สรภังคดาบสโพธิสัตว์มีศิษย์ชื่อ ดาบสกีสวัจฉะ ประสงค์จะอยู่อย่างสงัด จึงละจากหมู่ไป อาศัยอยู่ในนครชื่อ กุมภปุระ ของพระเจ้าทัณฑกีแคว้นกาลิงคะ ตั้งอยู่ริมฝังแม่น้ำโคธาวารี เจริญความสงัดอยู่ในพระราชอุทยาน โดยเสนาบดีของพระเจ้าทัณฑกีนั้นเป็นอุปัฏฐาก
ครั้งนั้น นางคณิกาคนหนึ่ง ขึ้นรถมีหญิง 500 เป็นบริวาร ทำนครให้งดงามเที่ยวไปในท่ามกลางมหาชน ที่ห้อมล้อมนางเที่ยวไปตามถนน จนถนนในพระนครแออัด แน่นขนัดไปด้วยคลื่นมหาชน ต่างส่งเสียงอึกทึกอึงมี่ เสียงนั้นได้ยินไปถึงพระกรรณของพระราชา ซึ่งทรงประทับอยู่บนปราสาท จึงเปิดหน้าต่างมาทอดพระเนตรเห็นนาง จึงตรัสถามพวกราชบุรุษว่า หญิงผู้นั้นเป็นใคร
พวกราชบุรุษทูลว่า ขอเดชะเป็นหญิงนครโสภิณี พระพุทธเจ้าข้า
ท้าวเธอเกิดริษยา ทรงพระดำริว่า หญิงผู้นี้ทำให้นครวุ่นวาย แล้วตรัสสั่งให้ตัดฐานันดรนั้นเสีย
ตั้งแต่นั้นมา นางคณิกานั้นได้ออกดั้นด้น เสาะหาฐานันดรในท่ามกลางหมู่ชนเรื่อยไป
วันหนึ่ง นางได้เข้าไปยังพระราชอุทยานพบ กีสวัจฉะดาบส นั่งภาวนาอยู่บนแผ่นหิน นางหญิงคณิกานั้นเข้าไปใกล้ๆ ปลายที่จงกรมของดาบส นางเห็นดาบสนั่งไม่ไหวติง มีเขี้ยวงอกออกมาจากริมฝีปาก หนวดเคราปิดอก ขนรักแร้สองข้างขนรุงรัง
ขณะนั้น นางเกิดความเสียใจว่า เราเที่ยวไปเพื่อมุ่งหวังเกียรติยศ ชื่อเสียง แต่กลับมาพบกับคนกาลกัณณี (กาลกิณี) นี้เข้า ท่านทั้งหลายนำน้ำมา เราจักล้างลูกตา ให้เขาเอาน้ำและไม้ สีฟันมาแล้ว ก็เคี้ยวไม้สีฟัน ถ่มน้ำลายเป็นก้อน ๆ ลงไปบนเนื้อตัวของดาบสนั้น แล้วโยนไม้สีฟันลงบนกลางเซิงผม บ้วนปากตัวเองแล้วเอาน้ำราดบนศีรษะของดาบ พร้อมคิดว่า เราล้างลูกตาที่เห็นคนกาลกัณณีแล้ว กลีโทษเราก็ลอยเสียแล้ว จึงออกไปจากพระราชอุทยาน
ในวันนั้นเอง พระราชาทรงนึกขึ้นได้ก็ตรัสถามว่า พ่อมหาจำเริญ หญิงนครโสภิณีคนนั้นอยู่ไหน
พวกราชบุรุษตอบว่า อยู่ในพระนครนี้เอง พระเจ้าข้า
ตรัสสั่งว่า พวกเจ้าจงคืนฐานันดรแก่นางอย่างเดิมเถิด อธิบายว่า ด้วยเพราะนางอาศัยกรรมที่ทำดีมาแล้วแต่กาลก่อน จึงได้ฐานันดรกลับคืน แต่นางกลับเข้าใจไปเสียว่า ได้เพราะถ่มน้ำลายลงที่เนื้อตัวของดาบส
ต่อจากวันนั้นไปเล็กน้อย พระราชาทรงถอดฐานันดรของพราหมณ์ปุโรหิต
เขาจึงไปยังสำนักหญิงนครโสภินี สอบถามว่า น้องหญิง เธอทำอะไรจึงได้ฐานันดรกลับคืนมา
