เมื่อนายกองเกวียนกลุ่มที่สองรู้สึกว่า บัดนี้ หมู่เกวียนกลุ่มแรกนั้นออกไปนานแล้ว จึงบรรทุกหญ้า ฟืน และน้ำไปเป็นอันมากเพื่อเตรียมเดินทาง หมู่เกวียนกลุ่มที่สองเมื่อตระเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็ขับหมู่เกวียนออกเดินทางไป
เมื่อขับไปได้สองสามวัน ขบวนเกวียนนั้นเห็นบุรุษผิวดำ นัยน์ตาแดง ผูกสอดแล่งธนู ทัดดอกกุมุท มีผ้าเปียก ผมเปียก แล่นรถอันงดงามมีล้อเปื้อนตมสวนทางมา ครั้นแล้ว จึงได้ถามขึ้นว่า ดูกรท่าน ท่านมาจากไหน ฯ
ข้าพเจ้ามาจากชนบทในทิศโน้น ฯ
ท่านจะไปไหน ฯ
ไปยังชนบทฝั่งตรงข้ามโน้น ฯ
ในหนทางที่ท่านผ่านมา มีฝนตกมากหรือไรเห็นท่านมีผ้านุ่งผ้าห่มเปียกไปทั้งตัว ฯ
เป็นอย่างนั้นท่าน ในหนทางที่ข้าพเจ้าผ่านมามีฝนตกมาก ตามทางมีน้ำบริบูรณ์ หญ้า ฟืน และน้ำมีมาก พวกท่านจงทิ้งหญ้า ฟืน น้ำของเก่าเสียเถิด เกวียนเบาจากของหนักจักไปได้รวดเร็ว วัวเทียมเกวียนก็ไม่ลำบาก
ลำดับนั้น นายกองเกวียนเรียกพวกบริวารมาบอกว่าบุรุษผู้นี้พูดว่า ในหนทางกันดารข้างหน้าฝนตกมาก หนทางมีน้ำบริบูรณ์ทั้งหญ้า ฟืน และน้ำมีมาก ทั้งยังบอกพวกเราว่า ท่านจงทิ้งหญ้า ฟืน น้ำของเก่าเสียเถิด เกวียนเบาจากของหนักจักไปได้รวดเร็ว วัวเทียมเกวียนก็ไม่ลำบาก
นายกองเกวียนผู้มีปัญญา จึงกล่าวต่อว่า
ดูกรท่านทั้งหลาย บุรุษผู้นี้มิใช่มิตร มิใช่ญาติสาโลหิตของพวกเรา พวกเราจักเชื่อบุรุษนี้ได้อย่างไร ท่านทั้งหลายอย่าได้หลงเชื่อ แล้วทิ้งหญ้า ฟืน น้ำ ของเราไปเสีย จงขับเกวียนไปพร้อมทั้งสิ่งของตามที่เรานำมาเถิด พวกเราจักไม่ทิ้งของเก่าของพวกเราแม้แต่อย่างเดียว
พวกเกวียนรับคำนายกองเกวียนนั้นแล้ว ขับเกวียนไปพร้อมทั้งสิ่งของตามที่ได้นำมา ในระหว่างทางพวกเกวียนเหล่านั้นมิได้เห็นหญ้า ฟืน หรือน้ำในที่พักเกวียนตำบลแรก แม้ในที่พักเกวียนที่ตำบลที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่หก ที่เจ็ด ก็มิได้เห็นหญ้า ฟืนหรือน้ำ
อีกทั้งยังได้เห็นหมู่เกวียนที่ได้ถึงความวอดวาย มีแต่กระดูกของมนุษย์และปศุสัตว์ที่อยู่ในหมู่เกวียนนั้น คงจะถูกอมนุษย์คือยักษ์กินไปเสียสิ้นแล้ว
ลำดับนั้น นายกองเกวียนเรียกพวกชาวเกวียนมาบอกว่า นี้คงจะเป็นหมู่เกวียนกลุ่มแรกที่ได้ถึงแก่ความวอดวายสิ้นแล้ว
นี่คงเป็นเพราะนายกองเกวียนนั้นหลงเชื่อบุรุษแปลกหน้าผู้นั้น โดยไม่ใคร่ควรพิจารณาด้วยสติปัญญา
เช่นนั้นท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูในหมู่เกวียนของพวกเรา มีสิ่งของชนิดใดที่มีสาระน้อยจงทิ้งเสีย แล้วจงลงไปเลือกเก็บเอาของที่จำเป็น มีค่ากลับมาเถิด
