาว่า "แก้วมณี (ชะรอย) พระเถระจักเอาไป" ภริยาบอกว่า "แน่ะนาย นายอย่ากล่าวอย่างนั้น, ดิฉันไม่เคยเห็นโทษอะไร ๆ ของพระเถระเลยตลอดเวลา ๑๒ ปีที่ผ่านมาท่านย่อมไม่ถือเอาแก้วมณี (แน่นอน)"
นายมณีการถามพระเถระว่า "ท่านขอรับ ท่านเอาแก้วมณีในที่นี้ไปหรือเปล่า ?"
พระเถระ. เราไม่ได้ถือเอาดอก อุบาสก
นายมณีการ. ท่านขอรับ ในที่นี้ไม่มีคนอื่น ท่านต้องเอาไปเป็นแน่ ขอท่านจงให้แก้วมณีแก่ผมเถิด
เมื่อพระเถระนั้นไม่รับ เขาจึงพูดกะภริยาว่า "พระเถระเอาแก้วมณีไปแน่ เราจักบีบคั้นถามท่าน "ภริยาตอบว่า "แน่ะนาย นายอย่าให้พวกเราฉิบหายเลย พวกเราเข้าถึงความเป็นทาส เสียยังประเสริฐกว่า ก็การกล่าวหาพระเถระผู้เจริญในศีลสังวร เห็นปานนี้ไม่ประเสริฐเลย นายช่างแก้วนั้นกล่าวว่า "พวกเราทั้งหมดด้วยกัน เข้าถึงความเป็นทาส ยังไม่เท่าค่าแก้วมณี" ดังนี้แล้ว จึงถือเอาเชือกพันศีรษะพระเถระขันด้วยท่อนไม้ โลหิตไหลออกจากศีรษะ หูและจมูกของพระเถระหน่วยตาทั้งสองได้ถึงอาการทะเล้นออกมานอกเป้าตา ท่านเจ็บปวดมาก ก็ล้มลง ณ ภาคพื้น นกกะเรียนเห็นกองเลือดไหลออกมาจากร่างพระเถระ จึงตรงเข้ามาจิกกินโลหิตนั้น
 
ขณะนั้น นายมณีการจึงเตะมันด้วยเท้าแล้วเขี่ยไปพลางกล่าวว่า "มึงจะทำอะไรหรือ" ด้วยกำลังความโกรธที่เกิดขึ้น นกกะเรียนนั้นล้มกลิ้งตายด้วยการเตะครั้งเดียวเท่านั้น พระเถระเห็นนกนั้น จึงกล่าวว่า "อุบาสก ท่านจงผ่อนเชือกพันศีรษะของเราให้หย่อนก่อนแล้วจงพิจารณาดูนกกะเรียนนี้ (ว่า) มันตายแล้วหรือยัง " ลำดับนั้น นายช่างแก้วจึงกล่าวกะท่านว่า "แม้ตัวท่านเองก็จักตายเช่นนกนั่น" พระเถระตอบว่า "อุบาสก แก้วมณีนั้น อันนกนี้กลืนกินแล้วหากนกนี้จักไม่ตายไซร้ ข้าพเจ้าแม้จะตาย ก็จักไม่บอกว่าแก้วมณีอยู่ที่ใดแก่ท่าน "
นายมณีการ เมื่อได้ฟังเช่นนั้น จึงตรงเข้าแหวะท้องนกนั้นแล้วพบแก้วมณี จึงตะลึงงกงันอยู่ มีใจสลด หมอบลงใกล้เท้าของพระเถระ กล่าวว่า "ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอดโทษแก่ผม ผมไม่รู้อยู่ ทำไปแล้ว"
พระเถระ. อุบาสก โทษของท่านไม่มี ของเราก็ไม่มี มีแต่โทษของวัฏฏะเท่านั้น เราอดโทษแก่ท่าน
นายมณีการ. ท่านขอรับ หากท่านอดโทษแก่ผมไซร้ ท่านจงนั่งรับภิกษาในเรือนของผมตามปกติเถิด
พระเถระกล่าวว่า "อุบาสก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจักไม่เข้ามาภายในชายคาเรือนของผู้อื่น เพราะว่านี้เป็นโทษแห่งการเข้าไปภายในเรือนโดยตรง ตั้งแต่นี้ไป เมื่อเท้าทั้งสองยังเดินไปได้ เราจักยืนที่ประตูเรือนเท่านั้น รับภิกษา" พระเถระครั้นกล่าวคาถานี้แล้ว ต่อมาไม่นานนักด้วยอาการบาดเจ็บที่ถูกทรมาน ท่านจึงปรินิพพาน
นกกะเรียนหลังจากตายแล้วได้ถือปฏิสนธิในท้องแห่งภริยาของนายช่างแก้ว นายช่างแก้วทำกาละแล้วก็บังเกิดในนรก ภริยาของนายช่างแก้วทำกาละแล้ว เกิดในเทวโลก เพราะความเป็นผู้มีจิตอ่อนโยนในพระเถระ
ภิกษุทั้งหลายทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงอภิสัมปรายภพของชนเหล่านั้น ทรงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายสัตว์บางจำพวกในโลกนี้ ย่อมเกิดในครรภ์ บางจำพวกทำกรรมลามก ย่อมเกิดในนรก บางจำพวกทำกรรมดีแล้ว ย่อมเกิดในเทวโลก ส่วนผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน" ในการจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล
*******************************************
นี่คือบุคคลผู้ถูกโทสะครอบงำจนเป็นเหตุให้กระทำกรรมอันหยาบช้า รุนแรง
สุดท้ายตนก็ต้องไปตกนรกหมกไหม้อยู่ตราบนานเท่านาน
 
พุทธะอิสระ