หลังจากที่พระอานนท์ทูลขอให้พระบรมศาสดาทรงแสดงกรรมฐานเพื่อการบรรลุพระอรหันต์แก่ภิกษุชาวเวสาลีแล้ว
ในเวลาต่อมาทรงมอบหมายให้พระอานนท์ไปรับกิจนิมนต์จากพระเจ้าปเสนทิโกศลแทนพระพุทธองค์เรื่องมีดังนี้
วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จไปเฝ้าพระศาสดา ขณะนั้นฉัตตปาณิอุบาสกอยู่ในที่เฝ้าแล้ว เขาเห็นพระราชากำลังเสด็จมาจึงคิดว่า
“เราควรลุกขึ้นต้อนรับหรือไม่หนอ?”
ในที่สุดเขาตกลงใจไม่ลุกขึ้น เพราะคิดว่ากำลังนั่งอยู่ในสำนัก ของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ คือพระพุทธเจ้า หากจะลุกรับพระเจ้าปเสนทิโกศล ก็จะเป็นการขาดความเคารพในพระศาสดา
พระราชาปเสนทิโกศลเห็นฉัตตปาณิอุบาสกไม่ลุกรับ มีพระมนัสขุ่นเคือง แต่ไม่กล้าตรัสอะไร ถวายบังคมพระศาสดาแล้วประทับ ณ ที่อันสมควรแก่พระองค์
พระศาสดาทรงทราบ ความขุ่นเคืองในพระทัยของพระราชา มีพระพุทธประสงค์จะบรรเทาความขุ่นเคืองนั้น
จึงตรัสพรรณนาคุณของฉัตตปาณิอุบาสกว่า
“มหาบพิตร ฉัตตปาณิอุบาสกนี้ เป็นบัณฑิตได้เห็นธรรมแล้ว รอบรู้ในพุทธพจน์รู้จักประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ สิ่งที่ควรและไม่ควร...”
เมื่อพระราชาทรงสดับคุณกถา ของฉัตตปาณิอุบาสกอยู่ พระหฤทัยก็อ่อนลง
ต่อมาอีกวันหนึ่ง พระราชาประทับยืนอยู่บนปราสาท ทอดพระเนตรเห็นฉัตตปาณิอุบาสกกั้นร่มสวมรองเท้าเดินผ่านมาทางพระลานหลวง จึงรับสั่งให้ราชบุรุษเรียกมา อุบาสกหุบร่มถอดรองเท้า เข้าไปเฝ้ายืนอยู่ ณ ที่ควรแก่ตนแห่งหนึ่ง
พระราชาตรัสถามว่า ทำไมจึงหุบร่มและถอดรองเท้าเสียเล่า
อุบาสก : ข้าพระองค์ทราบว่า พระราชารับสั่งหา
พระราชา : ท่านเพิ่งรู้วันนี้เองหรือว่าเราเป็นพระราชา
อุบาสก : ข้าพระพุทธเจ้าทราบมานานแล้ว
พระราชา : ทราบมานานแล้ว ถ้ากระนั้น วันก่อนท่านนั่งอยู่ในสำนักพระศาสดาเห็นเราแล้ว ทำไมจึงไม่ลุกรับ
อุบาสก : ข้าแต่มหาราช วันนั้นข้าพระพุทธเจ้านั่งอยู่ในสำนักของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ หากลุกรับพระราชาประเทศราชก็จะเป็นการขาดความเคารพในพระศาสดา
พระราชา : ช่างเถอะอุบาสก เรื่องแล้วไปแล้วแต่เขาเล่าลือกันว่า ท่านเป็นผู้ฉลาดในประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ทั้งปัจจุบันและอนาคต ท่านรอบรู้ในพระพุทธพจน์จะช่วยสอนธรรมแก่พวกเราในวังจะได้หรือไม่?
อุบาสก : ข้าพระองค์ไม่สามารถทำได้พระเจ้าข้า
พระราชา : ทำไม?