พวกชาวเกวียนพวกนั้นรับคำนายกองเกวียนนั้นแล้ว จึงทิ้งสิ่งของชนิดมีสาระน้อยในเกวียนของตนๆ แล้วจึงลงไปเลือกเก็บ ขนเอาไปแต่สิ่งของมีสาระมากในหมู่เกวียนที่มีผู้นำโง่เขลานำพาหมู่คณะมาตายเสียสิ้น
และแล้วกองเกวียนที่มีหัวหน้าผู้นำที่มีสติปัญญาก็นำพากองเกวียนข้ามทางกันดารนั้นไปได้โดยสวัสดี
ดูกรบพิตร บพิตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังทรงโง่เขลา ไม่เฉียบแหลม ทรงแสวงหาปรโลกโดยไม่ถูกทาง จักถึงความวอดวาย เหมือนบุรุษนายกองเกวียนคนแรกฉะนั้น ชนเหล่าใดหากสำคัญผิด คิดว่าทิฐิของบพิตร เป็นสิ่งที่ควรฟัง ควรเชื่อถือ แม้ชนเหล่านั้น ก็จักถึงความวอดวาย เหมือนพ่อค้าเกวียนพวกนั้น ฉะนั้น
ขอบพิตรจงทรงละทิ้งทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด
ขอบพิตรจงปล่อยวางทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด ทิฐิอันลามกนั้นอย่าได้มีแก่บพิตร ทิฐิเช่นนี้มิใช่ประโยชน์ เป็นไปเพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนาน
ราชาปายาสิตรัสว่า ท่านกัสสปะกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ยังมิอาจสละคืนทิฐิอันลามกนี้เสียได้ไม่ พระราชาปเสนทิโกศลก็ดี พระราชาภายนอกทั้งหลายก็ดี ทรงรู้จักข้าพเจ้าว่า พญาปายาสิ มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี
ท่านกัสสปะ ถ้าข้าพเจ้าจะสละคืนทิฐิอันลามกนี้ทิ้งเสีย ก็จักมีผู้คนทั้งหลายมาว่าข้าพเจ้าได้ว่า พญาปายาสิ ช่างโง่เขลาเหลือเกิน ไม่เฉียบแหลม มีปรกติถือสิ่งที่ผิด
ข้าพเจ้าจึงต้องยึดทิฐินั้นไว้ ด้วยความโกรธบ้าง ด้วยความลบหลู่บ้าง ด้วยความตีเสมอบ้าง ฯ
(นี่คือตัวอย่างของผู้ที่ยึดมั่น ถือมั่นในมิจฉาทิฐิ ผู้ยึดติดอยู่ในอุปาทานขันธ์ทั้งปวง แม้จะรู้ว่ามันเป็นความผิด ความชั่ว แต่ด้วยมิจฉาทิฐิ ถือตัวถือตนจึงทำให้ราชาปายาสิ ไม่ยอมทิ้งความเห็นผิดเช่นนั้น แต่พระกุมารกัสสปะ ก็ยังไม่ละทิ้งความพยายามจึงได้กล่าวว่า)
ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกอุปมาถวายบพิตร บุรุษผู้มีสติปัญญาในโลกนี้ ย่อมทราบเนื้อความของอาตมาภาพเป็นอย่างดี
ดูกรบพิตร เรื่องเคยมีมาแล้ว บุรุษผู้มีอาชีพเลี้ยงสุกรคนหนึ่งได้ออกจากบ้านของตนไปยังบ้านอื่น ได้เห็นคูถแห้งเป็นอันมากซึ่งเขาทิ้งไว้ในลานหลังบ้านนั้น
ครั้นแล้วเขาได้มีความคิดขึ้นว่าคูถแห้งเป็นอันมากซึ่งเขาทิ้งไว้นี้ เป็นอาหารสุกรของเราได้ ถ้ากระไร เราควรขนคูถแห้งไปจากที่นี้