นางก็กล่าวว่า ท่านพราหมณ์ จะอะไรเสียอีกเล่า ชฎิลขี้โกงคนหนึ่ง เป็นตัวกาลกัณณีที่นั่งนิ่งเป็นหุ่นอยู่ในพระราชอุทยานท่านจงไปถ่มน้ำลายลงที่ตัวของดาบสนั้น ก็จักได้ฐานันดรอย่างที่เราได้
ปุโรหิตนั้น ก็กล่าวว่า ข้าจักทำเยี่ยงเจ้าทำนะน้องหญิง แล้วก็ไปที่พระราชอุทยานนั้น กระทำอย่างที่นางบอกทุกประการแล้วก็ออกจากพระราชอุทยานไป
ในเย็นวันนั้นนั่นเอง พระราชาทรงนึกขึ้นได้จึงตรัสถามราชบุตรว่า พ่อมหาจำเริญพราหมณ์ปุโรหิตอยู่ไหน
ได้รับคำทูลตอบว่า อยู่ในพระนครนี้เอง พระเจ้าข้า
พระราชาทรงมีพระดำรัสว่า เราไม่ใคร่ครวญเสียก่อนแล้วสั่งลงโทษเขาไป พวกเจ้าจงคืนฐานันดรให้เขาเถิด เมื่อพราหมณ์นั้นได้ฐานันดร ด้วยผลกุศลกรรมแด่อดีต แต่กลับก็เข้าใจไปว่าตนได้ฐานันดรเพราะถ่มน้ำลายลงที่ตัวของดาบส
เวลาต่อมาชายแดนของพระราชาเกิดกบฏ พระราชาตรัสว่า เราจักไปปราบกบฏชายแดน จึงเสด็จไปพร้อมด้วยกองทัพ 4 เหล่า
พราหมณ์ปุโรหิตจึงไปยืนอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระราชา ถวายพระพรว่า ชยตุ มหาราชา จงได้ชัยชนะเถิด พระมหาราชเจ้าแล้วทูลถามว่า พระองค์จะเสด็จไปเพื่อชัยชนะ หรือพระมหาราชเจ้า
ตรัสตอบว่า อย่างนั้นซิพราหมณ์
ทูลว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ชฎิลขี้โกงผู้หนึ่งเป็นคนกาลกัณณี ผู้ไม่ไหวติง พำนักอยู่ในพระราชอุทยาน โปรดทรงเสด็จไปถ่มเขฬะลงที่ตัวของชฎิลผู้นั้นเถิด พระเจ้าข้า แล้วชัยชนะจะบังเกิดแก่พระองค์
พระราชาทรงรับคำของพราหมณ์ปุโรหิตนั้นสั่งให้กระทำเหมือนอย่างที่หญิงคณิกาและพราหมณ์ปุโรหิตนั้นทำทุกอย่างแล้วตรัสสั่งให้เจ้านายฝ่ายในถ่มเขฬะลงที่ตัวของชฎิลขี้โกงนั้น
ครั้งนั้น พระราชาทรงสั่งให้กองกำลังทหารทุกนายผู้ตามเสด็จต้องถ่มน้ำลายลงตัวดาบส ให้ทั่วแล้วออกไปได้ คราวนั้น นายพันนายกองทั้งหมดก็ถ่มน้ำลาย ไม้สีฟัน และน้ำบ้วนปากใส่ไว้บนตัวดาบส น้ำลายและไม้สีฟันจึงท่วมทั่วตัวของดาบส
ในเวลาต่อมาเสนาบดี (ผู้อุปัฏฐาก) รู้เรื่องภายหลังเขา ก็ครุ่นคิดว่า คนทั้งหลาย ทำร้ายพระผู้มีพระภาคเจ้าศาสดาของเรา ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญ เป็นบันไดสวรรค์อย่างนี้ จึงรุดไปยังพระราชอุทยาน เห็นฤษีประสบความย่อยยับอย่างนั้น ก็นุ่งหยักรั้ง เอามือทั้งสองกวาดไม้สีฟัน ยกขึ้นให้นั่ง ให้นำน้ำมาอาบ ชะโลมด้วยยาทุกชนิด และของหอม 4 ชนิด เช็ดด้วยผ้าละเอียด ยืนประนมมืออยู่ข้างหน้าดาบส พูดอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญพวกมนุษย์ทำไม่สมควรโทษภัยอะไรจักมีแก่พวกเขา