อุบาสก : เพราะธรรมดาพระราชมณเฑียรมีโทษมาก การทำดีและไม่ดีในราชสำนักนั้นเป็นกรรมหนัก
พระราชา : อย่าคิดอย่างนั้นเลยอุบาสก ท่านอย่าได้นึกถึงวันก่อนที่ไม่ได้ลุกรับเราเราไม่ได้ถือโทษเลย
อุบาสก : ข้าแต่สมมุติเทพ สถานที่โคจรของคฤหัสถ์ก็มีโทษมาก ขอพระองค์ได้โปรดนิมนต์บรรพชิตรูปใดรูปหนึ่งมาสอนธรรมเถิด
พระราชาปเสนทิโกศลจึงเสด็จไปเฝ้าพระบรมศาสดาทูลว่า พระนางมัลลิกาเทวี และพระนางวาสภขัตติยา มีพระประสงค์จะเรียนธรรม ขอให้พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์เสด็จไปสู่ราชนิเวศน์เพื่อเสวยเป็นเนืองนิตย์ และแสดงธรรมแก่พระมเหสีทั้งสอง
พระศาสดาตรัสว่า การที่พระพุทธเจ้าจะไปเสวยภัตตาหารในที่แห่งเดียว เป็นประจำนั้นไม่ควร
พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงว่า ถ้ากระนั้นขอให้มอบให้เป็นหน้าที่ของภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง
พระศาสดาทรงมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของพระอานนท์
วันหนึ่ง พระศาสดาตรัสถามถึงผลการเรียนธรรมของพระมเหสีทั้งสองของพระราชาปเสนทิโกศลกับพระอานนท์
พระเถระทูลว่า พระนางมัลลิกาเทวีนั้นทรงตั้งพระทัยศึกษาโดยเคารพท่องพระพุทธพจน์โดยเคารพ
ส่วนพระนางวาสภขัตติยาไม่เรียนโดยเคารพ (คือไม่ตั้งพระทัยเรียน) ไม่ท่องพระพุทธพจน์โดยเคารพ
พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของพระอานนท์แล้วจึงตรัสว่า
“อานนท์ ธรรมที่เรากล่าวดีแล้วย่อมไม่มีผลแก่ผู้ไม่ตั้งใจเรียน ฟัง ท่อง และปฏิบัติตามเหมือนดอกไม้สีสวยแต่ไม่มีกลิ่น แต่พระธรรมของเราจะมีผลดียิ่งแก่ผู้เรียนผู้ฟังปฏิบัติตามโดยเคารพ”
*****************************************************
ในบรรดาพระภิกษุที่ว่ายากสอนยากนั้น ไม่มีใครเกินพระฉันนะ พระฉันนะหรือเดิมชื่อนายฉันนะ
เป็นผู้ที่เกิดพร้อมเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด ในยามที่เจ้าชายออกบวชก็ออกตามเสด็จพร้อมด้วยม้ากัณฐกะ จึงได้ชื่อว่าเป็นสหชาติ (ผู้เกิดในเวลาเดียวกันพร้อมกัน) เพราะอย่างนี้ จึงได้หยิ่งทะนงตนเองว่าเป็นคนใกล้ชิดพระพุทธเจ้ามาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่ค่อยยอมรับการว่ากล่าวตักเตือนจากพระรูปอื่น แม้พระพุทธเจ้าจะไม่เคยให้ท้ายเลยก็ตาม
พระฉันนะชอบด่าพระอัครสาวกสองท่านคือ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะว่า
"อันตัวเรานั้นเป็นผู้เดินทางไปพร้อมกับพระพุทธเจ้าในคราวท่านออกผนวชส่วนพระสองรูปนี้กลับเที่ยวประกาศตนว่า เป็นพระสารีบุตรบ้าง
เป็นพระโมคคัลลานะบ้าง เที่ยวประกาศตนว่าเป็นพระอัครสาวก"
พระพุทธเจ้าทรงทราบ ก็เรียกมาว่ากล่าวตักเตือน พระฉันนะก็นิ่งรับฟัง พอพระพุทธเจ้าเสด็จไป ก็เริ่มด่าพระอัครสาวกอีก แม้พระองค์จะเรียกมาตักเตือนอีกจนถึงครั้งที่ ๓ ว่าพระอัครสาวกทั้งสองรูปเป็นกัลยามิตรที่ดีเป็นผู้ประเสริฐ จงคบกัลยาณมิตรเพื่อนผู้ดีงามเช่นนี้เถิด
แม้กระนั้น พระฉันนะได้ฟังโอวาทแล้วก็ยังไม่เชื่อฟัง ยังคงด่าพระอัครสาวกอีกต่อไป
พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่บรรดาพระภิกษุว่า ภิกษุทั้งหลาย ขณะที่เรายังคงอยู่ พวกเธอคงไม่อาจอบรมสั่งสอนฉันนะได้ แต่เมื่อเราปรินิพพานไปแล้ว จึงจะสามารถทำได้
พระอานนท์จึงกราบทูลถามว่า จะให้ทำเช่นไรต่อพระฉันนะ
พระพุทธองค์จึงได้ตรัสว่า ให้ลงพรหมทัณฑ์แก่ฉันนะ
ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว พระสงฆ์ก็ประกาศลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ
พอพระฉันนะได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความทุกข์ขึ้นในใจ จิตใจเศร้าหมองเป็นลำดับ จนล้มสลบลงถึง ๓ ครั้ง เมื่อฟื้นคืนสติก็ได้อ้อนวอนต่อคณะสงฆ์ว่า
ขอท่านทั้งหลายให้โอกาสกระผมเถิด ว่าแล้วก็กลับตนประพฤติตนใหม่เป็นพระภิกษุที่ดี จนปฏิบัติธรรมได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
 
พุทธะอิสระ