มีผู้ปรารถนาดีกรุณาส่งคำวิจารณ์ของศาสตราจารย์ท่านหนึ่ง ขออนุญาตสงวนนาม เป็นนักวิชาการด้านสันติวิธีศึกษา
ท่านได้ให้คำวิจารณ์ในประเด็นข้อกล่าวหาพรรคก้าวไกลสอนให้เด็กไม่กตัญญูไว้อย่างน่าสนใจ ไปตามหาอ่านกันเอาเอง
แต่มีบางประเด็นที่พุทธะอิสระยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจด้วยความเคารพนะอาจารย์ ขออนุญาตยกเอาบทวิพากษ์ของท่านบางข้อขึ้นมาเป็นข้อวิพากษ์เห็นต่าง เช่น กรณีที่ท่านศาสตราจารย์ได้หยิบยกเอานโยบายของจีน เรื่อง ลูกคนเดียว ขึ้นมากล่าวอ้างว่า
หากคุณวาดภาพในแต่ละครอบครัวมีสมาชิกอยู่ ๖ คน คือ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และทุกคนอายุยืนหมดเพราะระบบสาธารณสุขดี
แต่ในครอบครัวมีลูกแค่ ๑ คน
แล้วท่านศาสตราจารย์ก็สมมุติมาตอนหนึ่งที่ทำให้พุทธะอิสระเห็นต่างคือ
ครอบครัวชาวตะวันออกอย่างพวกเรา แม้แต่ละบ้านจะเป็นครอบครัวใหญ่อยู่รวมกันแต่ครอบครัวของปู่กับย่า ก็จะมีพ่อ มีพี่ชายพ่อ พี่สาวพ่อ มีน้องชายพ่อ น้องสาวพ่อ ซึ่งเป็นลูกของปู่กับย่า
ส่วนใหญ่เป็นลักษณะครอบครัวเช่นนี้
ส่วนครอบครัวของตากับยาย ก็เช่นกัน ตายายก็จะมีลูกคือ แม่ พี่สาวแม่ พี่ชายแม่ น้องสาวและน้องชายแม่ ซึ่งก็จะเป็นลุงเป็นป้า เป็นน้าของเด็กที่เกิด
ซึ่งทั้งครอบครัวของปู่ย่า ก็ไม่ได้มาอยู่รวมกับครอบครัวของตายาย เขาต่างคนต่างอยู่
และส่วนใหญ่ เมื่อลูกชายมีเมีย ก็จะอยู่กับพ่อแม่
ส่วนลูกสาวก็จะแยกไปอยู่กับสามี ซึ่งจะเป็นบ้านของพ่อผัวแม่ผัว
ฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากมาก ที่พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย จะมารวมกันอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แล้วให้ลูกคนเดียวหรือหลานคนเดียวเลี้ยงดูอยู่
อย่าว่าแต่ในประเทศจีนเลย แม้แต่ในประเทศไทยก็หาได้ยาก
ฉะนั้น ประเด็นที่อาจารย์หยิบมากล่าวอ้างว่า ลูกหรือหลานคนเดียวจะต้องมาแบกภาระในการเข็นรถเข็นตั้ง ๖ คน นั่นมันเป็นไปไม่ได้มากๆ เลยนะอาจารย์
ส่วนประเด็นที่ท่านศาสตราจารย์ยกเอาคำว่า ความกตัญญูเป็นเรื่องธรรมชาติ หรือความกตัญญูเป็นเงื่อนไข
พุทธะอิสระขอเรียนท่านอาจารย์ด้วยความเคารพว่า
ความกตัญญูเป็นคุณธรรมเป็นสำนึกที่บุคคลควรต้องระลึกรู้ถึงคุณท่านอยู่เสมอๆ ดุจดังน้ำที่หล่อเลี้ยงจิตใจ เป็นเครื่องเชื่อมสร้างปฏิสัมพันธ์อันงดงาม ด้วยจิตใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเทิดทูน บูชา เคารพให้เกิดขึ้นในการอยู่ร่วมกันกับท่านผู้มีพระคุณ