ดาบสกล่าวว่า ท่านเสนาบดี เทวดาแบ่งกันเป็น 3 พวก พวกหนึ่งกล่าวว่า จักทำพระราชาพระองค์เดียวให้พินาศ
พวกหนึ่งกล่าวว่า จักทำพระราชาพร้อมด้วยบริษัทให้พินาศ
พวกหนึ่งกล่าวว่า จักทำแว่นแคว้นทั้งหมดของพระราชาให้พินาศ
ก็แลครั้นกล่าวดังนี้แล้ว ดาบสมิได้แสดงอาการโกรธแม้แต่น้อย เมื่อจะบอกอุบายสันติแห่งโลก จึงกล่าวว่า ความผิดมีอยู่ แต่เมื่อรู้แสดงความผ่อนโทษเสีย เหตุการณ์ก็จะเป็นปกติอย่างเดิม
เสนาบดีได้ฟังคำทำนายแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าพระราชา ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์ทรงประพฤติผิดในท่านดาบสผู้ไม่ผิด ผู้มีฤทธิ์มาก ทรงกระทำกรรมอย่างหนัก ท่านว่า เทวดาแบ่งเป็น 3 พวก กล่าวกันอย่างนี้ ทูลเรื่องทั้งหมดที่ได้ฟังจากปากดาบส ทำนายให้พระราชาทรงทราบแล้วสำทับว่าเมื่อพระองค์ทรงขอขมาเสียแล้ว แว่นแคว้นก็จะเป็นปกติ ขอพระองค์อย่าทรงทำให้แว่นแคว้นพินาศเสียเลย ขอพระมหาราชเจ้า โปรดขอขมาท่านดาบส เสียเถิด พระเจ้าข้า เสนาบดีกราบทูลถึง 3 ครั้ง
พระราชาก็ไม่ทรงปรารถนาจะขอขมา
จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้าพเจ้าทราบกำลังของ ดาบสนั้นมิใช่พูดไม่จริง ทั้งก็ไม่โกรธพระองค์ด้วย แต่ท่านพูดอย่างนี้ ก็ด้วยความเอ็นดู อนุเคราะห์สัตว์ ขอได้โปรดขอขมาท่านดาบส นั้นเสียเถิด พระเจ้าขา
พระราชาก็ทรงยืนกรานว่า เราไม่ขอขมา
เสนาบดีจึงกราบทูลว่า ถ้าอย่างนั้น ขอได้โปรดพระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่คนอื่นเถิด ข้าพเจ้าจักไม่อยู่ในพระราชอาณาเขตของพระองค์ต่อไปละ
พระราชาตรัสว่า ท่านจะไปก็ตามใจ เราจักได้หาเสนาบดีของเราใหม่
แต่นั้น เสนาบดีก็ไปสำนักดาบสไหว้แล้วก็กล่าวว่า ข้าพเจ้าปฏิบัติตามคำของท่านแล้วท่านเจ้าข้า ดาบสกล่าวว่า
ท่านเสนาบดี คนที่เชื่อฟังจงพาทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งเครื่องใช้ ทั้งทรัพย์ทั้งสัตว์ 2 เท้า 4 เท้า ออกไปเสียนอกพระราชอาณาเขตภายใน 7 วัน เทวดาพิโรธหนัก จักเบียดเบียนแว่นแคว้นแน่นอน
เสนาบดีก็กระทำตาม พระราชาก็ทรงมัวเมาอย่างเดียว ทรงปราบข้าศึก ทำชนบทชายแดนให้สงบแล้ว ก็เสด็จมาพัก ณ ค่ายฉลองชัย ทรงจัดการพระนครนั้น ๆ แล้ว เสด็จเข้าสู่พระราชนิเวศน์