เขาปูผ้าห่มลงแล้ว โกยเอาคูถแห้งเป็นอันมาก แล้วผูกให้เป็นห่อทูนขึ้นบนศีรษะเดินไป ในระหว่างทาง เขาถูกฝนใหญ่ที่ตกลงมาจนคูถแห้งนั้นละลาย แล้วตัวเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยคูถตลอดถึงปลายเล็บ เขาก็ยังนำพาเอาห่อคูถซึ่งล้นไหลเปรอะไปทั่วกาย เดินไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
พวกมนุษย์ทั้งหลายเห็นเขาแล้วจึงได้พูดว่า
พนาย ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ ท่านเสียจริตหรือหนอ เหตุไหนท่านจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยคูถจนถึงปลายเล็บ จักนำเอาห่อคูถซึ่งล้นไหลอยู่นี้ไปทำไม
บุรุษนั้นตอบว่า พนาย ในข้อนี้ พวกท่านนั่นแหละเป็นบ้า พวกท่านเสียจริต ความจริง สิ่งนี้เป็นอาหารสุกรของเรา
ดูกรบพิตร บพิตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทิฐิของบพิตรดุจดังห่อคูถที่เปียกน้ำแล้วไหลเปรอะไปทั่วตัว เหมือนบุรุษผู้ทูนห่อคูถไว้บนหัว
ขอบพิตรจงละทิ้งทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด
ขอบพิตรจงปล่อยวางทิฐิอันลามกนั้นเสียเถิด ทิฐิอันลามกนั้นอย่าได้มีแก่บพิตร หาได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ไม่ มีแต่จะเป็นไปเพื่อความทุกข์ สิ้นกาลนาน
ราชาปายาสิตรัสว่า ท่านกัสสปะกล่าวอย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ยังหาอาจสละคืนทิฐิอันลามกนี้เสียได้ไม่ เหตุเพราะพระราชาปเสนทิโกศลก็ดี พระราชาภายนอกทั้งหลายก็ดี ทรงรู้จักข้าพเจ้าว่า พญาปายาสิ มีวาทะอย่างนี้ มีทิฐิอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี
ท่านกัสสปะ ถ้าข้าพเจ้าจะสละคืนทิฐิอันลามกนี้ ก็จักมีผู้ว่าข้าพเจ้าได้ว่า พญาปายาสิ ช่างโง่เขลาเหลือเกิน ไม่เฉียบแหลม มีปรกติถือสิ่งที่ผิด
ข้าพเจ้าก็จักยึดทิฐินั้นไว้ ด้วยความโกรธบ้าง ด้วยความลบหลู่บ้าง ด้วยความตีเสมอบ้าง ฯ
คนโง่ คนขลาดเขลา คนลุ่มหลง คนมีปกติวิตกกังวล คนเพ้อเจ้อ คนไร้สาระ คนขาดสติปัญญาเหล่านี้
หาได้พึงมีมาแต่ปัจจุบันชาติเท่านั้น แต่มีมา อบรมมา สั่งสมมา จมปลักอยู่มาแล้วแต่อดีตหลายภพ หลายชาติ
หากปัจจุบันถ้ายังปล่อยตัว ปล่อยใจให้จมอยู่ในปลักวังวนแห่งมิจฉาทิฐิเช่นเดิม
วังวนนี้ก็จะหมุนวนไปไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น โบราณท่านจึงสั่งสอนเอาไว้ว่า
มนุษย์เอ๋ย อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
พุทธะอิสระ