ความกตัญญูหาใช่การเข็นรถเข็น หรือ การต้องไปแบก หาม รับภาระ แต่เป็นความสำนึกระลึกรู้ถึงความดีงามของท่านที่ให้กำเนิด และเลี้ยงดูลูกมาด้วยความรัก ความทะนุถนอม ทั้งยังส่งเสียให้เล่าเรียนจนสำเร็จ สามารถนำมาประกอบอาชีพได้
กตเวทิตาต่างหากเล่าที่แปลว่า ควรตอบแทนคุณท่านด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยจิตใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความกรุณา ปราณี เคารพ ยอมรับ
หากลูกหรือหลานคนใดมีคุณธรรมความกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา คิดตอบแทนคุณอยู่ในจิตใจแล้ว
ต่อให้เขาจะต้องแบกภาระ เอาพ่อและแม่ที่มีอายุยืนยาวไว้บนบ่าสองข้างเป็นร้อยปี
เขาก็จะไม่รู้สึกว่า เป็นภาระอันหนักหนาสาหัสอย่างที่ท่านศาสตราจารย์ กำลังจะสื่อออกไปให้พวกติ่งส้มและสังคมวงกว้างได้รับรู้ในเรื่องคุณธรรม ความกตัญญู อย่างคลาดเคลื่อน ผิดจากที่ท่านอาจารย์กล่าวออกมาว่า
คุณจะไปกตัญญูแมวอะไรกับคนต้องไปเลี้ยงดูคน ๖ คน ซึ่งมีอายุไปนานอีกเท่าไหร่ไม่รู้ไม่ตายซะที
ประโยคนี้ของอาจารย์สำหรับพุทธะอิสระ รู้สึกว่ามันรุนแรงและมีผลในเชิงลบต่อรากเหง้า และวัฒนธรรมของสังคมไทย เป็นอย่างมาก เพราะอาจมีการตีความได้ว่า
หากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ของพวกติ่งส้มหรือเด็กรุ่นใหม่เกิดมีอายุยืนยาวขึ้นมาจริงๆ ดังที่อาจารย์ว่า
อาจจะเกิดปรากฏการณ์ลูกหลานทิ้งพ่อทิ้งแม่ หรือไม่เช่นนั้นลูกหลานก็ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ปู่ย่า ตายาย ทิ้งเพื่อหนีภาระที่ต้องดูแล
ซึ่งมันไม่มีมุมอื่นที่ต้องให้ตีความเลยต่อคำวิพากษ์ของอาจารย์ในประเด็นนี้
นอกจากจะตีความได้ดังที่พุทธะอิสระ กล่าวมา
นี้มันอันตรายอย่างยิ่งต่อรากเหง้าของวัฒนธรรมความเชื่อ วิธีปฏิบัติ วิถีชีวิตของสังคมอันอาจจะนำมาซึ่งความคิดเห็นผิดๆ ที่เขากำลังกล่าวกันหนาหูว่า
ทำลายเพื่อการเริ่มต้นใหม่
ซึ่งดูมันจะสอดคล้องกันเกินไปกับสิ่งที่อาจารย์พูดออกมานะอาจารย์
ส่วนที่ท่านอาจารย์พยายามอธิบายให้พวกติ่งส้มและสังคมไทยได้รับรู้ว่า
*********************
ความดีของพ่อแม่ของคุณก็คือ ถึงเวลาหนึ่งจะตาย แล้วลูกมีเยอะ ลูกก็ดูแลได้ งั้นคุณก็พูดถึงความกตัญญูได้อย่างหน้าชื่นตาบาน
แต่ถ้าคุณมีลูกอยู่คนเดียว ถ้าพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ไม่มีใครตายเลย คุณจะทำไง และกล่าวหาคุณไม่มีความกตัญญู
คุณเข้าใจไหม
เพราะงั้นความกตัญญูมันไม่ใช่เรื่องแบบที่คนอื่นคิด มันเป็นเงื่อนไขทางสังคมที่เกิดขึ้นได้ และมันก็เป็นเงื่อนไขทางสังคมที่หายไปได้ แบบนี้