เหล่าเทวดาบันดาลฝนน้ำให้ตกลงมามหาชนก็ดีใจ แล้วพากันกล่าวว่า ตั้งแต่ทำผิดในชฎิลขี้โกงมา พระราชาของเราก็เจริญอย่างเดียว ทรงปราบข้าศึกได้ในวันเสด็จกลับฝนก็ตกลงมา
ต่อมา เหล่าเทวดาก็บันดาลฝนดอกมะลิตกลงมา มหาชนก็ดีใจยิ่งขึ้นไปอีก
ต่อมาเหล่าเทวดาก็บันดาลฝนมาสก (เงินและทอง) ฝนกหาปณะให้ตกลงมา เข้าใจว่าคนทั้งหลายจะออกมาเก็บ จึงบันดาลฝนเครื่องประดับมือประดับเท้า ประดับเอว เป็นต้น ให้ตกลงมา มหาชนก็ลงมายังปราสาท 7 ชั้นทางข้างหลัง ต่างประดับอาภรณ์ ดีใจแล้วพากันคิดว่า การถ่มน้ำลายรดชฎิลขี้โกงสมควรแท้หนอ ตั้งแต่ถ่มน้ำลายลงบนชฎิลขี้โกงนั้น พระราชาของเราก็เจริญ ทรงปราบข้าศึกสำเร็จ วันเสด็จกลับฝนยังตกลงมา ต่อนั้น ฝน 4 อย่าง คือ ฝนดอกมะลิ ฝนมาสก ฝนกหาปณะ ฝนเครื่องประดับเอว ก็เกิด เปล่งวาจาดีใจอย่างนี้แล้ว ก็อิ่มเอิบในกรรมที่พระราชาทรงทำผิด
สมัยนั้น เหล่าเทวดาก็บันดาลอาวุธต่าง ๆ ที่มีคมข้างเดียว สองข้าง เป็นต้น ให้ตกลงมาปานเชือดเนื้อมหาชนดุจดังเนื้อบนแผ่นเขียง
ต่อจากนั้น ก็บันดาลถ่านเพลิงมีสีดังดอกทองกวาวปราศจากเถ้าและควัน บันดาลก้อนหินขนาดเรือนยอด บันดาลทรายละเอียดที่กอบกำไม่อยู่ให้ตกลงมา ถมพื้นที่สูงขึ้นถึง 80 ศอก
ในแว่นแคว้นของพระราชา มนุษย์ ๓ คน คือ ท่านกีสวัจฉดาบส ท่านเสนาบดีและคนที่ยินดีเลี้ยงดูมารดา เป็นผู้ไม่ได้รับโทษภัยจากเทวดาบันดาลนั้นเลย
ในแหล่งน้ำดื่มก็ไม่มีน้ำดื่ม ในแหล่งหญ้าก็ไม่มีหญ้า สำหรับสัตว์ดิรัจฉานที่เหลือ ผู้ไม่ได้ร่วมในกรรมนั้น สัตว์ดิรัจฉานเหล่านั้นก็ไปยังแหล่งที่มีน้ำดื่ม มีหญ้า ไม่ทันถึง ๗ วัน ก็พากันไปนอกราชอาณาจักร.
เพราะเหตุนั้น สรภังคโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า
กีสญฺหิ วจฺฉํ อวกฺรีย ทณฺฑกี
อุจฺฉินฺนมูโล สชโน สรฏฺโฐ
กุกฺกุลนาเม นิรยมฺหิ ปจฺจตี
ตสฺส ผุลฺลิตานิ ปตนฺติ กาเย.
พระเจ้าทัณฑกีทรงให้ร้ายแก่ กีสวัจฉะดาบส ทรงขาดคุณธรรมเบื้องต้น พร้อมทั้งมหาชน พร้อมทั้งแว่นแคว้น ก็ตกนรกขุมกุกกุละ ถ่านไฟคุโชนก็ตกไป ที่พระกายของท้าวเธอ ดังนี้.
พึงทราบว่า ป่าทัณฑกีเป็นป่าไปดังกล่าวมาฉะนี้.
***************************************************************
นี่คือเหตุการณ์ตัวอย่างของคนผู้มากไปด้วยความลุ่มหลง โง่ง เชื่อง่าย สุดท้ายก็ตายอย่างทุกข์ทรมาน
ที่เรียกว่า ตกนรกทั้งเป็น
 
พุทธะอิสระ