เพราะงั้นก้าวไกลกำลังชี้ให้เราเห็นของพวกนี้ต่างหาก
*********************
พุทธะอิสระ ไม่รู้ว่าจะมองผิดไปหรือเปล่า ถ้าผิดก็ต้องขออภัยอาจารย์มา ณ ตรงนี้ด้วย
อาจารย์กำลังจะออกมาปกป้องพรรคก้าวไกลว่า การที่คนในพรรคก้าวไกลตั้งแต่ ผู้เป็นเจ้าของพรรคและบริวาร ออกมาโพทนาว่า พ่อแม่ไม่มีบุญคุณอะไร ครูบาอาจารย์ไม่ต้องกราบ ไม่ต้องไหว้โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ชัดเจนว่า
นายธนาธร จึงรุ่งเรือง ให้สัมภาษณ์ในเว็บไซต์เดอะโมเมนตัม เมื่อวันที่ 19 มีค 2561 ตอนหนึ่งว่า
“ถ้าพรรคของเราเกิดได้เมื่อไร ในพรรคของเราอยากให้เลิกใช้คำว่า พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา อยากให้เลิกใช้คำพวกนี้ให้หมด สร้างวัฒนธรรมใหม่ๆ อย่างที่ผมบอก อะไรก็ตามที่อยากให้เกิดก็ต้องทำในพรรคก่อน เราต้องการยกเลิกวัฒนธรรมอำนาจนิยมซึ่งกีดกันโอกาส กีดกันความคิดสร้างสรรค์ของคน เรียกคนอื่นเป็นพี่ ป้า น้า อาเมื่อไร มันเป็นการเข้าไปอยู่โครงสร้างอำนาจนั้น เราจึงคิดว่า ใช้คำว่า คุณ ผม ดิฉัน สามคำเพียงพอแล้ว ให้เกียรติกันมากพอแล้ว ไม่มีพี่ ไม่มีท่าน คนทุกคนจะกล้าแสดงความคิดเห็น กล้าเป็นตัวของตัวเอง การจะไม่ยอมรับความคิดเห็นเพราะอายุ เพราะเพศสภาพ เพราะการศึกษา ตกไปเลย…not this party ต้องไม่ใช่ที่นี่ หรืออย่างน้อยที่สุด ตราบใดที่ผมยังอยู่ที่นี่ เราจะไม่ปฏิบัติต่อกันแบบนี้”
ย้ำว่านี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สังคมมิอาจตีความเป็นอื่นไปได้ เลยนอกจากคำว่า
ทำลายและสร้างใหม่
ฉะนั้นพุทธะอิสระและผู้คนในสังคมจึงมองว่า ข้อวิพากษ์ของอาจารย์กำลังรับใช้พรรคก้าวไกล อย่างซื่อสัตย์
ถูกตรงต่อเป้าประสงค์ของผู้ก่อตั้งพรรค อาจารย์ว่าไหม สิ่งที่จารย์วิพากษ์มาดูมันช่างสอดคล้องกับความต้องการของพวกพรรคก้าวไกลอย่างน่าเหลือเชื่อเลยนะอาจารย์
เช่นนี้ผู้คนที่เขารู้สึกกังขากับพฤติกรรมของพรรคก้าวไกลมาตลอด พออาจารย์ออกมาการันตีรับรองเช่นนี้ จึงถือเป็นการชี้ให้สังคมไทย เด็กไทย ได้เห็นว่า ความกตัญญูต่อพ่อแม่ ครูอาจารย์ ท่านผู้มีคุณ เป็นเพียงเงื่อนไขทางสังคมที่เป็นประดุจกรงขัง หรือ โซ่ตรวนที่ผูกล่ามเขาไว้
และด้วยข้อวิพากษ์ของอาจารย์นี้แหละ มันกำลังแสดงให้พวกติ่งส้มและสังคมเห็นว่า
พรรคก้าวไกลกำลังทำหน้าที่ปลดปล่อยพวกเขาจากพันธนาการของวัฒนธรรมครอบครัวและสังคม ช่างเป็นความคิดที่เป็นอันตรายต่อวัฒนธรรม ความเชื่อ และวิถีชีวิตของชนชาติไทยยิ่งนัก
หรืออาจารย์ว่าไง ในฐานะที่ท่านเป็นหัวหน้าคณะสันติวิธีศึกษา
 
พุทธะอิสระ